Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā |
๙. สิปฺปสุตฺตวณฺณนา
9. Sippasuttavaṇṇanā
๒๙. นวเม โก นุ โข, อาวุโส, สิปฺปํ ชานาตีติ, อาวุโส, อเมฺหสุ อิธ สนฺนิปติเตสุ โก นุ ชีวิตนิมิตฺตํ สิกฺขิตพฺพเฎฺฐน ‘‘สิปฺป’’นฺติ ลทฺธนามํ ยํกิญฺจิ อาชีวํ วิชานาติ? โก กิํ สิปฺปํ สิกฺขีติ โก ทีฆรตฺตํ สิปฺปาจริยกุลํ ปยิรุปาสิตฺวา อาคมโต ปโยคโต จ หตฺถิสิปฺปาทีสุ กิํ สิปฺปํ สิกฺขิ? กตรํ สิปฺปํ สิปฺปานํ อคฺคนฺติ สพฺพสิปฺปานํ อคารยฺหตาย มหปฺผลตาย อกิจฺฉสิทฺธิยา จ กตรํ สิปฺปํ อคฺคํ อุตฺตมํ? ยํ นิสฺสาย สุเขน สกฺกา ชีวิตุนฺติ อธิปฺปาโยฯ ตเตฺถกเจฺจติ เตสุ ภิกฺขูสุ เอกเจฺจ ภิกฺขูฯ เย หตฺถาจริยกุลา ปพฺพชิตา เตฯ เอวมาหํสูติ เต เอวํ ภณิํสุฯ อิโต ปรมฺปิ ‘‘เอกเจฺจ’’ติ วุตฺตฎฺฐาเน เอเสว นโยฯ หตฺถิสิปฺปนฺติ ยํ หตฺถีนํ ปริคฺคณฺหนทมนสารณโรคติกิจฺฉาทิเภทํ กตฺตพฺพํ, ตํ อุทฺทิสฺส ปวตฺตํ สพฺพมฺปิ สิปฺปํ อิธ ‘‘หตฺถิสิปฺป’’นฺติ อธิเปฺปตํฯ อสฺสสิปฺปนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ รถสิปฺปํ ปน รถโยคฺคานํ ทมนสารณาทิวิธานวเสน เจว รถสฺส กรณวเสน จ เวทิตพฺพํฯ ธนุสิปฺปนฺติ อิสฺสาสสิปฺปํ, โย ธนุเพฺพโธติ วุจฺจติฯ ถรุสิปฺปนฺติ เสสอาวุธสิปฺปํฯ มุทฺทาสิปฺปนฺติ หตฺถมุทฺทาย คณนสิปฺปํฯ คณนสิปฺปนฺติ อจฺฉิทฺทกคณนสิปฺปํฯ สงฺขานสิปฺปนฺติ สงฺกลนปฎุปฺปาทนาทิวเสน ปิณฺฑคณนสิปฺปํฯ ตํ ยสฺส ปคุณํ โหติ, โส รุกฺขมฺปิ ทิสฺวา ‘‘เอตฺตกานิ เอตฺถ ปณฺณานี’’ติ คณิตุํ ชานาติฯ เลขาสิปฺปนฺติ นานากาเรหิ อกฺขรลิขนสิปฺปํ, ลิปิญาณํ วาฯ กาเวยฺยสิปฺปนฺติ อตฺตโน จินฺตาวเสน วา ปรโต ปฎิลทฺธสุตวเสน วา, ‘‘อิมสฺส อยมโตฺถ, เอวํ นํ โยเชสฺสามี’’ติ เอวํ อตฺถวเสน วา, กิญฺจิเทว กพฺพํ ทิสฺวา, ‘‘ตปฺปฎิภาคํ กพฺพํ กริสฺสามี’’ติ ฐานุปฺปตฺติกปฎิภานวเสน วา จินฺตากวิอาทีนํ จตุนฺนํ กวีนํ กพฺพกรณสิปฺปํฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
29. Navame ko nu kho, āvuso, sippaṃ jānātīti, āvuso, amhesu idha sannipatitesu ko nu jīvitanimittaṃ sikkhitabbaṭṭhena ‘‘sippa’’nti laddhanāmaṃ yaṃkiñci ājīvaṃ vijānāti? Ko kiṃ sippaṃ sikkhīti ko dīgharattaṃ sippācariyakulaṃ payirupāsitvā āgamato payogato ca hatthisippādīsu kiṃ sippaṃ sikkhi? Kataraṃ sippaṃ sippānaṃ agganti sabbasippānaṃ agārayhatāya mahapphalatāya akicchasiddhiyā ca kataraṃ sippaṃ aggaṃ uttamaṃ? Yaṃ nissāya sukhena sakkā jīvitunti adhippāyo. Tatthekacceti tesu bhikkhūsu ekacce bhikkhū. Ye hatthācariyakulā pabbajitā te. Evamāhaṃsūti te evaṃ bhaṇiṃsu. Ito parampi ‘‘ekacce’’ti vuttaṭṭhāne eseva nayo. Hatthisippanti yaṃ hatthīnaṃ pariggaṇhanadamanasāraṇarogatikicchādibhedaṃ kattabbaṃ, taṃ uddissa pavattaṃ sabbampi sippaṃ idha ‘‘hatthisippa’’nti adhippetaṃ. Assasippanti etthāpi eseva nayo. Rathasippaṃ pana rathayoggānaṃ damanasāraṇādividhānavasena ceva rathassa karaṇavasena ca veditabbaṃ. Dhanusippanti issāsasippaṃ, yo dhanubbedhoti vuccati. Tharusippanti sesaāvudhasippaṃ. Muddāsippanti hatthamuddāya gaṇanasippaṃ. Gaṇanasippanti acchiddakagaṇanasippaṃ. Saṅkhānasippanti saṅkalanapaṭuppādanādivasena piṇḍagaṇanasippaṃ. Taṃ yassa paguṇaṃ hoti, so rukkhampi disvā ‘‘ettakāni ettha paṇṇānī’’ti gaṇituṃ jānāti. Lekhāsippanti nānākārehi akkharalikhanasippaṃ, lipiñāṇaṃ vā. Kāveyyasippanti attano cintāvasena vā parato paṭiladdhasutavasena vā, ‘‘imassa ayamattho, evaṃ naṃ yojessāmī’’ti evaṃ atthavasena vā, kiñcideva kabbaṃ disvā, ‘‘tappaṭibhāgaṃ kabbaṃ karissāmī’’ti ṭhānuppattikapaṭibhānavasena vā cintākaviādīnaṃ catunnaṃ kavīnaṃ kabbakaraṇasippaṃ. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, กวี – จินฺตากวิ, สุตกวิ, อตฺถกวิ, ปฎิภานกวี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓๑)ฯ
‘‘Cattārome, bhikkhave, kavī – cintākavi, sutakavi, atthakavi, paṭibhānakavī’’ti (a. ni. 4.231).
โลกายตสิปฺปนฺติ ‘‘กาโก เสโต อฎฺฐีนํ เสตตฺตา, พลากา รตฺตา โลหิตสฺส รตฺตตฺตา’’ติ เอวมาทินยปฺปวตฺตํ ปรโลกนิพฺพานานํ ปฎิเสธกํ วิตณฺฑสตฺถสิปฺปํฯ ขตฺตวิชฺชาสิปฺปนฺติ อเพฺภยฺยมาสุรกฺขาทินีติสตฺถสิปฺปํฯ อิมานิ กิร ทฺวาทส มหาสิปฺปานิ นามฯ เตเนวาห ตตฺถ ตตฺถ ‘‘สิปฺปานํ อคฺค’’นฺติฯ
Lokāyatasippanti ‘‘kāko seto aṭṭhīnaṃ setattā, balākā rattā lohitassa rattattā’’ti evamādinayappavattaṃ paralokanibbānānaṃ paṭisedhakaṃ vitaṇḍasatthasippaṃ. Khattavijjāsippanti abbheyyamāsurakkhādinītisatthasippaṃ. Imāni kira dvādasa mahāsippāni nāma. Tenevāha tattha tattha ‘‘sippānaṃ agga’’nti.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ สพฺพสิปฺปายตนานํ ชีวิกตฺถตาย วฎฺฎทุกฺขโต อนิสฺสรณภาวํ , สีลาทีนํเยว ปน สุปริสุทฺธานํ นิสฺสรณภาวํ, ตํ สมงฺคิโนเยว จ ภิกฺขุภาวํ สพฺพาการโต วิทิตฺวา ตทตฺถวิภาวนํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Etamatthaṃviditvāti etaṃ sabbasippāyatanānaṃ jīvikatthatāya vaṭṭadukkhato anissaraṇabhāvaṃ , sīlādīnaṃyeva pana suparisuddhānaṃ nissaraṇabhāvaṃ, taṃ samaṅginoyeva ca bhikkhubhāvaṃ sabbākārato viditvā tadatthavibhāvanaṃ imaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺถ อสิปฺปชีวีติ จตุนฺนํ ตณฺหุปฺปาทานํ สมุเจฺฉทวิกฺขมฺภเนน ปจฺจยาสาย วิโสสิตตฺตา ยํกิญฺจิ สิปฺปํ อุปนิสฺสาย ชีวิกํ น กเปฺปตีติ อสิปฺปชีวี, เอเตน อาชีวปาริสุทฺธิสีลํ ทเสฺสติฯ ลหูติ อปฺปกิจฺจตาย สลฺลหุกวุตฺติตาย จ ลหุ อพหุลสมฺภาโร, เอเตน จตุปจฺจยสโนฺตสสิทฺธํ สุภรตํ ทเสฺสติฯ อตฺถกาโมติ สเทวกสฺส โลกสฺส อตฺถเมว กาเมตีติ อตฺถกาโม, เอเตน สตฺตานํ อนตฺถปริวชฺชนสฺส ปกาสิตตฺตา ปาติโมกฺขสํวรสีลํ ทเสฺสติ ปาณาติปาตาทิอนตฺถวิรมณปริทีปนโตฯ ยตินฺทฺริโยติ จกฺขาทีนํ ฉนฺนํ อินฺทฺริยานํ อภิชฺฌาทฺยปฺปวตฺติโต สํยเมน ยตินฺทฺริโย, เอเตน อินฺทฺริยสํวรสีลํ วุตฺตํฯ สพฺพธิ วิปฺปมุโตฺตติ เอวํ สุปริสุทฺธสีโล จตุปจฺจยสโนฺตเส อวฎฺฐิโต สปฺปจฺจยํ นามรูปํ ปริคฺคเหตฺวา อนิจฺจาทิวเสน สงฺขาเร สมฺมสโนฺต วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา ตโต ปรํ ปฎิปาฎิยา ปวตฺติเตหิ จตูหิ อริยมเคฺคหิ สํโยชนานํ ปหีนตฺตา สพฺพธิ สพฺพตฺถ ภวาทีสุ วิปฺปมุโตฺตฯ
Tattha asippajīvīti catunnaṃ taṇhuppādānaṃ samucchedavikkhambhanena paccayāsāya visositattā yaṃkiñci sippaṃ upanissāya jīvikaṃ na kappetīti asippajīvī, etena ājīvapārisuddhisīlaṃ dasseti. Lahūti appakiccatāya sallahukavuttitāya ca lahu abahulasambhāro, etena catupaccayasantosasiddhaṃ subharataṃ dasseti. Atthakāmoti sadevakassa lokassa atthameva kāmetīti atthakāmo, etena sattānaṃ anatthaparivajjanassa pakāsitattā pātimokkhasaṃvarasīlaṃ dasseti pāṇātipātādianatthaviramaṇaparidīpanato. Yatindriyoti cakkhādīnaṃ channaṃ indriyānaṃ abhijjhādyappavattito saṃyamena yatindriyo, etena indriyasaṃvarasīlaṃ vuttaṃ. Sabbadhi vippamuttoti evaṃ suparisuddhasīlo catupaccayasantose avaṭṭhito sappaccayaṃ nāmarūpaṃ pariggahetvā aniccādivasena saṅkhāre sammasanto vipassanaṃ ussukkāpetvā tato paraṃ paṭipāṭiyā pavattitehi catūhi ariyamaggehi saṃyojanānaṃ pahīnattā sabbadhi sabbattha bhavādīsu vippamutto.
อโนกสารี อมโม นิราโสติ ตถา สพฺพธิ วิปฺปมุตฺตตฺตา เอว โอกสงฺขาเตสุ ฉสุปิ อายตเนสุ ตณฺหาภิสรณสฺส อภาเวน อโนกสารี, รูปาทีสุ กตฺถจิ มมงฺการาภาวโต อมโม, สเพฺพน สพฺพํ อนาสีสนโต นิราโสฯ หิตฺวา มานํ เอกจโร ส ภิกฺขูติ เอวํภูโต จ โส อรหตฺตมคฺคปฺปตฺติสมกาลเมว อนวเสสํ มานํ หิตฺวา ปชหิตฺวา อิเม ภิกฺขู วิย คณสงฺคณิกํ อกตฺวา ปวิเวกกามตาย ตณฺหาสหายวิรเหน จ สพฺพิริยาปเถสุ เอกจโร, โส สพฺพโส ภินฺนกิเลสตฺตา ปรมตฺถโต ภิกฺขุ นามฯ เอตฺถ จ ‘‘อสิปฺปชีวี’’ติอาทินา โลกิยคุณา กถิตา, ‘‘สพฺพธิ วิปฺปมุโตฺต’’ติอาทินา โลกุตฺตรคุณา กถิตาฯ ตตฺถ อสิปฺปชีวีติอาทิ ‘‘วิภเว ฐิตเสฺสว อยํ ธโมฺม, น สิปฺปํ นิสฺสาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิกํ กเปฺปนฺตสฺส, ตสฺมา สิเปฺปสุ สารคฺคหณํ วิสฺสเชฺชตฺวา อธิสีลาทีสุเยว ตุเมฺหหิ สิกฺขิตพฺพ’’นฺติ ทเสฺสติฯ
Anokasārīamamo nirāsoti tathā sabbadhi vippamuttattā eva okasaṅkhātesu chasupi āyatanesu taṇhābhisaraṇassa abhāvena anokasārī, rūpādīsu katthaci mamaṅkārābhāvato amamo, sabbena sabbaṃ anāsīsanato nirāso. Hitvā mānaṃ ekacaro sa bhikkhūti evaṃbhūto ca so arahattamaggappattisamakālameva anavasesaṃ mānaṃ hitvā pajahitvā ime bhikkhū viya gaṇasaṅgaṇikaṃ akatvā pavivekakāmatāya taṇhāsahāyavirahena ca sabbiriyāpathesu ekacaro, so sabbaso bhinnakilesattā paramatthato bhikkhu nāma. Ettha ca ‘‘asippajīvī’’tiādinā lokiyaguṇā kathitā, ‘‘sabbadhi vippamutto’’tiādinā lokuttaraguṇā kathitā. Tattha asippajīvītiādi ‘‘vibhave ṭhitasseva ayaṃ dhammo, na sippaṃ nissāya micchājīvena jīvikaṃ kappentassa, tasmā sippesu sāraggahaṇaṃ vissajjetvā adhisīlādīsuyeva tumhehi sikkhitabba’’nti dasseti.
นวมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Navamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๙. สิปฺปสุตฺตํ • 9. Sippasuttaṃ