Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๓๘๒] ๗. สิริกาฬกณฺณิชาตกวณฺณนา

    [382] 7. Sirikāḷakaṇṇijātakavaṇṇanā

    กา นุ กาเฬน วเณฺณนาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อนาถปิณฺฑิกํ อารพฺภ กเถสิฯ โส หิ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิตกาลโต ปฎฺฐาย อขณฺฑานิ ปญฺจ สีลานิ รกฺขิ, ภริยาปิสฺส ปุตฺตธีตโรปิ ทาสาปิ ภติํ คเหตฺวา กมฺมํ กโรนฺตา กมฺมกราปิ สเพฺพ รกฺขิํสุเยวฯ อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, อนาถปิณฺฑิโก สุจิเยว สุจิปริวาโร หุตฺวา จรตี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพ โปราณกปณฺฑิตาปิ สุจีเยว สุจิปริวารา อเหสุ’’นฺติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    nu kāḷena vaṇṇenāti idaṃ satthā jetavane viharanto anāthapiṇḍikaṃ ārabbha kathesi. So hi sotāpattiphale patiṭṭhitakālato paṭṭhāya akhaṇḍāni pañca sīlāni rakkhi, bhariyāpissa puttadhītaropi dāsāpi bhatiṃ gahetvā kammaṃ karontā kammakarāpi sabbe rakkhiṃsuyeva. Athekadivasaṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, anāthapiṇḍiko suciyeva suciparivāro hutvā caratī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbe porāṇakapaṇḍitāpi sucīyeva suciparivārā ahesu’’nti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต เสฎฺฐิ หุตฺวา ทานํ อทาสิ, สีลํ รกฺขิ, อุโปสถกมฺมํ กริ, ภริยาปิสฺส ปญฺจ สีลานิ รกฺขิ, ปุตฺตธีตโรปิ ทาสกมฺมกรโปริสาปิ ปญฺจ สีลานิ รกฺขิํสุฯ โส สุจิปริวารเสฎฺฐิเตฺวว ปญฺญายิตฺถฯ อเถกทิวสํ โส จิเนฺตสิ ‘‘สเจ มยา สุจิปริวารสีโล โกจิ อาคมิสฺสติ, ตสฺส มม นิสีทนปลฺลงฺกํ วา นิปชฺชนสยนํ วา ทาตุํ น ยุตฺตํ, อนุจฺฉิฎฺฐํ อปริภุตฺตํ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ อตฺตโน วสนฎฺฐาเนเยว เอกปเสฺส อปริภุตฺตปลฺลงฺกญฺจ เสนาสนญฺจ ปญฺญาเปสิฯ ตสฺมิํ สมเย จาตุมหาราชิกเทวโลกโต วิรูปกฺขมหาราชสฺส ธีตา กาฬกณฺณี จ นาม ธตรฎฺฐมหาราชสฺส ธีตา สิรี จ นามาติ อิมา เทฺว พหุํ คนฺธมาลํ อาทาย ‘‘อโนตเตฺต กีฬิสฺสามา’’ติ อโนตตฺตติตฺถํ อาคจฺฉิํสุฯ ตสฺมิํ ปน ทเห พหูนิ ติตฺถานิ, เตสุ พุทฺธานํ ติเตฺถ พุทฺธาเยว นฺหายนฺติ, ปเจฺจกพุทฺธานํ ติเตฺถ ปเจฺจกพุทฺธาว นฺหายนฺติ, ภิกฺขูนํ ติเตฺถ ภิกฺขูว นฺหายนฺติ, ตาปสานํ ติเตฺถ ตาปสาว นฺหายนฺติ, จาตุมหาราชิกาทีสุ ฉสุ กามสเคฺคสุ เทวปุตฺตานํ ติเตฺถ เทวปุตฺตาว นฺหายนฺติ, เทวธีตานํ ติเตฺถ เทวธีตาว นฺหายนฺติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto seṭṭhi hutvā dānaṃ adāsi, sīlaṃ rakkhi, uposathakammaṃ kari, bhariyāpissa pañca sīlāni rakkhi, puttadhītaropi dāsakammakaraporisāpi pañca sīlāni rakkhiṃsu. So suciparivāraseṭṭhitveva paññāyittha. Athekadivasaṃ so cintesi ‘‘sace mayā suciparivārasīlo koci āgamissati, tassa mama nisīdanapallaṅkaṃ vā nipajjanasayanaṃ vā dātuṃ na yuttaṃ, anucchiṭṭhaṃ aparibhuttaṃ dātuṃ vaṭṭatī’’ti attano vasanaṭṭhāneyeva ekapasse aparibhuttapallaṅkañca senāsanañca paññāpesi. Tasmiṃ samaye cātumahārājikadevalokato virūpakkhamahārājassa dhītā kāḷakaṇṇī ca nāma dhataraṭṭhamahārājassa dhītā sirī ca nāmāti imā dve bahuṃ gandhamālaṃ ādāya ‘‘anotatte kīḷissāmā’’ti anotattatitthaṃ āgacchiṃsu. Tasmiṃ pana dahe bahūni titthāni, tesu buddhānaṃ titthe buddhāyeva nhāyanti, paccekabuddhānaṃ titthe paccekabuddhāva nhāyanti, bhikkhūnaṃ titthe bhikkhūva nhāyanti, tāpasānaṃ titthe tāpasāva nhāyanti, cātumahārājikādīsu chasu kāmasaggesu devaputtānaṃ titthe devaputtāva nhāyanti, devadhītānaṃ titthe devadhītāva nhāyanti.

    ตตฺริมา เทฺว อาคนฺตฺวา ‘‘อหํ ปฐมํ นฺหายิสฺสามิ, อหํ ปฐม’’นฺติ ติตฺถาย กลหํ กริํสุฯ กาฬกณฺณี ‘‘อหํ โลกํ ปาเลมิ วิจาเรมิ, ตสฺมา ปฐมํ นายิตุํ ยุตฺตามฺหี’’ติ วทติฯ สิรี ‘‘อหํ มหาชนสฺส อิสฺสริยทายิกาย ปฎิปทาย ฐิตา, ตสฺมา ปฐมํ นฺหายิตุํ ยุตฺตามฺหี’’ติ วทติฯ ตา ‘‘อเมฺหสุ ปฐมํ นฺหายิตุํ ยุตฺตรูปํ วา อยุตฺตรูปํ วา จตฺตาโร มหาราชาโน ชานิสฺสนฺตี’’ติ เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อเมฺหสุ กา ปฐมํ อโนตตฺตทเห นฺหายิตุํ ยุตฺตรูปา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ธตรฎฺฐวิรูปกฺขา ‘‘น สกฺกา อเมฺหหิ วินิจฺฉินิตุ’’นฺติ วิรูฬฺหกเวสฺสวณานํ ภารมกํสุฯ เต ‘‘อเมฺหปิ น สกฺขิสฺสาม, สกฺกสฺส ปาทมูเล เปเสสฺสามา’’ติ ตา สกฺกสฺส สนฺติกํ เปเสสุํฯ สโกฺก ตาสํ วจนํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อิมา เทฺวปิ มม ปุริสานเญฺญว ธีตโร, น สกฺกา มยา อิมํ อฑฺฑํ วินิจฺฉินิตุ’’นฺติฯ อถ ตา สโกฺก อาห ‘‘พาราณสิยํ สุจิปริวาโร นาม เสฎฺฐิ อตฺถิ, ตสฺส ฆเร อนุจฺฉิฎฺฐสยนญฺจ ปญฺญตฺตํ, ยา ตตฺถ นิสีทิตุํ วา สยิตุํ วา ลภติ, สา ปฐมํ นฺหายิตุํ ยุตฺตรูปา’’ติฯ ตํ สุตฺวา กาฬกณฺณี ตสฺมิํ ขเณเยว นีลวตฺถํ นิวาเสตฺวา นีลวิเลปนํ วิลิมฺปิตฺวา นีลมณิปิฬนฺธนํ ปิฬนฺธิตฺวา ยนฺตปาสาโณ วิย เทวโลกโต โอตริตฺวา มชฺฌิมยามสมนนฺตเร เสฎฺฐิโน ปาสาทสฺส อุปฎฺฐานทฺวาเร สยนสฺส อวิทูเร ฐาเน นีลรสฺมิํ วิสฺสเชฺชตฺวา อากาเส อฎฺฐาสิฯ เสฎฺฐิ โอโลเกตฺวา ตํ อทฺทส, สหทสฺสเนเนวสฺส สา อปฺปิยา อโหสิ อมนาปาฯ โส ตาย สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Tatrimā dve āgantvā ‘‘ahaṃ paṭhamaṃ nhāyissāmi, ahaṃ paṭhama’’nti titthāya kalahaṃ kariṃsu. Kāḷakaṇṇī ‘‘ahaṃ lokaṃ pālemi vicāremi, tasmā paṭhamaṃ nāyituṃ yuttāmhī’’ti vadati. Sirī ‘‘ahaṃ mahājanassa issariyadāyikāya paṭipadāya ṭhitā, tasmā paṭhamaṃ nhāyituṃ yuttāmhī’’ti vadati. Tā ‘‘amhesu paṭhamaṃ nhāyituṃ yuttarūpaṃ vā ayuttarūpaṃ vā cattāro mahārājāno jānissantī’’ti tesaṃ santikaṃ gantvā ‘‘amhesu kā paṭhamaṃ anotattadahe nhāyituṃ yuttarūpā’’ti pucchiṃsu. Dhataraṭṭhavirūpakkhā ‘‘na sakkā amhehi vinicchinitu’’nti virūḷhakavessavaṇānaṃ bhāramakaṃsu. Te ‘‘amhepi na sakkhissāma, sakkassa pādamūle pesessāmā’’ti tā sakkassa santikaṃ pesesuṃ. Sakko tāsaṃ vacanaṃ sutvā cintesi ‘‘imā dvepi mama purisānaññeva dhītaro, na sakkā mayā imaṃ aḍḍaṃ vinicchinitu’’nti. Atha tā sakko āha ‘‘bārāṇasiyaṃ suciparivāro nāma seṭṭhi atthi, tassa ghare anucchiṭṭhasayanañca paññattaṃ, yā tattha nisīdituṃ vā sayituṃ vā labhati, sā paṭhamaṃ nhāyituṃ yuttarūpā’’ti. Taṃ sutvā kāḷakaṇṇī tasmiṃ khaṇeyeva nīlavatthaṃ nivāsetvā nīlavilepanaṃ vilimpitvā nīlamaṇipiḷandhanaṃ piḷandhitvā yantapāsāṇo viya devalokato otaritvā majjhimayāmasamanantare seṭṭhino pāsādassa upaṭṭhānadvāre sayanassa avidūre ṭhāne nīlarasmiṃ vissajjetvā ākāse aṭṭhāsi. Seṭṭhi oloketvā taṃ addasa, sahadassanenevassa sā appiyā ahosi amanāpā. So tāya saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๔๐.

    40.

    ‘‘กา นุ กาเฬน วเณฺณน, น จาปิ ปิยทสฺสนา;

    ‘‘Kā nu kāḷena vaṇṇena, na cāpi piyadassanā;

    กา วา ตฺวํ กสฺส วา ธีตา, กถํ ชาเนมุ ตํ มย’’นฺติฯ

    Kā vā tvaṃ kassa vā dhītā, kathaṃ jānemu taṃ maya’’nti.

    ตตฺถ กาเฬนาติ นีเลนฯ วเณฺณนาติ สรีรวตฺถาภรณวเณฺณนฯ น จาปิ ปิยทสฺสนาติ ธาตุโส, ภิกฺขเว, สตฺตา สํสนฺทนฺตีติ วุตฺตํ, อยญฺจ เทวธีตา อนาจารา ทุสฺสีลา, ตสฺมา สา สหทสฺสเนเนวสฺส อปฺปิยา ชาตา, เตเนวมาหฯ กา วา ตฺวนฺติ ‘‘กา จ ตฺวํ, อยเมว วา ปาโฐฯ

    Tattha kāḷenāti nīlena. Vaṇṇenāti sarīravatthābharaṇavaṇṇena. Na cāpi piyadassanāti dhātuso, bhikkhave, sattā saṃsandantīti vuttaṃ, ayañca devadhītā anācārā dussīlā, tasmā sā sahadassanenevassa appiyā jātā, tenevamāha. Kā vā tvanti ‘‘kā ca tvaṃ, ayameva vā pāṭho.

    ตํ สุตฺวา กาฬกณฺณี ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā kāḷakaṇṇī dutiyaṃ gāthamāha –

    ๔๑.

    41.

    ‘‘มหาราชสฺสหํ ธีตา, วิรูปกฺขสฺส จณฺฑิยา;

    ‘‘Mahārājassahaṃ dhītā, virūpakkhassa caṇḍiyā;

    อหํ กาฬี อลกฺขิกา, กาฬกณฺณีติ มํ วิทู;

    Ahaṃ kāḷī alakkhikā, kāḷakaṇṇīti maṃ vidū;

    โอกาสํ ยาจิโต เทหิ, วเสมุ ตว สนฺติเก’’ติฯ

    Okāsaṃ yācito dehi, vasemu tava santike’’ti.

    ตตฺถ จณฺฑิยาติ โกธนาฯ โกธภาเวน หิ มยฺหํ จณฺฑีติ นามํ กริํสุฯ อลกฺขิกาติ นิปฺปญฺญาฯ มํ วิทูติ เอวํ มํ จาตุมหาราชิกเทวโลเก ชานนฺติฯ วเสมูติ มยํ อชฺช เอกรตฺตํ ตว สนฺติเก วเสยฺยาม, เอตสฺมิํ เม อนุจฺฉิฎฺฐาสนสยเน โอกาสํ เทหีติฯ

    Tattha caṇḍiyāti kodhanā. Kodhabhāvena hi mayhaṃ caṇḍīti nāmaṃ kariṃsu. Alakkhikāti nippaññā. Maṃ vidūti evaṃ maṃ cātumahārājikadevaloke jānanti. Vasemūti mayaṃ ajja ekarattaṃ tava santike vaseyyāma, etasmiṃ me anucchiṭṭhāsanasayane okāsaṃ dehīti.

    ตโต โพธิสโตฺต ตติยํ คาถมาห –

    Tato bodhisatto tatiyaṃ gāthamāha –

    ๔๒.

    42.

    ‘‘กิํสีเล กิํสมาจาเร, ปุริเส นิวิสเส ตุวํ;

    ‘‘Kiṃsīle kiṃsamācāre, purise nivisase tuvaṃ;

    ปุฎฺฐา เม กาฬิ อกฺขาหิ, กถํ ชาเนมุ ตํ มย’’นฺติฯ

    Puṭṭhā me kāḷi akkhāhi, kathaṃ jānemu taṃ maya’’nti.

    ตตฺถ นิวิสเสติ ตว จิเตฺตน นิวิสสิ ปติฎฺฐหสีติฯ

    Tattha nivisaseti tava cittena nivisasi patiṭṭhahasīti.

    ตโต สา อตฺตโน คุณํ กเถนฺตี จตุตฺถํ คาถมาห –

    Tato sā attano guṇaṃ kathentī catutthaṃ gāthamāha –

    ๔๓.

    43.

    ‘‘มกฺขี ปฬาสี สารมฺภี, อิสฺสุกี มจฺฉรี สโฐ;

    ‘‘Makkhī paḷāsī sārambhī, issukī maccharī saṭho;

    โส มยฺหํ ปุริโส กโนฺต, ลทฺธํ ยสฺส วินสฺสตี’’ติฯ

    So mayhaṃ puriso kanto, laddhaṃ yassa vinassatī’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – โย ปุริโส อตฺตโน กตคุณํ น ชานาติ, คุณมกฺขี โหติ, อตฺตโน กิสฺมิญฺจิ การเณ กถิเต ‘‘กิํ อหํ เอตํ น ชานามี’’ติ ยุคคฺคาหํ คณฺหาติ , อเญฺญหิ กิญฺจิ กตํ ทิสฺวา สารมฺภวเสน กรณุตฺตริกํ กโรติ, ปเร ลาภํ ลภเนฺต น ตุสฺสติ, ‘‘มยฺหํ อิสฺสริยํ ปเรสํ มา โหตุ, มยฺหเมว โหตู’’ติ สกสมฺปตฺติํ โคเปตฺวา ปรสฺส ติณเคฺคน เตลพินฺทุมฺปิ น เทติ, เกราฎิกลกฺขเณน สมนฺนาคโต หุตฺวา อตฺตโน สนฺตกํ ปรสฺส อทตฺวา เตหิ เตหิ อุปาเยหิ ปรสนฺตกเมว ขาทติ, ยสฺส ลทฺธํ ธญฺญํ วา ธนํ วา วินสฺสติ น ติฎฺฐติ, สุราธุโตฺต อกฺขธุโตฺต อิตฺถิธุโตฺต วา หุตฺวา ลทฺธํ ลทฺธํ วินาเสติเยว, อยํ เอเตหิ คุเณหิ สมนฺนาคโต ปุริโส มยฺหํ กโนฺต ปิโย มนาโป, เอวรูเป อหํ จิเตฺตน ปติฎฺฐหามีติฯ

    Tassattho – yo puriso attano kataguṇaṃ na jānāti, guṇamakkhī hoti, attano kismiñci kāraṇe kathite ‘‘kiṃ ahaṃ etaṃ na jānāmī’’ti yugaggāhaṃ gaṇhāti , aññehi kiñci kataṃ disvā sārambhavasena karaṇuttarikaṃ karoti, pare lābhaṃ labhante na tussati, ‘‘mayhaṃ issariyaṃ paresaṃ mā hotu, mayhameva hotū’’ti sakasampattiṃ gopetvā parassa tiṇaggena telabindumpi na deti, kerāṭikalakkhaṇena samannāgato hutvā attano santakaṃ parassa adatvā tehi tehi upāyehi parasantakameva khādati, yassa laddhaṃ dhaññaṃ vā dhanaṃ vā vinassati na tiṭṭhati, surādhutto akkhadhutto itthidhutto vā hutvā laddhaṃ laddhaṃ vināsetiyeva, ayaṃ etehi guṇehi samannāgato puriso mayhaṃ kanto piyo manāpo, evarūpe ahaṃ cittena patiṭṭhahāmīti.

    สาเยว ปญฺจมฉฎฺฐสตฺตมคาถา อภาสิ –

    Sāyeva pañcamachaṭṭhasattamagāthā abhāsi –

    ๔๔.

    44.

    ‘‘โกธโน อุปนาหี จ, ปิสุโณ จ วิเภทโก;

    ‘‘Kodhano upanāhī ca, pisuṇo ca vibhedako;

    กณฺฑกวาโจ ผรุโส, โส เม กนฺตตโร ตโตฯ

    Kaṇḍakavāco pharuso, so me kantataro tato.

    ๔๕.

    45.

    ‘‘อชฺช สุเวติ ปุริโส, สทตฺถํ นาวพุชฺฌติ;

    ‘‘Ajja suveti puriso, sadatthaṃ nāvabujjhati;

    โอวชฺชมาโน กุปฺปติ, เสยฺยํ โส อติมญฺญติฯ

    Ovajjamāno kuppati, seyyaṃ so atimaññati.

    ๔๖.

    46.

    ‘‘ทวปฺปลุโทฺธ ปุริโส, สพฺพมิเตฺตหิ ธํสติ;

    ‘‘Davappaluddho puriso, sabbamittehi dhaṃsati;

    โส มยฺหํ ปุริโส กโนฺต, ตสฺมิํ โหมิ อนามยา’’ติฯ

    So mayhaṃ puriso kanto, tasmiṃ homi anāmayā’’ti.

    ตาปิ อิมินาว นเยน วิตฺถาเรตพฺพาฯ สเงฺขปโตฺถ ปเนตฺถ – โกธโนติ อปฺปมตฺตเกนาปิ กุชฺฌนโกฯ อุปนาหีติ ปรสฺส อปราธํ หทเย ฐเปตฺวา สุจิเรนปิ ตสฺส อนตฺถการโกฯ ปิสุโณติ ปิสุณวาโจฯ วิเภทโกติ อปฺปมตฺตเกนปิ มิตฺตภินฺทนโกฯ กณฺฑกวาโจติ สโทสวาโจฯ ผรุโสติ ถทฺธวาโจฯ กนฺตตโรติ โส ปุริโส มยฺหํ ปุริมาปิ กนฺตตโร ปิยตโรฯ อชฺช สุเวติ ‘‘อิทํ กมฺมํ อชฺช กาตพฺพํ, อิทํ เสฺว , อิทํ ตติยทิวสาทีสู’’ติ เอวํ โส สทตฺถํ อตฺตโน กิจฺจํ นาวพุชฺฌติ น ชานาติฯ โอวชฺชมาโนติ โอวทิยมาโนฯ เสยฺยํ โส อติมญฺญตีติ ชาติโคตฺตกุลปฺปเทสสีลาจารคุเณหิ อุตฺตริตรํ อุตฺตมปุคฺคลํ ‘‘ตฺวํ มยฺหํ กิํ ปโหสี’’ติ อติกฺกมิตฺวา มญฺญติฯ ทวปฺปลุโทฺธติ รูปาทีสุ กามคุเณสุ นิรนฺตรทเวน ปลุโทฺธ อภิภูโต วสํ คโตฯ ธํสตีติ ‘‘ตยา มยฺหํ กิํ กต’’นฺติอาทีนิ วตฺวา สเพฺพเหว มิเตฺตหิ ธํสติ ปริหายติฯ อนามยาติ อยํ เอเตหิ คุเณหิ สมนฺนาคเต ปุคฺคเล นิทฺทุกฺขา นิโสฺสกา โหมิ, ตํ ลภิตฺวา อญฺญตฺถ อนาลยา หุตฺวา วสามี’’ติฯ

    Tāpi imināva nayena vitthāretabbā. Saṅkhepattho panettha – kodhanoti appamattakenāpi kujjhanako. Upanāhīti parassa aparādhaṃ hadaye ṭhapetvā sucirenapi tassa anatthakārako. Pisuṇoti pisuṇavāco. Vibhedakoti appamattakenapi mittabhindanako. Kaṇḍakavācoti sadosavāco. Pharusoti thaddhavāco. Kantataroti so puriso mayhaṃ purimāpi kantataro piyataro. Ajja suveti ‘‘idaṃ kammaṃ ajja kātabbaṃ, idaṃ sve , idaṃ tatiyadivasādīsū’’ti evaṃ so sadatthaṃ attano kiccaṃ nāvabujjhati na jānāti. Ovajjamānoti ovadiyamāno. Seyyaṃ so atimaññatīti jātigottakulappadesasīlācāraguṇehi uttaritaraṃ uttamapuggalaṃ ‘‘tvaṃ mayhaṃ kiṃ pahosī’’ti atikkamitvā maññati. Davappaluddhoti rūpādīsu kāmaguṇesu nirantaradavena paluddho abhibhūto vasaṃ gato. Dhaṃsatīti ‘‘tayā mayhaṃ kiṃ kata’’ntiādīni vatvā sabbeheva mittehi dhaṃsati parihāyati. Anāmayāti ayaṃ etehi guṇehi samannāgate puggale niddukkhā nissokā homi, taṃ labhitvā aññattha anālayā hutvā vasāmī’’ti.

    อถ นํ ครหโนฺต มหาสโตฺต อฎฺฐมํ คาถมาห –

    Atha naṃ garahanto mahāsatto aṭṭhamaṃ gāthamāha –

    ๔๗.

    47.

    ‘‘อเปหิ เอโตฺต ตฺวํ กาฬิ, เนตํ อเมฺหสุ วิชฺชติ;

    ‘‘Apehi etto tvaṃ kāḷi, netaṃ amhesu vijjati;

    อญฺญํ ชนปทํ คจฺฉ, นิคเม ราชธานิโย’’ติฯ

    Aññaṃ janapadaṃ gaccha, nigame rājadhāniyo’’ti.

    ตตฺถ อเปหีติ อปคจฺฉฯ เนตํ อเมฺหสูติ เอตํ มกฺขาทิกํ ตว ปิยภาวกรณํ อเมฺหสุปิ น วิชฺชติ นตฺถิฯ นิคเม ราชธานิโยติ อเญฺญ นิคเมปิ อญฺญา ราชธานิโยปิ คจฺฉ, ยตฺถ มยํ ตํ น ปสฺสาม, ตตฺถ คจฺฉาติ ทีเปติฯ

    Tattha apehīti apagaccha. Netaṃ amhesūti etaṃ makkhādikaṃ tava piyabhāvakaraṇaṃ amhesupi na vijjati natthi. Nigame rājadhāniyoti aññe nigamepi aññā rājadhāniyopi gaccha, yattha mayaṃ taṃ na passāma, tattha gacchāti dīpeti.

    ตํ สุตฺวา กาฬกณฺณี อทฺทิตา หุตฺวา อนนฺตรคาถมาห –

    Taṃ sutvā kāḷakaṇṇī additā hutvā anantaragāthamāha –

    ๔๘.

    48.

    ‘‘อหมฺปิ โข ตํ ชานามิ, เนตํ ตุเมฺหสุ วิชฺชติ;

    ‘‘Ahampi kho taṃ jānāmi, netaṃ tumhesu vijjati;

    สนฺติ โลเก อลกฺขิกา, สงฺฆรนฺติ พหุํ ธนํ;

    Santi loke alakkhikā, saṅgharanti bahuṃ dhanaṃ;

    อหํ เทโว จ เม ภาตา, อุโภ นํ วิธมามเส’’ติฯ

    Ahaṃ devo ca me bhātā, ubho naṃ vidhamāmase’’ti.

    ตตฺถ เนตํ ตุเมฺหสูติ ยํ มม ปิยภาวกรณํ มกฺขาทิกํ เยน อหํ อตฺตนาปิ สมนฺนาคตา, ตํ ตุเมฺหสุ นตฺถีติ อหมฺปิ เอตํ ชานามิฯ สนฺติ โลเก อลกฺขิกาติ อเญฺญ ปน โลเก นิสฺสีลา นิปฺปญฺญา สนฺติฯ สงฺฆรนฺตีติ เต นิสฺสีลา นิปฺปญฺญาปิ สมานา เอเตหิ มกฺขาทีหิ พหุํ ธนํ สงฺฆรนฺติ ปิณฺฑํ กโรนฺติฯ อุโภ นนฺติ ตํ ปน เอเตหิ สงฺฆริตฺวา ฐปิตํ ธนํ อหญฺจ มยฺหเมว ภาตา เทโว จ นาม เทวปุโตฺตติ อุโภ เอกโต หุตฺวา วิธมามเส นาเสม, อมฺหากํ ปน เทวโลเก พหู ทิพฺพปริโภคา อตฺถิ ทิพฺพานิ สยนานิ, ตฺวํ ทเทยฺยาสิ วา โน วา, โก เม ตยา อโตฺถติ วตฺวา ปกฺกามิฯ

    Tattha netaṃ tumhesūti yaṃ mama piyabhāvakaraṇaṃ makkhādikaṃ yena ahaṃ attanāpi samannāgatā, taṃ tumhesu natthīti ahampi etaṃ jānāmi. Santi loke alakkhikāti aññe pana loke nissīlā nippaññā santi. Saṅgharantīti te nissīlā nippaññāpi samānā etehi makkhādīhi bahuṃ dhanaṃ saṅgharanti piṇḍaṃ karonti. Ubho nanti taṃ pana etehi saṅgharitvā ṭhapitaṃ dhanaṃ ahañca mayhameva bhātā devo ca nāma devaputtoti ubho ekato hutvā vidhamāmase nāsema, amhākaṃ pana devaloke bahū dibbaparibhogā atthi dibbāni sayanāni, tvaṃ dadeyyāsi vā no vā, ko me tayā atthoti vatvā pakkāmi.

    ตสฺสา ปกฺกนฺตกาเล สิรี เทวธีตา สุวณฺณวเณฺณหิ วตฺถวิเลปเนหิ สุวณฺณาลงฺกาเรน อาคนฺตฺวา อุปฎฺฐานทฺวาเร ปีตรสฺมิํ วิสฺสเชฺชตฺวา สเมหิ ปาเทหิ สมํ ปถวิยํ ปติฎฺฐาย สคารวา อฎฺฐาสิฯ ตํ ทิสฺวา มหาสโตฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Tassā pakkantakāle sirī devadhītā suvaṇṇavaṇṇehi vatthavilepanehi suvaṇṇālaṅkārena āgantvā upaṭṭhānadvāre pītarasmiṃ vissajjetvā samehi pādehi samaṃ pathaviyaṃ patiṭṭhāya sagāravā aṭṭhāsi. Taṃ disvā mahāsatto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๔๙.

    49.

    ‘‘กา นุ ทิเพฺพน วเณฺณน, ปถพฺยา สุปติฎฺฐิตา;

    ‘‘Kā nu dibbena vaṇṇena, pathabyā supatiṭṭhitā;

    กา วา ตฺวํ กสฺส วา ธีตา, กถํ ชาเนมุ ตํ มย’’นฺติฯ

    Kā vā tvaṃ kassa vā dhītā, kathaṃ jānemu taṃ maya’’nti.

    ตตฺถ ทิเพฺพนาติ วิสิเฎฺฐน อุตฺตเมนฯ

    Tattha dibbenāti visiṭṭhena uttamena.

    ตํ สุตฺวา สิรี ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā sirī dutiyaṃ gāthamāha –

    ๕๐.

    50.

    ‘‘มหาราชสฺสหํ ธีตา, ธตรฎฺฐสฺส สิรีมโต;

    ‘‘Mahārājassahaṃ dhītā, dhataraṭṭhassa sirīmato;

    อหํ สิรี จ ลกฺขี จ, ภูริปญฺญาติ มํ วิทู;

    Ahaṃ sirī ca lakkhī ca, bhūripaññāti maṃ vidū;

    โอกาสํ ยาจิโต เทหิ, วเสมุ ตว สนฺติเก’’ติฯ

    Okāsaṃ yācito dehi, vasemu tava santike’’ti.

    ตตฺถ สิรี จ ลกฺขี จาติ สิรีติ จ ลกฺขีติ จ อหเมวํนามา, น อญฺญาฯ ภูริปญฺญาติ มํ วิทูติ มํ จาตุมหาราชิกเทวโลเก ปถวีสมาย วิปุลาย ปญฺญาย สมนฺนาคตาติ ชานนฺติฯ วเสมุ ตว สนฺติเกติ ตว อนุจฺฉิฎฺฐาสเน เจว อนุจฺฉิฎฺฐสยเน จ เอกรตฺติํ วเสยฺยาม, โอกาสํ เม เทหีติฯ

    Tattha sirī ca lakkhī cāti sirīti ca lakkhīti ca ahamevaṃnāmā, na aññā. Bhūripaññāti maṃ vidūti maṃ cātumahārājikadevaloke pathavīsamāya vipulāya paññāya samannāgatāti jānanti. Vasemu tava santiketi tava anucchiṭṭhāsane ceva anucchiṭṭhasayane ca ekarattiṃ vaseyyāma, okāsaṃ me dehīti.

    ตโต ปรํ โพธิสโตฺต อาห –

    Tato paraṃ bodhisatto āha –

    ๕๑.

    51.

    ‘‘กิํสีเล กิํสมาจาเร, ปุริเส นิวิสเส ตุวํ;

    ‘‘Kiṃsīle kiṃsamācāre, purise nivisase tuvaṃ;

    ปุฎฺฐา เม ลกฺขิ อกฺขาหิ, กถํ ชาเนมุ ตํ มยํฯ

    Puṭṭhā me lakkhi akkhāhi, kathaṃ jānemu taṃ mayaṃ.

    ๕๒.

    52.

    ‘‘โย จาปิ สีเต อถ วาปิ อุเณฺห, วาตาตเป ฑํสสรีสเป จ;

    ‘‘Yo cāpi sīte atha vāpi uṇhe, vātātape ḍaṃsasarīsape ca;

    ขุธํ ปิปาสํ อภิภุยฺย สพฺพํ, รตฺตินฺทิวํ โย สตตํ นิยุโตฺตฯ

    Khudhaṃ pipāsaṃ abhibhuyya sabbaṃ, rattindivaṃ yo satataṃ niyutto.

    ๕๓.

    53.

    ‘‘กาลาคตญฺจ น หาเปติ อตฺถํ, โส เม มนาโป นิวิเส จ ตมฺหิ;

    ‘‘Kālāgatañca na hāpeti atthaṃ, so me manāpo nivise ca tamhi;

    อโกฺกธโน มิตฺตวา จาควา จ, สีลูปปโนฺน อสโฐชุภูโตฯ

    Akkodhano mittavā cāgavā ca, sīlūpapanno asaṭhojubhūto.

    ๕๔.

    54.

    ‘‘สงฺคาหโก สขิโล สณฺหวาโจ, มหตฺตปโตฺตปิ นิวาตวุตฺติ;

    ‘‘Saṅgāhako sakhilo saṇhavāco, mahattapattopi nivātavutti;

    ตสฺมิํหํ โปเส วิปุลา ภวามิ, อูมิ สมุทฺทสฺส ยถาปิ วณฺณํฯ

    Tasmiṃhaṃ pose vipulā bhavāmi, ūmi samuddassa yathāpi vaṇṇaṃ.

    ๕๕.

    55.

    ‘‘โย จาปิ มิเตฺต อถ วา อมิเตฺต, เสเฎฺฐ สริเกฺข อถ วาปิ หีเน;

    ‘‘Yo cāpi mitte atha vā amitte, seṭṭhe sarikkhe atha vāpi hīne;

    อตฺถํ จรนฺตํ อถ วา อนตฺถํ, อาวี รโห สงฺคหเมว วเตฺตฯ

    Atthaṃ carantaṃ atha vā anatthaṃ, āvī raho saṅgahameva vatte.

    ๕๖.

    56.

    ‘‘วาจํ น วชฺชา ผรุสํ กทาจิ, มตสฺส ชีวสฺส จ ตสฺส โหมิ;

    ‘‘Vācaṃ na vajjā pharusaṃ kadāci, matassa jīvassa ca tassa homi;

    เอเตสํ โย อญฺญตรํ ลภิตฺวา, กนฺตา สิรี มชฺชติ อปฺปปโญฺญ;

    Etesaṃ yo aññataraṃ labhitvā, kantā sirī majjati appapañño;

    ตํ ทิตฺตรูปํ วิสมํ จรนฺตํ, กรีสฐานํว วิวชฺชยามิฯ

    Taṃ dittarūpaṃ visamaṃ carantaṃ, karīsaṭhānaṃva vivajjayāmi.

    ๕๗.

    57.

    ‘‘อตฺตนา กุรุเต ลกฺขิํ, อลกฺขิํ กุรุตตฺตนา;

    ‘‘Attanā kurute lakkhiṃ, alakkhiṃ kurutattanā;

    น หิ ลกฺขิํ อลกฺขิํ วา, อโญฺญ อญฺญสฺส การโก’’ติฯ

    Na hi lakkhiṃ alakkhiṃ vā, añño aññassa kārako’’ti.

    เสฎฺฐิสฺส ปุจฺฉา โหติ, สิริยา วิสฺสชฺชนาฯ

    Seṭṭhissa pucchā hoti, siriyā vissajjanā.

    ตตฺถ ฑํสสรีสเป จาติ ฑํสา วุจฺจนฺติ ปิงฺคลมกฺขิกา, สพฺพาปิ วา มกฺขิกาชาติกา อิธ ‘‘ฑํสา’’ติ อธิเปฺปตาฯ สรีสปาติ ทีฆชาติกาฯ ฑํสา จ สรีสปา จ ฑํสสรีสปา, ตสฺมิํ ฑํสสรีสเป สติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – โย มหาเสฎฺฐิ สีเต วา อุเณฺห วา วาตาตเป วา ฑํสสรีสเป วา สติ เอเตหิ สีตาทีหิ ปีฬิยมาโนปิ เอตานิ เจว สีตาทีนิ ขุธญฺจ ปิปาสญฺจาติ สพฺพเมฺปตํ ปริสฺสยํ อภิภุยฺย อภิภวิตฺวา ติณํ วิย อคเณตฺวา รตฺตินฺทิวํ กสิวณิชฺชาทีสุ เจว ทานสีลาทีสุ จ สตตํ อตฺตโน กเมฺมสุ นิยุโตฺต อตฺตานํ โยเชตฺวา วตฺตติฯ

    Tattha ḍaṃsasarīsape cāti ḍaṃsā vuccanti piṅgalamakkhikā, sabbāpi vā makkhikājātikā idha ‘‘ḍaṃsā’’ti adhippetā. Sarīsapāti dīghajātikā. Ḍaṃsā ca sarīsapā ca ḍaṃsasarīsapā, tasmiṃ ḍaṃsasarīsape sati. Idaṃ vuttaṃ hoti – yo mahāseṭṭhi sīte vā uṇhe vā vātātape vā ḍaṃsasarīsape vā sati etehi sītādīhi pīḷiyamānopi etāni ceva sītādīni khudhañca pipāsañcāti sabbampetaṃ parissayaṃ abhibhuyya abhibhavitvā tiṇaṃ viya agaṇetvā rattindivaṃ kasivaṇijjādīsu ceva dānasīlādīsu ca satataṃ attano kammesu niyutto attānaṃ yojetvā vattati.

    กาลาคตญฺจาติ กสิกาลาทีสุ กสิอาทีนิ ธนปริจฺจาคสีลรกฺขณธมฺมสฺสวนาทิกาเลสุ จ ธนปริจฺจชนาทิปฺปเภทํ ทิฎฺฐธมฺมสมฺปราเย สุขาวหํ อตฺถํ น หาเปติ, ยุตฺตปฺปยุตฺตกาเล กโรติเยว, โส มยฺหํ มนาโป ตสฺมิญฺจ ปุริเส อหํ นิวิสามีติฯ อโกฺกธโนติ อธิวาสนขนฺติยา สมนฺนาคโตฯ มิตฺตวาติ กลฺยาณมิเตฺตน สมนฺนาคโตฯ จาควาติ ธนปริจฺจาคยุโตฺตฯ

    Kālāgatañcāti kasikālādīsu kasiādīni dhanapariccāgasīlarakkhaṇadhammassavanādikālesu ca dhanapariccajanādippabhedaṃ diṭṭhadhammasamparāye sukhāvahaṃ atthaṃ na hāpeti, yuttappayuttakāle karotiyeva, so mayhaṃ manāpo tasmiñca purise ahaṃ nivisāmīti. Akkodhanoti adhivāsanakhantiyā samannāgato. Mittavāti kalyāṇamittena samannāgato. Cāgavāti dhanapariccāgayutto.

    สงฺคาหโกติ มิตฺตสงฺคหอามิสสงฺคหธมฺมสงฺคหานํ การโกฯ สขิโลติ มุทุวาโจฯ สณฺหวาโจติ มธุรวจโนฯ มหตฺตปโตฺตปิ นิวาตวุตฺตีติ มหนฺตํ ฐานํ วิปุลํ อิสฺสริยํ ปโตฺตปิ ยเสน อนุทฺธโต นีจวุตฺติ ปณฺฑิตานํ โอวาทกโร โหติฯ ตสฺมิํหํ โปเสติ ตสฺมิํ อหํ ปุริเสฯ วิปุลา ภวามีติ อขุทฺทกา โหมิฯ โส หิ มหติยา สิริยา ปทฎฺฐานํฯ อูมิ สมุทฺทสฺส ยถาปิ วณฺณนฺติ ยถา นาม สมุทฺทสฺส วณฺณํ โอโลเกนฺตานํ อุปรูปริ อาคจฺฉมานา อูมิ วิปุลา วิย ขายติ, เอวมหํ ตสฺมิํ ปุคฺคเล วิปุลา โหมีติ ทีเปติฯ

    Saṅgāhakoti mittasaṅgahaāmisasaṅgahadhammasaṅgahānaṃ kārako. Sakhiloti muduvāco. Saṇhavācoti madhuravacano. Mahattapattopi nivātavuttīti mahantaṃ ṭhānaṃ vipulaṃ issariyaṃ pattopi yasena anuddhato nīcavutti paṇḍitānaṃ ovādakaro hoti. Tasmiṃhaṃ poseti tasmiṃ ahaṃ purise. Vipulā bhavāmīti akhuddakā homi. So hi mahatiyā siriyā padaṭṭhānaṃ. Ūmi samuddassa yathāpi vaṇṇanti yathā nāma samuddassa vaṇṇaṃ olokentānaṃ uparūpari āgacchamānā ūmi vipulā viya khāyati, evamahaṃ tasmiṃ puggale vipulā homīti dīpeti.

    อาวี รโหติ สมฺมุขา จ ปรมฺมุขา จฯ สงฺคหเมว วเตฺตติ เอตสฺมิํ มิตฺตาทิเภเท ปุคฺคเล จตุพฺพิธํ สงฺคหเมว วเตฺตติ ปวเตฺตติฯ

    Āvī rahoti sammukhā ca parammukhā ca. Saṅgahameva vatteti etasmiṃ mittādibhede puggale catubbidhaṃ saṅgahameva vatteti pavatteti.

    น วชฺชาติ โย กทาจิ กิสฺมิญฺจิ กาเล ผรุสวจนํ น วเทยฺย, มธุรวจโนว โหติฯ มตสฺส ชีวสฺส จาติ ตสฺสาหํ ปุคฺคลสฺส มตสฺสปิ ชีวนฺตสฺสปิ ภตฺติกา โหมิ, อิธโลเกปิ ปรโลเกปิ ตาทิสเมว ภชามีติ ทเสฺสติฯ เอเตสํ โยติ เอเตสํ สีตาภิภวนาทีนํ เหฎฺฐา วุตฺตคุณานํ โย ปุคฺคโล เอกมฺปิ คุณํ ลภิตฺวา ปมชฺชติ ปมุสฺสติ, ปุน นานุยุญฺชตีติ อโตฺถฯ กนฺตา สิรี, กนฺตสิริํ, กนฺตํ สิรินฺติ ตโยปิ ปาฐา, เตสํ วเสน อยํ อตฺถโยชนา – โย ปุคฺคโล สิริํ ลภิตฺวา ‘‘กนฺตา เม สิริ ยถาฐาเน ฐิตา’’ติ เอเตสํ อญฺญตรํ คุณํ ปมชฺชติ, โย วา ปุคฺคโล กนฺตสิริํ ปิยสิริํ อิจฺฉโนฺต เอเตสํ คุณานํ อญฺญตรํ ลภิตฺวา ปมชฺชติ, โย วา ปุคฺคโล สิริํ ลภิตฺวา กนฺตํ มนาปํ สิริํ เอเตสํ คุณานํ อญฺญตรํ ปมชฺชติฯ อปฺปปโญฺญติ นิปฺปโญฺญฯ ตํ ทิตฺตรูปํ วิสมํ จรนฺตนฺติ ตํ อหํ ทิตฺตสภาวํ คพฺพิตสภาวํ กายทุจฺจริตาทิเภทํ วิสมํ จรนฺตํ สุจิชาติโก มนุโสฺส คูถกูปํ วิย ทูรโต วิวชฺชยามีติฯ

    Na vajjāti yo kadāci kismiñci kāle pharusavacanaṃ na vadeyya, madhuravacanova hoti. Matassa jīvassa cāti tassāhaṃ puggalassa matassapi jīvantassapi bhattikā homi, idhalokepi paralokepi tādisameva bhajāmīti dasseti. Etesaṃ yoti etesaṃ sītābhibhavanādīnaṃ heṭṭhā vuttaguṇānaṃ yo puggalo ekampi guṇaṃ labhitvā pamajjati pamussati, puna nānuyuñjatīti attho. Kantā sirī, kantasiriṃ, kantaṃ sirinti tayopi pāṭhā, tesaṃ vasena ayaṃ atthayojanā – yo puggalo siriṃ labhitvā ‘‘kantā me siri yathāṭhāne ṭhitā’’ti etesaṃ aññataraṃ guṇaṃ pamajjati, yo vā puggalo kantasiriṃ piyasiriṃ icchanto etesaṃ guṇānaṃ aññataraṃ labhitvā pamajjati, yo vā puggalo siriṃ labhitvā kantaṃ manāpaṃ siriṃ etesaṃ guṇānaṃ aññataraṃ pamajjati. Appapaññoti nippañño. Taṃ dittarūpaṃ visamaṃ carantanti taṃ ahaṃ dittasabhāvaṃ gabbitasabhāvaṃ kāyaduccaritādibhedaṃ visamaṃ carantaṃ sucijātiko manusso gūthakūpaṃ viya dūrato vivajjayāmīti.

    อโญฺญ อญฺญสฺส การโกติ เอวํ สเนฺต ลกฺขิํ วา อลกฺขิํ วา อโญฺญ ปุริโส อญฺญสฺส การโก นาม นตฺถิ, โย โกจิ อตฺตนา อตฺตโน ลกฺขิํ วา อลกฺขิํ วา กโรตีติฯ

    Añño aññassa kārakoti evaṃ sante lakkhiṃ vā alakkhiṃ vā añño puriso aññassa kārako nāma natthi, yo koci attanā attano lakkhiṃ vā alakkhiṃ vā karotīti.

    เอวํ มหาสโตฺต เทวิยา วจนํ อภินนฺทิตฺวา ‘‘อิทํ อนุจฺฉิฎฺฐํ อาสนญฺจ สยนญฺจ ตุยฺหํเยว อนุจฺฉวิกํ, ปลฺลเงฺก จ สยเน จ นิสีท เจว นิปชฺช จา’’ติ อาหฯ สา ตตฺถ วสิตฺวา ปจฺจูสกาเล นิกฺขมิตฺวา จาตุมหาราชิกเทวโลกํ คนฺตฺวา อโนตตฺตทเห ปฐมํ นหายิฯ ตมฺปิ สยนํ สิริเทวตาย ปริภุตฺตภาวา สิริสยนํ นาม ชาตํฯ สิริสยนสฺส อยํ วํโส, อิมินา การเณน ยาวชฺชตนา ‘‘สิริสยน’’นฺติ วุจฺจติฯ

    Evaṃ mahāsatto deviyā vacanaṃ abhinanditvā ‘‘idaṃ anucchiṭṭhaṃ āsanañca sayanañca tuyhaṃyeva anucchavikaṃ, pallaṅke ca sayane ca nisīda ceva nipajja cā’’ti āha. Sā tattha vasitvā paccūsakāle nikkhamitvā cātumahārājikadevalokaṃ gantvā anotattadahe paṭhamaṃ nahāyi. Tampi sayanaṃ siridevatāya paribhuttabhāvā sirisayanaṃ nāma jātaṃ. Sirisayanassa ayaṃ vaṃso, iminā kāraṇena yāvajjatanā ‘‘sirisayana’’nti vuccati.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สิริเทวี อุปฺปลวณฺณา อโหสิ, สุจิปริวารเสฎฺฐิ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā siridevī uppalavaṇṇā ahosi, suciparivāraseṭṭhi pana ahameva ahosi’’nti.

    สิริกาฬกณฺณิชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ

    Sirikāḷakaṇṇijātakavaṇṇanā sattamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๘๒. สิริกาฬกณฺณิชาตกํ • 382. Sirikāḷakaṇṇijātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact