Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๑๓. สิริมณฺฑเตฺถรคาถาวณฺณนา
13. Sirimaṇḍattheragāthāvaṇṇanā
ฉนฺนมติวสฺสตีติอาทิกา อายสฺมโต สิริมณฺฑเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว ปุญฺญานิ อุปจินิตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สํสุมารคิเร พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา สิริมโณฺฑติ ลทฺธนาโม วยปฺปโตฺต เภสกลาวเน ภควติ วิหรเนฺต สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา ลทฺธูปสมฺปโท สมณธมฺมํ กโรโนฺต เอกสฺมิํ อุโปสถทิวเส ปาติโมกฺขุเทฺทสฎฺฐาเน นิสิโนฺน นิทานุเทฺทสสฺส ปริโยสาเน ‘‘อาวิกตา หิสฺส ผาสุ โหตี’’ติ (มหาว. ๑๓๔) ปาฬิยา อตฺถํ อุปธาเรโนฺต อาปนฺนํ อาปตฺติํ อนาวิกตฺวา ปฎิจฺฉาเทโนฺต อุปรูปริ อาปตฺติโย อาปชฺชติ, เตนสฺส น ผาสุ โหติ, อาวิกตฺวา ปน ยถาธมฺมํ ปฎิกโรนฺตสฺส ผาสุ โหตีติ อิมมตฺถํ มนสิ กตฺวา ‘‘อโห สตฺถุ สาสนํ สุวิสุทฺธ’’นฺติ ลทฺธปฺปสาโท ตถา อุปฺปนฺนํ ปีติํ วิกฺขเมฺภตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา อตฺตโน ปฎิปตฺติํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปสนฺนมานโส ภิกฺขูนํ โอวาทํ เทโนฺต –
Channamativassatītiādikā āyasmato sirimaṇḍattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave puññāni upacinitvā imasmiṃ buddhuppāde saṃsumāragire brāhmaṇakule nibbattitvā sirimaṇḍoti laddhanāmo vayappatto bhesakalāvane bhagavati viharante satthāraṃ upasaṅkamitvā dhammaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvā laddhūpasampado samaṇadhammaṃ karonto ekasmiṃ uposathadivase pātimokkhuddesaṭṭhāne nisinno nidānuddesassa pariyosāne ‘‘āvikatā hissa phāsu hotī’’ti (mahāva. 134) pāḷiyā atthaṃ upadhārento āpannaṃ āpattiṃ anāvikatvā paṭicchādento uparūpari āpattiyo āpajjati, tenassa na phāsu hoti, āvikatvā pana yathādhammaṃ paṭikarontassa phāsu hotīti imamatthaṃ manasi katvā ‘‘aho satthu sāsanaṃ suvisuddha’’nti laddhappasādo tathā uppannaṃ pītiṃ vikkhambhetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ patvā attano paṭipattiṃ paccavekkhitvā pasannamānaso bhikkhūnaṃ ovādaṃ dento –
๔๔๗.
447.
‘‘ฉนฺนมติวสฺสติ, วิวฎํ นาติวสฺสติ;
‘‘Channamativassati, vivaṭaṃ nātivassati;
ตสฺมา ฉนฺนํ วิวเรถ, เอวํ ตํ นาติวสฺสติฯ
Tasmā channaṃ vivaretha, evaṃ taṃ nātivassati.
๔๔๘.
448.
‘‘มจฺจุนาพฺภาหโต โลโก, ชราย ปริวาริโต;
‘‘Maccunābbhāhato loko, jarāya parivārito;
ตณฺหาสเลฺลน โอติโณฺณ, อิจฺฉาธูปายิโต สทาฯ (สํ. นิ. ๑.๖๖);
Taṇhāsallena otiṇṇo, icchādhūpāyito sadā. (saṃ. ni. 1.66);
๔๔๙.
449.
‘‘มจฺจุนาพฺภาหโต โลโก, ปริกฺขิโตฺต ชราย จ;
‘‘Maccunābbhāhato loko, parikkhitto jarāya ca;
หญฺญติ นิจฺจมตฺตาโณ, ปตฺตทโณฺฑว ตกฺกโรฯ
Haññati niccamattāṇo, pattadaṇḍova takkaro.
๔๕๐.
450.
‘‘อาคจฺฉนฺตคฺคิขนฺธาว, มจฺจุ พฺยาธิ ชรา ตโย;
‘‘Āgacchantaggikhandhāva, maccu byādhi jarā tayo;
ปจฺจุคฺคนฺตุํ พลํ นตฺถิ, ชโว นตฺถิ ปลายิตุํฯ
Paccuggantuṃ balaṃ natthi, javo natthi palāyituṃ.
๔๕๑.
451.
‘‘อโมฆํ ทิวสํ กยิรา, อเปฺปน พหุเกน วา;
‘‘Amoghaṃ divasaṃ kayirā, appena bahukena vā;
ยํ ยํ วิชหเต รตฺติํ, ตทูนํ ตสฺส ชีวิตํฯ
Yaṃ yaṃ vijahate rattiṃ, tadūnaṃ tassa jīvitaṃ.
๔๕๒.
452.
‘‘จรโต ติฎฺฐโต วาปิ, อาสีนสยนสฺส วา;
‘‘Carato tiṭṭhato vāpi, āsīnasayanassa vā;
อุเปติ จริมา รตฺติ, น เต กาโล ปมชฺชิตุ’’นฺติฯ –
Upeti carimā ratti, na te kālo pamajjitu’’nti. –
อิมา คาถา อภาสิฯ
Imā gāthā abhāsi.
ตตฺถ ฉนฺนนฺติ ฉาทิตํ ยถาภูตํ อวิวฎํ อปฺปกาสิตํ ทุจฺจริตํฯ อติวสฺสตีติ อาปตฺติวสฺสเญฺจว กิเลสวสฺสญฺจ อติวิย วสฺสติฯ อาปตฺติยา หิ ฉาทนํ อลชฺชิภาวาทินา ตาทิโสว, ฉาทเนน ตโต อญฺญถาว ปุนปิ ตถารูปํ ตโต วา ปาปิฎฺฐตรํ อาปตฺติํ อาปเชฺชยฺยาติ ฉาทนํ วสฺสนสฺส การณํ วุตฺตํฯ วิวฎนฺติ ปกาสิตํ อปฺปฎิจฺฉนฺนํฯ นาติวสฺสตีติ เอตฺถ อตีติ อุปสคฺคมตฺตํ, น วสฺสตีติ อโตฺถฯ อวสฺสนเญฺจตฺถ วุตฺตวิปริยาเยน เวทิตพฺพํ จิตฺตสนฺตานสฺส วิโสธิตตฺตาฯ ตสฺมาติ วุตฺตเมวตฺถํ การณภาเวน ปจฺจามสติ, ฉนฺนสฺส ทุจฺจริตสฺส อาปตฺติวสฺสาทีนํ อติวสฺสนโต วิวฎสฺส จ อวสฺสนโตติ อโตฺถฯ ฉนฺนํ วิวเรถาติ ปุถุชฺชนภาเวน ฉาทนาธิปฺปาเย อุปฺปเนฺนปิ ตํ อนนุวตฺติตฺวา วิวเรถ อาวิกเรยฺย, ยถาธมฺมํ ปฎิกเรยฺยฯ เอวนฺติ วิวรเณน ยถาธมฺมํ ปฎิปตฺติยาฯ ตนฺติ ตํ ฉนฺนํ ทุจฺจริตํฯ นาติวสฺสติ อาปตฺติวสฺสํ กิเลสวสฺสญฺจ น วสฺสติ, สุทฺธเนฺต ปุคฺคลํ ปติฎฺฐเปตีติ อโตฺถฯ
Tattha channanti chāditaṃ yathābhūtaṃ avivaṭaṃ appakāsitaṃ duccaritaṃ. Ativassatīti āpattivassañceva kilesavassañca ativiya vassati. Āpattiyā hi chādanaṃ alajjibhāvādinā tādisova, chādanena tato aññathāva punapi tathārūpaṃ tato vā pāpiṭṭhataraṃ āpattiṃ āpajjeyyāti chādanaṃ vassanassa kāraṇaṃ vuttaṃ. Vivaṭanti pakāsitaṃ appaṭicchannaṃ. Nātivassatīti ettha atīti upasaggamattaṃ, na vassatīti attho. Avassanañcettha vuttavipariyāyena veditabbaṃ cittasantānassa visodhitattā. Tasmāti vuttamevatthaṃ kāraṇabhāvena paccāmasati, channassa duccaritassa āpattivassādīnaṃ ativassanato vivaṭassa ca avassanatoti attho. Channaṃ vivarethāti puthujjanabhāvena chādanādhippāye uppannepi taṃ ananuvattitvā vivaretha āvikareyya, yathādhammaṃ paṭikareyya. Evanti vivaraṇena yathādhammaṃ paṭipattiyā. Tanti taṃ channaṃ duccaritaṃ. Nātivassati āpattivassaṃ kilesavassañca na vassati, suddhante puggalaṃ patiṭṭhapetīti attho.
อิทานิ ‘‘เอกํเสน สีฆํเยว จ อตฺตา โสเธตโพฺพ, อปฺปมาโท กาตโพฺพ’’ติ ตสฺส การณํ สํเวควตฺถุํ ทเสฺสโนฺต ‘‘มจฺจุนาพฺภาหโต โลโก’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ มจฺจุนาพฺภาหโต โลโกติ อยํ สโพฺพปิ สตฺตโลโก โจโร วิย โจรฆาตเกน, สพฺพวฎฺฎนิปาตินา มจฺจุนา มรเณน อภิหโต, น ตสฺส หตฺถโต มุจฺจติฯ ชราย ปริวาริโตติ อยํ โลโก อุปฺปาทโต อุทฺธํ มรณูปนยนรสาย ชราย ปริวาริโต อโชฺฌตฺถโฎ, ชราสงฺฆาตปริมุโกฺกติ อโตฺถฯ ตณฺหาสเลฺลน โอติโณฺณติ สรีรสฺส อโนฺต นิมุเคฺคน วิสปีตขุรเปฺปน วิย อุปาทานลกฺขเณน ตณฺหาสงฺขาเตน สเลฺลน โอติโณฺณ หทยพฺภนฺตเร โอคาโฬฺหฯ ตณฺหา หิ ปีฬาชนนโต อโนฺต ตุทนโต ทุรุทฺธารโต จ ‘‘สโลฺล’’ติ วุจฺจติฯ อิจฺฉาธูปายิโตติ อารมฺมณาภิปตฺถนลกฺขณาย อิจฺฉาย สนฺตาปิโตฯ ตํ วิสยํ อิจฺฉโนฺต หิ ปุคฺคโล ยทิจฺฉิตํ วิสยํ ลภโนฺต วา อลภโนฺต วา ตาย เอว อนุทหนลกฺขณาย อิจฺฉาย สนฺตโตฺต ปริฬาหปฺปโตฺต โหติฯ สทาติ สพฺพกาลํ, อิทญฺจ ปทํ สพฺพปเทสุ โยเชตพฺพํฯ
Idāni ‘‘ekaṃsena sīghaṃyeva ca attā sodhetabbo, appamādo kātabbo’’ti tassa kāraṇaṃ saṃvegavatthuṃ dassento ‘‘maccunābbhāhato loko’’tiādimāha. Tattha maccunābbhāhato lokoti ayaṃ sabbopi sattaloko coro viya coraghātakena, sabbavaṭṭanipātinā maccunā maraṇena abhihato, na tassa hatthato muccati. Jarāya parivāritoti ayaṃ loko uppādato uddhaṃ maraṇūpanayanarasāya jarāya parivārito ajjhotthaṭo, jarāsaṅghātaparimukkoti attho. Taṇhāsallena otiṇṇoti sarīrassa anto nimuggena visapītakhurappena viya upādānalakkhaṇena taṇhāsaṅkhātena sallena otiṇṇo hadayabbhantare ogāḷho. Taṇhā hi pīḷājananato anto tudanato duruddhārato ca ‘‘sallo’’ti vuccati. Icchādhūpāyitoti ārammaṇābhipatthanalakkhaṇāya icchāya santāpito. Taṃ visayaṃ icchanto hi puggalo yadicchitaṃ visayaṃ labhanto vā alabhanto vā tāya eva anudahanalakkhaṇāya icchāya santatto pariḷāhappatto hoti. Sadāti sabbakālaṃ, idañca padaṃ sabbapadesu yojetabbaṃ.
ปริกฺขิโตฺต ชราย จาติ น เกวลํ มจฺจุนา อพฺภาหโตเยว, อถ โข ชราย จ ปริกฺขิโตฺตฯ ชราย สมวรุโทฺธ ชราปาการปริกฺขิโตฺต, น ตํ สมติกฺกมตีติ อโตฺถฯ หญฺญติ นิจฺจมตฺตาโณติ อตาโณ อสรโณ หุตฺวา นิจฺจกาลํ ชรามรเณหิ หญฺญติ วิพาธียติฯ ยถา กิํ? ปตฺตทโณฺฑว ตกฺกโร ยถา ตกฺกโร โจโร กตาปราโธ วชฺฌปฺปโตฺต อตาโณ ราชาณาย หญฺญติ, เอวมยํ โลโก ชรามรเณหีติ ทเสฺสติฯ
Parikkhitto jarāya cāti na kevalaṃ maccunā abbhāhatoyeva, atha kho jarāya ca parikkhitto. Jarāya samavaruddho jarāpākāraparikkhitto, na taṃ samatikkamatīti attho. Haññati niccamattāṇoti atāṇo asaraṇo hutvā niccakālaṃ jarāmaraṇehi haññati vibādhīyati. Yathā kiṃ? Pattadaṇḍova takkaro yathā takkaro coro katāparādho vajjhappatto atāṇo rājāṇāya haññati, evamayaṃ loko jarāmaraṇehīti dasseti.
อาคจฺฉนฺตคฺคิขนฺธาวาติ มหาวเน ฑยฺหมาเน ตํ อภิภวนฺตา มหนฺตา อคฺคิกฺขนฺธา วิย มจฺจุ พฺยาธิ ชราติ อิเม ตโย อนุทหนเฎฺฐน อคฺคิกฺขนฺธา อิมํ สตฺตโลกํ อภิภวนฺตา อาคจฺฉนฺติ , เตสํ ปน ปฎิพโล หุตฺวา ปจฺจุคฺคนฺตุํ อภิภวิตุํ พลํ อุสฺสาโห นตฺถิ, อิมสฺส โลกสฺส, ชโว นตฺถิ ปลายิตุํ ชวเนฺตสุ, อโชฺฌตฺถรเนฺตสุฯ ยตฺถ เต นาภิภวนฺติ, ปิฎฺฐิํ ทเสฺสตฺวา ตโต ปลายิตุมฺปิ อิมสฺส โลกสฺส ชงฺฆาชโว นตฺถิ, เอวํ อตฺตนา อสมโตฺถ มายาทีหิ อุปาเยหิ อปฺปฎิกาเร ติวิเธ พลวติ ปจฺจามิเตฺต นิจฺจุปฎฺฐิเต กิํ กาตพฺพนฺติ เจ? อโมฆํ ทิวสํ กยิรา, อเปฺปน พหุเกน วาติ อเปฺปน อนฺตมโส คทฺทูหนมตฺตมฺปิ กาลํ ปวตฺติเตน พหุเกน วา สกลํ อโหรตฺตํ ปวตฺติเตน วิปสฺสนามนสิกาเรน อโมฆํ อวญฺฌํ ทิวสํ กเรยฺย, ยสฺมา ยํ ยํ วิชหเต รตฺติํ, ตทูนํ ตสฺส ชีวิตํ อยํ สโตฺต ยํ ยํ รตฺติํ วิชหติ นาเสติ เขเปติ, ตทูนํ เตน อูนํ ตสฺส สตฺตสฺส ชีวิตํ โหติฯ เอเตน รตฺติกฺขโย นาม ชีวิตกฺขโย ตสฺส อนิวตฺตนโตติ ทเสฺสติฯ เตนาห –
Āgacchantaggikhandhāvāti mahāvane ḍayhamāne taṃ abhibhavantā mahantā aggikkhandhā viya maccu byādhi jarāti ime tayo anudahanaṭṭhena aggikkhandhā imaṃ sattalokaṃ abhibhavantā āgacchanti , tesaṃ pana paṭibalo hutvā paccuggantuṃ abhibhavituṃ balaṃ ussāho natthi, imassa lokassa, javo natthi palāyituṃ javantesu, ajjhottharantesu. Yattha te nābhibhavanti, piṭṭhiṃ dassetvā tato palāyitumpi imassa lokassa jaṅghājavo natthi, evaṃ attanā asamattho māyādīhi upāyehi appaṭikāre tividhe balavati paccāmitte niccupaṭṭhite kiṃ kātabbanti ce? Amoghaṃdivasaṃ kayirā, appena bahukena vāti appena antamaso gaddūhanamattampi kālaṃ pavattitena bahukena vā sakalaṃ ahorattaṃ pavattitena vipassanāmanasikārena amoghaṃ avañjhaṃ divasaṃ kareyya, yasmā yaṃ yaṃ vijahate rattiṃ, tadūnaṃ tassa jīvitaṃ ayaṃ satto yaṃ yaṃ rattiṃ vijahati nāseti khepeti, tadūnaṃ tena ūnaṃ tassa sattassa jīvitaṃ hoti. Etena rattikkhayo nāma jīvitakkhayo tassa anivattanatoti dasseti. Tenāha –
‘‘ยเมกรตฺติํ ปฐมํ, คเพฺภ วสติ มาณโว;
‘‘Yamekarattiṃ paṭhamaṃ, gabbhe vasati māṇavo;
อพฺภุฎฺฐิโตว โส ยาติ, ส คจฺฉํ น นิวตฺตตี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๖๓);
Abbhuṭṭhitova so yāti, sa gacchaṃ na nivattatī’’ti. (jā. 1.15.363);
น เกวลํ รตฺติวเสเนว, อถ โข อิริยาปถวเสนาปิ ชีวิตกฺขโย อุปธาเรตโพฺพติ อาห ‘‘จรโต’’ติอาทิฯ จรโตติ คจฺฉนฺตสฺสฯ ติฎฺฐโตติ ฐิตํ กเปฺปนฺตสฺสฯ อาสีนสยนสฺส วาติ อาสีนสฺส สยนสฺส วา, นิสินฺนสฺส นิปชฺชนฺตสฺส วาติ อโตฺถฯ ‘‘อาสีทน’’นฺติปิ ปฐนฺติ, ตตฺถ สามิอเตฺถ อุปโยควจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ อุเปติ จริมา รตฺตีติ จริมกจิตฺตสหิตา รตฺติ อุปคจฺฉติ, รตฺติคฺคหณเญฺจตฺถ เทสนาสีสมตฺตํฯ คมนาทีสุ เยน เกนจิ อิริยาปเถน สมงฺคีภูตสฺส จริมกาโลเยว, เตเนวสฺส อิริยาปถกฺขณา ชีวิตํ เขเปตฺวา เอว คจฺฉนฺติ, ตสฺมา น เต กาโล ปมชฺชิตุํ นายํ ตุยฺหํ ปมาทํ อาปชฺชิตุํ กาโล ‘‘อิมสฺมิํ นาม กาเล มรณํ น โหตี’’ติ อวิทิตตฺตาฯ วุตฺตํ หิ –
Na kevalaṃ rattivaseneva, atha kho iriyāpathavasenāpi jīvitakkhayo upadhāretabboti āha ‘‘carato’’tiādi. Caratoti gacchantassa. Tiṭṭhatoti ṭhitaṃ kappentassa. Āsīnasayanassa vāti āsīnassa sayanassa vā, nisinnassa nipajjantassa vāti attho. ‘‘Āsīdana’’ntipi paṭhanti, tattha sāmiatthe upayogavacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Upeti carimā rattīti carimakacittasahitā ratti upagacchati, rattiggahaṇañcettha desanāsīsamattaṃ. Gamanādīsu yena kenaci iriyāpathena samaṅgībhūtassa carimakāloyeva, tenevassa iriyāpathakkhaṇā jīvitaṃ khepetvā eva gacchanti, tasmā na te kālo pamajjituṃ nāyaṃ tuyhaṃ pamādaṃ āpajjituṃ kālo ‘‘imasmiṃ nāma kāle maraṇaṃ na hotī’’ti aviditattā. Vuttaṃ hi –
‘‘อนิมิตฺตมนญฺญาตํ, มจฺจานํ อิธ ชีวิตํ;
‘‘Animittamanaññātaṃ, maccānaṃ idha jīvitaṃ;
กสิรญฺจ ปริตฺตญฺจ, ตญฺจ ทุเกฺขน สํยุต’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๕๗๙);
Kasirañca parittañca, tañca dukkhena saṃyuta’’nti. (su. ni. 579);
ตสฺมา เอวํ อตฺตานํ โอวทิตฺวา อปฺปมเตฺตน ตีสุ สิกฺขาสุ อนุโยโค กาตโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ
Tasmā evaṃ attānaṃ ovaditvā appamattena tīsu sikkhāsu anuyogo kātabboti adhippāyo.
สิริมณฺฑเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sirimaṇḍattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๑๓. สิริมณฺฑเตฺถรคาถา • 13. Sirimaṇḍattheragāthā