Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมานวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Vimānavatthu-aṭṭhakathā |
๑๖. สิริมาวิมานวณฺณนา
16. Sirimāvimānavaṇṇanā
ยุตฺตา จ เต ปรมอลงฺกตา หยาติ สิริมาวิมานํฯ ตสฺส กา อุปฺปตฺติ? ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ เตน จ สมเยน เหฎฺฐา อนนฺตรวตฺถุมฺหิ วุตฺตา สิริมา คณิกา โสตาปตฺติผลสฺส อธิคตตฺตา วิสฺสชฺชิตกิลิฎฺฐกมฺมนฺตา หุตฺวา สงฺฆสฺส อฎฺฐ สลากภตฺตานิ ปฎฺฐเปสิฯ อาทิโต ปฎฺฐาย นิพทฺธํ อฎฺฐ ภิกฺขู เคหํ อาคจฺฉนฺติฯ สา ‘‘สปฺปิํ คณฺหถ ขีรํ คณฺหถา’’ติอาทีนิ วตฺวา เตสํ ปเตฺต ปูเรติ, เอเกน ลทฺธํ ติณฺณมฺปิ จตุนฺนมฺปิ ปโหติ, เทวสิกํ โสฬสกหาปณปริพฺพเยน ปิณฺฑปาโต ทียติฯ อเถกทิวสํ เอโก ภิกฺขุ ตสฺสา เคเห อฎฺฐกภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา ติโยชนมตฺถเก เอกํ วิหารํ อคมาสิฯ อถ นํ สายํ เถรุปฎฺฐาเน นิสินฺนํ ปุจฺฉิํสุ, ‘‘อาวุโส, กหํ ภิกฺขํ คเหตฺวา อิธาคโตสี’’ติ? ‘‘สิริมาย อฎฺฐกภตฺตํ เม ภุตฺต’’นฺติฯ ‘‘ตํ มนาปํ กตฺวา เทติ, อาวุโส’’ติฯ ‘‘น สกฺกา ตสฺสา ภตฺตํ วเณฺณตุํ, อติปณีตํ กตฺวา เทติ, เอเกน ลทฺธํ ติณฺณมฺปิ จตุนฺนมฺปิ ปโหติ, ตสฺสา ปน เทยฺยธมฺมโตปิ ทสฺสนเมว อุตฺตริตรํ’’ฯ สา หิ อิตฺถี เอวรูปา จ เอวรูปา จาติ ตสฺสา คุเณ กเถสิฯ
Yuttā ca te paramaalaṅkatā hayāti sirimāvimānaṃ. Tassa kā uppatti? Bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Tena ca samayena heṭṭhā anantaravatthumhi vuttā sirimā gaṇikā sotāpattiphalassa adhigatattā vissajjitakiliṭṭhakammantā hutvā saṅghassa aṭṭha salākabhattāni paṭṭhapesi. Ādito paṭṭhāya nibaddhaṃ aṭṭha bhikkhū gehaṃ āgacchanti. Sā ‘‘sappiṃ gaṇhatha khīraṃ gaṇhathā’’tiādīni vatvā tesaṃ patte pūreti, ekena laddhaṃ tiṇṇampi catunnampi pahoti, devasikaṃ soḷasakahāpaṇaparibbayena piṇḍapāto dīyati. Athekadivasaṃ eko bhikkhu tassā gehe aṭṭhakabhattaṃ bhuñjitvā tiyojanamatthake ekaṃ vihāraṃ agamāsi. Atha naṃ sāyaṃ therupaṭṭhāne nisinnaṃ pucchiṃsu, ‘‘āvuso, kahaṃ bhikkhaṃ gahetvā idhāgatosī’’ti? ‘‘Sirimāya aṭṭhakabhattaṃ me bhutta’’nti. ‘‘Taṃ manāpaṃ katvā deti, āvuso’’ti. ‘‘Na sakkā tassā bhattaṃ vaṇṇetuṃ, atipaṇītaṃ katvā deti, ekena laddhaṃ tiṇṇampi catunnampi pahoti, tassā pana deyyadhammatopi dassanameva uttaritaraṃ’’. Sā hi itthī evarūpā ca evarūpā cāti tassā guṇe kathesi.
อเถโก ภิกฺขุ ตสฺสา คุณกถํ สุตฺวา อทิสฺวาปิ สวเนเนว สิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘มยา ตตฺถ คนฺตฺวา ตํ ทฎฺฐุํ วฎฺฎตี’’ติ อตฺตโน วสฺสคฺคํ กเถตฺวา ตํ ภิกฺขุํ ฐิติกํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เสฺว, อาวุโส, ตสฺมิํ เคเห ตฺวํ สงฺฆเตฺถโร หุตฺวา อฎฺฐกภตฺตํ ลภิสฺสสี’’ติ สุตฺวา ตงฺขณเญฺญว ปตฺตจีวรมาทาย ปกฺกโนฺต ปาโตว อรุเณ อุคฺคจฺฉเนฺต สลากคฺคํ ปวิสิตฺวา ฐิโต สงฺฆเตฺถโร หุตฺวา ตสฺสา เคเห อฎฺฐกภตฺตํ ลภิฯ โย ปน โส ภิกฺขุ หิโยฺย ภุญฺชิตฺวา ปกฺกามิ, ตสฺส คตเวลายเมวสฺสา สรีเร โรโค อุปฺปชฺชิฯ ตสฺมา อาภรณานิ โอมุญฺจิตฺวา นิปชฺชิฯ อถสฺสา ทาสิโย อฎฺฐกภตฺตํ ลภิตุํ อาคเต ภิกฺขู ทิสฺวา อาโรเจสุํฯ สา คนฺตฺวา สหตฺถา ปเตฺต คเหตุํ วา นิสีทาเปตุํ วา อสโกฺกนฺตี ทาสิโย อาณาเปสิ ‘‘อมฺมา ปเตฺต คเหตฺวา อเยฺย นิสีทาเปตฺวา ยาคุํ ปาเยตฺวา ขชฺชกํ ทตฺวา ภตฺตเวลาย ปเตฺต ปูเรตฺวา เทถา’’ติฯ ตา ‘‘สาธุ, อเยฺย’’ติ ภิกฺขู ปเวเสตฺวา ยาคุํ ปาเยตฺวา ขชฺชกํ ทตฺวา ภตฺตเวลาย ภตฺตสฺส ปเตฺต ปูเรตฺวา ตสฺสา อาโรจยิํสุฯ สา ‘‘มํ ปริคฺคเหตฺวา เนถ , อเยฺย วนฺทิสฺสามี’’ติ วตฺวา ตาหิ ปริคฺคเหตฺวา ภิกฺขูนํ สนฺติกํ นีตา เวธมาเนน สรีเรน ภิกฺขู วนฺทิฯ โส ภิกฺขุ ตํ โอโลเกตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘คิลานาย ตาว อยํ เอติสฺสา รูปโสภา, อโรคกาเล ปน สพฺพาภรณปฎิมณฺฑิตาย อิมิสฺสา กีทิสี รูปสมฺปตฺตี’’ติฯ อถสฺส อเนกวสฺสโกฎิสนฺนิจิโต กิเลโส สมุทาจริฯ โส อญฺญาณี หุตฺวา ภตฺตํ ภุญฺชิตุํ อสโกฺกโนฺต ปตฺตํ อาทาย วิหารํ คนฺตฺวา ปตฺตํ ปิธาย เอกมเนฺต ฐเปตฺวา จีวรกณฺณํ ปตฺถริตฺวา นิปชฺชิฯ อถ นํ เอโก สหายโก ภิกฺขุ ยาจโนฺตปิ โภเชตุํ นาสกฺขิ, โส ฉินฺนภโตฺต อโหสิฯ
Atheko bhikkhu tassā guṇakathaṃ sutvā adisvāpi savaneneva sinehaṃ uppādetvā ‘‘mayā tattha gantvā taṃ daṭṭhuṃ vaṭṭatī’’ti attano vassaggaṃ kathetvā taṃ bhikkhuṃ ṭhitikaṃ pucchitvā ‘‘sve, āvuso, tasmiṃ gehe tvaṃ saṅghatthero hutvā aṭṭhakabhattaṃ labhissasī’’ti sutvā taṅkhaṇaññeva pattacīvaramādāya pakkanto pātova aruṇe uggacchante salākaggaṃ pavisitvā ṭhito saṅghatthero hutvā tassā gehe aṭṭhakabhattaṃ labhi. Yo pana so bhikkhu hiyyo bhuñjitvā pakkāmi, tassa gatavelāyamevassā sarīre rogo uppajji. Tasmā ābharaṇāni omuñcitvā nipajji. Athassā dāsiyo aṭṭhakabhattaṃ labhituṃ āgate bhikkhū disvā ārocesuṃ. Sā gantvā sahatthā patte gahetuṃ vā nisīdāpetuṃ vā asakkontī dāsiyo āṇāpesi ‘‘ammā patte gahetvā ayye nisīdāpetvā yāguṃ pāyetvā khajjakaṃ datvā bhattavelāya patte pūretvā dethā’’ti. Tā ‘‘sādhu, ayye’’ti bhikkhū pavesetvā yāguṃ pāyetvā khajjakaṃ datvā bhattavelāya bhattassa patte pūretvā tassā ārocayiṃsu. Sā ‘‘maṃ pariggahetvā netha , ayye vandissāmī’’ti vatvā tāhi pariggahetvā bhikkhūnaṃ santikaṃ nītā vedhamānena sarīrena bhikkhū vandi. So bhikkhu taṃ oloketvā cintesi ‘‘gilānāya tāva ayaṃ etissā rūpasobhā, arogakāle pana sabbābharaṇapaṭimaṇḍitāya imissā kīdisī rūpasampattī’’ti. Athassa anekavassakoṭisannicito kileso samudācari. So aññāṇī hutvā bhattaṃ bhuñjituṃ asakkonto pattaṃ ādāya vihāraṃ gantvā pattaṃ pidhāya ekamante ṭhapetvā cīvarakaṇṇaṃ pattharitvā nipajji. Atha naṃ eko sahāyako bhikkhu yācantopi bhojetuṃ nāsakkhi, so chinnabhatto ahosi.
ตํ ทิวสเมว สายนฺหสมเย สิริมา กาลมกาสิฯ ราชา สตฺถุ สาสนํ เปเสสิ ‘‘ภเนฺต, ชีวกสฺส กนิฎฺฐภคินี สิริมา กาลมกาสี’’ติฯ สตฺถา ตํ สุตฺวา รโญฺญ สาสนํ ปหิณิ ‘‘สิริมาย สรีรฌาปนกิจฺจํ นตฺถิ, อามกสุสาเน ตํ ยถา กากาทโย น ขาทนฺติ, ตถา นิปชฺชาเปตฺวา รกฺขาเปถา’’ติฯ ราชา ตถา อกาสิฯ ปฎิปาฎิยา ตโย ทิวสา อติกฺกนฺตา, จตุเตฺถ ทิวเส สรีรํ อุทฺธุมายิ, นวหิ วณมุเขหิ ปุฬวกา ปคฺฆริํสุ, สกลสรีรํ ภินฺนสาลิภตฺตจาฎิ วิย อโหสิฯ ราชา นคเร เภริํ จราเปสิ ‘‘ฐเปตฺวา เคหรกฺขณกทารเก สิริมาย ทสฺสนตฺถํ อนาคจฺฉนฺตานํ อฎฺฐ กหาปณา ทโณฺฑ’’ติฯ สตฺถุ สนฺติกญฺจ เปเสสิ ‘‘พุทฺธปฺปมุโข กิร สโงฺฆ สิริมาย ทสฺสนตฺถํ อาคจฺฉตู’’ติฯ สตฺถา ภิกฺขูนํ อาโรจาเปสิ ‘‘สิริมาย ทสฺสนตฺถํ คมิสฺสามา’’ติฯ
Taṃ divasameva sāyanhasamaye sirimā kālamakāsi. Rājā satthu sāsanaṃ pesesi ‘‘bhante, jīvakassa kaniṭṭhabhaginī sirimā kālamakāsī’’ti. Satthā taṃ sutvā rañño sāsanaṃ pahiṇi ‘‘sirimāya sarīrajhāpanakiccaṃ natthi, āmakasusāne taṃ yathā kākādayo na khādanti, tathā nipajjāpetvā rakkhāpethā’’ti. Rājā tathā akāsi. Paṭipāṭiyā tayo divasā atikkantā, catutthe divase sarīraṃ uddhumāyi, navahi vaṇamukhehi puḷavakā pagghariṃsu, sakalasarīraṃ bhinnasālibhattacāṭi viya ahosi. Rājā nagare bheriṃ carāpesi ‘‘ṭhapetvā geharakkhaṇakadārake sirimāya dassanatthaṃ anāgacchantānaṃ aṭṭha kahāpaṇā daṇḍo’’ti. Satthu santikañca pesesi ‘‘buddhappamukho kira saṅgho sirimāya dassanatthaṃ āgacchatū’’ti. Satthā bhikkhūnaṃ ārocāpesi ‘‘sirimāya dassanatthaṃ gamissāmā’’ti.
โสปิ ทหรภิกฺขุ จตฺตาโร ทิวเส กสฺสจิ วจนํ อคฺคเหตฺวา ฉินฺนภโตฺตว นิปชฺชิฯ ปเตฺต ภตฺตํ ปูติกํ ชาตํ, ปเตฺต มลมฺปิ อุฎฺฐหิฯ อถ โส สหายกภิกฺขุนา อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อาวุโส สตฺถา สิริมาย ทสฺสนตฺถํ คจฺฉตี’’ติ วุจฺจมาโน ตถา ฉาตชฺฌโตฺตปิ ‘‘สิริมา’’ติ วุตฺตปเทเยว สหสา อุฎฺฐหิตฺวา ‘‘สตฺถา สิริมํ ทฎฺฐุํ คจฺฉติ, ตฺวมฺปิ คมิสฺสสี’’ติ? ‘‘อาม คมิสฺสามี’’ติ ภตฺตํ ฉเฑฺฑตฺวา ปตฺตํ โธวิตฺวา ถวิกาย ปกฺขิปิตฺวา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ อคมาสิฯ สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต เอกปเสฺส อฎฺฐาสิ, ภิกฺขุนิสโงฺฆปิ ราชปริสาปิ อุปาสกปริสาปิ อุปาสิกาปริสาปิ เอเกกปเสฺส อฎฺฐํสุฯ
Sopi daharabhikkhu cattāro divase kassaci vacanaṃ aggahetvā chinnabhattova nipajji. Patte bhattaṃ pūtikaṃ jātaṃ, patte malampi uṭṭhahi. Atha so sahāyakabhikkhunā upasaṅkamitvā ‘‘āvuso satthā sirimāya dassanatthaṃ gacchatī’’ti vuccamāno tathā chātajjhattopi ‘‘sirimā’’ti vuttapadeyeva sahasā uṭṭhahitvā ‘‘satthā sirimaṃ daṭṭhuṃ gacchati, tvampi gamissasī’’ti? ‘‘Āma gamissāmī’’ti bhattaṃ chaḍḍetvā pattaṃ dhovitvā thavikāya pakkhipitvā bhikkhusaṅghena saddhiṃ agamāsi. Satthā bhikkhusaṅghaparivuto ekapasse aṭṭhāsi, bhikkhunisaṅghopi rājaparisāpi upāsakaparisāpi upāsikāparisāpi ekekapasse aṭṭhaṃsu.
สตฺถา ราชานํ ปุจฺฉิ ‘‘กา เอสา, มหาราชา’’ติ? ‘‘ภเนฺต, ชีวกสฺส กนิฎฺฐภคินี สิริมา นามา’’ติฯ ‘‘สิริมา เอสา’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ เตน หิ นคเร เภริํ จราเปหิ ‘‘สหสฺสํ ทตฺวา สิริมํ คณฺหนฺตู’’ติฯ ราชา ตถา กาเรสิ, เอโกปิ ‘‘ห’’นฺติ วา ‘‘หุ’’นฺติ วา วทโนฺต นาม นาโหสิฯ ราชา สตฺถุ อาโรเจสิ ‘‘น คณฺหนฺติ ภเนฺต’’ติ, เตน หิ มหาราช อคฺฆํ โอหาเปหีติฯ ราชา ‘‘ปญฺจสตานิ ทตฺวา คณฺหนฺตู’’ติ เภริํ จราเปตฺวา กญฺจิ คณฺหนกํ อทิสฺวา ‘‘อฑฺฒเตยฺยสตานิ, เทฺวสตานิ, สตํ, ปญฺญาสํ, ปญฺจวีสติ, วีสติ กหาปเณ, ทส กหาปเณ, ปญฺจ กหาปเณ, เอกํ กหาปณํ, อฑฺฒํ, ปาทํ, มาสกํ, กากณิกํ ทตฺวา สิริมํ คณฺหนฺตู’’ติ เภริํ จราเปตฺวา ‘‘มุธาปิ คณฺหนฺตู’’ติ เภริํ จราเปสิ, ตถาปิ ‘‘ห’’นฺติ วา ‘‘หุ’’นฺติ วา วทโนฺต นาม นาโหสิฯ ราชา ‘‘มุธาปิ, ภเนฺต, คณฺหโนฺต นตฺถี’’ติ อาหฯ สตฺถา ‘‘ปสฺสถ, ภิกฺขเว, มหาชนสฺส ปิยมาตุคามํ, อิมสฺมิํเยว นคเร สหสฺสํ ทตฺวา ปุเพฺพ เอกทิวสํ ลภิํสุ, อิทานิ มุธาปิ คณฺหโนฺต นตฺถิ เอวรูปํ นาม รูปํ ขยวยปฺปตฺตํ อาหริเมหิ อลงฺกาเรหิ วิจิตฺตกตํ นวนฺนํ วณฺณมุขานํ วเสน อรุภูตํ ตีหิ อฎฺฐิสเตหิ สมุสฺสิตํ นิจฺจาตุรํ เกวลํ พาลมหาชเนน พหุธา สงฺกปฺปิตตาย พหุสงฺกปฺปํ อทฺธุวํ อตฺตภาว’’นฺติ ทเสฺสโนฺต –
Satthā rājānaṃ pucchi ‘‘kā esā, mahārājā’’ti? ‘‘Bhante, jīvakassa kaniṭṭhabhaginī sirimā nāmā’’ti. ‘‘Sirimā esā’’ti? ‘‘Āma, bhante’’ti. Tena hi nagare bheriṃ carāpehi ‘‘sahassaṃ datvā sirimaṃ gaṇhantū’’ti. Rājā tathā kāresi, ekopi ‘‘ha’’nti vā ‘‘hu’’nti vā vadanto nāma nāhosi. Rājā satthu ārocesi ‘‘na gaṇhanti bhante’’ti, tena hi mahārāja agghaṃ ohāpehīti. Rājā ‘‘pañcasatāni datvā gaṇhantū’’ti bheriṃ carāpetvā kañci gaṇhanakaṃ adisvā ‘‘aḍḍhateyyasatāni, dvesatāni, sataṃ, paññāsaṃ, pañcavīsati, vīsati kahāpaṇe, dasa kahāpaṇe, pañca kahāpaṇe, ekaṃ kahāpaṇaṃ, aḍḍhaṃ, pādaṃ, māsakaṃ, kākaṇikaṃ datvā sirimaṃ gaṇhantū’’ti bheriṃ carāpetvā ‘‘mudhāpi gaṇhantū’’ti bheriṃ carāpesi, tathāpi ‘‘ha’’nti vā ‘‘hu’’nti vā vadanto nāma nāhosi. Rājā ‘‘mudhāpi, bhante, gaṇhanto natthī’’ti āha. Satthā ‘‘passatha, bhikkhave, mahājanassa piyamātugāmaṃ, imasmiṃyeva nagare sahassaṃ datvā pubbe ekadivasaṃ labhiṃsu, idāni mudhāpi gaṇhanto natthi evarūpaṃ nāma rūpaṃ khayavayappattaṃ āharimehi alaṅkārehi vicittakataṃ navannaṃ vaṇṇamukhānaṃ vasena arubhūtaṃ tīhi aṭṭhisatehi samussitaṃ niccāturaṃ kevalaṃ bālamahājanena bahudhā saṅkappitatāya bahusaṅkappaṃ addhuvaṃ attabhāva’’nti dassento –
‘‘ปสฺส จิตฺตกตํ พิมฺพํ, อรุกายํ สมุสฺสิตํ;
‘‘Passa cittakataṃ bimbaṃ, arukāyaṃ samussitaṃ;
อาตุรํ พหุสงฺกปฺปํ, ยสฺส นตฺถิ ธุวํ ฐิตี’’ติฯ (เถรคา. ๑๑๖๐) –
Āturaṃ bahusaṅkappaṃ, yassa natthi dhuvaṃ ṭhitī’’ti. (theragā. 1160) –
คาถมาหฯ เทสนาปริโยสาเน สิริมาย ปฎิพทฺธจิโตฺต ภิกฺขุ วิคตฉนฺทราโค หุตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิ, จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ
Gāthamāha. Desanāpariyosāne sirimāya paṭibaddhacitto bhikkhu vigatachandarāgo hutvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi, caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi.
เตน จ สมเยน สิริมา เทวกญฺญา อตฺตโน วิภวสมิทฺธิํ โอโลเกตฺวา อาคตฎฺฐานํ โอโลเกนฺตี ปุริมตฺตภาเว อตฺตโน สรีรสมีเป ภิกฺขุสงฺฆปริวุตํ ภควนฺตํ ฐิตํ มหาชนกายญฺจ สนฺนิปติตํ ทิสฺวา ปญฺจหิ เทวกญฺญาสเตหิ ปริวุตา ปญฺจหิ รถสเตหิ ทิสฺสมานกายา อาคนฺตฺวา รถโต โอตริตฺวา สปริวารา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา กตญฺชลี อฎฺฐาสิฯ เตน จ สมเยน อายสฺมา วงฺคีโส ภควโต อวิทูเร ฐิโต โหติฯ โส ภควนฺตํ เอตทโวจ ‘‘ปฎิภาติ มํ ภควา เอกํ ปญฺหํ ปุจฺฉิตุ’’นฺติฯ ‘‘ปฎิภาตุ ตํ วงฺคีสา’’ติ ภควา อโวจฯ อายสฺมา วงฺคีโส ตํ สิริมํ เทวธีตรํ –
Tena ca samayena sirimā devakaññā attano vibhavasamiddhiṃ oloketvā āgataṭṭhānaṃ olokentī purimattabhāve attano sarīrasamīpe bhikkhusaṅghaparivutaṃ bhagavantaṃ ṭhitaṃ mahājanakāyañca sannipatitaṃ disvā pañcahi devakaññāsatehi parivutā pañcahi rathasatehi dissamānakāyā āgantvā rathato otaritvā saparivārā bhagavantaṃ vanditvā katañjalī aṭṭhāsi. Tena ca samayena āyasmā vaṅgīso bhagavato avidūre ṭhito hoti. So bhagavantaṃ etadavoca ‘‘paṭibhāti maṃ bhagavā ekaṃ pañhaṃ pucchitu’’nti. ‘‘Paṭibhātu taṃ vaṅgīsā’’ti bhagavā avoca. Āyasmā vaṅgīso taṃ sirimaṃ devadhītaraṃ –
๑๓๗.
137.
‘‘ยุตฺตา จ เต ปรมอลงฺกตา หยา, อโธมุขา อฆสิคมา พลี ชวา;
‘‘Yuttā ca te paramaalaṅkatā hayā, adhomukhā aghasigamā balī javā;
อภินิมฺมิตา ปญฺจรถาสตา จ เต, อเนฺวนฺติ ตํ สารถิโจทิตา หยาฯ
Abhinimmitā pañcarathāsatā ca te, anventi taṃ sārathicoditā hayā.
๑๓๘.
138.
‘‘สา ติฎฺฐสิ รถวเร อลงฺกตา,
‘‘Sā tiṭṭhasi rathavare alaṅkatā,
โอภาสยํ ชลมิว โชติ โปวโก;
Obhāsayaṃ jalamiva joti povako;
ปุจฺฉามิ ตํ วรตนุ อโนมทสฺสเน,
Pucchāmi taṃ varatanu anomadassane,
กสฺมา นุ กายา อนธิวรํ อุปาคมี’’ติฯ – ปฎิปุจฺฉิ;
Kasmā nu kāyā anadhivaraṃ upāgamī’’ti. – paṭipucchi;
๑๓๗. ตตฺถ ยุตฺตา จ เต ปรมอลงฺกตา หยาติ ปรมํ อติวิย วิเสสโต อลงฺกตา, ปรเมหิ วา อุตฺตเมหิ ทิเพฺพหิ อสฺสาลงฺกาเรหิ อลงฺกตา, ปรมา วา อคฺคา เสฎฺฐา อาชานียา สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกตา หยา อสฺสา เต ตว รเถ โยชิตา, ยุตฺตา วา เต รถสฺส จ อนุจฺฉวิกา, อญฺญมญฺญํ วา สทิสตาย ยุตฺตา สํสฎฺฐาติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ‘‘ปรมอลงฺกตา’’ติ ปุริมสฺมิํ ปเกฺข สนฺธิํ อกตฺวา ทุติยสฺมิํ ปเกฺข อวิภตฺติกนิเทฺทโส ทฎฺฐโพฺพ ฯ อโธมุขาติ เหฎฺฐามุขาฯ ยทิปิ เต ตทา ปกติยาว ฐิตา, เทวโลกโต โอโรหณวเสน ‘‘อโธมุขา’’ติ วุตฺตาฯ อฆสิคมาติ เวหาสํคมาฯ พลีติ พลวโนฺตฯ ชวาติ ชวนกา , พลวโนฺต เจว เวควโนฺต จาติ อโตฺถฯ อภินิมฺมิตาติ ตว ปุญฺญกเมฺมน นิมฺมิตา นิพฺพตฺตาฯ สยํ นิมฺมิตเมว วา สนฺธาย ‘‘อภินิมฺมิตา’’ติ วุตฺตํ นิมฺมานรติภาวโต สิริมาย เทวธีตายฯ ปญฺจรถาสตาติ คาถาสุขตฺถํ ถการสฺส ทีฆํ ลิงฺควิปลฺลาสญฺจ กตฺวา วุตฺตํ, วิภตฺติอโลโป วา ทฎฺฐโพฺพ, ปญฺจ รถสตานีติ อโตฺถฯ อเนฺวนฺติ ตํ สารถิโจทิตา หยาติ สารถีหิ โจทิตา วิย รเถสุ ยุตฺตา อิเม หยา ภเทฺท, เทวเต, ตํ อนุคจฺฉนฺติฯ ‘‘สารถิอโจทิตา’’ติ เกจิ ปฐนฺติ, สารถีหิ อโจทิตา เอว อนุคจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ ‘‘สารถิโจทิตา หยา’’ติ เอกํเยว วา ปทํ คาถาสุขตฺถํ ทีฆํ กตฺวา วุตฺตํ, สารถิโจทิตหยา ปญฺจ รถสตาติ โยชนาฯ
137. Tattha yuttā ca te paramaalaṅkatā hayāti paramaṃ ativiya visesato alaṅkatā, paramehi vā uttamehi dibbehi assālaṅkārehi alaṅkatā, paramā vā aggā seṭṭhā ājānīyā sabbālaṅkārehi alaṅkatā hayā assā te tava rathe yojitā, yuttā vā te rathassa ca anucchavikā, aññamaññaṃ vā sadisatāya yuttā saṃsaṭṭhāti attho. Ettha ca ‘‘paramaalaṅkatā’’ti purimasmiṃ pakkhe sandhiṃ akatvā dutiyasmiṃ pakkhe avibhattikaniddeso daṭṭhabbo . Adhomukhāti heṭṭhāmukhā. Yadipi te tadā pakatiyāva ṭhitā, devalokato orohaṇavasena ‘‘adhomukhā’’ti vuttā. Aghasigamāti vehāsaṃgamā. Balīti balavanto. Javāti javanakā , balavanto ceva vegavanto cāti attho. Abhinimmitāti tava puññakammena nimmitā nibbattā. Sayaṃ nimmitameva vā sandhāya ‘‘abhinimmitā’’ti vuttaṃ nimmānaratibhāvato sirimāya devadhītāya. Pañcarathāsatāti gāthāsukhatthaṃ thakārassa dīghaṃ liṅgavipallāsañca katvā vuttaṃ, vibhattialopo vā daṭṭhabbo, pañca rathasatānīti attho. Anventi taṃ sārathicoditā hayāti sārathīhi coditā viya rathesu yuttā ime hayā bhadde, devate, taṃ anugacchanti. ‘‘Sārathiacoditā’’ti keci paṭhanti, sārathīhi acoditā eva anugacchantīti attho. ‘‘Sārathicoditā hayā’’ti ekaṃyeva vā padaṃ gāthāsukhatthaṃ dīghaṃ katvā vuttaṃ, sārathicoditahayā pañca rathasatāti yojanā.
๑๓๘. สา ติฎฺฐสีติ สา ตฺวํ ติฎฺฐสิฯ รถวเรติ รถุตฺตเมฯ อลงฺกตาติ สฎฺฐิสกฎภาเรหิ ทิพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกตสรีราฯ โอภาสยํ ชลมิว โชติ ปาวโกติ โอภาเสนฺตี โชติริว ชลนฺตี ปาวโก วิย จ ติฎฺฐสิ, สมนฺตโต โอภาเสนฺตี ชลนฺตี ติฎฺฐสีติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘โชตี’’ติ จ จนฺทิมสูริยนกฺขตฺตตารกรูปานํ สาธารณนามํฯ วรตนูติ อุตฺตมรูปธเร สพฺพงฺคโสภเนฯ ตโต เอว อโนมทสฺสเน อลามกทสฺสเน, ทสฺสนีเย ปาสาทิเกติ อโตฺถฯ กสฺมา นุ กายา อนธิวรํ อุปาคมีติ กุโต นาม เทวกายโต อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ ปยิรุปาสนาย อุปคญฺฉิ อุปคตาสิฯ
138.Sā tiṭṭhasīti sā tvaṃ tiṭṭhasi. Rathavareti rathuttame. Alaṅkatāti saṭṭhisakaṭabhārehi dibbālaṅkārehi alaṅkatasarīrā. Obhāsayaṃ jalamiva joti pāvakoti obhāsentī jotiriva jalantī pāvako viya ca tiṭṭhasi, samantato obhāsentī jalantī tiṭṭhasīti vuttaṃ hoti. ‘‘Jotī’’ti ca candimasūriyanakkhattatārakarūpānaṃ sādhāraṇanāmaṃ. Varatanūti uttamarūpadhare sabbaṅgasobhane. Tato eva anomadassane alāmakadassane, dassanīye pāsādiketi attho. Kasmā nu kāyā anadhivaraṃ upāgamīti kuto nāma devakāyato anuttaraṃ sammāsambuddhaṃ payirupāsanāya upagañchi upagatāsi.
เอวํ เถเรน ปุจฺฉิตา สา เทวตา อตฺตานํ อาวิกโรนฺตี –
Evaṃ therena pucchitā sā devatā attānaṃ āvikarontī –
๑๓๙.
139.
‘‘กามคฺคปตฺตานํ ยมาหุนุตฺตรํ, นิมฺมาย นิมฺมาย รมนฺติ เทวตา;
‘‘Kāmaggapattānaṃ yamāhunuttaraṃ, nimmāya nimmāya ramanti devatā;
ตสฺมา กายา อจฺฉรา กามวณฺณินี, อิธาคตา อนธิวรํ นมสฺสิตุ’’นฺติฯ –
Tasmā kāyā accharā kāmavaṇṇinī, idhāgatā anadhivaraṃ namassitu’’nti. –
คาถมาหฯ
Gāthamāha.
๑๓๙. ตตฺถ กามคฺคปตฺตานํ ยมาหุนุตฺตรนฺติ กามูปโภเคหิ อคฺคภาวํ ปตฺตานํ ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวานํ ยํ เทวกายํ ยเสน โภคาทิวเสน จ อนุตฺตรนฺติ วทนฺติ, ตโต กายาฯ นิมฺมาย นิมฺมาย รมนฺติ เทวตาติ นิมฺมานรติเทวตา อตฺตนา ยถารุจิเต กาเม สยํ นิมฺมินิตฺวา นิมฺมินิตฺวา รมนฺติ กีฬนฺติ ลฬนฺตา อภิรมนฺติฯ ตสฺมา กายาติ ตสฺมา นิมฺมานรติเทวนิกายา ฯ กามวณฺณินีติ กามรูปธรา ยถิจฺฉิตรูปธารินีฯ อิธาคตาติ อิธ อิมสฺมิํ มนุสฺสโลเก, อิมํ วา มนุสฺสโลกํ อาคตาฯ
139. Tattha kāmaggapattānaṃ yamāhunuttaranti kāmūpabhogehi aggabhāvaṃ pattānaṃ paranimmitavasavattīnaṃ devānaṃ yaṃ devakāyaṃ yasena bhogādivasena ca anuttaranti vadanti, tato kāyā. Nimmāya nimmāya ramanti devatāti nimmānaratidevatā attanā yathārucite kāme sayaṃ nimminitvā nimminitvā ramanti kīḷanti laḷantā abhiramanti. Tasmā kāyāti tasmā nimmānaratidevanikāyā . Kāmavaṇṇinīti kāmarūpadharā yathicchitarūpadhārinī. Idhāgatāti idha imasmiṃ manussaloke, imaṃ vā manussalokaṃ āgatā.
เอวํ เทวตาย อตฺตโน นิมฺมานรติเทวตาภาเว กถิเต ปุน เถโร ตสฺสา ปุริมภวํ ตตฺถ กตปุญฺญกมฺมํ ลทฺธิญฺจ กถาเปตุกาโม –
Evaṃ devatāya attano nimmānaratidevatābhāve kathite puna thero tassā purimabhavaṃ tattha katapuññakammaṃ laddhiñca kathāpetukāmo –
๑๔๐.
140.
‘‘กิํ ตฺวํ ปุเร สุจริตมาจรีธ, เกนจฺฉสิ ตฺวํ อมิตยสา สุเขธิตา;
‘‘Kiṃ tvaṃ pure sucaritamācarīdha, kenacchasi tvaṃ amitayasā sukhedhitā;
อิทฺธี จ เต อนธิวรา วิหงฺคมา, วโณฺณ จ เต ทส ทิสา วิโรจติฯ
Iddhī ca te anadhivarā vihaṅgamā, vaṇṇo ca te dasa disā virocati.
๑๔๑.
141.
‘‘เทเวหิ ตฺวํ ปริวุตา สกฺกตา จสิ,
‘‘Devehi tvaṃ parivutā sakkatā casi,
กุโต จุตา สุคติคตาสิ เทวเต;
Kuto cutā sugatigatāsi devate;
กสฺส วา ตฺวํ วจนกรานุสาสนิํ,
Kassa vā tvaṃ vacanakarānusāsaniṃ,
อาจิกฺข เม ตฺวํ ยทิ พุทฺธสาวิกา’’ติฯ – เทฺว คาถา อภาสิ;
Ācikkha me tvaṃ yadi buddhasāvikā’’ti. – dve gāthā abhāsi;
๑๔๐. ตตฺถ อาจรีติ ทีฆํ กตฺวา วุตฺตํ, อุปจินีติ อโตฺถฯ อิธาติ นิปาตมตฺตํ, อิธ วา อิมสฺมิํ เทวตฺตภาเวฯ เกนจฺฉสีติ เกน ปุญฺญกเมฺมน อสฺสตฺถา อจฺฉสิฯ ‘‘เกนาสิ ตฺว’’นฺติ เกจิ ปฐนฺติฯ อมิตยสาติ น มิตยสา อนปฺปกปริวาราฯ สุเขธิตาติ สุเขน วฑฺฒิตา, สุปริพฺรูหิตทิพฺพสุขาติ อโตฺถฯ อิทฺธีติ ทิพฺพานุภาโวฯ อนธิวราติ อธิกา วิสิฎฺฐา อญฺญา เอติสฺสา นตฺถีติ อนธิวรา, อติอุตฺตมาติ อโตฺถฯ วิหงฺคมาติ เวหาสคามินีฯ ทส ทิสาติ ทสปิ ทิสาฯ วิโรจตีติ โอภาเสติฯ
140. Tattha ācarīti dīghaṃ katvā vuttaṃ, upacinīti attho. Idhāti nipātamattaṃ, idha vā imasmiṃ devattabhāve. Kenacchasīti kena puññakammena assatthā acchasi. ‘‘Kenāsi tva’’nti keci paṭhanti. Amitayasāti na mitayasā anappakaparivārā. Sukhedhitāti sukhena vaḍḍhitā, suparibrūhitadibbasukhāti attho. Iddhīti dibbānubhāvo. Anadhivarāti adhikā visiṭṭhā aññā etissā natthīti anadhivarā, atiuttamāti attho. Vihaṅgamāti vehāsagāminī. Dasa disāti dasapi disā. Virocatīti obhāseti.
๑๔๑. ปริวุตา สกฺกตา จสีติ สมนฺตโต ปริวาริตา สมฺภาวิตา จ อสิฯ กุโต จุตา สุคติคตาสีติ ปญฺจสุ คตีสุ กตรคติโต จุตา หุตฺวา สุคติํ อิมํ เทวคติํ ปฎิสนฺธิวเสน อุปคตา อสิฯ กสฺส วา ตฺวํ วจนกรานุสาสนินฺติ กสฺส นุ วา สตฺถุ สาสเน ปาวจเน โอวาทานุสาสนิสมฺปฎิจฺฉเนน ตฺวํ วจนกรา อสีติ โยชนาฯ กสฺส วา ตฺวํ สตฺถุ วจนกรา อนุสาสกสฺส อนุสิฎฺฐิยํ ปติฎฺฐาเนนาติ เอวํ วา เอตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอวํ อนุเทฺทสิกวเสน ตสฺสา ลทฺธิํ ปุจฺฉิตฺวา ปุน อุเทฺทสิกวเสน ‘‘อาจิกฺข เม ตฺวํ ยทิ พุทฺธสาวิกา’’ติ ปุจฺฉติฯ ตตฺถ พุทฺธสาวิกาติ สพฺพมฺปิ เญยฺยธมฺมํ สยมฺภุญาเณน หตฺถตเล อามลกํ วิย ปจฺจกฺขโต พุทฺธตฺตา พุทฺธสฺส ภควโต ธมฺมสฺสวนเนฺต ชาตาติ พุทฺธสาวิกาฯ
141.Parivutāsakkatā casīti samantato parivāritā sambhāvitā ca asi. Kuto cutā sugatigatāsīti pañcasu gatīsu kataragatito cutā hutvā sugatiṃ imaṃ devagatiṃ paṭisandhivasena upagatā asi. Kassa vā tvaṃ vacanakarānusāsaninti kassa nu vā satthu sāsane pāvacane ovādānusāsanisampaṭicchanena tvaṃ vacanakarā asīti yojanā. Kassa vā tvaṃ satthu vacanakarā anusāsakassa anusiṭṭhiyaṃ patiṭṭhānenāti evaṃ vā ettha attho daṭṭhabbo. Evaṃ anuddesikavasena tassā laddhiṃ pucchitvā puna uddesikavasena ‘‘ācikkha me tvaṃ yadi buddhasāvikā’’ti pucchati. Tattha buddhasāvikāti sabbampi ñeyyadhammaṃ sayambhuñāṇena hatthatale āmalakaṃ viya paccakkhato buddhattā buddhassa bhagavato dhammassavanante jātāti buddhasāvikā.
เอวํ เถเรน ปุจฺฉิตมตฺถํ กเถนฺตี เทวตา อิมา คาถา อภาสิ –
Evaṃ therena pucchitamatthaṃ kathentī devatā imā gāthā abhāsi –
๑๔๒.
142.
‘‘นคนฺตเร นครวเร สุมาปิเต, ปริจาริกา ราชวรสฺส สิริมโต;
‘‘Nagantare nagaravare sumāpite, paricārikā rājavarassa sirimato;
นเจฺจ คีเต ปรมสุสิกฺขิตา อหุํ, สิริมาติ มํ ราชคเห อเวทิํสุฯ
Nacce gīte paramasusikkhitā ahuṃ, sirimāti maṃ rājagahe avediṃsu.
๑๔๓.
143.
‘‘พุโทฺธ จ เม อิสินิสโภ วินายโก, อเทสยี สมุทยทุกฺขนิจฺจตํ;
‘‘Buddho ca me isinisabho vināyako, adesayī samudayadukkhaniccataṃ;
อสงฺขตํ ทุกฺขนิโรธ สสฺสตํ, มคฺคญฺจิมํ อกุฎิลมญฺชสํ สิวํฯ
Asaṅkhataṃ dukkhanirodha sassataṃ, maggañcimaṃ akuṭilamañjasaṃ sivaṃ.
๑๔๔.
144.
‘‘สุตฺวานหํ อมตปทํ อสงฺขตํ, ตถาคตสฺสนธิวรสฺส สาสนํ;
‘‘Sutvānahaṃ amatapadaṃ asaṅkhataṃ, tathāgatassanadhivarassa sāsanaṃ;
สีเลสฺวหํ ปรมสุสํวุตา อหุํ, ธเมฺม ฐิตา นรวรพุทฺธเทสิเตฯ
Sīlesvahaṃ paramasusaṃvutā ahuṃ, dhamme ṭhitā naravarabuddhadesite.
๑๔๕.
145.
‘‘ญตฺวานหํ วิรชปทํ อสงฺขตํ, ตถาคเตนนธิวเรน เทสิตํ;
‘‘Ñatvānahaṃ virajapadaṃ asaṅkhataṃ, tathāgatenanadhivarena desitaṃ;
ตเตฺถวหํ สมถสมาธิมาผุสิํ, สาเยว เม ปรมนิยามตา อหุฯ
Tatthevahaṃ samathasamādhimāphusiṃ, sāyeva me paramaniyāmatā ahu.
๑๔๖.
146.
‘‘ลทฺธานหํ อมตวรํ วิเสสนํ, เอกํสิกา อภิสมเย วิเสสิย;
‘‘Laddhānahaṃ amatavaraṃ visesanaṃ, ekaṃsikā abhisamaye visesiya;
อสํสยา พหุชนปูชิตา อหํ, ขิฑฺฑารติํ ปจฺจนุโภมนปฺปกํฯ
Asaṃsayā bahujanapūjitā ahaṃ, khiḍḍāratiṃ paccanubhomanappakaṃ.
๑๔๗.
147.
‘‘เอวํ อหํ อมตทสมฺหิ เทวตา, ตถาคตสฺสนธิวรสฺส สาวิกา;
‘‘Evaṃ ahaṃ amatadasamhi devatā, tathāgatassanadhivarassa sāvikā;
ธมฺมทฺทสา ปฐมผเล ปติฎฺฐิตา, โสตาปนฺนา น จ ปน มตฺถิ ทุคฺคติฯ
Dhammaddasā paṭhamaphale patiṭṭhitā, sotāpannā na ca pana matthi duggati.
๑๔๘.
148.
‘‘สา วนฺทิตุํ อนธิวรํ อุปาคมิํ, ปาสาทิเก กุสลรเต จ ภิกฺขโว;
‘‘Sā vandituṃ anadhivaraṃ upāgamiṃ, pāsādike kusalarate ca bhikkhavo;
นมสฺสิตุํ สมณสมาคมํ สิวํ, สคารวา สิริมโต ธมฺมราชิโนฯ
Namassituṃ samaṇasamāgamaṃ sivaṃ, sagāravā sirimato dhammarājino.
๑๔๙.
149.
‘‘ทิสฺวา มุนิํ มุทิตมนมฺหิ ปีณิตา, ตถาคตํ นรวรทมฺมสารถิํ;
‘‘Disvā muniṃ muditamanamhi pīṇitā, tathāgataṃ naravaradammasārathiṃ;
ตณฺหจฺฉิทํ กุสลรตํ วินายกํ, วนฺทามหํ ปรมหิตานุกมฺปก’’นฺติฯ
Taṇhacchidaṃ kusalarataṃ vināyakaṃ, vandāmahaṃ paramahitānukampaka’’nti.
๑๔๒. ตตฺถ นคนฺตเรติ อิสิคิลิเวปุลฺลเวภารปณฺฑวคิชฺฌกูฎสงฺขาตานํ ปญฺจนฺนํ ปพฺพตานํ อนฺตเร เวมเชฺฌ, ยโต ตํ นครํ ‘‘คิริพฺพช’’นฺติ วุจฺจติ ฯ นครวเรติ อุตฺตมนคเร, ราชคหํ สนฺธายาหฯ สุมาปิเตติ มหาโควินฺทปณฺฑิเตน วตฺถุวิชฺชาวิธินา สมฺมเทว นิเวสิเตฯ ปริจาริกาติ สํคีตปริจริยาย อุปฎฺฐายิกาฯ ราชวรสฺสาติ พิมฺพิสารมหาราชสฺสฯ สิริมโตติ เอตฺถ ‘‘สิรีติ พุทฺธิปุญฺญานํ อธิวจน’’นฺติ วทนฺติฯ อถ วา ปุญฺญนิพฺพตฺตา สรีรโสภคฺคาทิสมฺปตฺติ กตปุญฺญํ นิสฺสยติ, กตปุเญฺญหิ วา นิสฺสียตีติ ‘‘สิรี’’ติ วุจฺจติ, สา เอตสฺส อตฺถีติ สิริมา, ตสฺส สิริมโตฯ ปรมสุสิกฺขิตาติ อติวิย สมฺมเทว จ สิกฺขิตาฯ อหุนฺติ อโหสิํฯ อเวทิํสูติ อญฺญาสุํฯ
142. Tattha nagantareti isigilivepullavebhārapaṇḍavagijjhakūṭasaṅkhātānaṃ pañcannaṃ pabbatānaṃ antare vemajjhe, yato taṃ nagaraṃ ‘‘giribbaja’’nti vuccati . Nagaravareti uttamanagare, rājagahaṃ sandhāyāha. Sumāpiteti mahāgovindapaṇḍitena vatthuvijjāvidhinā sammadeva nivesite. Paricārikāti saṃgītaparicariyāya upaṭṭhāyikā. Rājavarassāti bimbisāramahārājassa. Sirimatoti ettha ‘‘sirīti buddhipuññānaṃ adhivacana’’nti vadanti. Atha vā puññanibbattā sarīrasobhaggādisampatti katapuññaṃ nissayati, katapuññehi vā nissīyatīti ‘‘sirī’’ti vuccati, sā etassa atthīti sirimā, tassa sirimato. Paramasusikkhitāti ativiya sammadeva ca sikkhitā. Ahunti ahosiṃ. Avediṃsūti aññāsuṃ.
๑๔๓. อิสินิสโภติ ควสตเชฎฺฐโก อุสโภ, ควสหสฺสเชฎฺฐโก วสโภ, วชสตเชฎฺฐโก วา อุสโภ, วชสหสฺสเชฎฺฐโก วสโภ, สพฺพควเสโฎฺฐ สพฺพปริสฺสยสโห เสโต ปาสาทิโก มหาภารวโห อสนิสตสเทฺทหิปิ อสมฺปกมฺปิโย นิสโภฯ รถา โส อตฺตโน นิสภพเลน สมนฺนาคโต จตูหิ ปาเทหิ ปถวิํ อุปฺปีเฬตฺวา เกนจิ ปริสฺสเยน อกมฺปิโย อจลฎฺฐาเนน ติฎฺฐติ, เอวํ ภควา ทสหิ ตถาคตพเลหิ สมนฺนาคโต จตูหิ เวสารชฺชปาเทหิ อฎฺฐปริสปถวิํ อุปฺปีเฬตฺวา สเทวเก โลเก เกนจิ ปจฺจตฺถิเกน ปจฺจามิเตฺตน อกมฺปิโย อจลฎฺฐาเนน ติฎฺฐติ, ตสฺมา นิสโภ วิยาติ นิสโภฯ สีลาทีนํ ธมฺมกฺขนฺธานํ เอสนเฎฺฐน ‘‘อิสี’’ติ ลทฺธโวหาเรสุ เสกฺขาเสกฺขอิสีสุ นิสโภ, อิสีนํ วา นิสโภ, อิสิ จ โส นิสโภ จาติ วา อิสินิสโภฯ เวเนยฺยสเตฺต วิเนตีติ วินายโก, นายกวิรหิโตติ วา วินายโก, สยมฺภูติ อโตฺถฯ
143.Isinisabhoti gavasatajeṭṭhako usabho, gavasahassajeṭṭhako vasabho, vajasatajeṭṭhako vā usabho, vajasahassajeṭṭhako vasabho, sabbagavaseṭṭho sabbaparissayasaho seto pāsādiko mahābhāravaho asanisatasaddehipi asampakampiyo nisabho. Rathā so attano nisabhabalena samannāgato catūhi pādehi pathaviṃ uppīḷetvā kenaci parissayena akampiyo acalaṭṭhānena tiṭṭhati, evaṃ bhagavā dasahi tathāgatabalehi samannāgato catūhi vesārajjapādehi aṭṭhaparisapathaviṃ uppīḷetvā sadevake loke kenaci paccatthikena paccāmittena akampiyo acalaṭṭhānena tiṭṭhati, tasmā nisabho viyāti nisabho. Sīlādīnaṃ dhammakkhandhānaṃ esanaṭṭhena ‘‘isī’’ti laddhavohāresu sekkhāsekkhaisīsu nisabho, isīnaṃ vā nisabho, isi ca so nisabho cāti vā isinisabho. Veneyyasatte vinetīti vināyako, nāyakavirahitoti vā vināyako, sayambhūti attho.
อเทสยี สมุทยทุกฺขนิจฺจตนฺติ สมุทยสจฺจสฺส จ ทุกฺขสจฺจสฺส จ อนิจฺจตํ วยธมฺมตํ อภาสิฯ เตน ‘‘ยํกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ, สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺม’’นฺติ อตฺตโน อภิสมยญาณสฺส ปวตฺติอาการํ ทเสฺสติฯ สมุทยทุกฺขนิจฺจตนฺติ วา สมุทยสจฺจญฺจ ทุกฺขสจฺจญฺจ อนิจฺจตญฺจฯ ตตฺถ สมุทยสจฺจทุกฺขสจฺจคฺคหเณน วิปสฺสนาย ภูมิํ ทเสฺสติ, อนิจฺจตาคหเณน ตสฺสา ปวตฺติอาการํ ทเสฺสติฯ สงฺขารานญฺหิ อนิจฺจากาเร วิภาวิเต ทุกฺขากาโร อนตฺตากาโรปิ วิภาวิโตเยว โหติ ตํนิพนฺธนตฺตา เตสํฯ เตนาห ‘‘ยทนิจฺจํ, ตํ ทุกฺขํ, ยํ ทุกฺขํ, ตทนตฺตา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๕)ฯ อสงฺขตํ ทุกฺขนิโรธสสฺสตนฺติ เกนจิ ปจฺจเยน น สงฺขตนฺติ อสงฺขตํ , สพฺพกาลํ ตถภาเวน สสฺสตํ, สกลวฎฺฎทุกฺขนิโรธภาวโต ทุกฺขนิโรธํ อริยสจฺจญฺจ เม อเทสยีติ โยชนาฯ มคฺคญฺจิมํ อกุฎิลมญฺชสํ สิวนฺติ อนฺตทฺวยปริวชฺชเนน กุฎิลภาวกรานํ มายาทีนํ กายวงฺกาทีนญฺจ ปหาเนน อกุฎิลํ, ตโต เอว อญฺชสํ, อสิวภาวกรานํ กามราคาทีนํ สมุจฺฉินฺทเนน สิวํ นิพฺพานํฯ มคฺคนฺติ นิพฺพานตฺถิเกหิ มคฺคียติ, กิเลเส วา มาเรโนฺต คจฺฉตีติ ‘‘มโคฺค’’ติ ลทฺธนามํ อิทํ ตุมฺหากญฺจ มมญฺจ ปจฺจกฺขภูตํ ทุกฺขนิโรธคามินิปฎิปทาสงฺขาตํ อริยสจฺจญฺจ เม อเทสยีติ โยชนาฯ
Adesayī samudayadukkhaniccatanti samudayasaccassa ca dukkhasaccassa ca aniccataṃ vayadhammataṃ abhāsi. Tena ‘‘yaṃkiñci samudayadhammaṃ, sabbaṃ taṃ nirodhadhamma’’nti attano abhisamayañāṇassa pavattiākāraṃ dasseti. Samudayadukkhaniccatanti vā samudayasaccañca dukkhasaccañca aniccatañca. Tattha samudayasaccadukkhasaccaggahaṇena vipassanāya bhūmiṃ dasseti, aniccatāgahaṇena tassā pavattiākāraṃ dasseti. Saṅkhārānañhi aniccākāre vibhāvite dukkhākāro anattākāropi vibhāvitoyeva hoti taṃnibandhanattā tesaṃ. Tenāha ‘‘yadaniccaṃ, taṃ dukkhaṃ, yaṃ dukkhaṃ, tadanattā’’ti (saṃ. ni. 3.15). Asaṅkhataṃ dukkhanirodhasassatanti kenaci paccayena na saṅkhatanti asaṅkhataṃ , sabbakālaṃ tathabhāvena sassataṃ, sakalavaṭṭadukkhanirodhabhāvato dukkhanirodhaṃ ariyasaccañca me adesayīti yojanā. Maggañcimaṃ akuṭilamañjasaṃ sivanti antadvayaparivajjanena kuṭilabhāvakarānaṃ māyādīnaṃ kāyavaṅkādīnañca pahānena akuṭilaṃ, tato eva añjasaṃ, asivabhāvakarānaṃ kāmarāgādīnaṃ samucchindanena sivaṃ nibbānaṃ. Magganti nibbānatthikehi maggīyati, kilese vā mārento gacchatīti ‘‘maggo’’ti laddhanāmaṃ idaṃ tumhākañca mamañca paccakkhabhūtaṃ dukkhanirodhagāminipaṭipadāsaṅkhātaṃ ariyasaccañca me adesayīti yojanā.
๑๔๔. สุตฺวานหํ อมตปทํ อสงฺขตํ, ตถาคตสฺสนธิวรสฺส สาสนนฺติ เอตฺถ อยํ สเงฺขปโตฺถ – ตถา อาคมนาทิอเตฺถน ตถาคตสฺส, สเทวเก โลเก อคฺคภาวโต อนธิวรสฺส, สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อมตปทํ อสงฺขตํ นิพฺพานํ อุทฺทิสฺส เทสิตตฺตา, อมตสฺส วา นิพฺพานสฺส ปฎิปชฺชนุปายตฺตา เกนจิปิ อสงฺขรณียตฺตา จ อมตปทํ อสงฺขตํ สาสนํ สทฺธมฺมํ อหํ สุตฺวานาติฯ สีเลสฺวหนฺติ สีเลสุ นิปฺผาเทตเพฺพสุ อหํฯ ปรมสุสํวุตาติ อติวิย สมฺมเทว สํวุตาฯ อหุนฺติ อโหสิํฯ ธเมฺม ฐิตาติ ปฎิปตฺติธเมฺม ปติฎฺฐิตาฯ
144.Sutvānahaṃ amatapadaṃ asaṅkhataṃ, tathāgatassanadhivarassa sāsananti ettha ayaṃ saṅkhepattho – tathā āgamanādiatthena tathāgatassa, sadevake loke aggabhāvato anadhivarassa, sammāsambuddhassa amatapadaṃ asaṅkhataṃ nibbānaṃ uddissa desitattā, amatassa vā nibbānassa paṭipajjanupāyattā kenacipi asaṅkharaṇīyattā ca amatapadaṃ asaṅkhataṃ sāsanaṃ saddhammaṃ ahaṃ sutvānāti. Sīlesvahanti sīlesu nipphādetabbesu ahaṃ. Paramasusaṃvutāti ativiya sammadeva saṃvutā. Ahunti ahosiṃ. Dhamme ṭhitāti paṭipattidhamme patiṭṭhitā.
๑๔๕. ญตฺวานาติ สจฺฉิกิริยาภิสมยวเสน ชานิตฺวาฯ ตเตฺถวาติ ตสฺมิํเยว ขเณ, ตสฺมิํเยว วา อตฺตภาเวฯ สมถสมาธิมาผุสินฺติ ปจฺจนีกธมฺมานํ สมุเจฺฉทวเสน สมนโต วูปสมนโต ปรมตฺถสมถภูตํ โลกุตฺตรสมาธิํ อาผุสิํ อธิคจฺฉิํฯ ยทิปิ ยสฺมิํ ขเณ นิโรธสฺส สจฺฉิกิริยาภิสมโย, ตสฺมิํเยว ขเณ มคฺคสฺส ภาวนาภิสมโย, อารมฺมณปฎิเวธํ ปน ภาวนาปฎิเวธเสฺสว ปุริมสิทฺธิการณํ วิย กตฺวา ทเสฺสตุํ –
145.Ñatvānāti sacchikiriyābhisamayavasena jānitvā. Tatthevāti tasmiṃyeva khaṇe, tasmiṃyeva vā attabhāve. Samathasamādhimāphusinti paccanīkadhammānaṃ samucchedavasena samanato vūpasamanato paramatthasamathabhūtaṃ lokuttarasamādhiṃ āphusiṃ adhigacchiṃ. Yadipi yasmiṃ khaṇe nirodhassa sacchikiriyābhisamayo, tasmiṃyeva khaṇe maggassa bhāvanābhisamayo, ārammaṇapaṭivedhaṃ pana bhāvanāpaṭivedhasseva purimasiddhikāraṇaṃ viya katvā dassetuṃ –
‘‘ญตฺวานหํ วิรชปทํ อสงฺขตํ, ตถาคเตนนธิวเรน เทสิตํ’’ฯ
‘‘Ñatvānahaṃ virajapadaṃ asaṅkhataṃ, tathāgatenanadhivarena desitaṃ’’.
ตเตฺถวหํ ‘สมถสมาธิมาผุสิ’นฺติ วุตฺตํ ยถา ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณ’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๔๐๐; ๓.๔๒๑; สํ. นิ. ๔.๖๐)ฯ ญตฺวานาติ วา สมานกาลวเสน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํ ยถา ‘‘นิหนฺตฺวาน ตมํ สพฺพํ, อาทิโจฺจ นภมุคฺคโต’’ติฯ สาเยวาติ ยา โลกุตฺตรสมาธิผุสนา ลทฺธา, สาเยวฯ ปรมนิยามตาติ ปรมา อุตฺตมา มคฺคนิยามตาฯ
Tatthevahaṃ ‘samathasamādhimāphusi’nti vuttaṃ yathā ‘‘cakkhuñca paṭicca rūpe ca uppajjati cakkhuviññāṇa’’nti (ma. ni. 1.400; 3.421; saṃ. ni. 4.60). Ñatvānāti vā samānakālavasena vuttanti veditabbaṃ yathā ‘‘nihantvāna tamaṃ sabbaṃ, ādicco nabhamuggato’’ti. Sāyevāti yā lokuttarasamādhiphusanā laddhā, sāyeva. Paramaniyāmatāti paramā uttamā magganiyāmatā.
๑๔๖. วิเสสนนฺติ ปุถุชฺชเนหิ วิเสสกํ วิสิฎฺฐภาวสาธกํฯ เอกํสิกาติ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภควา, สฺวากฺขาโต ธโมฺม, สุปฺปฎิปโนฺน สโงฺฆ’’ติ เอกํสคาหวตี รตนตฺตเย นิพฺพิจิกิจฺฉาฯ อภิสมเย วิเสสิยาติ สจฺจปฎิเวธวเสน วิเสสํ ปตฺวาฯ ‘‘วิเสสินี’’ติปิ ปฐนฺติ, อภิสมยเหตุ วิเสสวตีติ อโตฺถฯ อสํสยาติ โสฬสวตฺถุกาย อฎฺฐวตฺถุกาย จ วิจิกิจฺฉาย ปหีนตฺตา อปคตสํสยาฯ ‘‘อสํสิยา’’ติ เกจิ ปฐนฺติฯ พหุชนปูชิตาติ สุคตีหิ ปเรหิ ปตฺถนียคุณาติ อโตฺถฯ ขิฑฺฑารตินฺติ ขิฑฺฑาภูตํ รติํ, อถ วา ขิฑฺฑญฺจ รติญฺจ ขิฑฺฑาวิหารญฺจ รติสุขญฺจฯ
146.Visesananti puthujjanehi visesakaṃ visiṭṭhabhāvasādhakaṃ. Ekaṃsikāti ‘‘sammāsambuddho bhagavā, svākkhāto dhammo, suppaṭipanno saṅgho’’ti ekaṃsagāhavatī ratanattaye nibbicikicchā. Abhisamaye visesiyāti saccapaṭivedhavasena visesaṃ patvā. ‘‘Visesinī’’tipi paṭhanti, abhisamayahetu visesavatīti attho. Asaṃsayāti soḷasavatthukāya aṭṭhavatthukāya ca vicikicchāya pahīnattā apagatasaṃsayā. ‘‘Asaṃsiyā’’ti keci paṭhanti. Bahujanapūjitāti sugatīhi parehi patthanīyaguṇāti attho. Khiḍḍāratinti khiḍḍābhūtaṃ ratiṃ, atha vā khiḍḍañca ratiñca khiḍḍāvihārañca ratisukhañca.
๑๔๗. อมตทสมฺหีติ อมตทสา นิพฺพานทสฺสาวินี อมฺหิฯ ธมฺมทฺทสาติ จตุสจฺจธมฺมํ ทิฎฺฐวตีฯ โสตาปนฺนาติ อริยมคฺคโสตํ อาทิโต ปตฺตาฯ น จ ปน มตฺถิ ทุคฺคตีติ น จ ปน เม อตฺถิ ทุคฺคติ อวินิปาตธมฺมตฺตาฯ
147.Amatadasamhīti amatadasā nibbānadassāvinī amhi. Dhammaddasāti catusaccadhammaṃ diṭṭhavatī. Sotāpannāti ariyamaggasotaṃ ādito pattā. Na ca pana matthi duggatīti na ca pana me atthi duggati avinipātadhammattā.
๑๔๘. ปาสาทิเกติ ปสาทาวเหฯ กุสลรเตติ กุสเล อนวชฺชธเมฺม นิพฺพาเน รเตฯ ภิกฺขโวติ ภิกฺขู นมสฺสิตุํ อุปาคมินฺติ โยชนาฯ สมณสมาคมํ สิวนฺติ สมณานํ สมิตปาปานํ พุทฺธพุทฺธสาวกานํ สิวญฺจ ธมฺมํ เขมํ สมาคมํ สงฺคมํ ปยิรุปาสิตุํ อุปาคมินฺติ สมฺพโนฺธฯ สิริมโต ธมฺมราชิโนติ ภุมฺมเตฺถ สามิวจนํฯ สิริมติ ธมฺมราชินีติ อโตฺถฯ เอวเมว จ เกจิ ปฐนฺติฯ
148.Pāsādiketi pasādāvahe. Kusalarateti kusale anavajjadhamme nibbāne rate. Bhikkhavoti bhikkhū namassituṃ upāgaminti yojanā. Samaṇasamāgamaṃ sivanti samaṇānaṃ samitapāpānaṃ buddhabuddhasāvakānaṃ sivañca dhammaṃ khemaṃ samāgamaṃ saṅgamaṃ payirupāsituṃ upāgaminti sambandho. Sirimato dhammarājinoti bhummatthe sāmivacanaṃ. Sirimati dhammarājinīti attho. Evameva ca keci paṭhanti.
๑๔๙. มุทิตมนมฺหีติ โมทิตมนา อมฺหิฯ ปีณิตาติ ตุฎฺฐา, ปีติรสวเสน วา ติตฺตาฯ นรวรทมฺมสารถินฺติ นรวโร จ โส อคฺคปุคฺคลตฺตา, ทมฺมานํ ทเมตพฺพานํ เวเนยฺยานํ นิพฺพานาภิมุขํ สารณโต ทมฺมสารถิ จาติ นรวรทมฺมสารถิ, ตํฯ ปรมหิตานุกมฺปกนฺติ ปรเมน อุตฺตเมน หิเตน สพฺพสตฺตานํ อนุกมฺปกํฯ
149.Muditamanamhīti moditamanā amhi. Pīṇitāti tuṭṭhā, pītirasavasena vā tittā. Naravaradammasārathinti naravaro ca so aggapuggalattā, dammānaṃ dametabbānaṃ veneyyānaṃ nibbānābhimukhaṃ sāraṇato dammasārathi cāti naravaradammasārathi, taṃ. Paramahitānukampakanti paramena uttamena hitena sabbasattānaṃ anukampakaṃ.
เอวํ สิริมา เทวธีตา อตฺตโน ลทฺธิปเวทนมุเขน รตนตฺตเย ปสาทํ ปเวเทตฺวา ภควนฺตํ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เทวโลกเมว คตาฯ ภควา ตเมว โอติณฺณวตฺถุํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา ธมฺมํ เทเสสิ, เทสนาปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ อรหตฺตํ ปาปุณิ, สมฺปตฺตปริสายปิ สา ธมฺมเทสนา สาตฺถิกา ชาตาติฯ
Evaṃ sirimā devadhītā attano laddhipavedanamukhena ratanattaye pasādaṃ pavedetvā bhagavantaṃ bhikkhusaṅghañca vanditvā padakkhiṇaṃ katvā devalokameva gatā. Bhagavā tameva otiṇṇavatthuṃ aṭṭhuppattiṃ katvā dhammaṃ desesi, desanāpariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu arahattaṃ pāpuṇi, sampattaparisāyapi sā dhammadesanā sātthikā jātāti.
สิริมาวิมานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sirimāvimānavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / วิมานวตฺถุปาฬิ • Vimānavatthupāḷi / ๑๖. สิริมาวิมานวตฺถุ • 16. Sirimāvimānavatthu