Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรีคาถา-อฎฺฐกถา • Therīgāthā-aṭṭhakathā

    ๘. อฎฺฐกนิปาโต

    8. Aṭṭhakanipāto

    ๑. สีสูปจาลาเถรีคาถาวณฺณนา

    1. Sīsūpacālātherīgāthāvaṇṇanā

    อฎฺฐกนิปาเต ภิกฺขุนี สีลสมฺปนฺนาติอาทิกา สีสูปจาลาย เถริยา คาถาฯ อิมิสฺสาปิ วตฺถุ จาลาย เถริยา วตฺถุมฺหิ วุตฺตนยเมวฯ อยมฺปิ หิ อายสฺมโต ธมฺมเสนาปติสฺส ปพฺพชิตภาวํ สุตฺวา สยมฺปิ อุสฺสาหชาตา ปพฺพชิตฺวา กตปุพฺพกิจฺจา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา, ฆเฎนฺตี วายมนฺตี นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อรหตฺตํ ปตฺวา ผลสมาปตฺติสุเขน วิหรนฺตี เอกทิวสํ อตฺตโน ปฎิปตฺติํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา กตกิจฺจาติ โสมนสฺสชาตา อุทานวเสน –

    Aṭṭhakanipāte bhikkhunī sīlasampannātiādikā sīsūpacālāya theriyā gāthā. Imissāpi vatthu cālāya theriyā vatthumhi vuttanayameva. Ayampi hi āyasmato dhammasenāpatissa pabbajitabhāvaṃ sutvā sayampi ussāhajātā pabbajitvā katapubbakiccā vipassanaṃ paṭṭhapetvā, ghaṭentī vāyamantī nacirasseva arahattaṃ pāpuṇi. Arahattaṃ patvā phalasamāpattisukhena viharantī ekadivasaṃ attano paṭipattiṃ paccavekkhitvā katakiccāti somanassajātā udānavasena –

    ๑๙๖.

    196.

    ‘‘ภิกฺขุนี สีลสมฺปนฺนา, อินฺทฺริเยสุ สุสํวุตา;

    ‘‘Bhikkhunī sīlasampannā, indriyesu susaṃvutā;

    อธิคเจฺฉ ปทํ สนฺตํ, อเสจนกโมชว’’นฺติฯ – คาถมาห;

    Adhigacche padaṃ santaṃ, asecanakamojava’’nti. – gāthamāha;

    ตตฺถ สีลสมฺปนฺนาติ ปริสุเทฺธน ภิกฺขุนิสีเลน สมนฺนาคตา ปริปุณฺณาฯ อินฺทฺริเยสุ สุสํวุตาติ มนจฺฉเฎฺฐสุ อินฺทฺริเยสุ สุฎฺฐุ สํวุตา, รูปาทิอารมฺมเณ อิเฎฺฐ ราคํ, อนิเฎฺฐ โทสํ, อสมเปกฺขเน โมหญฺจ ปหาย สุฎฺฐุ ปิหิตินฺทฺริยาฯ อเสจนกโมชวนฺติ เกนจิ อนาสิตฺตกํ โอชวนฺตํ สภาวมธุรํ สพฺพสฺสาปิ กิเลสโรคสฺส วูปสมโนสธภูตํ อริยมคฺคํ, นิพฺพานเมว วาฯ อริยมคฺคมฺปิ หิ นิพฺพานตฺถิเกหิ ปฎิปชฺชิตพฺพโต กิเลสปริฬาหาภาวโต จ ปทํ สนฺตนฺติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ

    Tattha sīlasampannāti parisuddhena bhikkhunisīlena samannāgatā paripuṇṇā. Indriyesu susaṃvutāti manacchaṭṭhesu indriyesu suṭṭhu saṃvutā, rūpādiārammaṇe iṭṭhe rāgaṃ, aniṭṭhe dosaṃ, asamapekkhane mohañca pahāya suṭṭhu pihitindriyā. Asecanakamojavanti kenaci anāsittakaṃ ojavantaṃ sabhāvamadhuraṃ sabbassāpi kilesarogassa vūpasamanosadhabhūtaṃ ariyamaggaṃ, nibbānameva vā. Ariyamaggampi hi nibbānatthikehi paṭipajjitabbato kilesapariḷāhābhāvato ca padaṃ santanti vattuṃ vaṭṭati.

    ๑๙๗.

    197.

    ‘‘ตาวติํสา จ ยามา จ, ตุสิตา จาปิ เทวตา;

    ‘‘Tāvatiṃsā ca yāmā ca, tusitā cāpi devatā;

    นิมฺมานรติโน เทวา, เย เทวา วสวตฺติโน;

    Nimmānaratino devā, ye devā vasavattino;

    ตตฺถ จิตฺตํ ปณีเธหิ, ยตฺถ เต วุสิตํ ปุเร’’ติฯ –

    Tattha cittaṃ paṇīdhehi, yattha te vusitaṃ pure’’ti. –

    อยํ คาถา กามสเคฺคสุ นิกนฺติํ อุปฺปาเทหีติ ตตฺถ อุโยฺยชนวเสน เถริํ สมาปตฺติยา จาเวตุกาเมน มาเรน วุตฺตาฯ

    Ayaṃ gāthā kāmasaggesu nikantiṃ uppādehīti tattha uyyojanavasena theriṃ samāpattiyā cāvetukāmena mārena vuttā.

    ตตฺถ สหปุญฺญการิโน เตตฺติํส ชนา ยตฺถ อุปปนฺนา, ตํ ฐานํ ตาวติํสนฺติฯ ตตฺถ นิพฺพตฺตา สเพฺพปิ เทวปุตฺตา ตาวติํสาฯ เกจิ ปน ‘‘ตาวติํสาติ เตสํ เทวานํ นามเมวา’’ติ วทนฺติฯ ทฺวีหิ เทวโลเกหิ วิสิฎฺฐํ ทิพฺพํ สุขํ ยาตา อุปยาตา สมฺปนฺนาติ ยามาฯ ทิพฺพาย สมฺปตฺติยา ตุฎฺฐา ปหฎฺฐาติ ตุสิตาฯ ปกติปฎิยตฺตารมฺมณโต อติเรเกน รมิตุกามตากาเล ยถารุจิเต โภเค นิมฺมินิตฺวา รมนฺตีติ นิมฺมานรติโนฯ จิตฺตรุจิํ ญตฺวา ปเรหิ นิมฺมิเตสุ โภเคสุ วสํ วเตฺตนฺตีติ วสวตฺติโนฯ ตตฺถ จิตฺตํ ปณีเธหีติ ตสฺมิํ ตาวติํสาทิเก เทวนิกาเย ตว จิตฺตํ ฐเปหิ, อุปปชฺชนาย นิกนฺติํ กโรหิฯ จาตุมหาราชิกานํ โภคา อิตเรหิ นิหีนาติ อธิปฺปาเยน ตาวติํสาทโยว วุตฺตาฯ ยตฺถ เต วุสิตํ ปุเรติ เยสุ เทวนิกาเยสุ ตยา ปุเพฺพ วุตฺถํฯ อยํ กิร ปุเพฺพ เทเวสุ อุปฺปชฺชนฺตี, ตาวติํสโต ปฎฺฐาย ปญฺจกามสเคฺค โสเธตฺวา ปุน เหฎฺฐโต โอตรนฺตี, ตุสิเตสุ ฐตฺวา ตโต จวิตฺวา อิทานิ มนุเสฺสสุ นิพฺพตฺตาฯ

    Tattha sahapuññakārino tettiṃsa janā yattha upapannā, taṃ ṭhānaṃ tāvatiṃsanti. Tattha nibbattā sabbepi devaputtā tāvatiṃsā. Keci pana ‘‘tāvatiṃsāti tesaṃ devānaṃ nāmamevā’’ti vadanti. Dvīhi devalokehi visiṭṭhaṃ dibbaṃ sukhaṃ yātā upayātā sampannāti yāmā. Dibbāya sampattiyā tuṭṭhā pahaṭṭhāti tusitā. Pakatipaṭiyattārammaṇato atirekena ramitukāmatākāle yathārucite bhoge nimminitvā ramantīti nimmānaratino. Cittaruciṃ ñatvā parehi nimmitesu bhogesu vasaṃ vattentīti vasavattino. Tattha cittaṃ paṇīdhehīti tasmiṃ tāvatiṃsādike devanikāye tava cittaṃ ṭhapehi, upapajjanāya nikantiṃ karohi. Cātumahārājikānaṃ bhogā itarehi nihīnāti adhippāyena tāvatiṃsādayova vuttā. Yattha te vusitaṃ pureti yesu devanikāyesu tayā pubbe vutthaṃ. Ayaṃ kira pubbe devesu uppajjantī, tāvatiṃsato paṭṭhāya pañcakāmasagge sodhetvā puna heṭṭhato otarantī, tusitesu ṭhatvā tato cavitvā idāni manussesu nibbattā.

    ตํ สุตฺวา เถรี – ‘‘ติฎฺฐตุ, มาร, ตยา วุตฺตกามโลโกฯ อโญฺญปิ สโพฺพ โลโก ราคคฺคิอาทีหิ อาทิโตฺต สมฺปชฺชลิโตฯ น ตตฺถ วิญฺญูนํ จิตฺตํ รมตี’’ติ กามโต จ โลกโต จ อตฺตโน วินิวตฺติตมานสตํ ทเสฺสตฺวา มารํ ตเชฺชนฺตี –

    Taṃ sutvā therī – ‘‘tiṭṭhatu, māra, tayā vuttakāmaloko. Aññopi sabbo loko rāgaggiādīhi āditto sampajjalito. Na tattha viññūnaṃ cittaṃ ramatī’’ti kāmato ca lokato ca attano vinivattitamānasataṃ dassetvā māraṃ tajjentī –

    ๑๙๘.

    198.

    ยามา จ‘‘ตาวติํสา จ ยามา จ, ตุสิตา จาปิ เทวตา;

    Yāmā ca‘‘tāvatiṃsā ca yāmā ca, tusitā cāpi devatā;

    นิมฺมานรติโน เทวา, เย เทวา วสวตฺติโนฯ

    Nimmānaratino devā, ye devā vasavattino.

    ๑๙๙.

    199.

    ‘‘กาลํ กาลํ ภวา ภวํ, สกฺกายสฺมิํ ปุรกฺขตา;

    ‘‘Kālaṃ kālaṃ bhavā bhavaṃ, sakkāyasmiṃ purakkhatā;

    อวีติวตฺตา สกฺกายํ, ชาติมรณสาริโนฯ

    Avītivattā sakkāyaṃ, jātimaraṇasārino.

    ๒๐๐.

    200.

    ‘‘สโพฺพ อาทีปิโต โลโก, สโพฺพ โลโก ปทีปิโต;

    ‘‘Sabbo ādīpito loko, sabbo loko padīpito;

    สโพฺพ ปชฺชลิโต โลโก, สโพฺพ โลโก ปกมฺปิโตฯ

    Sabbo pajjalito loko, sabbo loko pakampito.

    ๒๐๑.

    201.

    ‘‘อกมฺปิยํ อตุลิยํ, อปุถุชฺชนเสวิตํ;

    ‘‘Akampiyaṃ atuliyaṃ, aputhujjanasevitaṃ;

    พุโทฺธ ธมฺมมเทเสสิ, ตตฺถ เม นิรโต มโนฯ

    Buddho dhammamadesesi, tattha me nirato mano.

    ๒๐๒.

    202.

    ‘‘ตสฺสาหํ วจนํ สุตฺวา, วิหริํ สาสเน รตา;

    ‘‘Tassāhaṃ vacanaṃ sutvā, vihariṃ sāsane ratā;

    ติโสฺส วิชฺชา อนุปฺปตฺตา, กตํ พุทฺธสฺส สาสนํฯ

    Tisso vijjā anuppattā, kataṃ buddhassa sāsanaṃ.

    ๒๐๓.

    203.

    ‘‘สพฺพตฺถ วิหตา นนฺที, ตโมกฺขโนฺธ ปทาลิโต;

    ‘‘Sabbattha vihatā nandī, tamokkhandho padālito;

    เอวํ ชานาหิ ปาปิม, นิหโต ตฺวมสิ อนฺตกา’’ติฯ –

    Evaṃ jānāhi pāpima, nihato tvamasi antakā’’ti. –

    อิมา คาถา อภาสิฯ

    Imā gāthā abhāsi.

    ตตฺถ กาลํ กาลนฺติ ตํ ตํ กาลํฯ ภวา ภวนฺติ ภวโต ภวํฯ สกฺกายสฺมินฺติ ขนฺธปญฺจเกฯ ปุรกฺขตาติ ปุรกฺขารการิโนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – มาร, ตยา วุตฺตา ตาวติํสาทโย เทวา ภวโต ภวํ อุปคจฺฉนฺตา อนิจฺจตาทิอเนกาทีนวากุเล สกฺกาเย ปติฎฺฐิตา, ตสฺมา ตสฺมิํ ภเว อุปฺปตฺติกาเล, เวมชฺฌกาเล, ปริโยสานกาเลติ ตสฺมิํ ตสฺมิํ กาเล สกฺกายเมว ปุรกฺขตฺวา ฐิตาฯ ตโต เอว อวีติวตฺตา สกฺกายํ นิสฺสรณาภิมุขา อหุตฺวา สกฺกายตีรเมว อนุปริธาวนฺตา ชาติมรณสาริโน ราคาทีหิ อนุคตตฺตา ปุนปฺปุนํ ชาติมรณเมว อนุสฺสรนฺติ, ตโต น วิมุจฺจนฺตีติฯ

    Tattha kālaṃ kālanti taṃ taṃ kālaṃ. Bhavā bhavanti bhavato bhavaṃ. Sakkāyasminti khandhapañcake. Purakkhatāti purakkhārakārino. Idaṃ vuttaṃ hoti – māra, tayā vuttā tāvatiṃsādayo devā bhavato bhavaṃ upagacchantā aniccatādianekādīnavākule sakkāye patiṭṭhitā, tasmā tasmiṃ bhave uppattikāle, vemajjhakāle, pariyosānakāleti tasmiṃ tasmiṃ kāle sakkāyameva purakkhatvā ṭhitā. Tato eva avītivattā sakkāyaṃ nissaraṇābhimukhā ahutvā sakkāyatīrameva anuparidhāvantā jātimaraṇasārino rāgādīhi anugatattā punappunaṃ jātimaraṇameva anussaranti, tato na vimuccantīti.

    สโพฺพ อาทีปิโต โลโกติ, มาร, น เกวลํ ตยา วุตฺตกามโลโกเยว ธาตุตฺตยสญฺญิโต, สโพฺพปิ โลโก ราคคฺคิอาทีหิ เอกาทสหิ อาทิโตฺตฯ เตหิเยว ปุนปฺปุนํ อาทีปิตตาย ปทีปิโตฯ นิรนฺตรํ เอกชาลีภูตตาย ปชฺชลิโตฯ ตณฺหาย สพฺพกิเลเสหิ จ อิโต จิโต จ กมฺปิตตาย จลิตตาย ปกมฺปิโต

    Sabbo ādīpito lokoti, māra, na kevalaṃ tayā vuttakāmalokoyeva dhātuttayasaññito, sabbopi loko rāgaggiādīhi ekādasahi āditto. Tehiyeva punappunaṃ ādīpitatāya padīpito. Nirantaraṃ ekajālībhūtatāya pajjalito. Taṇhāya sabbakilesehi ca ito cito ca kampitatāya calitatāya pakampito.

    เอวํ อาทิเตฺต ปชฺชลิเต ปกมฺปิเต จ โลเก เกนจิปิ กเมฺปตุํ จาเลตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย อกมฺปิยํ, คุณโต ‘‘เอตฺตโก’’ติ ตุเลตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย อตฺตนา สทิสสฺส อภาวโต จ อตุลิยํฯ พุทฺธาทีหิ อริเยหิ เอว โคจรภาวนาภิคมโต เสวิตตฺตา อปุถุชฺชนเสวิตํฯ พุโทฺธ ภควา มคฺคผลนิพฺพานปฺปเภทํ นววิธํ โลกุตฺตรธมฺมํ มหากรุณาย สโญฺจทิตมานโส อเทเสสิ สเทวกสฺส โลกสฺส กเถสิ ปเวเทสิฯ ตตฺถ ตสฺมิํ อริยธเมฺม มยฺหํ มโน นิรโต อภิรโต, น ตโต วินิวตฺตตีติ อโตฺถฯ เสสํ เหฎฺฐา วุตฺตนยเมวฯ

    Evaṃ āditte pajjalite pakampite ca loke kenacipi kampetuṃ cāletuṃ asakkuṇeyyatāya akampiyaṃ, guṇato ‘‘ettako’’ti tuletuṃ asakkuṇeyyatāya attanā sadisassa abhāvato ca atuliyaṃ. Buddhādīhi ariyehi eva gocarabhāvanābhigamato sevitattā aputhujjanasevitaṃ. Buddho bhagavā maggaphalanibbānappabhedaṃ navavidhaṃ lokuttaradhammaṃ mahākaruṇāya sañcoditamānaso adesesi sadevakassa lokassa kathesi pavedesi. Tattha tasmiṃ ariyadhamme mayhaṃ mano nirato abhirato, na tato vinivattatīti attho. Sesaṃ heṭṭhā vuttanayameva.

    สีสูปจาลาเถรีคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sīsūpacālātherīgāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    อฎฺฐกนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Aṭṭhakanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรีคาถาปาฬิ • Therīgāthāpāḷi / ๑. สีสูปจาลาเถรีคาถา • 1. Sīsūpacālātherīgāthā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact