Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๖. สีตวนิยเตฺถรคาถาวณฺณนา
6. Sītavaniyattheragāthāvaṇṇanā
โย สีตวนนฺติ อายสฺมโต สมฺภูตเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อิโต กิร อฎฺฐารสาธิกสฺส กปฺปสตสฺส มตฺถเก อตฺถทสฺสี นาม สมฺพุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา สเทวกํ โลกํ สํสารมโหฆโต ตาเรโนฺต เอกทิวสํ มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ คงฺคาตีรํ อุปคจฺฉิฯ ตสฺมิํ กาเล อยํ คหปติกุเล นิพฺพโตฺต ตตฺถ ภควนฺตํ ปสฺสิตฺวา ปสนฺนมานโส อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต, ปารํ คนฺตุกามตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ภควา ‘‘คมิสฺสามา’’ติ อโวจฯ โส ตาวเทว นาวาสงฺฆาฎํ โยเชตฺวา อุปเนสิฯ สตฺถา ตํ อนุกมฺปโนฺต สห ภิกฺขุสเงฺฆน นาวํ อภิรุหิฯ โส สยมฺปิ อภิรุยฺห สุเขเนว ปรตีรํ สมฺปาเปตฺวา ภควนฺตํ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ ทุติยทิวเส มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา อนุคนฺตฺวา ปสนฺนจิโตฺต วนฺทิตฺวา นิวตฺติฯ โส เตน ปุญฺญกเมฺมน เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิโต เตรสาธิกกปฺปสตสฺส มตฺถเก ขตฺติยกุเล นิพฺพตฺติตฺวา ราชา อโหสิ จกฺกวตฺตี ธมฺมิโก ธมฺมราชาฯ โส สเตฺต สุคติมเคฺค ปติฎฺฐาเปตฺวา ตโต จุโต เอกนวุติกเปฺป วิปสฺสิสฺส ภควโต สาสเน ปพฺพชิตฺวา ธุตธเมฺม สมาทาย สุสาเน วสโนฺต สมณธมฺมํ อกาสิฯ ปุน กสฺสปสฺส ภควโต กาเลปิ ตสฺส สาสเน ตีหิ สหาเยหิ สทฺธิํ ปพฺพชิตฺวา วีสติวสฺสสหสฺสานิ สมณธมฺมํ กตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชคเห พฺราหฺมณมหาสาลสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตสฺส ‘‘สมฺภูโต’’ติ นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต พฺราหฺมณสิเปฺปสุ นิปฺผตฺติํ คโตฯ ภูมิโช เชยฺยเสโน อภิราธโนติ ตีหิ สหาเยหิ สทฺธิํ ภควโต สนฺติกํ คโต ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิฯ เย สนฺธาย วุตฺตํ –
Yo sītavananti āyasmato sambhūtattherassa gāthā. Kā uppatti? Ito kira aṭṭhārasādhikassa kappasatassa matthake atthadassī nāma sambuddho loke uppajjitvā sadevakaṃ lokaṃ saṃsāramahoghato tārento ekadivasaṃ mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ gaṅgātīraṃ upagacchi. Tasmiṃ kāle ayaṃ gahapatikule nibbatto tattha bhagavantaṃ passitvā pasannamānaso upasaṅkamitvā vanditvā ‘‘kiṃ, bhante, pāraṃ gantukāmatthā’’ti pucchi. Bhagavā ‘‘gamissāmā’’ti avoca. So tāvadeva nāvāsaṅghāṭaṃ yojetvā upanesi. Satthā taṃ anukampanto saha bhikkhusaṅghena nāvaṃ abhiruhi. So sayampi abhiruyha sukheneva paratīraṃ sampāpetvā bhagavantaṃ bhikkhusaṅghañca dutiyadivase mahādānaṃ pavattetvā anugantvā pasannacitto vanditvā nivatti. So tena puññakammena devamanussesu saṃsaritvā ito terasādhikakappasatassa matthake khattiyakule nibbattitvā rājā ahosi cakkavattī dhammiko dhammarājā. So satte sugatimagge patiṭṭhāpetvā tato cuto ekanavutikappe vipassissa bhagavato sāsane pabbajitvā dhutadhamme samādāya susāne vasanto samaṇadhammaṃ akāsi. Puna kassapassa bhagavato kālepi tassa sāsane tīhi sahāyehi saddhiṃ pabbajitvā vīsativassasahassāni samaṇadhammaṃ katvā ekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde rājagahe brāhmaṇamahāsālassa putto hutvā nibbatti. Tassa ‘‘sambhūto’’ti nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto brāhmaṇasippesu nipphattiṃ gato. Bhūmijo jeyyaseno abhirādhanoti tīhi sahāyehi saddhiṃ bhagavato santikaṃ gato dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbaji. Ye sandhāya vuttaṃ –
‘‘ภูมิโช เชยฺยเสโน จ, สมฺภูโต อภิราธโน;
‘‘Bhūmijo jeyyaseno ca, sambhūto abhirādhano;
เอเต ธมฺมํ อภิญฺญาสุํ, สาสเน วรตาทิโน’’ติฯ
Ete dhammaṃ abhiññāsuṃ, sāsane varatādino’’ti.
อถ สมฺภูโต ภควโต สนฺติเก กายคตาสติกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา นิพทฺธํ สีตวเน วสติฯ เตเนวายสฺมา ‘‘สีตวนิโย’’ติ ปญฺญายิตฺถฯ เตน จ สมเยน เวสฺสวโณ มหาราชา เกนจิเทว กรณีเยน ชมฺพุทีเป ทกฺขิณทิสาภาคํ อุทฺทิสฺส อากาเสน คจฺฉโนฺต เถรํ อโพฺภกาเส นิสีทิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรนฺตํ ทิสฺวา วิมานโต โอรุยฺห เถรํ วนฺทิตฺวา, ‘‘ยทา เถโร สมาธิโต วุฎฺฐหิสฺสติ, ตทา มม อาคมนํ อาโรเจถ, อารกฺขญฺจสฺส กโรถา’’ติ เทฺว ยเกฺข อาณาเปตฺวา ปกฺกามิฯ เต เถรสฺส สมีเป ฐตฺวา มนสิการํ ปฎิสํหริตฺวา นิสินฺนกาเล อาโรเจสุํฯ ตํ สุตฺวา เถโร ‘‘ตุเมฺห มม วจเนน เวสฺสวณมหาราชสฺส กเถถ, ภควตา อตฺตโน สาสเน ฐิตานํ สติอารกฺขา นาม ฐปิตา อตฺถิ, สาเยว มาทิเส รกฺขติ, ตฺวํ ตตฺถ อโปฺปสฺสุโกฺก โหหิ, ภควโต โอวาเท ฐิตานํ เอทิสาย อารกฺขาย กรณียํ นตฺถี’’ติ เต วิสฺสเชฺชตฺวา ตาวเทว วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา วิชฺชาตฺตยํ สจฺฉากาสิฯ ตโต เวสฺสวโณ นิวตฺตมาโน เถรสฺส สมีปํ ปตฺวา มุขาการสลฺลกฺขเณเนวสฺส กตกิจฺจภาวํ ญตฺวา สาวตฺถิํ คนฺตฺวา ภควโต อาโรเจตฺวา สตฺถุ สมฺมุขา เถรํ อภิตฺถวโนฺต –
Atha sambhūto bhagavato santike kāyagatāsatikammaṭṭhānaṃ gahetvā nibaddhaṃ sītavane vasati. Tenevāyasmā ‘‘sītavaniyo’’ti paññāyittha. Tena ca samayena vessavaṇo mahārājā kenacideva karaṇīyena jambudīpe dakkhiṇadisābhāgaṃ uddissa ākāsena gacchanto theraṃ abbhokāse nisīditvā kammaṭṭhānaṃ manasikarontaṃ disvā vimānato oruyha theraṃ vanditvā, ‘‘yadā thero samādhito vuṭṭhahissati, tadā mama āgamanaṃ ārocetha, ārakkhañcassa karothā’’ti dve yakkhe āṇāpetvā pakkāmi. Te therassa samīpe ṭhatvā manasikāraṃ paṭisaṃharitvā nisinnakāle ārocesuṃ. Taṃ sutvā thero ‘‘tumhe mama vacanena vessavaṇamahārājassa kathetha, bhagavatā attano sāsane ṭhitānaṃ satiārakkhā nāma ṭhapitā atthi, sāyeva mādise rakkhati, tvaṃ tattha appossukko hohi, bhagavato ovāde ṭhitānaṃ edisāya ārakkhāya karaṇīyaṃ natthī’’ti te vissajjetvā tāvadeva vipassanaṃ vaḍḍhetvā vijjāttayaṃ sacchākāsi. Tato vessavaṇo nivattamāno therassa samīpaṃ patvā mukhākārasallakkhaṇenevassa katakiccabhāvaṃ ñatvā sāvatthiṃ gantvā bhagavato ārocetvā satthu sammukhā theraṃ abhitthavanto –
‘‘สติอารกฺขสมฺปโนฺน, ธิติมา วีริยสมาหิโต;
‘‘Satiārakkhasampanno, dhitimā vīriyasamāhito;
อนุชาโต สตฺถุ สมฺภูโต, เตวิโชฺช มจฺจุปารคู’’ติฯ –
Anujāto satthu sambhūto, tevijjo maccupāragū’’ti. –
อิมาย คาถาย เถรสฺส คุเณ วเณฺณสิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๑.๒๑.๑๕-๒๐) –
Imāya gāthāya therassa guṇe vaṇṇesi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 1.21.15-20) –
‘‘อตฺถทสฺสี ตุ ภควา, ทฺวิปทิโนฺท นราสโภ;
‘‘Atthadassī tu bhagavā, dvipadindo narāsabho;
ปุรกฺขโต สาวเกหิ, คงฺคาตีรมุปาคมิฯ
Purakkhato sāvakehi, gaṅgātīramupāgami.
‘‘สมติตฺติ กากเปยฺยา, คงฺคา อาสิ ทุรุตฺตรา;
‘‘Samatitti kākapeyyā, gaṅgā āsi duruttarā;
อุตฺตารยิํ ภิกฺขุสงฺฆํ, พุทฺธญฺจ ทฺวิปทุตฺตมํฯ
Uttārayiṃ bhikkhusaṅghaṃ, buddhañca dvipaduttamaṃ.
‘‘อฎฺฐารเส กปฺปสเต, ยํ กมฺมมกริํ ตทา;
‘‘Aṭṭhārase kappasate, yaṃ kammamakariṃ tadā;
ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, ตรณาย อิทํ ผลํฯ
Duggatiṃ nābhijānāmi, taraṇāya idaṃ phalaṃ.
‘‘เตรเสโต กปฺปสเต, ปญฺจ สโพฺพภวา อหุํ;
‘‘Teraseto kappasate, pañca sabbobhavā ahuṃ;
สตฺตรตนสมฺปนฺนา, จกฺกวตฺตี มหพฺพลาฯ
Sattaratanasampannā, cakkavattī mahabbalā.
‘‘ปจฺฉิเม จ ภเว อสฺมิํ, ชาโตหํ พฺราหฺมเณ กุเล;
‘‘Pacchime ca bhave asmiṃ, jātohaṃ brāhmaṇe kule;
สทฺธิํ ตีหิ สหาเยหิ, ปพฺพชิํ สตฺถุ สาสเนฯ
Saddhiṃ tīhi sahāyehi, pabbajiṃ satthu sāsane.
‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ
‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.
อถายสฺมา สมฺภูโต ภควนฺตํ ทสฺสนาย คจฺฉเนฺต ภิกฺขู ทิสฺวา ‘‘อาวุโส, มม วจเนน ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทถ, เอวญฺจ วเทถา’’ติ วตฺวา ธมฺมาธิกรณํ อตฺตโน สตฺถุ อวิเหฐิตภาวํ ปกาเสโนฺต ‘‘โย สีตวน’’นฺติ คาถมาหฯ เต ภิกฺขู ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา สมฺภูตเตฺถรสฺส สาสนํ สมฺปเวเทนฺตา, ‘‘อายสฺมา, ภเนฺต, สมฺภูโต ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทติ, เอวญฺจ วทตี’’ติ วตฺวา ตํ คาถํ อาโรเจสุํ, ตํ สุตฺวา ภควา ‘‘ปณฺฑิโต, ภิกฺขเว, สมฺภูโต ภิกฺขุ ปจฺจปาทิ ธมฺมสฺสานุธมฺมํ, น จ มํ ธมฺมาธิกรณํ วิเหเฐติฯ เวสฺสวเณน ตสฺสโตฺถ มยฺหํ อาโรจิตา’’ติ อาหฯ
Athāyasmā sambhūto bhagavantaṃ dassanāya gacchante bhikkhū disvā ‘‘āvuso, mama vacanena bhagavato pāde sirasā vandatha, evañca vadethā’’ti vatvā dhammādhikaraṇaṃ attano satthu aviheṭhitabhāvaṃ pakāsento ‘‘yo sītavana’’nti gāthamāha. Te bhikkhū bhagavantaṃ upasaṅkamitvā vanditvā sambhūtattherassa sāsanaṃ sampavedentā, ‘‘āyasmā, bhante, sambhūto bhagavato pāde sirasā vandati, evañca vadatī’’ti vatvā taṃ gāthaṃ ārocesuṃ, taṃ sutvā bhagavā ‘‘paṇḍito, bhikkhave, sambhūto bhikkhu paccapādi dhammassānudhammaṃ, na ca maṃ dhammādhikaraṇaṃ viheṭheti. Vessavaṇena tassattho mayhaṃ ārocitā’’ti āha.
๖. ยํ ปน เต ภิกฺขู สมฺภูตเตฺถเรน วุตฺตํ ‘‘โย สีตวน’’นฺติ คาถํ สตฺถุ นิเวเทสุํฯ ตตฺถ สีตวนนฺติ เอวํนามกํ ราชคหสมีเป มหนฺตํ เภรวสุสานวนํฯ อุปคาติ นิวาสนวเสน อุปคจฺฉิฯ เอเตน ภควตา อนุญฺญาตํ ปพฺพชิตานุรูปํ นิวาสนฎฺฐานํ ทเสฺสติฯ ภิกฺขูติ สํสารภยสฺส อิกฺขนโต ภินฺนกิเลสตาย จ ภิกฺขุฯ เอโกติ อทุติโย, เอเตน กายวิเวกํ ทเสฺสติฯ สนฺตุสิโตติ สนฺตุโฎฺฐฯ เอเตน จตุปจฺจยสโนฺตสลกฺขณํ อริยวํสํ ทเสฺสติฯ สมาหิตโตฺตติ อุปจารปฺปนาเภเทน สมาธินา สมาหิตจิโตฺต, เอเตน จิตฺตวิเวกภาวนามุเขน ภาวนารามํ อริยวํสํ ทเสฺสติฯ วิชิตาวีติ สาสเน สมฺมาปฎิปชฺชเนฺตน วิเชตพฺพํ กิเลสคณํ วิชิตฺวา ฐิโต, เอเตน อุปธิวิเวกํ ทเสฺสติฯ ภยเหตูนํ กิเลสานํ อปคตตฺตา อเปตโลมหํโส, เอเตน สมฺมาปฎิปตฺติยา ผลํ ทเสฺสติฯ รกฺขนฺติ รกฺขโนฺตฯ กายคตาสตินฺติ กายารมฺมณํ สติํ, กายคตาสติกมฺมฎฺฐานํ ปริพฺรูหนวเสน อวิสฺสเชฺชโนฺตฯ ธิติมาติ ธีโร, สมาหิตตฺตํ วิชิตาวิภาวตํ วา อุปาทาย ปฎิปตฺติทสฺสนเมตํฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขปโตฺถ – โส ภิกฺขุ วิเวกสุขานุเปกฺขาย เอโก สีตวนํ อุปาคมิ, อุปาคโต จ โลลภาวาภาวโต สนฺตุโฎฺฐ ธิติมา กายคตาสติกมฺมฎฺฐานํ ภาเวโนฺต ตถาธิคตํ ฌานํ ปาทกํ กตฺวา อารทฺธวิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา อธิคเตน อคฺคมเคฺคน สมาหิโต วิชิตาวี จ หุตฺวา กตกิจฺจตาย ภยเหตูนํ สพฺพโส อปคตตฺตา อเปตโลมหํโส ชาโตติฯ
6. Yaṃ pana te bhikkhū sambhūtattherena vuttaṃ ‘‘yo sītavana’’nti gāthaṃ satthu nivedesuṃ. Tattha sītavananti evaṃnāmakaṃ rājagahasamīpe mahantaṃ bheravasusānavanaṃ. Upagāti nivāsanavasena upagacchi. Etena bhagavatā anuññātaṃ pabbajitānurūpaṃ nivāsanaṭṭhānaṃ dasseti. Bhikkhūti saṃsārabhayassa ikkhanato bhinnakilesatāya ca bhikkhu. Ekoti adutiyo, etena kāyavivekaṃ dasseti. Santusitoti santuṭṭho. Etena catupaccayasantosalakkhaṇaṃ ariyavaṃsaṃ dasseti. Samāhitattoti upacārappanābhedena samādhinā samāhitacitto, etena cittavivekabhāvanāmukhena bhāvanārāmaṃ ariyavaṃsaṃ dasseti. Vijitāvīti sāsane sammāpaṭipajjantena vijetabbaṃ kilesagaṇaṃ vijitvā ṭhito, etena upadhivivekaṃ dasseti. Bhayahetūnaṃ kilesānaṃ apagatattā apetalomahaṃso, etena sammāpaṭipattiyā phalaṃ dasseti. Rakkhanti rakkhanto. Kāyagatāsatinti kāyārammaṇaṃ satiṃ, kāyagatāsatikammaṭṭhānaṃ paribrūhanavasena avissajjento. Dhitimāti dhīro, samāhitattaṃ vijitāvibhāvataṃ vā upādāya paṭipattidassanametaṃ. Ayañhettha saṅkhepattho – so bhikkhu vivekasukhānupekkhāya eko sītavanaṃ upāgami, upāgato ca lolabhāvābhāvato santuṭṭho dhitimā kāyagatāsatikammaṭṭhānaṃ bhāvento tathādhigataṃ jhānaṃ pādakaṃ katvā āraddhavipassanaṃ ussukkāpetvā adhigatena aggamaggena samāhito vijitāvī ca hutvā katakiccatāya bhayahetūnaṃ sabbaso apagatattā apetalomahaṃso jātoti.
สีตวนิยเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sītavaniyattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๖. สีตวนิยเตฺถรคาถา • 6. Sītavaniyattheragāthā