Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อปทาน-อฎฺฐกถา • Apadāna-aṭṭhakathā

    ๓. สีวลิเตฺถรอปทานวณฺณนา

    3. Sīvalittheraapadānavaṇṇanā

    ตติยาปทาเน ปทุมุตฺตโร นาม ชิโนติอาทิกํ อายสฺมโต สีวลิเตฺถรสฺส อปทานํฯ อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยานิ ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล กุลเคเห นิพฺพโตฺต เหฎฺฐา วุตฺตนเยน วิหารํ คนฺตฺวา ปริสาย ปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ลาภีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยาปิ อนาคเต เอวรูเปน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ทสพลํ นิมเนฺตตฺวา สตฺตาหํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อิมินา อธิการกเมฺมน น อญฺญํ สมฺปตฺติํ ปเตฺถมิ, อนาคเต ปน เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อหมฺปิ ตุเมฺหหิ โส เอตทเคฺค ฐปิตภิกฺขุ วิย ลาภีนํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา ตสฺส อนนฺตรายตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ เต ปตฺถนา อนาคเต โคตมสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก สมิชฺฌิสฺสตี’’ติ พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ โส กุลปุโตฺต ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ อุภยสมฺปตฺติโย อนุภวิตฺวา วิปสฺสิสฺส ภควโต กาเล พนฺธุมตีนครโต อวิทูเร เอกสฺมิํ คามเก นิพฺพตฺติ, ตสฺมิํ สมเย พนฺธุมตีนครวาสิโน รญฺญา สทฺธิํ สากจฺฉิตฺวา ทสพลสฺส ทานํ อทํสุฯ

    Tatiyāpadāne padumuttaro nāma jinotiādikaṃ āyasmato sīvalittherassa apadānaṃ. Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayāni puññāni upacinanto padumuttarassa bhagavato kāle kulagehe nibbatto heṭṭhā vuttanayena vihāraṃ gantvā parisāya pariyante ṭhito dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ lābhīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā ‘‘mayāpi anāgate evarūpena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti dasabalaṃ nimantetvā sattāhaṃ buddhappamukhassa bhikkhasaṅghassa mahādānaṃ datvā, ‘‘bhante, iminā adhikārakammena na aññaṃ sampattiṃ patthemi, anāgate pana ekassa buddhassa sāsane ahampi tumhehi so etadagge ṭhapitabhikkhu viya lābhīnaṃ aggo bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Satthā tassa anantarāyataṃ disvā ‘‘ayaṃ te patthanā anāgate gotamassa buddhassa santike samijjhissatī’’ti byākaritvā pakkāmi. So kulaputto yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu ubhayasampattiyo anubhavitvā vipassissa bhagavato kāle bandhumatīnagarato avidūre ekasmiṃ gāmake nibbatti, tasmiṃ samaye bandhumatīnagaravāsino raññā saddhiṃ sākacchitvā dasabalassa dānaṃ adaṃsu.

    เอกทิวสํ สเพฺพ เอกโต หุตฺวา ทานํ เทนฺตา ‘‘กิํ นุ โข อมฺหากํ ทานเคฺค นตฺถี’’ติ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๐๗; เถรคา. อฎฺฐ. ๑.๕๙ สีวลิเตฺถรคาถาวณฺณนา) โอโลเกนฺตา มธุญฺจ คุฬทธิญฺจ นาทฺทสํสุฯ เต ‘‘ยโต กุโตจิ อาหริสฺสามา’’ติ ชนปทโต นครปวิสนมเคฺคสุ ปุริเส ฐเปสุํฯ ตทา เอส กุลปุโตฺต อตฺตโน คามโต คุฬทธิวารกํ คเหตฺวา ‘‘กิญฺจิเทว อาหริสฺสามี’’ติ นครํ คจฺฉโนฺต ‘‘มุขํ โธวิตฺวา โธตหตฺถปาโท ปวิสิสฺสามี’’ติ ผาสุกฎฺฐานํ โอโลเกโนฺต นงฺคลสีสปฺปมาณํ นิมฺมกฺขิกทณฺฑกมธุํ ทิสฺวา ‘‘ปุเญฺญน เม อิทํ อุปฺปนฺน’’นฺติ คเหตฺวา นครํ ปาวิสิฯ นาคเรหิ ฐปิตปุริโส ตํ ทิสฺวา, ‘‘มาริส, กสฺส อิมํ หรสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น กสฺสจิ, สามิ, วิกฺกายิกํ เม อิท’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ อิมํ กหาปณํ คเหตฺวา เอตํ มธุญฺจ คุฬทธิญฺจ เทหี’’ติฯ

    Ekadivasaṃ sabbe ekato hutvā dānaṃ dentā ‘‘kiṃ nu kho amhākaṃ dānagge natthī’’ti (a. ni. aṭṭha. 1.1.207; theragā. aṭṭha. 1.59 sīvalittheragāthāvaṇṇanā) olokentā madhuñca guḷadadhiñca nāddasaṃsu. Te ‘‘yato kutoci āharissāmā’’ti janapadato nagarapavisanamaggesu purise ṭhapesuṃ. Tadā esa kulaputto attano gāmato guḷadadhivārakaṃ gahetvā ‘‘kiñcideva āharissāmī’’ti nagaraṃ gacchanto ‘‘mukhaṃ dhovitvā dhotahatthapādo pavisissāmī’’ti phāsukaṭṭhānaṃ olokento naṅgalasīsappamāṇaṃ nimmakkhikadaṇḍakamadhuṃ disvā ‘‘puññena me idaṃ uppanna’’nti gahetvā nagaraṃ pāvisi. Nāgarehi ṭhapitapuriso taṃ disvā, ‘‘mārisa, kassa imaṃ harasī’’ti pucchi. ‘‘Na kassaci, sāmi, vikkāyikaṃ me ida’’nti. ‘‘Tena hi imaṃ kahāpaṇaṃ gahetvā etaṃ madhuñca guḷadadhiñca dehī’’ti.

    โส จิเนฺตสิ – ‘‘อิทํ เม น พหุํ อคฺฆติ, อยญฺจ เอกปฺปหาเรเนว พหุํ เทติ, วีมํสิสฺสามี’’ติฯ ตโต นํ อาห – ‘‘นาหํ เอกกหาปเณน เทมี’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ เทฺว กหาปเณ คเหตฺวา เทหี’’ติฯ ‘‘ทฺวีหิปิ น เทมี’’ติฯ เอเตนุปาเยน วเฑฺฒตฺวา ยาว สหสฺสํ ปาปุณิ, โส จิเนฺตสิ – ‘‘อติอญฺฉิตุํ น วฎฺฎติ, โหตุ ตาว อิมินา กตฺตพฺพกมฺมํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ ฯ อถ นํ อาห – ‘‘น อิทํ พหุอคฺฆนกํ, ตฺวํ ปน พหุํ เทสิ, เกน กเมฺมน อิทํ คณฺหสี’’ติฯ ‘‘อิธ, โภ, นครวาสิโน รญฺญา สทฺธิํ ปฎิวิรุชฺฌิตฺวา วิปสฺสิสมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ทานํ เทนฺตา อิทํ ทฺวยํ ทานเคฺค อปสฺสนฺตา มํ ปริเยสาเปนฺติฯ สเจ อิทํ ทฺวยํ น ลภิสฺสนฺติ, นาครานํ ปราชโย ภวิสฺสติฯ ตสฺมา สหสฺสํ ทตฺวา คณฺหามี’’ติฯ ‘‘กิํ ปเนตํ นาครานํ เอว วฎฺฎติ, อุทาหุ อเญฺญสมฺปิ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘ยสฺส กสฺสจิ ทาตุํ อวาริตเมต’’นฺติฯ ‘‘อตฺถิ ปน โกจิ นาครานํ ทาเน เอกทิวสํ สหสฺสํ ทาตา’’ติ? ‘‘นตฺถิ, สมฺมา’’ติฯ ‘‘อิเมสํ เม ทฺวินฺนํ สหสฺสคฺฆนกภาวํ ชานาสี’’ติ? ‘‘อาม, ชานามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ คจฺฉ, นาครานํ อาโรเจหิ – ‘เอโก ปุริโส อิมานิ เทฺว มูเลน น เทติ, ตุเมฺหหิ สทฺธิํ สหเตฺถเนว ทาตุกาโม, ตุเมฺห อิเมสํ ทฺวินฺนํ การณา นิพฺพิตกฺกา โหถา’’ติฯ ‘‘ตฺวํ อิมสฺมิํ ทาเน เชฎฺฐกภาคสฺส กายสกฺขี โหหี’’ติ วตฺวา คโตฯ โส ปน กุลปุโตฺต คามโต ปริพฺพยตฺถํ คหิตกหาปเณน ปญฺจกฎุกํ คเหตฺวา จุณฺณํ กตฺวา ทธิโต กญฺจิยํ วาเหตฺวา ตตฺถ มธุปฎลํ ปีเฬตฺวา ปญฺจกฎุกจุเณฺณน โยเชตฺวา ปทุมินิปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา ตํ สํวิทหิตฺวา อาทาย ทสพลสฺส อวิทูเร นิสีทิฯ มหาชเนหิ อาหริยมานสฺส สกฺการสฺส อนฺตเร อตฺตโน ปตฺตวารํ โอโลเกโนฺต โอกาสํ ญตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อยํ เม ทุคฺคตสกฺกาโร, อิมํ เม อนุกมฺปํ ปฎิจฺจ ปฎิคฺคณฺหถา’’ติฯ สตฺถา ตสฺสานุกมฺปํ ปฎิจฺจ จตุมหาราเชหิ ทตฺติเยน เสลมยปเตฺตน ตํ ปฎิคฺคเหตฺวา ยถา อฎฺฐสฎฺฐิยา ภิกฺขุสตสหสฺสสฺส ทิยฺยมานํ น ขียติ, เอวํ อธิฎฺฐาสิฯ

    So cintesi – ‘‘idaṃ me na bahuṃ agghati, ayañca ekappahāreneva bahuṃ deti, vīmaṃsissāmī’’ti. Tato naṃ āha – ‘‘nāhaṃ ekakahāpaṇena demī’’ti. ‘‘Yadi evaṃ dve kahāpaṇe gahetvā dehī’’ti. ‘‘Dvīhipi na demī’’ti. Etenupāyena vaḍḍhetvā yāva sahassaṃ pāpuṇi, so cintesi – ‘‘atiañchituṃ na vaṭṭati, hotu tāva iminā kattabbakammaṃ pucchissāmī’’ti . Atha naṃ āha – ‘‘na idaṃ bahuagghanakaṃ, tvaṃ pana bahuṃ desi, kena kammena idaṃ gaṇhasī’’ti. ‘‘Idha, bho, nagaravāsino raññā saddhiṃ paṭivirujjhitvā vipassisammāsambuddhassa dānaṃ dentā idaṃ dvayaṃ dānagge apassantā maṃ pariyesāpenti. Sace idaṃ dvayaṃ na labhissanti, nāgarānaṃ parājayo bhavissati. Tasmā sahassaṃ datvā gaṇhāmī’’ti. ‘‘Kiṃ panetaṃ nāgarānaṃ eva vaṭṭati, udāhu aññesampi dātuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Yassa kassaci dātuṃ avāritameta’’nti. ‘‘Atthi pana koci nāgarānaṃ dāne ekadivasaṃ sahassaṃ dātā’’ti? ‘‘Natthi, sammā’’ti. ‘‘Imesaṃ me dvinnaṃ sahassagghanakabhāvaṃ jānāsī’’ti? ‘‘Āma, jānāmī’’ti. ‘‘Tena hi gaccha, nāgarānaṃ ārocehi – ‘eko puriso imāni dve mūlena na deti, tumhehi saddhiṃ sahattheneva dātukāmo, tumhe imesaṃ dvinnaṃ kāraṇā nibbitakkā hothā’’ti. ‘‘Tvaṃ imasmiṃ dāne jeṭṭhakabhāgassa kāyasakkhī hohī’’ti vatvā gato. So pana kulaputto gāmato paribbayatthaṃ gahitakahāpaṇena pañcakaṭukaṃ gahetvā cuṇṇaṃ katvā dadhito kañciyaṃ vāhetvā tattha madhupaṭalaṃ pīḷetvā pañcakaṭukacuṇṇena yojetvā paduminipatte pakkhipitvā taṃ saṃvidahitvā ādāya dasabalassa avidūre nisīdi. Mahājanehi āhariyamānassa sakkārassa antare attano pattavāraṃ olokento okāsaṃ ñatvā satthu santikaṃ gantvā, ‘‘bhante, ayaṃ me duggatasakkāro, imaṃ me anukampaṃ paṭicca paṭiggaṇhathā’’ti. Satthā tassānukampaṃ paṭicca catumahārājehi dattiyena selamayapattena taṃ paṭiggahetvā yathā aṭṭhasaṭṭhiyā bhikkhusatasahassassa diyyamānaṃ na khīyati, evaṃ adhiṭṭhāsi.

    โส กุลปุโตฺต นิฎฺฐิตภตฺตกิจฺจํ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน อาห – ‘‘ทิโฎฺฐ เม, ภเนฺต ภควา, อชฺช พนฺธุมตีนครวาสีหิ ตุมฺหากํ สกฺกาโร อาหริยมาโน, อหมฺปิ อิมสฺส นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตภเว ลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต ภเวยฺย’’นฺติฯ สตฺถา ‘‘เอวํ โหตุ กุลปุตฺตา’’ติ วตฺวา ตสฺส จ นครวาสีนญฺจ ภตฺตานุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ โส กุลปุโตฺต ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สุปฺปวาสาย ราชธีตุยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหณกาลโต ปฎฺฐาย สายํ ปาตญฺจ ปญฺจปณฺณาการสตานิ สุปฺปวาสาย อุปนียนฺติฯ อถสฺส สา ปุญฺญวีมํสนตฺถํ หเตฺถน พีชปจฺฉิํ ผุสาเปนฺตี อฎฺฐาสิฯ เอเกกพีชโต สลากสตํ สลากสหสฺสมฺปิ นิคฺคจฺฉติ, เอเกกกรีสเขตฺตโต ปณฺณาสมฺปิ สฎฺฐิปิ สกฎปมาณานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ โกฎฺฐปูรณกาเลปิสฺสา โกฎฺฐทฺวารํ หเตฺถน ผุสนฺติยา ราชธีตาย ปุเญฺญน คณฺหนฺตานํ คหิตคหิตํ ปุน ปูรติฯ ปริปุณฺณภตฺตกุมฺภิโตปิ ‘‘ราชธีตาย ปุญฺญ’’นฺติ วตฺวา ยสฺส กสฺสจิ เทนฺตา นํ ยาว น อุกฺกฑฺฒนฺติ, น ตาว ภตฺตํ ขียติฯ ทารเก กุจฺฉิคเตเยว สตฺต วสฺสานิ อติกฺกมิํสุฯ

    So kulaputto niṭṭhitabhattakiccaṃ bhagavantaṃ vanditvā ekamantaṃ nisinno āha – ‘‘diṭṭho me, bhante bhagavā, ajja bandhumatīnagaravāsīhi tumhākaṃ sakkāro āhariyamāno, ahampi imassa nissandena nibbattanibbattabhave lābhaggayasaggappatto bhaveyya’’nti. Satthā ‘‘evaṃ hotu kulaputtā’’ti vatvā tassa ca nagaravāsīnañca bhattānumodanaṃ katvā pakkāmi. So kulaputto yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde suppavāsāya rājadhītuyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Tassa paṭisandhiggahaṇakālato paṭṭhāya sāyaṃ pātañca pañcapaṇṇākārasatāni suppavāsāya upanīyanti. Athassa sā puññavīmaṃsanatthaṃ hatthena bījapacchiṃ phusāpentī aṭṭhāsi. Ekekabījato salākasataṃ salākasahassampi niggacchati, ekekakarīsakhettato paṇṇāsampi saṭṭhipi sakaṭapamāṇāni uppajjanti. Koṭṭhapūraṇakālepissā koṭṭhadvāraṃ hatthena phusantiyā rājadhītāya puññena gaṇhantānaṃ gahitagahitaṃ puna pūrati. Paripuṇṇabhattakumbhitopi ‘‘rājadhītāya puñña’’nti vatvā yassa kassaci dentā naṃ yāva na ukkaḍḍhanti, na tāva bhattaṃ khīyati. Dārake kucchigateyeva satta vassāni atikkamiṃsu.

    คเพฺภ ปน ปริปเกฺก สตฺตาหํ มหาทุกฺขํ อนุโภสิฯ สา สามิกํ อามเนฺตตฺวา – ‘‘ปุเร มรณา ชีวมานา ทานํ ทสฺสามี’’ติ สตฺถุ สนฺติกํ เปเสสิ – ‘‘คจฺฉ, สามิ, อิมํ ปวตฺติํ สตฺถุ อาโรเจตฺวา สตฺถารํ นิมเนฺตหิ, ยญฺจ สตฺถา วทติ, ตํ สาธุกํ อุปลเกฺขตฺวา อาคนฺตฺวา มยฺหํ กเถหี’’ติฯ โส คนฺตฺวา ตสฺสา สาสนํ สตฺถุ อาโรเจสิ – ‘‘สตฺถุ ภเนฺต, โกฬิยธีตา ปาเท วนฺทตี’’ติฯ สตฺถา ตสฺสา อนุกมฺปํ ปฎิจฺจ – ‘‘สุขินี โหตุ สุปฺปวาสา โกฬิยธีตา อโรคา, อโรคํ ปุตฺตํ วิชายตู’’ติ อาหฯ โส ตํ สุตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน คามาภิมุโข ปายาสิฯ ตสฺส ปุเร อาคมนาเยว สุปฺปวาสาย กุจฺฉิโต ธมฺมกรณโต อุทกํ วิย คโพฺภ นิกฺขมิ, ปริวาเรตฺวา นิสินฺนชโน อสฺสุมุโข โรทิตุํ อารโทฺธ หฎฺฐตุโฎฺฐว ตสฺสา สามิกสฺส ตุฎฺฐิสาสนํ อาโรเจตุํ อคมาสิฯ โส เตสํ อิงฺคิตํ ทิสฺวา – ‘‘ทสพเลน กถิตกถา นิปฺผนฺนา ภวิสฺสติ มเญฺญ’’ติ จิเนฺตสิฯ โส อาคนฺตฺวา สตฺถุ กถํ ราชธีตาย กเถสิฯ ราชธีตา ตยา นิมนฺติตํ ชีวภตฺตเมว มงฺคลภตฺตํ ภวิสฺสติ, คจฺฉ สตฺตาหํ ทสพลํ นิมเนฺตหีติฯ โส ตถา อกาสิฯ สตฺตาหํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ปวตฺตยิํสุฯ โส ทารโก ญาตีนํ สนฺตตฺตจิตฺตํ นิพฺพาเปโนฺต สีตลภาวํ กุรุมาโน ชาโตติ, สีวลิเตฺวว นามํ กริํสุฯ โส สตฺต วสฺสานิ คเพฺภ วสิตตฺตา ชาตกาลโต ปฎฺฐาย สพฺพกมฺมกฺขโม อโหสิฯ ธมฺมเสนาปติ สาริปุตฺตเตฺถโร สตฺตเม ทิวเส เตน สทฺธิํ กถาสลฺลาปมกาสิฯ สตฺถาปิ อิมํ คาถํ อภาสิ –

    Gabbhe pana paripakke sattāhaṃ mahādukkhaṃ anubhosi. Sā sāmikaṃ āmantetvā – ‘‘pure maraṇā jīvamānā dānaṃ dassāmī’’ti satthu santikaṃ pesesi – ‘‘gaccha, sāmi, imaṃ pavattiṃ satthu ārocetvā satthāraṃ nimantehi, yañca satthā vadati, taṃ sādhukaṃ upalakkhetvā āgantvā mayhaṃ kathehī’’ti. So gantvā tassā sāsanaṃ satthu ārocesi – ‘‘satthu bhante, koḷiyadhītā pāde vandatī’’ti. Satthā tassā anukampaṃ paṭicca – ‘‘sukhinī hotu suppavāsā koḷiyadhītā arogā, arogaṃ puttaṃ vijāyatū’’ti āha. So taṃ sutvā bhagavantaṃ vanditvā attano gāmābhimukho pāyāsi. Tassa pure āgamanāyeva suppavāsāya kucchito dhammakaraṇato udakaṃ viya gabbho nikkhami, parivāretvā nisinnajano assumukho rodituṃ āraddho haṭṭhatuṭṭhova tassā sāmikassa tuṭṭhisāsanaṃ ārocetuṃ agamāsi. So tesaṃ iṅgitaṃ disvā – ‘‘dasabalena kathitakathā nipphannā bhavissati maññe’’ti cintesi. So āgantvā satthu kathaṃ rājadhītāya kathesi. Rājadhītā tayā nimantitaṃ jīvabhattameva maṅgalabhattaṃ bhavissati, gaccha sattāhaṃ dasabalaṃ nimantehīti. So tathā akāsi. Sattāhaṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ pavattayiṃsu. So dārako ñātīnaṃ santattacittaṃ nibbāpento sītalabhāvaṃ kurumāno jātoti, sīvalitveva nāmaṃ kariṃsu. So satta vassāni gabbhe vasitattā jātakālato paṭṭhāya sabbakammakkhamo ahosi. Dhammasenāpati sāriputtatthero sattame divase tena saddhiṃ kathāsallāpamakāsi. Satthāpi imaṃ gāthaṃ abhāsi –

    ‘‘โยมํ ปลิปถํ ทุคฺคํ, สํสารํ โมหมจฺจคา;

    ‘‘Yomaṃ palipathaṃ duggaṃ, saṃsāraṃ mohamaccagā;

    ติโณฺณ ปารงฺคโต ฌายี, อเนโช อกถํกถี;

    Tiṇṇo pāraṅgato jhāyī, anejo akathaṃkathī;

    อนุปาทาย นิพฺพุโต, ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณ’’นฺติฯ (ธ. ป. ๔๑๔; สุ. นิ. ๖๔๓);

    Anupādāya nibbuto, tamahaṃ brūmi brāhmaṇa’’nti. (dha. pa. 414; su. ni. 643);

    อถ นํ เถโร เอวมาห – ‘‘กิํ ปน ตยา เอวรูปํ ทุกฺขํ อนุภวิตฺวา ปพฺพชิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘ลภโนฺต ปพฺพเชยฺยํ, ภเนฺต’’ติฯ สุปฺปวาสา ตํ เถเรน สทฺธิํ กเถนฺตํ ทิสฺวา – ‘‘กิํ นุ โข เม ปุโตฺต ธมฺมเสนาปตินา กเถตี’’ติ เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กิํ กเถติ, ภเนฺต’’ติ? อตฺตนา อนุภุตฺตคพฺภวาสทุกฺขํ กเถตฺวา – ‘‘ตุเมฺหหิ อนุญฺญาโต ปพฺพชิสฺสามี’’ติ วทตีติฯ ‘‘สาธุ ภเนฺต, ปพฺพาเชถ น’’นฺติฯ เถโร ตํ วิหารํ เนตฺวา ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ ทตฺวา ปพฺพาเชโนฺต, ‘‘สีวลิ , ตุยฺหํ อเญฺญน โอวาเทน กมฺมํ นตฺถิ, ตยา สตฺต วสฺสานิ อนุภุตฺตทุกฺขเมว ปจฺจเวกฺขาหี’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, ปพฺพชฺชาเยว ตุมฺหากํ ภาโร, ยํ ปน มยา สกฺกา กาตุํ, ตมหํ ชานิสฺสามี’’ติฯ โส ปน ปฐมเกสวฎฺฎิยา โอโรปิตกฺขเณเยว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิ, ทุติยาย โอโรปิตกฺขเณ สกทาคามิผเล, ตติยาย อนาคามิผเล ปติฎฺฐาสิฯ สเพฺพสํเยว เกสานํ โอโรปนญฺจ อรหตฺตผลสจฺฉิกิริยา จ อปุเร อปจฺฉา อโหสิฯ

    Atha naṃ thero evamāha – ‘‘kiṃ pana tayā evarūpaṃ dukkhaṃ anubhavitvā pabbajituṃ na vaṭṭatī’’ti? ‘‘Labhanto pabbajeyyaṃ, bhante’’ti. Suppavāsā taṃ therena saddhiṃ kathentaṃ disvā – ‘‘kiṃ nu kho me putto dhammasenāpatinā kathetī’’ti theraṃ upasaṅkamitvā pucchi – ‘‘mayhaṃ putto tumhehi saddhiṃ kiṃ katheti, bhante’’ti? Attanā anubhuttagabbhavāsadukkhaṃ kathetvā – ‘‘tumhehi anuññāto pabbajissāmī’’ti vadatīti. ‘‘Sādhu bhante, pabbājetha na’’nti. Thero taṃ vihāraṃ netvā tacapañcakakammaṭṭhānaṃ datvā pabbājento, ‘‘sīvali , tuyhaṃ aññena ovādena kammaṃ natthi, tayā satta vassāni anubhuttadukkhameva paccavekkhāhī’’ti. ‘‘Bhante, pabbajjāyeva tumhākaṃ bhāro, yaṃ pana mayā sakkā kātuṃ, tamahaṃ jānissāmī’’ti. So pana paṭhamakesavaṭṭiyā oropitakkhaṇeyeva sotāpattiphale patiṭṭhāsi, dutiyāya oropitakkhaṇe sakadāgāmiphale, tatiyāya anāgāmiphale patiṭṭhāsi. Sabbesaṃyeva kesānaṃ oropanañca arahattaphalasacchikiriyā ca apure apacchā ahosi.

    อถ ภิกฺขุสเงฺฆ กถา อุทปาทิ – ‘‘อโห เอวํ ปุญฺญวาปิ เถโร สตฺตมาสาธิกานิ สตฺต สํวจฺฉรานิ มาตุคเพฺภ วสิตฺวา สตฺต ทิวสานิ มูฬฺหคเพฺภ วสี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา – ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา – ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต – ‘‘น, ภิกฺขเว, อิมินา กุลปุเตฺตน อิมาย ชาติยา กตกมฺม’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริตฺวา อตีเต, ภิกฺขเว, พุทฺธุปฺปาทโต ปุเรตรเมว เอส กุลปุโตฺต พาราณสิยํ ราชกุเล นิพฺพโตฺต, ปิตุ อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐาย วิภวสมฺปโนฺน ปากโฎ อโหสิฯ ตทา เอโก ปจฺจนฺตราชา ‘‘รชฺชํ คณฺหิสฺสามี’’ติ อาคนฺตฺวา นครํ อุปรุนฺธิตฺวา ขนฺธาวารํ กาเรตฺวา วิหาสิฯ อถ ราชา มาตุยา สทฺธิํ สมานจฺฉโนฺท หุตฺวา สตฺตาหํ ขนฺธาวารนคเร จตูสุ ทิสาสุ ทฺวารํ ปิธาเปสิ, นิกฺขมนฺตานํ ปวิสนฺตานญฺจ ทฺวารมูฬฺหํ อโหสิฯ อถ มิคทายวิหาเร ปเจฺจกพุทฺธา อุโคฺฆเสสุํฯ ราชา สุตฺวา ทฺวารํ วิวราเปสีติฯ ปจฺจนฺตราชาปิ ปลายิฯ โส เตน กมฺมวิปาเกน นรกาทีสุ ทุกฺขมนุภวิตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชกุเล นิพฺพโตฺตปิ มาตุยา สทฺธิํ อิมํ เอวรูปํ ทุกฺขมนุภวิฯ ตสฺส ปน ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย ภิกฺขุสงฺฆสฺส จตฺตาโร ปจฺจยา ยทิจฺฉกํ อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวํ เอตฺถ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ

    Atha bhikkhusaṅghe kathā udapādi – ‘‘aho evaṃ puññavāpi thero sattamāsādhikāni satta saṃvaccharāni mātugabbhe vasitvā satta divasāni mūḷhagabbhe vasī’’ti. Satthā āgantvā – ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā – ‘‘imāya nāmā’’ti vutte – ‘‘na, bhikkhave, iminā kulaputtena imāya jātiyā katakamma’’nti vatvā atītaṃ āharitvā atīte, bhikkhave, buddhuppādato puretarameva esa kulaputto bārāṇasiyaṃ rājakule nibbatto, pitu accayena rajje patiṭṭhāya vibhavasampanno pākaṭo ahosi. Tadā eko paccantarājā ‘‘rajjaṃ gaṇhissāmī’’ti āgantvā nagaraṃ uparundhitvā khandhāvāraṃ kāretvā vihāsi. Atha rājā mātuyā saddhiṃ samānacchando hutvā sattāhaṃ khandhāvāranagare catūsu disāsu dvāraṃ pidhāpesi, nikkhamantānaṃ pavisantānañca dvāramūḷhaṃ ahosi. Atha migadāyavihāre paccekabuddhā ugghosesuṃ. Rājā sutvā dvāraṃ vivarāpesīti. Paccantarājāpi palāyi. So tena kammavipākena narakādīsu dukkhamanubhavitvā imasmiṃ buddhuppāde rājakule nibbattopi mātuyā saddhiṃ imaṃ evarūpaṃ dukkhamanubhavi. Tassa pana pabbajitakālato paṭṭhāya bhikkhusaṅghassa cattāro paccayā yadicchakaṃ uppajjanti. Evaṃ ettha vatthu samuṭṭhitaṃ.

    อปรภาเค สตฺถา สาวตฺถิํ อคมาสิฯ เถโร ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ ปุญฺญพลํ วีมํสิสฺสามิ, ปญฺจภิกฺขุสตานิ เทถา’’ติฯ ‘‘คณฺห, สีวลี’’ติฯ โส ปญฺจสเต ภิกฺขู คเหตฺวา หิมวนฺตาภิมุขํ คจฺฉโนฺต อฎวิมคฺคํ คจฺฉติฯ ตสฺส ปฐมํ ทิฎฺฐนิโคฺรเธ อธิวตฺถา เทวตา สตฺต ทิวสานิ ทานํ อทาสิฯ อิติ โส –

    Aparabhāge satthā sāvatthiṃ agamāsi. Thero bhagavantaṃ abhivādetvā, ‘‘bhante, mayhaṃ puññabalaṃ vīmaṃsissāmi, pañcabhikkhusatāni dethā’’ti. ‘‘Gaṇha, sīvalī’’ti. So pañcasate bhikkhū gahetvā himavantābhimukhaṃ gacchanto aṭavimaggaṃ gacchati. Tassa paṭhamaṃ diṭṭhanigrodhe adhivatthā devatā satta divasāni dānaṃ adāsi. Iti so –

    ‘‘นิโคฺรธํ ปฐมํ ปสฺสิ, ทุติยํ ปณฺฑวปพฺพตํ;

    ‘‘Nigrodhaṃ paṭhamaṃ passi, dutiyaṃ paṇḍavapabbataṃ;

    ตติยํ อจิรวติยํ, จตุตฺถํ วรสาครํฯ

    Tatiyaṃ aciravatiyaṃ, catutthaṃ varasāgaraṃ.

    ‘‘ปญฺจมํ หิมวนฺตํ โส, ฉฎฺฐํ ฉทฺทนฺตุปาคมิ;

    ‘‘Pañcamaṃ himavantaṃ so, chaṭṭhaṃ chaddantupāgami;

    สตฺตมํ คนฺธมาทนํ, อฎฺฐมํ อถ เรวต’’นฺติฯ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๐๗; เถรคา. อฎฺฐ. ๑.๕๙ สีวลิเตฺถรคาถาวณฺณนา) –

    Sattamaṃ gandhamādanaṃ, aṭṭhamaṃ atha revata’’nti. (a. ni. aṭṭha. 1.1.207; theragā. aṭṭha. 1.59 sīvalittheragāthāvaṇṇanā) –

    สพฺพฎฺฐาเนสุ สตฺต สตฺต ทิวสาเนว ทานํ อทํสุฯ คนฺธมาทนปพฺพเต ปน นาคทตฺตเทวราชา สตฺตสุ ทิวเสสุ เอกทิวสํ ขีรปิณฺฑปาตํ อทาสิ, เอกทิวสํ สปฺปิปิณฺฑปาตํ อทาสิฯ อถ นํ ภิกฺขุสโงฺฆ อาห – ‘‘อาวุโส, อิมสฺส เทวรโญฺญ เนว เธนุโย ทุยฺหมานา ปญฺญายนฺติ, น ทธินิมฺมถนํ, กุโต เต, เทวราช, อิทํ อุปฺปชฺชตี’’ติ? ‘‘ภเนฺต, กสฺสปทสพลสฺส กาเล ขีรสลากภตฺตทานเสฺสตํ ผล’’นฺติ เทวราชา อาหฯ

    Sabbaṭṭhānesu satta satta divasāneva dānaṃ adaṃsu. Gandhamādanapabbate pana nāgadattadevarājā sattasu divasesu ekadivasaṃ khīrapiṇḍapātaṃ adāsi, ekadivasaṃ sappipiṇḍapātaṃ adāsi. Atha naṃ bhikkhusaṅgho āha – ‘‘āvuso, imassa devarañño neva dhenuyo duyhamānā paññāyanti, na dadhinimmathanaṃ, kuto te, devarāja, idaṃ uppajjatī’’ti? ‘‘Bhante, kassapadasabalassa kāle khīrasalākabhattadānassetaṃ phala’’nti devarājā āha.

    อปรภาเค สตฺถา ขทิรวนิยเรวตเตฺถรสฺส ปจฺจุคฺคมนํ อกาสิฯ กถํ? อถายสฺมา สาริปุโตฺต สตฺถารํ อาห – ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ กิร กนิฎฺฐภาตา เรวโต ปพฺพชิโต, โส อภิรเมยฺย วา น วา, คนฺตฺวา นํ ปสฺสิสฺสามี’’ติฯ ภควา เรวตสฺส อารทฺธวิปสฺสกภาวํ ญตฺวา เทฺว วาเร ปฎิกฺขิปิตฺวา ตติยวาเร ยาจิโต อรหตฺตปฺปตฺตภาวํ ญตฺวา – สาริปุตฺต, อหมฺปิ คมิสฺสามิ ภิกฺขูนํ อาโรเจหีติฯ เถโร ภิกฺขู สนฺนิปาตาเปตฺวา – ‘‘อาวุโส, สตฺถา จาริกํ จริตุกาโม, คนฺตุกามา อาคจฺฉนฺตู’’ติ สเพฺพสํเยว อาโรเจสิฯ ทสพลสฺส จาริกตฺถาย คมนกาเล โอหิยฺยมานกภิกฺขู นาม อปฺปกา โหนฺติ, ‘‘สตฺถุ สุวณฺณวณฺณํ สรีรํ ปสฺสิสฺสาม, มธุรธมฺมกถํ วา สุณิสฺสามา’’ติ เยภุเยฺยน คนฺตุกามา พหุตราว โหนฺติฯ อิติ สตฺถา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร ‘‘เรวตํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ นิกฺขโนฺตฯ

    Aparabhāge satthā khadiravaniyarevatattherassa paccuggamanaṃ akāsi. Kathaṃ? Athāyasmā sāriputto satthāraṃ āha – ‘‘bhante, mayhaṃ kira kaniṭṭhabhātā revato pabbajito, so abhirameyya vā na vā, gantvā naṃ passissāmī’’ti. Bhagavā revatassa āraddhavipassakabhāvaṃ ñatvā dve vāre paṭikkhipitvā tatiyavāre yācito arahattappattabhāvaṃ ñatvā – sāriputta, ahampi gamissāmi bhikkhūnaṃ ārocehīti. Thero bhikkhū sannipātāpetvā – ‘‘āvuso, satthā cārikaṃ caritukāmo, gantukāmā āgacchantū’’ti sabbesaṃyeva ārocesi. Dasabalassa cārikatthāya gamanakāle ohiyyamānakabhikkhū nāma appakā honti, ‘‘satthu suvaṇṇavaṇṇaṃ sarīraṃ passissāma, madhuradhammakathaṃ vā suṇissāmā’’ti yebhuyyena gantukāmā bahutarāva honti. Iti satthā mahābhikkhusaṅghaparivāro ‘‘revataṃ passissāmā’’ti nikkhanto.

    อเถกสฺมิํ ปเทเส อานนฺทเตฺถโร เทฺวธาปถํ ปตฺวา ภควนฺตํ ปุจฺฉิ – ‘‘ภเนฺต, อิมสฺมิํ ฐาเน เทฺวธาปโถ, กตรมเคฺคน ภิกฺขุสโงฺฆ คจฺฉตู’’ติ? ‘‘กตรมโคฺค, อานนฺท, อุชุโก’’ติ? ‘‘ภเนฺต, อุชุมโคฺค ติํสโยชนิโก อมนุสฺสปโถฯ ปริหารมโคฺค ปน สฎฺฐิโยชนิโก เขโม สุภิโกฺข’’ติฯ ‘‘อานนฺท, สีวลิ, อเมฺหหิ สทฺธิํ อาคโต’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต, อาคโต’’ติฯ ‘‘เตน หิ สโงฺฆ อุชุมคฺคเมว คจฺฉตุ, สีวลิสฺส ปุญฺญํ วีมํสิสฺสามา’’ติฯ สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร สีวลิเตฺถรสฺส ปุญฺญวีมํสนตฺถํ ติํสโยชนมคฺคํ อภิรุหิ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๐๓)ฯ

    Athekasmiṃ padese ānandatthero dvedhāpathaṃ patvā bhagavantaṃ pucchi – ‘‘bhante, imasmiṃ ṭhāne dvedhāpatho, kataramaggena bhikkhusaṅgho gacchatū’’ti? ‘‘Kataramaggo, ānanda, ujuko’’ti? ‘‘Bhante, ujumaggo tiṃsayojaniko amanussapatho. Parihāramaggo pana saṭṭhiyojaniko khemo subhikkho’’ti. ‘‘Ānanda, sīvali, amhehi saddhiṃ āgato’’ti? ‘‘Āma, bhante, āgato’’ti. ‘‘Tena hi saṅgho ujumaggameva gacchatu, sīvalissa puññaṃ vīmaṃsissāmā’’ti. Satthā bhikkhusaṅghaparivāro sīvalittherassa puññavīmaṃsanatthaṃ tiṃsayojanamaggaṃ abhiruhi (a. ni. aṭṭha. 1.1.203).

    มคฺคํ อภิรุหนฎฺฐานโต ปฎฺฐาย เทวสโงฺฆ โยชเน โยชเน ฐาเน นครํ มาเปตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส วสนตฺถาย วิหาเร ปฎิยาเทสิฯ เทวปุตฺตา รญฺญา เปสิตกมฺมการา วิย หุตฺวา ยาคุขชฺชกาทีนิ คเหตฺวา – ‘‘กหํ, อโยฺย สีวลี’’ติ ปุจฺฉนฺตา คจฺฉนฺติฯ เถโร สกฺการสมฺมานํ คาหาเปตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คจฺฉติฯ สตฺถา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ ปริภุญฺชิฯ อิมินาว นิยาเมน สตฺถา สกฺการํ อนุภวโนฺต เทวสิกํ โยชนปรมํ คนฺตฺวา ติํสโยชนิกํ กนฺตารํ อติกฺกมฺม ขทิรวนิยเรวตเตฺถรสฺส วสนฎฺฐานํ ปโตฺต, เถโร สตฺถุ อาคมนํ ญตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐาเน พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปโหนกวิหาเร ทสพลสฺส คนฺธกุฎิํ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานานิ จ อิทฺธิยา มาเปตฺวา ตถาคตสฺส ปจฺจุคฺคมนํ คโตฯ สตฺถา อลงฺกตปฎิยเตฺตน มเคฺคน วิหารํ ปาวิสิฯ อถ ตถาคเต คนฺธกุฎิํ ปวิเฎฺฐ ภิกฺขู วสฺสเคฺคน ปตฺตเสนาสนานิ ปวิสิํสุฯ เทวตา ‘‘อกาโล อาหารสฺสา’’ติ อฎฺฐวิธํ ปานกํ อาหริํสุฯ สตฺถา สเงฺฆน สทฺธิํ ปานกํ ปิวิฯ อิมินา นิยาเมเนว ตถาคตสฺส สกฺการสมฺมานํ อนุภวนฺตเสฺสว อทฺธมาโส อติกฺกโนฺตฯ

    Maggaṃ abhiruhanaṭṭhānato paṭṭhāya devasaṅgho yojane yojane ṭhāne nagaraṃ māpetvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa vasanatthāya vihāre paṭiyādesi. Devaputtā raññā pesitakammakārā viya hutvā yāgukhajjakādīni gahetvā – ‘‘kahaṃ, ayyo sīvalī’’ti pucchantā gacchanti. Thero sakkārasammānaṃ gāhāpetvā satthu santikaṃ gacchati. Satthā bhikkhusaṅghena saddhiṃ paribhuñji. Imināva niyāmena satthā sakkāraṃ anubhavanto devasikaṃ yojanaparamaṃ gantvā tiṃsayojanikaṃ kantāraṃ atikkamma khadiravaniyarevatattherassa vasanaṭṭhānaṃ patto, thero satthu āgamanaṃ ñatvā attano vasanaṭṭhāne buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa pahonakavihāre dasabalassa gandhakuṭiṃ rattiṭṭhānadivāṭṭhānāni ca iddhiyā māpetvā tathāgatassa paccuggamanaṃ gato. Satthā alaṅkatapaṭiyattena maggena vihāraṃ pāvisi. Atha tathāgate gandhakuṭiṃ paviṭṭhe bhikkhū vassaggena pattasenāsanāni pavisiṃsu. Devatā ‘‘akālo āhārassā’’ti aṭṭhavidhaṃ pānakaṃ āhariṃsu. Satthā saṅghena saddhiṃ pānakaṃ pivi. Iminā niyāmeneva tathāgatassa sakkārasammānaṃ anubhavantasseva addhamāso atikkanto.

    อเถกเจฺจ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขู เอกสฺมิํ ฐาเน นิสีทิตฺวา กถํ อุปฺปาทยิํสุ – ‘‘ทสพโล ‘มยฺหํ อคฺคสาวกสฺส กนิฎฺฐภาตา’ติ วตฺวา เอวรูปํ นวกมฺมิกํ ภิกฺขุํ ปสฺสิตุํ อาคโต, อิมสฺส วิหารสฺส สนฺติเก เชตวนวิหาโร วา เวฬุวนวิหาราทโย วา กิํ กริสฺสนฺติ? อยมฺปิ ภิกฺขุ เอวรูปสฺส นวกมฺมสฺส การโก, กิํ นาม สมณธมฺมํ กริสฺสตี’’ติ? อถ สตฺถา จิเนฺตสิ – ‘‘มยิ อิธ จิรํ วสเนฺต อิทํ ฐานํ อากิณฺณํ ภวิสฺสติ, อารญฺญกา นาม ภิกฺขู ปวิเวกตฺถิกา โหนฺติ, เรวตสฺส ผาสุวิหาโร น ภวิสฺสตี’’ติฯ ตโต เถรสฺส ทิวาฎฺฐานํ คโตฯ เถโรปิ เอกโกว จงฺกมนโกฎิยํ อาลมฺพนผลกํ นิสฺสาย ปาสาณผลเก นิสิโนฺน สตฺถารํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา วนฺทิฯ

    Athekacce ukkaṇṭhitabhikkhū ekasmiṃ ṭhāne nisīditvā kathaṃ uppādayiṃsu – ‘‘dasabalo ‘mayhaṃ aggasāvakassa kaniṭṭhabhātā’ti vatvā evarūpaṃ navakammikaṃ bhikkhuṃ passituṃ āgato, imassa vihārassa santike jetavanavihāro vā veḷuvanavihārādayo vā kiṃ karissanti? Ayampi bhikkhu evarūpassa navakammassa kārako, kiṃ nāma samaṇadhammaṃ karissatī’’ti? Atha satthā cintesi – ‘‘mayi idha ciraṃ vasante idaṃ ṭhānaṃ ākiṇṇaṃ bhavissati, āraññakā nāma bhikkhū pavivekatthikā honti, revatassa phāsuvihāro na bhavissatī’’ti. Tato therassa divāṭṭhānaṃ gato. Theropi ekakova caṅkamanakoṭiyaṃ ālambanaphalakaṃ nissāya pāsāṇaphalake nisinno satthāraṃ dūratova āgacchantaṃ disvā paccuggantvā vandi.

    อถ นํ สตฺถา ปุจฺฉิ – ‘‘เรวต, อิทํ วาฬมิคฎฺฐานํ, จณฺฑานํ หตฺถิอสฺสาทีนํ สทฺทํ สุตฺวา กิํ กโรสี’’ติ? ‘‘เตสํ เม, ภเนฺต, สทฺทํ สุณโต อรญฺญปีติ นาม อุปฺปนฺนา’’ติฯ สตฺถา อิมสฺมิํ ฐาเน เรวตเตฺถรสฺส ปญฺจหิ คาถาสเตหิ อรญฺญานิสํสํ นาม กเถตฺวา ปุนทิวเส อวิทูรฎฺฐาเน ปิณฺฑาย จริตฺวา เรวตเตฺถรํ อามเนฺตตฺวา เยหิ ภิกฺขูหิ เถรสฺส อวโณฺณ กถิโต, เตสํ กตฺตรยฎฺฐิอุปาหนเตลนาฬิฉตฺตานํ ปมุสฺสนภาวมกาสิฯ เต อตฺตโน ปริกฺขารตฺถาย นิวตฺตา อาคตมเคฺคเนว คจฺฉนฺตาปิ ตํ ฐานํ สลฺลเกฺขตุํ น สโกฺกนฺติฯ ปฐมญฺหิ เต อลงฺกตปฎิยเตฺตน มเคฺคน คนฺตฺวา, ตํทิวสํ ปน วิสมมเคฺคน คจฺฉนฺตา ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน อุกฺกุฎิกํ นิสีทนฺตา ชณฺณุเกหิ คจฺฉนฺติฯ เต คุเมฺพ จ คเจฺฉ จ กณฺฑเก จ มทฺทนฺตา อตฺตนา วสิตสภาคฎฺฐานํ คนฺตฺวา ตสฺมิํ ตสฺมิํ ขทิรขาณุเก ลคฺคิตํ อตฺตโน ฉตฺตํ สญฺชานนฺติ, อุปาหนํ กตฺตรยฎฺฐิํ เตลนาฬิญฺจ สญฺชานนฺติฯ เต ตสฺมิํ สมเย ‘‘อิทฺธิมา อยํ ภิกฺขู’’ติ ญตฺวา อตฺตโน ปริกฺขารมาทาย ‘‘ทสพลสฺส ปฎิยตฺตสกฺกาโร นาม เอวรูโป โหตี’’ติ วทนฺตา อคมํสุฯ

    Atha naṃ satthā pucchi – ‘‘revata, idaṃ vāḷamigaṭṭhānaṃ, caṇḍānaṃ hatthiassādīnaṃ saddaṃ sutvā kiṃ karosī’’ti? ‘‘Tesaṃ me, bhante, saddaṃ suṇato araññapīti nāma uppannā’’ti. Satthā imasmiṃ ṭhāne revatattherassa pañcahi gāthāsatehi araññānisaṃsaṃ nāma kathetvā punadivase avidūraṭṭhāne piṇḍāya caritvā revatattheraṃ āmantetvā yehi bhikkhūhi therassa avaṇṇo kathito, tesaṃ kattarayaṭṭhiupāhanatelanāḷichattānaṃ pamussanabhāvamakāsi. Te attano parikkhāratthāya nivattā āgatamaggeneva gacchantāpi taṃ ṭhānaṃ sallakkhetuṃ na sakkonti. Paṭhamañhi te alaṅkatapaṭiyattena maggena gantvā, taṃdivasaṃ pana visamamaggena gacchantā tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne ukkuṭikaṃ nisīdantā jaṇṇukehi gacchanti. Te gumbe ca gacche ca kaṇḍake ca maddantā attanā vasitasabhāgaṭṭhānaṃ gantvā tasmiṃ tasmiṃ khadirakhāṇuke laggitaṃ attano chattaṃ sañjānanti, upāhanaṃ kattarayaṭṭhiṃ telanāḷiñca sañjānanti. Te tasmiṃ samaye ‘‘iddhimā ayaṃ bhikkhū’’ti ñatvā attano parikkhāramādāya ‘‘dasabalassa paṭiyattasakkāro nāma evarūpo hotī’’ti vadantā agamaṃsu.

    ปุรโต อาคเต ภิกฺขู, วิสาขา อุปาสิกา, อตฺตโน เคเห นิสินฺนกาเล ปุจฺฉิ – ‘‘มนาปํ นุ โข, ภเนฺต, เรวตสฺส วสนฎฺฐาน’’นฺติ? ‘‘มนาปํ, อุปาสิเก, นนฺทวนจิตฺตลตาวนปฎิภาคํ ตํ เสนาสน’’นฺติฯ อถ เตสํ ปจฺฉโต อาคเต ภิกฺขู ปุจฺฉิ – ‘‘มนาปํ, อยฺยา, เรวตสฺส วสนฎฺฐาน’’นฺติ? ‘‘มา ปุจฺฉ, อุปาสิเก, กเถตุํ อยุตฺตฎฺฐานํ, เอตํ อุชฺชงฺคลสกฺขรปาสาณวิสมขทิรวนํ เอว, ตตฺถ โส ภิกฺขุ วสตี’’ติฯ

    Purato āgate bhikkhū, visākhā upāsikā, attano gehe nisinnakāle pucchi – ‘‘manāpaṃ nu kho, bhante, revatassa vasanaṭṭhāna’’nti? ‘‘Manāpaṃ, upāsike, nandavanacittalatāvanapaṭibhāgaṃ taṃ senāsana’’nti. Atha tesaṃ pacchato āgate bhikkhū pucchi – ‘‘manāpaṃ, ayyā, revatassa vasanaṭṭhāna’’nti? ‘‘Mā puccha, upāsike, kathetuṃ ayuttaṭṭhānaṃ, etaṃ ujjaṅgalasakkharapāsāṇavisamakhadiravanaṃ eva, tattha so bhikkhu vasatī’’ti.

    วิสาขา ปุริมานํ ปจฺฉิมานญฺจ ภิกฺขูนํ กถํ สุตฺวา, ‘‘เกสํ นุ โข กถา สจฺจา’’ติ ปจฺฉาภตฺตํ คนฺธมาลํ อาทาย ทสพลสฺส อุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสินฺนา สตฺถารํ ปุจฺฉิ – ‘‘ภเนฺต, เรวตเตฺถรสฺส วสนฎฺฐานํ เอกเจฺจ อยฺยา วเณฺณนฺติ, เอกเจฺจ นินฺทนฺติ, กิเมตํ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘วิสาเข, รมณิยํ วา โหตุ มา วา, ยสฺมิํ ฐาเน อริยานํ จิตฺตํ รมติ, ตเทว ฐานํ รมณิยํ นามา’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Visākhā purimānaṃ pacchimānañca bhikkhūnaṃ kathaṃ sutvā, ‘‘kesaṃ nu kho kathā saccā’’ti pacchābhattaṃ gandhamālaṃ ādāya dasabalassa upaṭṭhānaṃ gantvā vanditvā ekamantaṃ nisinnā satthāraṃ pucchi – ‘‘bhante, revatattherassa vasanaṭṭhānaṃ ekacce ayyā vaṇṇenti, ekacce nindanti, kimetaṃ, bhante’’ti? ‘‘Visākhe, ramaṇiyaṃ vā hotu mā vā, yasmiṃ ṭhāne ariyānaṃ cittaṃ ramati, tadeva ṭhānaṃ ramaṇiyaṃ nāmā’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘คาเม วา ยทิ วารเญฺญ, นิเนฺน วา ยทิ วา ถเล;

    ‘‘Gāme vā yadi vāraññe, ninne vā yadi vā thale;

    ยตฺถ อรหโนฺต วิหรนฺติ, ตํ ภูมิรามเณยฺยก’’นฺติฯ (ธ. ป. ๙๘; เถรคา. ๙๙๑; สํ. นิ. ๑.๒๖๑);

    Yattha arahanto viharanti, taṃ bhūmirāmaṇeyyaka’’nti. (dha. pa. 98; theragā. 991; saṃ. ni. 1.261);

    อปรภาเค ภควา อริยคณมเชฺฌ นิสิโนฺน เถรํ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ลาภีนํ ยทิทํ, สีวลี’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๙๘, ๒๐๗) เอตทเคฺค ฐเปสิฯ

    Aparabhāge bhagavā ariyagaṇamajjhe nisinno theraṃ ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ lābhīnaṃ yadidaṃ, sīvalī’’ti (a. ni. 1.198, 207) etadagge ṭhapesi.

    ๕๔. อถายสฺมา สีวลิเตฺถโร อรหตฺตํ ปตฺวา ปตฺตเอตทคฺคฎฺฐาโน อตฺตโน ปุพฺพกมฺมํ สริตฺวา โสมนสฺสชาโต ปุพฺพจริตาปทานํ ปกาเสโนฺต ปทุมุตฺตโร นาม ชิโนติอาทิมาหฯ อนุตฺตานตฺถปทวณฺณนเมว กริสฺสามฯ

    54. Athāyasmā sīvalitthero arahattaṃ patvā pattaetadaggaṭṭhāno attano pubbakammaṃ saritvā somanassajāto pubbacaritāpadānaṃ pakāsento padumuttaro nāma jinotiādimāha. Anuttānatthapadavaṇṇanameva karissāma.

    ๕๕. สีลํ ตสฺส อสเงฺขยฺยนฺติ ตสฺส ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต สีลํ อสเงฺขยฺยํฯ

    55.Sīlaṃ tassa asaṅkheyyanti tassa padumuttarassa bhagavato sīlaṃ asaṅkheyyaṃ.

    ‘‘นว โกฎิสหสฺสานิ, อสีติสตโกฎิโย;

    ‘‘Nava koṭisahassāni, asītisatakoṭiyo;

    ปญฺญาสสตสหสฺสานิ, ฉตฺติํสา จ ปุนาปเรฯ

    Paññāsasatasahassāni, chattiṃsā ca punāpare.

    ‘‘เอเต สํวรวินยา, สมฺพุเทฺธน ปกาสิตา;

    ‘‘Ete saṃvaravinayā, sambuddhena pakāsitā;

    เปยฺยาลมุเขน นิทฺทิฎฺฐา, สิกฺขาวินยสํวเร’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๐; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๑.๑.๓๗) –

    Peyyālamukhena niddiṭṭhā, sikkhāvinayasaṃvare’’ti. (visuddhi. 1.20; paṭi. ma. aṭṭha. 1.1.37) –

    เอวํ วุตฺตสิกฺขาปทานิ ภิกฺขูนํ สาวกปญฺญตฺติวเสน วุตฺตานิฯ ภควโต ปน สีลํ อสเงฺขยฺยเมว สํขาตุํ คเณตุํ อสกฺกุเณยฺยนฺติ อโตฺถฯ สมาธิวชิรูปโม ยถา วชิรํ อินฺทนีลมณิเวฬุริยมณิผลิกมสารคลฺลาทีนิ รตนานิ วิชฺฌติ ฉิทฺทาวฉิทฺทํ กโรติ, เอวเมว ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต โลกุตฺตรมคฺคสมาธิ ปฎิปกฺขปจฺจนีกธเมฺม วิชฺฌติ ภินฺทติ สมุจฺฉินฺทตีติ อโตฺถฯ อสเงฺขยฺยํ ญาณวรํ ตสฺส พุทฺธสฺส จตฺตาริ สจฺจานิ สตฺตติํสโพธิปกฺขิยธเมฺม สงฺขตาสงฺขตธเมฺม จ ชานิตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํ สมตฺถํ สยมฺภูญาณสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิญาณสมูหํ อสเงฺขยฺยํ, อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนาทิเภเทน สํขาวิรหิตนฺติ อโตฺถฯ วิมุตฺติ จ อโนปมาติ สํกิเลเสหิ วิมุตฺตตฺตา โสตาปตฺติผลาทิกา จตโสฺส วิมุตฺติโย อนุปมา อุปมารหิตา ‘‘อิมา วิย ภูตา’’ติ อุปเมตุํ น สกฺกาติ อโตฺถฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    Evaṃ vuttasikkhāpadāni bhikkhūnaṃ sāvakapaññattivasena vuttāni. Bhagavato pana sīlaṃ asaṅkheyyameva saṃkhātuṃ gaṇetuṃ asakkuṇeyyanti attho. Samādhivajirūpamo yathā vajiraṃ indanīlamaṇiveḷuriyamaṇiphalikamasāragallādīni ratanāni vijjhati chiddāvachiddaṃ karoti, evameva padumuttarassa bhagavato lokuttaramaggasamādhi paṭipakkhapaccanīkadhamme vijjhati bhindati samucchindatīti attho. Asaṅkheyyaṃ ñāṇavaraṃ tassa buddhassa cattāri saccāni sattatiṃsabodhipakkhiyadhamme saṅkhatāsaṅkhatadhamme ca jānituṃ paṭivijjhituṃ samatthaṃ sayambhūñāṇasabbaññutaññāṇādiñāṇasamūhaṃ asaṅkheyyaṃ, atītānāgatapaccuppannādibhedena saṃkhāvirahitanti attho. Vimutti ca anopamāti saṃkilesehi vimuttattā sotāpattiphalādikā catasso vimuttiyo anupamā upamārahitā ‘‘imā viya bhūtā’’ti upametuṃ na sakkāti attho. Sesaṃ uttānatthamevāti.

    สีวลิเตฺถรอปทานวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Sīvalittheraapadānavaṇṇanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อปทานปาฬิ • Apadānapāḷi / ๓. สีวลิเตฺถรอปทานํ • 3. Sīvalittheraapadānaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact