Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๑๐. สีวลิเตฺถรคาถาวณฺณนา
10. Sīvalittheragāthāvaṇṇanā
เต เม อิชฺฌิํสุ สงฺกปฺปาติ อายสฺมโต สีวลิเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล เหฎฺฐา วุตฺตนเยน วิหารํ คนฺตฺวา ปริสปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ลาภีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยาปิ อนาคเต เอวรูเปน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ทสพลํ นิมเนฺตตฺวา สตฺตาหํ สตฺถุ ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ มหาทานํ ทตฺวา ‘‘ภควา อหํ อิมินา อธิการกเมฺมน อญฺญํ สมฺปตฺติํ น ปเตฺถมิ, อนาคเต ปน เอกพุทฺธสฺส สาสเน อหมฺปิ ตุเมฺหหิ โส เอตทเคฺค ฐปิตภิกฺขุ วิย ลาภีนํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา อนนฺตรายํ ทิสฺวา – ‘‘อยํ เต ปตฺถนา อนาคเต โคตมพุทฺธสฺส สนฺติเก สมิชฺฌิสฺสตี’’ติ พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ โสปิ กุลปุโตฺต ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต วิปสฺสีพุทฺธกาเล พนฺธุมตีนครโต อวิทูเร เอกสฺมิํ คามเก ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตสฺมิํ สมเย พนฺธุมตีนครวาสิโน รญฺญา สทฺธิํ สากจฺฉิตฺวา ทสพลสฺส ทานํ เทนฺติฯ เต เอกทิวสํ สเพฺพว เอกโต หุตฺวา ทานํ เทนฺตา ‘‘กิํ นุ โข อมฺหากํ ทานมุเข นตฺถี’’ติ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๐๗) มธุญฺจ คุฬทธิญฺจ น อทฺทสํสุฯ เต ‘‘ยโต กุโตจิ อาหริสฺสามา’’ติ ชนปทโต นครปวิสนมเคฺค ปุริสํ ฐเปสุํฯ ตทา เอส กุลปุโตฺต อตฺตโน คามโต คุฬทธิวารกํ คเหตฺวา, ‘‘กิญฺจิเทว อาหริสฺสามี’’ติ นครํ คจฺฉโนฺต, ‘‘มุขํ โธวิตฺวา โธตหตฺถปาโท ปวิสิสฺสามี’’ติ ผาสุกฎฺฐานํ โอโลเกโนฺต นงฺคลสีสมตฺตํ นิมฺมกฺขิกํ ทณฺฑกมธุํ ทิสฺวา ‘‘ปุเญฺญน เม อิทํ อุปฺปนฺน’’นฺติ คเหตฺวา นครํ ปาวิสิฯ นาคเรหิ ฐปิตปุริโส ตํ ทิสฺวา, ‘‘โภ ปุริส, กสฺสิมํ อาหรสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น กสฺสจิ, สามิ, วิกฺกิณิตุํ ปน เม อิทํ อาภต’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ, โภ, อิทํ กหาปณํ คเหตฺวา เอตํ มธุญฺจ คุฬทธิญฺจ เทหี’’ติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘อิทํ น พหุมูลํ, อยญฺจ เอกปฺปหาเรเนว พหุํ เทติ, วีมํสิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ตโต นํ ‘‘นาหํ เอเกน กหาปเณน เทมี’’ติ อาหฯ ‘‘ยทิ เอวํ เทฺว คเหตฺวา เทหี’’ติฯ ‘‘ทฺวีหิปิ น เทมี’’ติฯ เอเตนุปาเยน วเฑฺฒตฺวา สหสฺสํ ปาปุณิฯ
Teme ijjhiṃsu saṅkappāti āyasmato sīvalittherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi padumuttarassa bhagavato kāle heṭṭhā vuttanayena vihāraṃ gantvā parisapariyante ṭhito dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ lābhīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā ‘‘mayāpi anāgate evarūpena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti dasabalaṃ nimantetvā sattāhaṃ satthu bhikkhusaṅghassa ca mahādānaṃ datvā ‘‘bhagavā ahaṃ iminā adhikārakammena aññaṃ sampattiṃ na patthemi, anāgate pana ekabuddhassa sāsane ahampi tumhehi so etadagge ṭhapitabhikkhu viya lābhīnaṃ aggo bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Satthā anantarāyaṃ disvā – ‘‘ayaṃ te patthanā anāgate gotamabuddhassa santike samijjhissatī’’ti byākaritvā pakkāmi. Sopi kulaputto yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto vipassībuddhakāle bandhumatīnagarato avidūre ekasmiṃ gāmake paṭisandhiṃ gaṇhi. Tasmiṃ samaye bandhumatīnagaravāsino raññā saddhiṃ sākacchitvā dasabalassa dānaṃ denti. Te ekadivasaṃ sabbeva ekato hutvā dānaṃ dentā ‘‘kiṃ nu kho amhākaṃ dānamukhe natthī’’ti (a. ni. aṭṭha. 1.1.207) madhuñca guḷadadhiñca na addasaṃsu. Te ‘‘yato kutoci āharissāmā’’ti janapadato nagarapavisanamagge purisaṃ ṭhapesuṃ. Tadā esa kulaputto attano gāmato guḷadadhivārakaṃ gahetvā, ‘‘kiñcideva āharissāmī’’ti nagaraṃ gacchanto, ‘‘mukhaṃ dhovitvā dhotahatthapādo pavisissāmī’’ti phāsukaṭṭhānaṃ olokento naṅgalasīsamattaṃ nimmakkhikaṃ daṇḍakamadhuṃ disvā ‘‘puññena me idaṃ uppanna’’nti gahetvā nagaraṃ pāvisi. Nāgarehi ṭhapitapuriso taṃ disvā, ‘‘bho purisa, kassimaṃ āharasī’’ti pucchi. ‘‘Na kassaci, sāmi, vikkiṇituṃ pana me idaṃ ābhata’’nti. ‘‘Tena hi, bho, idaṃ kahāpaṇaṃ gahetvā etaṃ madhuñca guḷadadhiñca dehī’’ti. So cintesi – ‘‘idaṃ na bahumūlaṃ, ayañca ekappahāreneva bahuṃ deti, vīmaṃsituṃ vaṭṭatī’’ti. Tato naṃ ‘‘nāhaṃ ekena kahāpaṇena demī’’ti āha. ‘‘Yadi evaṃ dve gahetvā dehī’’ti. ‘‘Dvīhipi na demī’’ti. Etenupāyena vaḍḍhetvā sahassaṃ pāpuṇi.
โส จิเนฺตสิ – ‘‘อติวฑฺฒิตุํ น วฎฺฎติ, โหตุ ตาว อิมินา กตฺตพฺพกิจฺจํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติฯ อถ นํ อาห – ‘‘อิทํ น พหุํ อคฺฆนกํ, ตฺวญฺจ พหุํ เทสิ, เกน กเมฺมน อิทํ คณฺหาสี’’ติฯ ‘‘อิธ, โภ, นครวาสิโน รญฺญา สทฺธิํ ปฎิวิรุชฺฌิตฺวา วิปสฺสีทสพลสฺส ทานํ เทนฺตา อิทํ ทฺวยํ ทานมุเข อปสฺสนฺตา ปริเยสนฺติ, สเจ อิทํ ทฺวยํ น ลภิสฺสนฺติ, นาครานํ ปราชโย ภวิสฺสติ, ตสฺมา สหสฺสํ กตฺวา คณฺหามี’’ติฯ ‘‘กิํ ปเนตํ นาครานเมว วฎฺฎติ, อเญฺญสํ ทาตุํ น วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘ยสฺส กสฺสจิ ทาตุํ อวาริตเมต’’นฺติฯ ‘‘อตฺถิ ปน โกจิ นาครานํ ทาเน เอกทิวสํ สหสฺสํ ทาตา’’ติ? ‘‘นตฺถิ, สมฺมา’’ติฯ ‘‘อิเมสํ ปน ทฺวินฺนํ สหสฺสคฺฆนกภาวํ ชานาสี’’ติ? ‘‘อาม, ชานามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ คจฺฉ, นาครานํ อาจิกฺข ‘เอโก ปุริโส อิมานิ เทฺว มูเลน น เทติ สหเตฺถเนว ทาตุกาโม, ตุเมฺห อิเมสํ ทฺวินฺนํ การณา นิพฺพิตกฺกา โหถา’ติ, ตฺวํ ปน เม อิมสฺมิํ ทานมุเข เชฎฺฐกภาวสฺส กายสกฺขี โหหี’’ติฯ โส ปริพฺพยตฺถํ คหิตมาสเกน ปญฺจกฎุกํ คเหตฺวา จุณฺณํ กตฺวา ทธิโต กญฺชิยํ คเหตฺวา ตตฺถ มธุปฎลํ ปีเฬตฺวา ปญฺจกฎุกจุเณฺณน โยเชตฺวา เอกสฺมิํ ปทุมินิปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา ตํ สํวิทหิตฺวา อาทาย ทสพลสฺส อวิทูรฎฺฐาเน นิสีทิ มหาชเนน อาหริยมานสฺส สกฺการสฺส อวิทูเร อตฺตโน ปตฺตวารํ โอโลกยมาโน, โส โอกาสํ ญตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ภควา อยํ อุปฺปนฺนทุคฺคตปณฺณากาโร, อิมํ เม อนุกมฺปํ ปฎิจฺจ ปฎิคฺคณฺหถาติฯ สตฺถา ตสฺส อนุกมฺปํ ปฎิจฺจ จตุมหาราชทตฺติเยน เสลมยปเตฺตน ตํ ปฎิคฺคเหตฺวา ยถา อฎฺฐสฎฺฐิยา ภิกฺขุสตสหสฺสสฺส ทิยฺยมานํ น ขียติ, เอวํ อธิฎฺฐาสิฯ โส กุลปุโตฺต นิฎฺฐิตภตฺตกิจฺจํ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต อาห – ‘‘ทิโฎฺฐ เม, ภควา, อชฺช พนฺธุมตีนครวาสิเกหิ ตุมฺหากํ สกฺกาโร อาหริยมาโน, อหมฺปิ อิมสฺส กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตภเว ลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต ภเวยฺย’’นฺติ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๐๗)ฯ สตฺถา, ‘‘เอวํ โหตุ, กุลปุตฺตา’’ติ วตฺวา ตสฺส จ นครวาสีนญฺจ ภตฺตานุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ
So cintesi – ‘‘ativaḍḍhituṃ na vaṭṭati, hotu tāva iminā kattabbakiccaṃ pucchissāmī’’ti. Atha naṃ āha – ‘‘idaṃ na bahuṃ agghanakaṃ, tvañca bahuṃ desi, kena kammena idaṃ gaṇhāsī’’ti. ‘‘Idha, bho, nagaravāsino raññā saddhiṃ paṭivirujjhitvā vipassīdasabalassa dānaṃ dentā idaṃ dvayaṃ dānamukhe apassantā pariyesanti, sace idaṃ dvayaṃ na labhissanti, nāgarānaṃ parājayo bhavissati, tasmā sahassaṃ katvā gaṇhāmī’’ti. ‘‘Kiṃ panetaṃ nāgarānameva vaṭṭati, aññesaṃ dātuṃ na vaṭṭatī’’ti. ‘‘Yassa kassaci dātuṃ avāritameta’’nti. ‘‘Atthi pana koci nāgarānaṃ dāne ekadivasaṃ sahassaṃ dātā’’ti? ‘‘Natthi, sammā’’ti. ‘‘Imesaṃ pana dvinnaṃ sahassagghanakabhāvaṃ jānāsī’’ti? ‘‘Āma, jānāmī’’ti. ‘‘Tena hi gaccha, nāgarānaṃ ācikkha ‘eko puriso imāni dve mūlena na deti sahattheneva dātukāmo, tumhe imesaṃ dvinnaṃ kāraṇā nibbitakkā hothā’ti, tvaṃ pana me imasmiṃ dānamukhe jeṭṭhakabhāvassa kāyasakkhī hohī’’ti. So paribbayatthaṃ gahitamāsakena pañcakaṭukaṃ gahetvā cuṇṇaṃ katvā dadhito kañjiyaṃ gahetvā tattha madhupaṭalaṃ pīḷetvā pañcakaṭukacuṇṇena yojetvā ekasmiṃ paduminipatte pakkhipitvā taṃ saṃvidahitvā ādāya dasabalassa avidūraṭṭhāne nisīdi mahājanena āhariyamānassa sakkārassa avidūre attano pattavāraṃ olokayamāno, so okāsaṃ ñatvā satthu santikaṃ gantvā bhagavā ayaṃ uppannaduggatapaṇṇākāro, imaṃ me anukampaṃ paṭicca paṭiggaṇhathāti. Satthā tassa anukampaṃ paṭicca catumahārājadattiyena selamayapattena taṃ paṭiggahetvā yathā aṭṭhasaṭṭhiyā bhikkhusatasahassassa diyyamānaṃ na khīyati, evaṃ adhiṭṭhāsi. So kulaputto niṭṭhitabhattakiccaṃ bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ ṭhito āha – ‘‘diṭṭho me, bhagavā, ajja bandhumatīnagaravāsikehi tumhākaṃ sakkāro āhariyamāno, ahampi imassa kammassa nissandena nibbattanibbattabhave lābhaggayasaggappatto bhaveyya’’nti (a. ni. aṭṭha. 1.1.207). Satthā, ‘‘evaṃ hotu, kulaputtā’’ti vatvā tassa ca nagaravāsīnañca bhattānumodanaṃ katvā pakkāmi.
โสปิ กุลปุโตฺต ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สุปฺปวาสาย ราชธีตาย กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ปฎิสนฺธิคฺคหณโต ปฎฺฐาย สายํ ปาตญฺจ ปณฺณาการสตานิ สกเฎนาทาย สุปฺปวาสาย อุปนียนฺติฯ อถ นํ ปุญฺญวีมํสนตฺถํ หเตฺถน พีชปจฺฉิํ ผุสาเปนฺติฯ เอเกกพีชโต สลากสตมฺปิ สลากสหสฺสมฺปิ นิคฺคจฺฉติฯ เอเกกกรีสเขเตฺต ปณฺณาสมฺปิ สฎฺฐิปิ สกฎปฺปมาณานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ โกเฎฺฐ ปูรณกาเลปิ โกฎฺฐทฺวารํ หเตฺถน ผุสาเปนฺติฯ ราชธีตาย ปุเญฺญน คณฺหนฺตานํ คหิตคหิตฎฺฐานํ ปุน ปูรติฯ ปริปุณฺณภตฺตภาชนโตปิ ‘‘ราชธีตาย ปุญฺญ’’นฺติ วตฺวา ยสฺส กสฺสจิ เทนฺตานํ ยาว น อุกฺกฑฺฒนฺติ, น ตาว ภตฺตํ ขียติ, ทารเก กุจฺฉิคเตเยว สตฺตวสฺสานิ อติกฺกมิํสุฯ
Sopi kulaputto yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde suppavāsāya rājadhītāya kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Paṭisandhiggahaṇato paṭṭhāya sāyaṃ pātañca paṇṇākārasatāni sakaṭenādāya suppavāsāya upanīyanti. Atha naṃ puññavīmaṃsanatthaṃ hatthena bījapacchiṃ phusāpenti. Ekekabījato salākasatampi salākasahassampi niggacchati. Ekekakarīsakhette paṇṇāsampi saṭṭhipi sakaṭappamāṇāni uppajjanti. Koṭṭhe pūraṇakālepi koṭṭhadvāraṃ hatthena phusāpenti. Rājadhītāya puññena gaṇhantānaṃ gahitagahitaṭṭhānaṃ puna pūrati. Paripuṇṇabhattabhājanatopi ‘‘rājadhītāya puñña’’nti vatvā yassa kassaci dentānaṃ yāva na ukkaḍḍhanti, na tāva bhattaṃ khīyati, dārake kucchigateyeva sattavassāni atikkamiṃsu.
คเพฺภ ปน ปริปเกฺก สตฺตาหํ มหาทุกฺขํ อนุโภสิฯ สา สามิกํ อามเนฺตตฺวา, ‘‘ปุเร มรณา ชีวมานาว ทานํ ทสฺสามี’’ติ สตฺถุ สนฺติกํ เปเสสิ – ‘‘คจฺฉ, อิมํ ปวตฺติํ สตฺถุ อาโรเจตฺวา สตฺถารํ นิมเนฺตหิ, ยญฺจ สตฺถา วเทติ, ตํ สาธุกํ อุปลเกฺขตฺวา อาคนฺตฺวา มยฺหํ กเถหี’’ติฯ โส คนฺตฺวา ตสฺสา สาสนํ ภควโต อาโรเจสิฯ สตฺถา, ‘‘สุขินี โหตุ สุปฺปวาสา โกลิยธีตา อโรคา, อโรคํ ปุตฺตํ วิชายตู’’ติ (อุทา. ๑๘) อาหฯ ราชา ตํ สุตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา อตฺตโน คามาภิมุโข ปายาสิฯ ตสฺส ปุเร อาคมนาเยว สุปฺปวาสาย กุจฺฉิโต ธมกรณา อุทกํ วิย คโพฺภ นิกฺขมิ, ปริวาเรตฺวา นิสินฺนชโน อสฺสุมุโขว หสิตุํ อารโทฺธ ตุฎฺฐปหโฎฺฐ มหาชโน รโญฺญ สาสนํ อาโรเจตุํ อคมาสิฯ
Gabbhe pana paripakke sattāhaṃ mahādukkhaṃ anubhosi. Sā sāmikaṃ āmantetvā, ‘‘pure maraṇā jīvamānāva dānaṃ dassāmī’’ti satthu santikaṃ pesesi – ‘‘gaccha, imaṃ pavattiṃ satthu ārocetvā satthāraṃ nimantehi, yañca satthā vadeti, taṃ sādhukaṃ upalakkhetvā āgantvā mayhaṃ kathehī’’ti. So gantvā tassā sāsanaṃ bhagavato ārocesi. Satthā, ‘‘sukhinī hotu suppavāsā koliyadhītā arogā, arogaṃ puttaṃ vijāyatū’’ti (udā. 18) āha. Rājā taṃ sutvā bhagavantaṃ abhivādetvā attano gāmābhimukho pāyāsi. Tassa pure āgamanāyeva suppavāsāya kucchito dhamakaraṇā udakaṃ viya gabbho nikkhami, parivāretvā nisinnajano assumukhova hasituṃ āraddho tuṭṭhapahaṭṭho mahājano rañño sāsanaṃ ārocetuṃ agamāsi.
ราชา เตสํ อาคมนํ ทิสฺวาว, ‘‘ทสพเลน กถิตกถา นิปฺผนฺนา ภวิสฺสติ มเญฺญ’’ติ จิเนฺตสิฯ โส อาคนฺตฺวา สตฺถุ สาสนํ ราชธีตาย อาโรเจสิฯ ราชธีตา ตยา นิมนฺติตํ ชีวิตภตฺตเมว มงฺคลภตฺตํ ภวิสฺสติ, คจฺฉ สตฺตาหํ ทสพลํ นิมเนฺตหีติฯ ราชา ตถา อกาสิฯ สตฺตาหํ พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส มหาทานํ ปวตฺตยิํสุฯ ทารโก สเพฺพสํ ญาตีนํ สนฺตตฺตํ จิตฺตํ นิพฺพาเปโนฺต ชาโตติ สีวลิทารโกเตฺววสฺส นามํ อกํสุฯ โส สตฺตวสฺสานิ คเพฺภ วสิตตฺตา ชาตกาลโต ปฎฺฐาย สพฺพกมฺมกฺขโม อโหสิฯ ธมฺมเสนาปติ สาริปุโตฺต สตฺตเม ทิวเส เตน สทฺธิํ กถาสลฺลาปํ อกาสิฯ สตฺถาปิ ธมฺมปเท คาถํ อภาสิ –
Rājā tesaṃ āgamanaṃ disvāva, ‘‘dasabalena kathitakathā nipphannā bhavissati maññe’’ti cintesi. So āgantvā satthu sāsanaṃ rājadhītāya ārocesi. Rājadhītā tayā nimantitaṃ jīvitabhattameva maṅgalabhattaṃ bhavissati, gaccha sattāhaṃ dasabalaṃ nimantehīti. Rājā tathā akāsi. Sattāhaṃ buddhappamukhassa saṅghassa mahādānaṃ pavattayiṃsu. Dārako sabbesaṃ ñātīnaṃ santattaṃ cittaṃ nibbāpento jātoti sīvalidārakotvevassa nāmaṃ akaṃsu. So sattavassāni gabbhe vasitattā jātakālato paṭṭhāya sabbakammakkhamo ahosi. Dhammasenāpati sāriputto sattame divase tena saddhiṃ kathāsallāpaṃ akāsi. Satthāpi dhammapade gāthaṃ abhāsi –
‘‘โยมํ ปลิปถํ ทุคฺคํ, สํสารํ โมหมจฺจคา;
‘‘Yomaṃ palipathaṃ duggaṃ, saṃsāraṃ mohamaccagā;
ติโณฺณ ปารงฺคโต ฌายี, อเนโช อกถํกถี;
Tiṇṇo pāraṅgato jhāyī, anejo akathaṃkathī;
อนุปาทาย นิพฺพุโต, ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณ’’นฺติฯ (ธ. ป. ๔๑๔);
Anupādāya nibbuto, tamahaṃ brūmi brāhmaṇa’’nti. (dha. pa. 414);
อถ นํ เถโร เอวมาห – ‘‘กิํ ปน ตยา เอวรูปํ ทุกฺขราสิํ อนุภวิตฺวา ปพฺพชิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘ลภมาโน ปพฺพเชยฺยํ, ภเนฺต’’ติฯ สุปฺปวาสา นํ ทารกํ เถเรน สทฺธิํ กเถนฺตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข เม ปุโตฺต ธมฺมเสนาปตินา สทฺธิํ กเถตี’’ติ เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กิํ กเถติ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘อตฺตนา อนุภูตํ คพฺภวาสทุกฺขํ กเถตฺวา, ‘ตุเมฺหหิ อนุญฺญาโต ปพฺพชิสฺสามี’ติ วทตี’’ติฯ ‘‘สาธุ , ภเนฺต, ปพฺพาเชถ น’’นฺติฯ เถโร ตํ วิหารํ เนตฺวา ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ ทตฺวา ปพฺพาเชโนฺต ‘‘สีวลิ, น ตุยฺหํ อเญฺญน โอวาเทน กมฺมํ อตฺถิ, ตยา สตฺต วสฺสานิ อนุภูตทุกฺขเมว ปจฺจเวกฺขาหี’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, ปพฺพาชนเมว ตุมฺหากํ ภาโร, ยํ ปน มยา กาตุํ สกฺกา, ตมหํ ชานิสฺสามี’’ติฯ โส ปน ปฐมเกสวฎฺฎิยา โอหารณกฺขเณเยว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิ, ทุติยาย โอหารณกฺขเณ สกทาคามิผเล, ตติยาย อนาคามิผเล สเพฺพสํเยว ปน เกสานํ โอโรปนญฺจ อรหตฺตสจฺฉิกิริยา จ อปจฺฉา อปุริมา อโหสิฯ ตสฺส ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ภิกฺขุสงฺฆสฺส จตฺตาโร ปจฺจยา ยาวติจฺฉกํ อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวํ เอตฺถ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ
Atha naṃ thero evamāha – ‘‘kiṃ pana tayā evarūpaṃ dukkharāsiṃ anubhavitvā pabbajituṃ na vaṭṭatī’’ti? ‘‘Labhamāno pabbajeyyaṃ, bhante’’ti. Suppavāsā naṃ dārakaṃ therena saddhiṃ kathentaṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho me putto dhammasenāpatinā saddhiṃ kathetī’’ti theraṃ upasaṅkamitvā pucchi – ‘‘mayhaṃ putto tumhehi saddhiṃ kiṃ katheti, bhante’’ti? ‘‘Attanā anubhūtaṃ gabbhavāsadukkhaṃ kathetvā, ‘tumhehi anuññāto pabbajissāmī’ti vadatī’’ti. ‘‘Sādhu , bhante, pabbājetha na’’nti. Thero taṃ vihāraṃ netvā tacapañcakakammaṭṭhānaṃ datvā pabbājento ‘‘sīvali, na tuyhaṃ aññena ovādena kammaṃ atthi, tayā satta vassāni anubhūtadukkhameva paccavekkhāhī’’ti. ‘‘Bhante, pabbājanameva tumhākaṃ bhāro, yaṃ pana mayā kātuṃ sakkā, tamahaṃ jānissāmī’’ti. So pana paṭhamakesavaṭṭiyā ohāraṇakkhaṇeyeva sotāpattiphale patiṭṭhāsi, dutiyāya ohāraṇakkhaṇe sakadāgāmiphale, tatiyāya anāgāmiphale sabbesaṃyeva pana kesānaṃ oropanañca arahattasacchikiriyā ca apacchā apurimā ahosi. Tassa pabbajitadivasato paṭṭhāya bhikkhusaṅghassa cattāro paccayā yāvaticchakaṃ uppajjanti. Evaṃ ettha vatthu samuṭṭhitaṃ.
อปรภาเค สตฺถา สาวตฺถิํ อคมาสิฯ เถโร สตฺถารํ อภิวาเทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ ปุญฺญํ วีมํสิสฺสามิ, ปญฺจ เม ภิกฺขุสตานิ เทถา’’ติ อาหฯ ‘‘คณฺห สีวลี’’ติฯ โส ปญฺจสเต ภิกฺขู คเหตฺวา หิมวนฺตาภิมุขํ คจฺฉโนฺต อฎวิมคฺคํ คจฺฉติ, ตสฺส ปฐมํ ทิฎฺฐนิโคฺรเธ อธิวตฺถา เทวตา สตฺตทิวสานิ ทานํ อทาสิฯ อิติ โส –
Aparabhāge satthā sāvatthiṃ agamāsi. Thero satthāraṃ abhivādetvā, ‘‘bhante, mayhaṃ puññaṃ vīmaṃsissāmi, pañca me bhikkhusatāni dethā’’ti āha. ‘‘Gaṇha sīvalī’’ti. So pañcasate bhikkhū gahetvā himavantābhimukhaṃ gacchanto aṭavimaggaṃ gacchati, tassa paṭhamaṃ diṭṭhanigrodhe adhivatthā devatā sattadivasāni dānaṃ adāsi. Iti so –
‘‘นิโคฺรธํ ปฐมํ ปสฺสิ, ทุติยํ ปณฺฑวปพฺพตํ;
‘‘Nigrodhaṃ paṭhamaṃ passi, dutiyaṃ paṇḍavapabbataṃ;
ตติยํ อจิรวติยํ, จตุตฺถํ วรสาครํฯ
Tatiyaṃ aciravatiyaṃ, catutthaṃ varasāgaraṃ.
‘‘ปญฺจมํ หิมวนฺตํ โส, ฉฎฺฐํ ฉทฺทนฺตุปาคมิ;
‘‘Pañcamaṃ himavantaṃ so, chaṭṭhaṃ chaddantupāgami;
สตฺตมํ คนฺธมาทนํ, อฎฺฐมํ อถ เรวต’’นฺติฯ
Sattamaṃ gandhamādanaṃ, aṭṭhamaṃ atha revata’’nti.
สพฺพฎฺฐาเนสุ สตฺต สตฺต ทิวสาเนว ทานํ อทํสุฯ คนฺธมาทนปพฺพเต ปน นาคทตฺตเทวราชา นาม สตฺตสุ ทิวเสสุ เอกทิวเส ขีรปิณฺฑปาตํ อทาสิ, เอกทิวเส สปฺปิปิณฺฑปาตํฯ ภิกฺขุสโงฺฆ อาห – ‘‘อิมสฺส เทวรโญฺญ เนว เธนุโย ทุยฺหมานา ปญฺญายนฺติ, น ทธินิมฺมถนํ , กุโต เต เทวราช อิทํ อุปฺปชฺชตี’’ติฯ ‘‘ภเนฺต กสฺสปทสพลสฺส กาเล ขีรสลากภตฺตทานเสฺสตํ ผล’’นฺติ เทวราชา อาหฯ อปรภาเค สตฺถา ขทิรวนิยเรวตสฺส ปจฺจุคฺคมนํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เถรํ อตฺตโน สาสเน ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ
Sabbaṭṭhānesu satta satta divasāneva dānaṃ adaṃsu. Gandhamādanapabbate pana nāgadattadevarājā nāma sattasu divasesu ekadivase khīrapiṇḍapātaṃ adāsi, ekadivase sappipiṇḍapātaṃ. Bhikkhusaṅgho āha – ‘‘imassa devarañño neva dhenuyo duyhamānā paññāyanti, na dadhinimmathanaṃ , kuto te devarāja idaṃ uppajjatī’’ti. ‘‘Bhante kassapadasabalassa kāle khīrasalākabhattadānassetaṃ phala’’nti devarājā āha. Aparabhāge satthā khadiravaniyarevatassa paccuggamanaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā theraṃ attano sāsane lābhaggayasaggappattānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi.
เอวํ ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตสฺส ปน อิมสฺส เถรสฺส อรหตฺตปฺปตฺติํ เอกเจฺจ อาจริยา เอวํ วทนฺติ – ‘‘เหฎฺฐา วุตฺตนเยน ธมฺมเสนาปตินา โอวาเท ทิเนฺน ยํ มยา กาตุํ สกฺกา, ตมหํ ชานิสฺสามีติ ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนากมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ตํ ทิวสํเยว อญฺญตรํ วิวิตฺตํ กุฎิกํ ทิสฺวา ตํ ปวิสิตฺวา มาตุกุจฺฉิสฺมิํ สตฺต วสฺสานิ อตฺตนา อนุภูตํ ทุกฺขํ อนุสฺสริตฺวา ตทนุสาเรน อตีตานาคเต ตสฺส อเวกฺขนฺตสฺส อาทิตฺตา วิย ตโย ภวา อุปฎฺฐหิํสุฯ ญาณสฺส ปริปากํ คตตฺตา วิปสฺสนาวีถิํ โอตริ, ตาวเทว มคฺคปฺปฎิปาฎิยา สเพฺพปิ อาสเว เขเปโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณี’’ติฯ อุภยถาปิ เถรสฺส อรหตฺตปฺปตฺติเยว ปกาสิตาฯ เถโร ปน ปภินฺนปฎิสมฺภิโท ฉฬภิโญฺญ อโหสิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๑.๑๒.๓๑-๓๙) –
Evaṃ lābhaggayasaggappattassa pana imassa therassa arahattappattiṃ ekacce ācariyā evaṃ vadanti – ‘‘heṭṭhā vuttanayena dhammasenāpatinā ovāde dinne yaṃ mayā kātuṃ sakkā, tamahaṃ jānissāmīti pabbajitvā vipassanākammaṭṭhānaṃ gahetvā taṃ divasaṃyeva aññataraṃ vivittaṃ kuṭikaṃ disvā taṃ pavisitvā mātukucchismiṃ satta vassāni attanā anubhūtaṃ dukkhaṃ anussaritvā tadanusārena atītānāgate tassa avekkhantassa ādittā viya tayo bhavā upaṭṭhahiṃsu. Ñāṇassa paripākaṃ gatattā vipassanāvīthiṃ otari, tāvadeva maggappaṭipāṭiyā sabbepi āsave khepento arahattaṃ pāpuṇī’’ti. Ubhayathāpi therassa arahattappattiyeva pakāsitā. Thero pana pabhinnapaṭisambhido chaḷabhiñño ahosi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 1.12.31-39) –
‘‘วรุโณ นาม นาเมน, เทวราชา อหํ ตทา;
‘‘Varuṇo nāma nāmena, devarājā ahaṃ tadā;
อุปฎฺฐเหสิํ สมฺพุทฺธํ, สโยคฺคพลวาหโนฯ
Upaṭṭhahesiṃ sambuddhaṃ, sayoggabalavāhano.
‘‘นิพฺพุเต โลกนาถมฺหิ, อตฺถทสฺสีนรุตฺตเม;
‘‘Nibbute lokanāthamhi, atthadassīnaruttame;
ตูริยํ สพฺพมาทาย, อคมํ โพธิมุตฺตมํฯ
Tūriyaṃ sabbamādāya, agamaṃ bodhimuttamaṃ.
‘‘วาทิเตน จ นเจฺจน, สมฺมตาฬสมาหิโต;
‘‘Vāditena ca naccena, sammatāḷasamāhito;
สมฺมุขา วิย สมฺพุทฺธํ, อุปฎฺฐิํ โพธิมุตฺตมํฯ
Sammukhā viya sambuddhaṃ, upaṭṭhiṃ bodhimuttamaṃ.
‘‘อุปฎฺฐหิตฺวา ตํ โพธิํ, ธรณีรุหปาทปํ;
‘‘Upaṭṭhahitvā taṃ bodhiṃ, dharaṇīruhapādapaṃ;
ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวาน, ตตฺถ กาลงฺกโต อหํฯ
Pallaṅkaṃ ābhujitvāna, tattha kālaṅkato ahaṃ.
‘‘สกกมฺมาภิรโทฺธหํ, ปสโนฺน โพธิมุตฺตเม;
‘‘Sakakammābhiraddhohaṃ, pasanno bodhimuttame;
เตน จิตฺตปฺปสาเทน, นิมฺมานํ อุปปชฺชหํฯ
Tena cittappasādena, nimmānaṃ upapajjahaṃ.
‘‘สฎฺฐิตูริยสหสฺสานิ, ปริวาเรนฺติ มํ สทา;
‘‘Saṭṭhitūriyasahassāni, parivārenti maṃ sadā;
มนุเสฺสสุ จ เทเวสุ, วตฺตมานํ ภวาภเวฯ
Manussesu ca devesu, vattamānaṃ bhavābhave.
‘‘ติวิธคฺคี นิพฺพุตา มยฺหํ, ภวา สเพฺพ สมูหตา;
‘‘Tividhaggī nibbutā mayhaṃ, bhavā sabbe samūhatā;
ธาเรมิ อนฺติมํ เทหํ, สมฺมาสมฺพุทฺธสาสเนฯ
Dhāremi antimaṃ dehaṃ, sammāsambuddhasāsane.
‘‘สุพาหู นาม นาเมน, จตุตฺติํสาสุ ขตฺติยา;
‘‘Subāhū nāma nāmena, catuttiṃsāsu khattiyā;
สตฺตรตนสมฺปนฺนา, ปญฺจกปฺปสเต อิโตฯ
Sattaratanasampannā, pañcakappasate ito.
‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ
‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.
อรหตฺตํ ปน ปตฺวา วิมุตฺติสุขปฎิสํเวทเนน ปีติเวเคน อุทาเนโนฺต ‘‘เต เม อิชฺฌิํสุ สงฺกปฺปา’’ติ คาถํ อภาสิฯ
Arahattaṃ pana patvā vimuttisukhapaṭisaṃvedanena pītivegena udānento ‘‘te me ijjhiṃsu saṅkappā’’ti gāthaṃ abhāsi.
๖๐. ตตฺถ เต เม อิชฺฌิํสุ สงฺกปฺปา, ยทโตฺถ ปาวิสิํ กุฎิํ, วิชฺชาวิมุตฺติํ ปเจฺจสนฺติ เย ปุเพฺพ มยา กามสงฺกปฺปาทีนํ สมุเจฺฉทกรา เนกฺขมฺมสงฺกปฺปาทโย อภิปตฺถิตาเยว ‘‘กทา นุ ขฺวาหํ ตทายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสามิ, ยทริยา เอตรหิ อุปสมฺปชฺช วิหรนฺตี’’ติ, วิมุตฺตาธิปฺปายสญฺญิตา วิมุตฺติํ อุทฺทิสฺส สงฺกปฺปา มโนรถา อภิณฺหโส อปฺปมตฺตา ยทโตฺถ ยํปโยชโน เยสํ นิปฺผาทนตฺถํ กุฎิํ สุญฺญาคารํ วิปสฺสิตุํ ปาวิสิํ ติโสฺส วิชฺชา ผลวิมุตฺติญฺจ ปเจฺจสโนฺต, คเวสโนฺต เต เม อิชฺฌิํสุ เต สเพฺพว อิทานิ มยฺหํ อิชฺฌิํสุ สมิชฺฌิํสุ, นิปฺผนฺนกุสลสงฺกโปฺป ปริปุณฺณมโนรโถ ชาโตติ อโตฺถฯ เตสํ สมิทฺธภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘มานานุสยมุชฺชห’’นฺติ วุตฺตํฯ ยสฺมา มานานุสยมุชฺชหํ ปชหิํ สมุจฺฉินฺทิํ, ตสฺมา เต เม สงฺกปฺปา อิชฺฌิํสูติ โยชนาฯ มานานุสเย หิ ปหีเน อปฺปหีโน นาม อนุสโย นตฺถิ, อรหตฺตญฺจ อธิคตเมว โหตีติ มานานุสยปฺปหานํ ยถาวุตฺตสงฺกปฺปสมิทฺธิยา การณํ กตฺวา วุตฺตํฯ
60. Tattha te me ijjhiṃsu saṅkappā, yadattho pāvisiṃ kuṭiṃ, vijjāvimuttiṃ paccesanti ye pubbe mayā kāmasaṅkappādīnaṃ samucchedakarā nekkhammasaṅkappādayo abhipatthitāyeva ‘‘kadā nu khvāhaṃ tadāyatanaṃ upasampajja viharissāmi, yadariyā etarahi upasampajja viharantī’’ti, vimuttādhippāyasaññitā vimuttiṃ uddissa saṅkappā manorathā abhiṇhaso appamattā yadattho yaṃpayojano yesaṃ nipphādanatthaṃ kuṭiṃ suññāgāraṃ vipassituṃ pāvisiṃ tisso vijjā phalavimuttiñca paccesanto, gavesanto te me ijjhiṃsu te sabbeva idāni mayhaṃ ijjhiṃsu samijjhiṃsu, nipphannakusalasaṅkappo paripuṇṇamanoratho jātoti attho. Tesaṃ samiddhabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘mānānusayamujjaha’’nti vuttaṃ. Yasmā mānānusayamujjahaṃ pajahiṃ samucchindiṃ, tasmā te me saṅkappā ijjhiṃsūti yojanā. Mānānusaye hi pahīne appahīno nāma anusayo natthi, arahattañca adhigatameva hotīti mānānusayappahānaṃ yathāvuttasaṅkappasamiddhiyā kāraṇaṃ katvā vuttaṃ.
สีวลิเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sīvalittheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
ฉฎฺฐวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Chaṭṭhavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๑๐. สีวลิเตฺถรคาถา • 10. Sīvalittheragāthā