Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๙๙] ๓. สิวิชาตกวณฺณนา

    [499] 3. Sivijātakavaṇṇanā

    ทูเร อปสฺสํ เถโรวาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อสทิสทานํ อารพฺภ กเถสิฯ ตํ อฎฺฐกนิปาเต สิวิชาตเก วิตฺถาริตเมวฯ ตทา ปน ราชา สตฺตเม ทิวเส สพฺพปริกฺขาเร ทตฺวา อนุโมทนํ ยาจิ, สตฺถา อกตฺวาว ปกฺกามิฯ ราชา ภุตฺตปาตราโส วิหารํ คนฺตฺวา ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, อนุโมทนํ น กริตฺถา’’ติ อาหฯ สตฺถา ‘‘อปริสุทฺธา, มหาราช, ปริสา’’ติ วตฺวา ‘‘น เว กทริยา เทวโลกํ วชนฺตี’’ติ (ธ. ป. ๑๗๗) คาถาย ธมฺมํ เทเสสิฯ ราชา ปสีทิตฺวา สตสหสฺสคฺฆนเกน สีเวยฺยเกน อุตฺตราสเงฺคน ตถาคตํ ปูเชตฺวา นครํ ปาวิสิฯ ปุนทิวเส ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, โกสลราชา อสทิสทานํ ทตฺวา ตาทิเสนปิ ทาเนน อติโตฺต ทสพเลน ธเมฺม เทสิเต ปุน สตสหสฺสคฺฆนกํ สีเวยฺยกวตฺถํ อทาสิ, ยาว อติโตฺต วต อาวุโส ทาเนน ราชา’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขเว, พาหิรภณฺฑํ นาม สุทินฺนํ, โปราณกปณฺฑิตา สกลชมฺพุทีปํ อุนฺนงฺคลํ กตฺวา เทวสิกํ ฉสตสหสฺสปริจฺจาเคน ทานํ ททมานาปิ พาหิรทาเนน อติตฺตา ‘ปิยสฺส ทาตา ปิยํ ลภตี’ติ สมฺปตฺตยาจกานํ อกฺขีนิ อุปฺปาเฎตฺวา อทํสุเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Dūreapassaṃ therovāti idaṃ satthā jetavane viharanto asadisadānaṃ ārabbha kathesi. Taṃ aṭṭhakanipāte sivijātake vitthāritameva. Tadā pana rājā sattame divase sabbaparikkhāre datvā anumodanaṃ yāci, satthā akatvāva pakkāmi. Rājā bhuttapātarāso vihāraṃ gantvā ‘‘kasmā, bhante, anumodanaṃ na karitthā’’ti āha. Satthā ‘‘aparisuddhā, mahārāja, parisā’’ti vatvā ‘‘na ve kadariyā devalokaṃ vajantī’’ti (dha. pa. 177) gāthāya dhammaṃ desesi. Rājā pasīditvā satasahassagghanakena sīveyyakena uttarāsaṅgena tathāgataṃ pūjetvā nagaraṃ pāvisi. Punadivase dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, kosalarājā asadisadānaṃ datvā tādisenapi dānena atitto dasabalena dhamme desite puna satasahassagghanakaṃ sīveyyakavatthaṃ adāsi, yāva atitto vata āvuso dānena rājā’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘bhikkhave, bāhirabhaṇḍaṃ nāma sudinnaṃ, porāṇakapaṇḍitā sakalajambudīpaṃ unnaṅgalaṃ katvā devasikaṃ chasatasahassapariccāgena dānaṃ dadamānāpi bāhiradānena atittā ‘piyassa dātā piyaṃ labhatī’ti sampattayācakānaṃ akkhīni uppāṭetvā adaṃsuyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต สิวิรเฎฺฐ อริฎฺฐปุรนคเร สิวิมหาราเช รชฺชํ กาเรเนฺต มหาสโตฺต ตสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, ‘‘สิวิกุมาโร’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา อุคฺคหิตสิโปฺป อาคนฺตฺวา ปิตุ สิปฺปํ ทเสฺสตฺวา อุปรชฺชํ ลภิตฺวา อปรภาเค ปิตุ อจฺจเยน ราชา หุตฺวา อคติคมนํ ปหาย ทส ราชธเมฺม อโกเปตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรตฺวา จตูสุ ทฺวาเรสุ นครมเชฺฌ นิเวสนทฺวาเร จาติ ฉ ทานสาลาโย กาเรตฺวา เทวสิกํ ฉสตสหสฺสปริจฺจาเคน มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ อฎฺฐมิยํ จาตุทฺทสิยํ ปนฺนรสิยญฺจ นิจฺจํ ทานสาลํ คนฺตฺวา ทานํ โอโลเกสิฯ โส เอกทา ปุณฺณมทิวเส ปาโตว สมุสฺสิตเสตจฺฉเตฺต ราชปลฺลเงฺก นิสิโนฺน อตฺตนา ทินฺนทานํ อาวเชฺชโนฺต พาหิรวตฺถุํ อตฺตนา อทินฺนํ นาม อทิสฺวา ‘‘มยา พาหิรวตฺถุ อทินฺนํ นาม นตฺถิ, น มํ พาหิรทานํ โตเสติ, อหํ อชฺฌตฺติกทานํ ทาตุกาโม, อโห วต อชฺช มม ทานสาลํ คตกาเล โกจิเทว ยาจโก พาหิรวตฺถุํ อยาจิตฺวา อชฺฌตฺติกสฺส นามํ คเณฺหยฺย, สเจ หิ เม โกจิ หทยมํสสฺส นามํ คเณฺหยฺย, กณเยน อุรํ ปหริตฺวา ปสนฺนอุทกโต สนาฬํ ปทุมํ อุทฺธรโนฺต วิย โลหิตพินฺทูนิ ปคฺฆรนฺตํ หทยํ นีหริตฺวา ทสฺสามิฯ สเจ สรีรมํสสฺส นามํ คเณฺหยฺย, อวเลขนสตฺถเกน เตลสิงฺคํ ลิขโนฺต วิย สรีรมํสํ โอตาเรตฺวา ทสฺสามิฯ สเจ โลหิตสฺส นามํ คเณฺหยฺย, ยนฺตมุเข ปกฺขนฺทิตฺวา อุปนีตํ ภาชนํ ปูเรตฺวา โลหิตํ ทสฺสามิฯ สเจ วา ปน โกจิ ‘เคเห เม กมฺมํ นปฺปวตฺตติ, เคเห เม ทาสกมฺมํ กโรหี’ติ วเทยฺย, ราชเวสํ อปเนตฺวา พหิ ฐตฺวา อตฺตานํ สาเวตฺวา ทาสกมฺมํ กริสฺสามิฯ สเจ เม โกจิ อกฺขิโน นามํ คเณฺหยฺย, ตาลมิญฺชํ นีหรโนฺต วิย อกฺขีนิ อุปฺปาเฎตฺวา ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ

    Atīte siviraṭṭhe ariṭṭhapuranagare sivimahārāje rajjaṃ kārente mahāsatto tassa putto hutvā nibbatti, ‘‘sivikumāro’’tissa nāmaṃ kariṃsu. So vayappatto takkasilaṃ gantvā uggahitasippo āgantvā pitu sippaṃ dassetvā uparajjaṃ labhitvā aparabhāge pitu accayena rājā hutvā agatigamanaṃ pahāya dasa rājadhamme akopetvā dhammena rajjaṃ kāretvā catūsu dvāresu nagaramajjhe nivesanadvāre cāti cha dānasālāyo kāretvā devasikaṃ chasatasahassapariccāgena mahādānaṃ pavattesi. Aṭṭhamiyaṃ cātuddasiyaṃ pannarasiyañca niccaṃ dānasālaṃ gantvā dānaṃ olokesi. So ekadā puṇṇamadivase pātova samussitasetacchatte rājapallaṅke nisinno attanā dinnadānaṃ āvajjento bāhiravatthuṃ attanā adinnaṃ nāma adisvā ‘‘mayā bāhiravatthu adinnaṃ nāma natthi, na maṃ bāhiradānaṃ toseti, ahaṃ ajjhattikadānaṃ dātukāmo, aho vata ajja mama dānasālaṃ gatakāle kocideva yācako bāhiravatthuṃ ayācitvā ajjhattikassa nāmaṃ gaṇheyya, sace hi me koci hadayamaṃsassa nāmaṃ gaṇheyya, kaṇayena uraṃ paharitvā pasannaudakato sanāḷaṃ padumaṃ uddharanto viya lohitabindūni paggharantaṃ hadayaṃ nīharitvā dassāmi. Sace sarīramaṃsassa nāmaṃ gaṇheyya, avalekhanasatthakena telasiṅgaṃ likhanto viya sarīramaṃsaṃ otāretvā dassāmi. Sace lohitassa nāmaṃ gaṇheyya, yantamukhe pakkhanditvā upanītaṃ bhājanaṃ pūretvā lohitaṃ dassāmi. Sace vā pana koci ‘gehe me kammaṃ nappavattati, gehe me dāsakammaṃ karohī’ti vadeyya, rājavesaṃ apanetvā bahi ṭhatvā attānaṃ sāvetvā dāsakammaṃ karissāmi. Sace me koci akkhino nāmaṃ gaṇheyya, tālamiñjaṃ nīharanto viya akkhīni uppāṭetvā dassāmī’’ti cintesi.

    อิติ โส –

    Iti so –

    ‘‘ยํกิญฺจิ มานุสํ ทานํ, อทินฺนํ เม น วิชฺชติ;

    ‘‘Yaṃkiñci mānusaṃ dānaṃ, adinnaṃ me na vijjati;

    โยปิ ยาเจยฺย มํ จกฺขุํ, ทเทยฺยํ อวิกมฺปิโต’’ติฯ (จริยา. ๑.๕๒) –

    Yopi yāceyya maṃ cakkhuṃ, dadeyyaṃ avikampito’’ti. (cariyā. 1.52) –

    จิเนฺตตฺวา โสฬสหิ คโนฺธทกฆเฎหิ นฺหายิตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา อลงฺกตหตฺถิกฺขนฺธวรคโต ทานคฺคํ อคมาสิฯ สโกฺก ตสฺส อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา ‘‘สิวิราชา ‘อชฺช สมฺปตฺตยาจกานํ จกฺขูนิ อุปฺปาเฎตฺวา ทสฺสามี’ติ จิเนฺตสิ, สกฺขิสฺสติ นุ โข ทาตุํ, อุทาหุ โน’’ติ ตสฺส วิมํสนตฺถาย ชราปโตฺต อนฺธพฺราหฺมโณ วิย หุตฺวา รโญฺญ ทานคฺคคมนกาเล เอกสฺมิํ อุนฺนตปฺปเทเส หตฺถํ ปสาเรตฺวา ราชานํ ชยาเปตฺวา อฎฺฐาสิฯ ราชา ตทภิมุขํ วารณํ เปเสตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, กิํ วเทสี’’ติ ปุจฺฉิฯ อถ นํ สโกฺก ‘‘มหาราช, ตว ทานชฺฌาสยํ นิสฺสาย สมุคฺคเตน กิตฺติโฆเสน สกลโลกสนฺนิวาโส นิรนฺตรํ ผุโฎ, อหํ อโนฺธ, ตฺวํ ทฺวิจกฺขุโก’’ติ วตฺวา จกฺขุํ ยาจโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Cintetvā soḷasahi gandhodakaghaṭehi nhāyitvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā alaṅkatahatthikkhandhavaragato dānaggaṃ agamāsi. Sakko tassa ajjhāsayaṃ viditvā ‘‘sivirājā ‘ajja sampattayācakānaṃ cakkhūni uppāṭetvā dassāmī’ti cintesi, sakkhissati nu kho dātuṃ, udāhu no’’ti tassa vimaṃsanatthāya jarāpatto andhabrāhmaṇo viya hutvā rañño dānaggagamanakāle ekasmiṃ unnatappadese hatthaṃ pasāretvā rājānaṃ jayāpetvā aṭṭhāsi. Rājā tadabhimukhaṃ vāraṇaṃ pesetvā ‘‘brāhmaṇa, kiṃ vadesī’’ti pucchi. Atha naṃ sakko ‘‘mahārāja, tava dānajjhāsayaṃ nissāya samuggatena kittighosena sakalalokasannivāso nirantaraṃ phuṭo, ahaṃ andho, tvaṃ dvicakkhuko’’ti vatvā cakkhuṃ yācanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๕๒.

    52.

    ‘‘ทูเร อปสฺสํ เถโรว, จกฺขุํ ยาจิตุมาคโต;

    ‘‘Dūre apassaṃ therova, cakkhuṃ yācitumāgato;

    เอกเนตฺตา ภวิสฺสาม, จกฺขุํ เม เทหิ ยาจิโต’’ติฯ

    Ekanettā bhavissāma, cakkhuṃ me dehi yācito’’ti.

    ตตฺถ ทูเรติ อิโต ทูเร วสโนฺตฯ เถโรติ ชราชิณฺณเถโรฯ เอกเนตฺตาติ เอกํ เนตฺตํ มยฺหํ เทหิ, เอวํ เทฺวปิ เอเกกเนตฺตา ภวิสฺสามาติฯ

    Tattha dūreti ito dūre vasanto. Theroti jarājiṇṇathero. Ekanettāti ekaṃ nettaṃ mayhaṃ dehi, evaṃ dvepi ekekanettā bhavissāmāti.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘อิทาเนวาหํ ปาสาเท นิสิโนฺน จิเนฺตตฺวา อาคโต, อโห เม ลาโภ, อเชฺชว เม มโนรโถ มตฺถกํ ปาปุณิสฺสติ, อทินฺนปุพฺพํ ทานํ ทสฺสามี’’ติ ตุฎฺฐมานโส ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘idānevāhaṃ pāsāde nisinno cintetvā āgato, aho me lābho, ajjeva me manoratho matthakaṃ pāpuṇissati, adinnapubbaṃ dānaṃ dassāmī’’ti tuṭṭhamānaso dutiyaṃ gāthamāha –

    ๕๓.

    53.

    ‘‘เกนานุสิโฎฺฐ อิธ มาคโตสิ, วนิพฺพก จกฺขุปถานิ ยาจิตุํ;

    ‘‘Kenānusiṭṭho idha māgatosi, vanibbaka cakkhupathāni yācituṃ;

    สุทุจฺจชํ ยาจสิ อุตฺตมงฺคํ, ยมาหุ เนตฺตํ ปุริเสน ‘ทุจฺจช’นฺติฯ

    Suduccajaṃ yācasi uttamaṅgaṃ, yamāhu nettaṃ purisena ‘duccaja’nti.

    ตตฺถ วนิพฺพกาติ ตํ อาลปติฯ จกฺขุปถานีติ จกฺขูนเมตํ นามํฯ ยมาหูติ ยํ ปณฺฑิตา ‘‘ทุจฺจช’’นฺติ กเถนฺติฯ

    Tattha vanibbakāti taṃ ālapati. Cakkhupathānīti cakkhūnametaṃ nāmaṃ. Yamāhūti yaṃ paṇḍitā ‘‘duccaja’’nti kathenti.

    อิโต ปรํ อุตฺตานสมฺพนฺธคาถา ปาฬินเยเนว เวทิตพฺพา –

    Ito paraṃ uttānasambandhagāthā pāḷinayeneva veditabbā –

    ๕๔.

    54.

    ‘‘ยมาหุ เทเวสุ สุชมฺปตีติ, มฆวาติ นํ อาหุ มนุสฺสโลเก;

    ‘‘Yamāhu devesu sujampatīti, maghavāti naṃ āhu manussaloke;

    เตนานุสิโฎฺฐ อิธ มาคโตสฺมิ, วนิพฺพโก จกฺขุปถานิ ยาจิตุํฯ

    Tenānusiṭṭho idha māgatosmi, vanibbako cakkhupathāni yācituṃ.

    ๕๕.

    55.

    ‘‘วนิพฺพโต มยฺห วนิํ อนุตฺตรํ, ททาหิ เต จกฺขุปถานิ ยาจิโต;

    ‘‘Vanibbato mayha vaniṃ anuttaraṃ, dadāhi te cakkhupathāni yācito;

    ททาหิ เม จกฺขุปถํ อนุตฺตรํ, ยมาหุ เนตฺตํ ปุริเสน ทุจฺจชํฯ

    Dadāhi me cakkhupathaṃ anuttaraṃ, yamāhu nettaṃ purisena duccajaṃ.

    ๕๖.

    56.

    ‘‘เยน อเตฺถน อาคจฺฉิ, ยมตฺถมภิปตฺถยํ;

    ‘‘Yena atthena āgacchi, yamatthamabhipatthayaṃ;

    เต เต อิชฺฌนฺตุ สงฺกปฺปา, ลภ จกฺขูนิ พฺราหฺมณฯ

    Te te ijjhantu saṅkappā, labha cakkhūni brāhmaṇa.

    ๕๗.

    57.

    ‘‘เอกํ เต ยาจมานสฺส, อุภยานิ ททามหํ;

    ‘‘Ekaṃ te yācamānassa, ubhayāni dadāmahaṃ;

    ส จกฺขุมา คจฺฉ ชนสฺส เปกฺขโต, ยทิจฺฉเส ตฺวํ ตทเต สมิชฺฌตู’’ติฯ

    Sa cakkhumā gaccha janassa pekkhato, yadicchase tvaṃ tadate samijjhatū’’ti.

    ตตฺถ วนิพฺพโตติ ยาจนฺตสฺสฯ วนินฺติ ยาจนํฯ เต เตติ เต ตว ตสฺส อตฺถสฺส สงฺกปฺปาฯ ส จกฺขุมาติ โส ตฺวํ มม จกฺขูหิ จกฺขุมา หุตฺวาฯ ยทิจฺฉเส ตฺวํ ตทเต สมิชฺฌตูติ ยํ ตฺวํ มม สนฺติกา อิจฺฉสิ, ตํ เต สมิชฺฌตูติฯ

    Tattha vanibbatoti yācantassa. Vaninti yācanaṃ. Te teti te tava tassa atthassa saṅkappā. Sa cakkhumāti so tvaṃ mama cakkhūhi cakkhumā hutvā. Yadicchase tvaṃ tadate samijjhatūti yaṃ tvaṃ mama santikā icchasi, taṃ te samijjhatūti.

    ราชา เอตฺตกํ กเถตฺวา ‘‘อิเธว มยา อกฺขีนิ อุปฺปาเฎตฺวา ทาตุํ อสารุปฺป’’นฺติ จิเนฺตตฺวา พฺราหฺมณํ อาทาย อเนฺตปุรํ คนฺตฺวา ราชาสเน นิสีทิตฺวา สีวิกํ นาม เวชฺชํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อกฺขิํ เม โสเธหี’’ติ อาหฯ ‘‘อมฺหากํ กิร ราชา อกฺขีนิ อุปฺปาเฎตฺวา พฺราหฺมณสฺส ทาตุกาโม’’ติ สกลนคเร เอกโกลาหลํ อโหสิฯ อถ เสนาปติอาทโย ราชวลฺลภา จ นาครา จ โอโรธา จ สเพฺพ สนฺนิปติตฺวา ราชานํ วาเรนฺตา ติโสฺส คาถา อโวจุํ –

    Rājā ettakaṃ kathetvā ‘‘idheva mayā akkhīni uppāṭetvā dātuṃ asāruppa’’nti cintetvā brāhmaṇaṃ ādāya antepuraṃ gantvā rājāsane nisīditvā sīvikaṃ nāma vejjaṃ pakkosāpetvā ‘‘akkhiṃ me sodhehī’’ti āha. ‘‘Amhākaṃ kira rājā akkhīni uppāṭetvā brāhmaṇassa dātukāmo’’ti sakalanagare ekakolāhalaṃ ahosi. Atha senāpatiādayo rājavallabhā ca nāgarā ca orodhā ca sabbe sannipatitvā rājānaṃ vārentā tisso gāthā avocuṃ –

    ๕๘.

    58.

    ‘‘มา โน เทว อทา จกฺขุํ, มา โน สเพฺพ ปรากริ;

    ‘‘Mā no deva adā cakkhuṃ, mā no sabbe parākari;

    ธนํ เทหิ มหาราช, มุตฺตา เวฬุริยา พหูฯ

    Dhanaṃ dehi mahārāja, muttā veḷuriyā bahū.

    ๕๙.

    59.

    ‘‘ยุเตฺต เทว รเถ เทหิ, อาชานีเย จลงฺกเต;

    ‘‘Yutte deva rathe dehi, ājānīye calaṅkate;

    นาเค เทหิ มหาราช, เหมกปฺปนวาสเสฯ

    Nāge dehi mahārāja, hemakappanavāsase.

    ๖๐.

    60.

    ‘‘ยถา ตํ สิวโย สเพฺพ, สโยคฺคา สรถา สทา;

    ‘‘Yathā taṃ sivayo sabbe, sayoggā sarathā sadā;

    สมนฺตา ปริกิเรยฺยุํ, เอวํ เทหิ รเถสภา’’ติฯ

    Samantā parikireyyuṃ, evaṃ dehi rathesabhā’’ti.

    ตตฺถ ปรากรีติ ปริจฺจชิฯ อกฺขีสุ หิ ทิเนฺนสุ รชฺชํ ตฺวํ น กาเรสฺสสิ, อโญฺญ ราชา ภวิสฺสติ, เอวํ ตยา มยํ ปริจฺจตฺตา นาม ภวิสฺสามาติ อธิปฺปาเยเนวมาหํสุฯ ปริกิเรยฺยุนฺติ ปริวาเรยฺยุํฯ เอวํ เทหีติ ยถา ตํ อวิกลจกฺขุํ สิวโย ปริวาเรยฺยุํ, เอวํ พาหิรธนเมวสฺส เทหิ, มา อกฺขีนิฯ อกฺขีสุ หิ ทิเนฺนสุ น ตํ สิวโย ปริวาเรสฺสนฺตีติฯ

    Tattha parākarīti pariccaji. Akkhīsu hi dinnesu rajjaṃ tvaṃ na kāressasi, añño rājā bhavissati, evaṃ tayā mayaṃ pariccattā nāma bhavissāmāti adhippāyenevamāhaṃsu. Parikireyyunti parivāreyyuṃ. Evaṃ dehīti yathā taṃ avikalacakkhuṃ sivayo parivāreyyuṃ, evaṃ bāhiradhanamevassa dehi, mā akkhīni. Akkhīsu hi dinnesu na taṃ sivayo parivāressantīti.

    อถ ราชา ติโสฺส คาถา อภาสิ –

    Atha rājā tisso gāthā abhāsi –

    ๖๑.

    61.

    ‘‘โย เว ทสฺสนฺติ วตฺวาน, อทาเน กุรุเต มโน;

    ‘‘Yo ve dassanti vatvāna, adāne kurute mano;

    ภูมฺยํ โส ปติตํ ปาสํ, คีวายํ ปฎิมุญฺจติฯ

    Bhūmyaṃ so patitaṃ pāsaṃ, gīvāyaṃ paṭimuñcati.

    ๖๒.

    62.

    ‘‘โย เว ทสฺสนฺติ วตฺวานํ, อทาเน กุรุเต มโน;

    ‘‘Yo ve dassanti vatvānaṃ, adāne kurute mano;

    ปาปา ปาปตโร โหติ, สมฺปโตฺต ยมสาธนํฯ

    Pāpā pāpataro hoti, sampatto yamasādhanaṃ.

    ๖๓.

    63.

    ‘‘ยญฺหิ ยาเจ ตญฺหิ ทเท, ยํ น ยาเจ น ตํ ทเท;

    ‘‘Yañhi yāce tañhi dade, yaṃ na yāce na taṃ dade;

    สฺวาหํ ตเมว ทสฺสามิ, ยํ มํ ยาจติ พฺราหฺมโณ’’ติฯ

    Svāhaṃ tameva dassāmi, yaṃ maṃ yācati brāhmaṇo’’ti.

    ตตฺถ ปฎิมุญฺจตีติ ปเวเสติฯ ปาปา ปาปตโรติ ลามกาปิ ลามกตโร นาม โหติฯ สมฺปโตฺต ยมสาธนนฺติ ยมสฺส อาณาปวตฺติฎฺฐานํ อุสฺสทนิรยํ เอส ปโตฺตเยว นาม โหติฯ ยญฺหิ ยาเจติ ยํ ยาจโก ยาเจยฺย, ทายโกปิ ตเมว ทเทยฺย, น อยาจิตํ, อยญฺจ พฺราหฺมโณ มํ จกฺขุํ ยาจติ, น มุตฺตาทิกํ ธนํ, ตเทวสฺสาหํ ทสฺสามีติ วทติฯ

    Tattha paṭimuñcatīti paveseti. Pāpā pāpataroti lāmakāpi lāmakataro nāma hoti. Sampatto yamasādhananti yamassa āṇāpavattiṭṭhānaṃ ussadanirayaṃ esa pattoyeva nāma hoti. Yañhi yāceti yaṃ yācako yāceyya, dāyakopi tameva dadeyya, na ayācitaṃ, ayañca brāhmaṇo maṃ cakkhuṃ yācati, na muttādikaṃ dhanaṃ, tadevassāhaṃ dassāmīti vadati.

    อถ นํ อมจฺจา ‘‘กิํ ปเตฺถตฺวา จกฺขูนิ เทสี’’ติ ปุจฺฉนฺตา คาถมาหํสุ –

    Atha naṃ amaccā ‘‘kiṃ patthetvā cakkhūni desī’’ti pucchantā gāthamāhaṃsu –

    ๖๔.

    64.

    ‘‘อายุํ นุ วณฺณํ นุ สุขํ พลํ นุ, กิํ ปตฺถยาโน นุ ชนินฺท เทสิ;

    ‘‘Āyuṃ nu vaṇṇaṃ nu sukhaṃ balaṃ nu, kiṃ patthayāno nu janinda desi;

    กถญฺหิ ราชา สิวินํ อนุตฺตโร, จกฺขูนิ ทชฺชา ปรโลกเหตู’’ติฯ

    Kathañhi rājā sivinaṃ anuttaro, cakkhūni dajjā paralokahetū’’ti.

    ตตฺถ ปรโลกเหตูติ มหาราช, กถํ นาม ตุมฺหาทิโส ปณฺฑิตปุริโส สนฺทิฎฺฐิกํ อิสฺสริยํ ปหาย ปรโลกเหตุ จกฺขูนิ ทเทยฺยาติฯ

    Tattha paralokahetūti mahārāja, kathaṃ nāma tumhādiso paṇḍitapuriso sandiṭṭhikaṃ issariyaṃ pahāya paralokahetu cakkhūni dadeyyāti.

    อถ เนสํ กเถโนฺต ราชา คาถมาห –

    Atha nesaṃ kathento rājā gāthamāha –

    ๖๕.

    65.

    ‘‘น วาหเมตํ ยสสา ททามิ, น ปุตฺตมิเจฺฉ น ธนํ น รฎฺฐํ;

    ‘‘Na vāhametaṃ yasasā dadāmi, na puttamicche na dhanaṃ na raṭṭhaṃ;

    สตญฺจ ธโมฺม จริโต ปุราโณ, อิเจฺจว ทาเน รมเต มโน มมา’’ติฯ

    Satañca dhammo carito purāṇo, icceva dāne ramate mano mamā’’ti.

    ตตฺถ น วาหนฺติ น เว อหํฯ ยสสาติ ทิพฺพสฺส วา มานุสสฺส วา ยสสฺส การณาฯ น ปุตฺตมิเจฺฉติ อิมสฺส จกฺขุทานสฺส ผเลน เนวาหํ ปุตฺตํ อิจฺฉามิ, น ธนํ น รฎฺฐํ, อปิจ สตํ ปณฺฑิตานํ สพฺพญฺญุโพธิสตฺตานํ เอส อาจิโณฺณ สมาจิโณฺณ โปราณกมโคฺค, ยทิทํ ปารมีปูรณํ นามฯ น หิ ปารมิโย อปูเรตฺวา โพธิปลฺลเงฺก สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตุํ สมโตฺถ นาม อตฺถิ, อหญฺจ ปารมิโย ปูเรตฺวา พุโทฺธ ภวิตุกาโมฯ อิเจฺจว ทาเน รมเต มโน มมาติ อิมินา การเณน มม มโน ทาเนเยว นิรโตติ วทติฯ

    Tattha na vāhanti na ve ahaṃ. Yasasāti dibbassa vā mānusassa vā yasassa kāraṇā. Na puttamiccheti imassa cakkhudānassa phalena nevāhaṃ puttaṃ icchāmi, na dhanaṃ na raṭṭhaṃ, apica sataṃ paṇḍitānaṃ sabbaññubodhisattānaṃ esa āciṇṇo samāciṇṇo porāṇakamaggo, yadidaṃ pāramīpūraṇaṃ nāma. Na hi pāramiyo apūretvā bodhipallaṅke sabbaññutaṃ pāpuṇituṃ samattho nāma atthi, ahañca pāramiyo pūretvā buddho bhavitukāmo. Icceva dāne ramate mano mamāti iminā kāraṇena mama mano dāneyeva niratoti vadati.

    สมฺมาสมฺพุโทฺธปิ ธมฺมเสนาปติสาริปุตฺตเตฺถรสฺส จริยาปิฎกํ เทเสโนฺต ‘‘มยฺหํ ทฺวีหิ จกฺขูหิปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว ปิยตร’’นฺติ ทีเปตุํ อาห –

    Sammāsambuddhopi dhammasenāpatisāriputtattherassa cariyāpiṭakaṃ desento ‘‘mayhaṃ dvīhi cakkhūhipi sabbaññutaññāṇameva piyatara’’nti dīpetuṃ āha –

    ‘‘น เม เทสฺสา อุโภ จกฺขู, อตฺตานํ เม น เทสฺสิยํ;

    ‘‘Na me dessā ubho cakkhū, attānaṃ me na dessiyaṃ;

    สพฺพญฺญุตํ ปิยํ มยฺหํ, ตสฺมา จกฺขุํ อทาสห’’นฺติฯ (จริยา. ๑.๖๖);

    Sabbaññutaṃ piyaṃ mayhaṃ, tasmā cakkhuṃ adāsaha’’nti. (cariyā. 1.66);

    มหาสตฺตสฺส ปน กถํ สุตฺวา อมเจฺจสุ อปฺปฎิภาเณสุ ฐิเตสุ มหาสโตฺต สีวิกํ เวชฺชํ คาถาย อชฺฌภาสิ –

    Mahāsattassa pana kathaṃ sutvā amaccesu appaṭibhāṇesu ṭhitesu mahāsatto sīvikaṃ vejjaṃ gāthāya ajjhabhāsi –

    ๖๖.

    66.

    ‘‘สขา จ มิโตฺต จ มมาสิ สีวิก, สุสิกฺขิโต สาธุ กโรหิ เม วโจ;

    ‘‘Sakhā ca mitto ca mamāsi sīvika, susikkhito sādhu karohi me vaco;

    อุทฺธริตฺวา จกฺขูนิ มมํ ชิคีสโต, หเตฺถสุ ฐเปหิ วนิพฺพกสฺสา’’ติฯ

    Uddharitvā cakkhūni mamaṃ jigīsato, hatthesu ṭhapehi vanibbakassā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – สมฺม สีวิก, ตฺวํ มยฺหํ สหาโย จ มิโตฺต จ เวชฺชสิเปฺป จาสิ สุสิกฺขิโต, สาธุ เม วจนํ กโรหิฯ มม ชิคีสโต อุปธาเรนฺตสฺส โอโลเกนฺตเสฺสว ตาลมิญฺชํ วิย เม อกฺขีนิ อุทฺธริตฺวา อิมสฺส ยาจกสฺส หเตฺถสุ ฐเปหีติฯ

    Tassattho – samma sīvika, tvaṃ mayhaṃ sahāyo ca mitto ca vejjasippe cāsi susikkhito, sādhu me vacanaṃ karohi. Mama jigīsato upadhārentassa olokentasseva tālamiñjaṃ viya me akkhīni uddharitvā imassa yācakassa hatthesu ṭhapehīti.

    อถ นํ สีวิโก อาห ‘‘จกฺขุทานํ นาม ภาริยํ, อุปธาเรหิ, เทวา’’ติฯ สีวิก, อุปธาริตํ มยา, ตฺวํ มา ปปญฺจํ กโรหิ, มา มยา สทฺธิํ พหุํ กเถหีติฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘อยุตฺตํ มาทิสสฺส สุสิกฺขิตสฺส เวชฺชสฺส รโญฺญ อกฺขีสุ สตฺถปาตน’’นฺติฯ โส นานาเภสชฺชานิ ฆํสิตฺวา เภสชฺชจุเณฺณน นีลุปฺปลํ ปริภาเวตฺวา ทกฺขิณกฺขิํ อุปสิงฺฆาเปสิ, อกฺขิ ปริวตฺติ, ทุกฺขเวทนา อุปฺปชฺชิฯ ‘‘สลฺลเกฺขหิ, มหาราช, ปฎิปากติกกรณํ มยฺหํ ภาโร’’ติฯ ‘‘อลญฺหิ ตาต มา ปปญฺจํ กรี’’ติฯ โส ปริภาเวตฺวา ปุน อุปสิงฺฆาเปสิ, อกฺขิ อกฺขิกูปโต มุจฺจิ, พลวตรา เวทนา อุทปาทิฯ ‘‘สลฺลเกฺขหิ มหาราช, สโกฺกมหํ ปฎิปากติกํ กาตุ’’นฺติฯ ‘‘มา ปปญฺจํ กรี’’ติฯ โส ตติยวาเร ขรตรํ ปริภาเวตฺวา อุปนาเมสิฯ อกฺขิ โอสธพเลน ปริพฺภมิตฺวา อกฺขิกูปโต นิกฺขมิตฺวา นฺหารุสุตฺตเกน โอลมฺพมานํ อฎฺฐาสิฯ สลฺลเกฺขหิ นรินฺท, ปุน ปากติกกรณํ มยฺหํ พลนฺติฯ มา ปปญฺจํ กรีติฯ อธิมตฺตา เวทนา อุทปาทิ, โลหิตํ ปคฺฆริ, นิวตฺถสาฎกา โลหิเตน เตมิํสุฯ โอโรธา จ อมจฺจา จ รโญฺญ ปาทมูเล ปติตฺวา ‘‘เทว อกฺขีนิ มา เทหี’’ติ มหาปริเทวํ ปริเทวิํสุฯ

    Atha naṃ sīviko āha ‘‘cakkhudānaṃ nāma bhāriyaṃ, upadhārehi, devā’’ti. Sīvika, upadhāritaṃ mayā, tvaṃ mā papañcaṃ karohi, mā mayā saddhiṃ bahuṃ kathehīti. So cintesi ‘‘ayuttaṃ mādisassa susikkhitassa vejjassa rañño akkhīsu satthapātana’’nti. So nānābhesajjāni ghaṃsitvā bhesajjacuṇṇena nīluppalaṃ paribhāvetvā dakkhiṇakkhiṃ upasiṅghāpesi, akkhi parivatti, dukkhavedanā uppajji. ‘‘Sallakkhehi, mahārāja, paṭipākatikakaraṇaṃ mayhaṃ bhāro’’ti. ‘‘Alañhi tāta mā papañcaṃ karī’’ti. So paribhāvetvā puna upasiṅghāpesi, akkhi akkhikūpato mucci, balavatarā vedanā udapādi. ‘‘Sallakkhehi mahārāja, sakkomahaṃ paṭipākatikaṃ kātu’’nti. ‘‘Mā papañcaṃ karī’’ti. So tatiyavāre kharataraṃ paribhāvetvā upanāmesi. Akkhi osadhabalena paribbhamitvā akkhikūpato nikkhamitvā nhārusuttakena olambamānaṃ aṭṭhāsi. Sallakkhehi narinda, puna pākatikakaraṇaṃ mayhaṃ balanti. Mā papañcaṃ karīti. Adhimattā vedanā udapādi, lohitaṃ pagghari, nivatthasāṭakā lohitena temiṃsu. Orodhā ca amaccā ca rañño pādamūle patitvā ‘‘deva akkhīni mā dehī’’ti mahāparidevaṃ parideviṃsu.

    ราชา เวทนํ อธิวาเสตฺวา ‘‘ตาต, มา ปปญฺจํ กรี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ วามหเตฺถน อกฺขิํ ธาเรตฺวา ทกฺขิณหเตฺถน สตฺถกํ อาทาย อกฺขิสุตฺตกํ ฉินฺทิตฺวา อกฺขิํ คเหตฺวา มหาสตฺตสฺส หเตฺถ ฐเปสิฯ โส วามกฺขินา ทกฺขิณกฺขิํ โอโลเกตฺวา เวทนํ อธิวาเสตฺวา ‘‘เอหิ พฺราหฺมณา’’ติ พฺราหฺมณํ ปโกฺกสิตฺวา ‘‘มม อิโต อกฺขิโต สตคุเณน สหสฺสคุเณน สตสหสฺสคุเณน สพฺพญฺญุตญฺญาณกฺขิเมว ปิยตรํ, ตสฺส เม อิทํ ปจฺจโย โหตู’’ติ วตฺวา พฺราหฺมณสฺส อกฺขิํ อทาสิฯ โส ตํ อุกฺขิปิตฺวา อตฺตโน อกฺขิมฺหิ ฐเปสิฯ ตํ ตสฺสานุภาเวน วิกสิตนีลุปฺปลํ วิย หุตฺวา ปติฎฺฐาสิฯ มหาสโตฺต วามกฺขินา ตสฺส ตํ อกฺขิํ ทิสฺวา ‘‘อโห, สุทินฺนํ มยา อกฺขิทาน’’นฺติ อโนฺต สมุคฺคตาย ปีติยา นิรนฺตรํ ผุโฎ หุตฺวา อิตรมฺปิ อกฺขิํ อทาสิฯ สโกฺก ตมฺปิ อตฺตโน อกฺขิมฺหิ ฐเปตฺวา ราชนิเวสนา นิกฺขมิตฺวา มหาชนสฺส โอโลเกนฺตเสฺสว นครา นิกฺขมิตฺวา เทวโลกเมว คโตฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา ทิยฑฺฒคาถมาห –

    Rājā vedanaṃ adhivāsetvā ‘‘tāta, mā papañcaṃ karī’’ti āha. So ‘‘sādhu, devā’’ti vāmahatthena akkhiṃ dhāretvā dakkhiṇahatthena satthakaṃ ādāya akkhisuttakaṃ chinditvā akkhiṃ gahetvā mahāsattassa hatthe ṭhapesi. So vāmakkhinā dakkhiṇakkhiṃ oloketvā vedanaṃ adhivāsetvā ‘‘ehi brāhmaṇā’’ti brāhmaṇaṃ pakkositvā ‘‘mama ito akkhito sataguṇena sahassaguṇena satasahassaguṇena sabbaññutaññāṇakkhimeva piyataraṃ, tassa me idaṃ paccayo hotū’’ti vatvā brāhmaṇassa akkhiṃ adāsi. So taṃ ukkhipitvā attano akkhimhi ṭhapesi. Taṃ tassānubhāvena vikasitanīluppalaṃ viya hutvā patiṭṭhāsi. Mahāsatto vāmakkhinā tassa taṃ akkhiṃ disvā ‘‘aho, sudinnaṃ mayā akkhidāna’’nti anto samuggatāya pītiyā nirantaraṃ phuṭo hutvā itarampi akkhiṃ adāsi. Sakko tampi attano akkhimhi ṭhapetvā rājanivesanā nikkhamitvā mahājanassa olokentasseva nagarā nikkhamitvā devalokameva gato. Tamatthaṃ pakāsento satthā diyaḍḍhagāthamāha –

    ๖๗.

    67.

    ‘‘โจทิโต สิวิราเชน, สีวิโก วจนํกโร;

    ‘‘Codito sivirājena, sīviko vacanaṃkaro;

    รโญฺญ จกฺขูนุทฺธริตฺวา, พฺราหฺมณสฺสูปนามยิ;

    Rañño cakkhūnuddharitvā, brāhmaṇassūpanāmayi;

    สจกฺขุ พฺราหฺมโณ อาสิ, อโนฺธ ราชา อุปาวิสี’’ติฯ

    Sacakkhu brāhmaṇo āsi, andho rājā upāvisī’’ti.

    รโญฺญ น จิรเสฺสว อกฺขีนิ รุหิํสุ, รุหมานานิ จ อาวาฎภาวํ อปฺปตฺวา กมฺพลเคณฺฑุเกน วิย อุคฺคเตน มํสปิเณฺฑน ปูเรตฺวา จิตฺตกมฺมรูปสฺส วิย อกฺขีนิ อเหสุํ, เวทนา ปจฺฉิชฺชิฯ อถ มหาสโตฺต กติปาหํ ปาสาเท วสิตฺวา ‘‘กิํ อนฺธสฺส รเชฺชน, อมจฺจานํ รชฺชํ นิยฺยาเทตฺวา อุยฺยานํ คนฺตฺวา ปพฺพชิตฺวา สมณธมฺมํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อมเจฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา เตสํ ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘เอโก มุขโธวนาทิทายโก กปฺปิยการโกว มยฺหํ สนฺติเก ภวิสฺสติ, สรีรกิจฺจฎฺฐาเนสุปิ เม รชฺชุกํ พนฺธถา’’ติ วตฺวา สารถิํ อามเนฺตตฺวา ‘‘รถํ โยเชหี’’ติ อาหฯ อมจฺจา ปนสฺส รเถน คนฺตุํ อทตฺวา สุวณฺณสิวิกาย นํ เนตฺวา โปกฺขรณีตีเร นิสีทาเปตฺวา อารกฺขํ สํวิธาย ปฎิกฺกมิํสุฯ ราชา ปลฺลเงฺกน นิสิโนฺน อตฺตโน ทานํ อาวเชฺชสิฯ ตสฺมิํ ขเณ สกฺกสฺส อาสนํ อุณฺหํ อโหสิฯ โส อาวเชฺชโนฺต ตํ การณํ ทิสฺวา ‘‘มหาราชสฺส วรํ ทตฺวา จกฺขุํ ปฎิปากติกํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา มหาสตฺตสฺส อวิทูเร อปราปรํ จงฺกมิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อิมา คาถา อาห –

    Rañño na cirasseva akkhīni ruhiṃsu, ruhamānāni ca āvāṭabhāvaṃ appatvā kambalageṇḍukena viya uggatena maṃsapiṇḍena pūretvā cittakammarūpassa viya akkhīni ahesuṃ, vedanā pacchijji. Atha mahāsatto katipāhaṃ pāsāde vasitvā ‘‘kiṃ andhassa rajjena, amaccānaṃ rajjaṃ niyyādetvā uyyānaṃ gantvā pabbajitvā samaṇadhammaṃ karissāmī’’ti cintetvā amacce pakkosāpetvā tesaṃ tamatthaṃ ārocetvā ‘‘eko mukhadhovanādidāyako kappiyakārakova mayhaṃ santike bhavissati, sarīrakiccaṭṭhānesupi me rajjukaṃ bandhathā’’ti vatvā sārathiṃ āmantetvā ‘‘rathaṃ yojehī’’ti āha. Amaccā panassa rathena gantuṃ adatvā suvaṇṇasivikāya naṃ netvā pokkharaṇītīre nisīdāpetvā ārakkhaṃ saṃvidhāya paṭikkamiṃsu. Rājā pallaṅkena nisinno attano dānaṃ āvajjesi. Tasmiṃ khaṇe sakkassa āsanaṃ uṇhaṃ ahosi. So āvajjento taṃ kāraṇaṃ disvā ‘‘mahārājassa varaṃ datvā cakkhuṃ paṭipākatikaṃ karissāmī’’ti cintetvā tattha gantvā mahāsattassa avidūre aparāparaṃ caṅkami. Tamatthaṃ pakāsento satthā imā gāthā āha –

    ๖๘.

    68.

    ‘‘ตโต โส กติปาหสฺส, อุปรูเฬฺหสุ จกฺขุสุ;

    ‘‘Tato so katipāhassa, uparūḷhesu cakkhusu;

    สูตํ อามนฺตยี ราชา, สิวีนํ รฎฺฐวฑฺฒโนฯ

    Sūtaṃ āmantayī rājā, sivīnaṃ raṭṭhavaḍḍhano.

    ๖๙.

    69.

    ‘‘โยเชหิ สารถิ ยานํ, ยุตฺตญฺจ ปฎิเวทย;

    ‘‘Yojehi sārathi yānaṃ, yuttañca paṭivedaya;

    อุยฺยานภูมิํ คจฺฉาม, โปกฺขรโญฺญ วนานิ จฯ

    Uyyānabhūmiṃ gacchāma, pokkharañño vanāni ca.

    ๗๐.

    70.

    ‘‘โส จ โปกฺขรณีตีเร, ปลฺลเงฺกน อุปาวิสิ;

    ‘‘So ca pokkharaṇītīre, pallaṅkena upāvisi;

    ตสฺส สโกฺก ปาตุรหุ, เทวราชา สุชมฺปตี’’ติฯ

    Tassa sakko pāturahu, devarājā sujampatī’’ti.

    สโกฺกปิ มหาสเตฺตน ปทสทฺทํ สุตฺวา ‘‘โก เอโส’’ติ ปุโฎฺฐ คาถมาห –

    Sakkopi mahāsattena padasaddaṃ sutvā ‘‘ko eso’’ti puṭṭho gāthamāha –

    ๗๑.

    71.

    ‘‘สโกฺกหมสฺมิ เทวิโนฺท, อาคโตสฺมิ ตวนฺติเก;

    ‘‘Sakkohamasmi devindo, āgatosmi tavantike;

    วรํ วรสฺสุ ราชีสิ, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉสี’’ติฯ –

    Varaṃ varassu rājīsi, yaṃ kiñci manasicchasī’’ti. –

    เอวํ วุเตฺต ราชา คาถมาห –

    Evaṃ vutte rājā gāthamāha –

    ๗๒.

    72.

    ‘‘ปหูตํ เม ธนํ สกฺก, พลํ โกโส จนปฺปโก;

    ‘‘Pahūtaṃ me dhanaṃ sakka, balaṃ koso canappako;

    อนฺธสฺส เม สโต ทานิ, มรณเญฺญว รุจฺจตี’’ติฯ

    Andhassa me sato dāni, maraṇaññeva ruccatī’’ti.

    ตตฺถ มรณเญฺญว รุจฺจตีติ เทวราช, อิทานิ มยฺหํ อนฺธภาเวน มรณเมว รุจฺจติ, ตํ เม เทหีติฯ

    Tattha maraṇaññeva ruccatīti devarāja, idāni mayhaṃ andhabhāvena maraṇameva ruccati, taṃ me dehīti.

    อถ นํ สโกฺก อาห ‘‘สิวิราช, กิํ ปน ตฺวํ มริตุกาโม หุตฺวา มรณํ โรเจสิ, อุทาหุ อนฺธภาเวนา’’ติ? ‘‘อนฺธภาเวน เทวา’’ติฯ ‘‘มหาราช, ทานํ นาม น เกวลํ สมฺปรายตฺถเมว ทียติ, ทิฎฺฐธมฺมตฺถายปิ ปจฺจโย โหติ, ตฺวญฺจ เอกํ จกฺขุํ ยาจิโต เทฺว อทาสิ, เตน สจฺจกิริยํ กโรหี’’ติ กถํ สมุฎฺฐาเปตฺวา อาห –

    Atha naṃ sakko āha ‘‘sivirāja, kiṃ pana tvaṃ maritukāmo hutvā maraṇaṃ rocesi, udāhu andhabhāvenā’’ti? ‘‘Andhabhāvena devā’’ti. ‘‘Mahārāja, dānaṃ nāma na kevalaṃ samparāyatthameva dīyati, diṭṭhadhammatthāyapi paccayo hoti, tvañca ekaṃ cakkhuṃ yācito dve adāsi, tena saccakiriyaṃ karohī’’ti kathaṃ samuṭṭhāpetvā āha –

    ๗๓.

    73.

    ‘‘ยานิ สจฺจานิ ทฺวิปทินฺท, ตานิ ภาสสฺสุ ขตฺติย;

    ‘‘Yāni saccāni dvipadinda, tāni bhāsassu khattiya;

    สจฺจํ เต ภณมานสฺส, ปุน จกฺขุ ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Saccaṃ te bhaṇamānassa, puna cakkhu bhavissatī’’ti.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘สกฺก, สเจสิ มม จกฺขุํ ทาตุกาโม, อญฺญํ อุปายํ มา กริ, มม ทานนิสฺสเนฺทเนว เม จกฺขุ อุปฺปชฺชตู’’ติ วตฺวา สเกฺกน ‘‘มหาราช, อหํ สโกฺก เทวราชาปิ น ปเรสํ จกฺขุํ ทาตุํ สโกฺกมิ, ตยา ทินฺนทานสฺส ผเลเนว เต จกฺขุ อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ มยา ทานํ สุทินฺน’’นฺติ วตฺวา สจฺจกิริยํ กโรโนฺต คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘sakka, sacesi mama cakkhuṃ dātukāmo, aññaṃ upāyaṃ mā kari, mama dānanissandeneva me cakkhu uppajjatū’’ti vatvā sakkena ‘‘mahārāja, ahaṃ sakko devarājāpi na paresaṃ cakkhuṃ dātuṃ sakkomi, tayā dinnadānassa phaleneva te cakkhu uppajjissatī’’ti vutte ‘‘tena hi mayā dānaṃ sudinna’’nti vatvā saccakiriyaṃ karonto gāthamāha –

    ๗๔.

    74.

    ‘‘เย มํ ยาจิตุมายนฺติ, นานาโคตฺตา วนิพฺพกา;

    ‘‘Ye maṃ yācitumāyanti, nānāgottā vanibbakā;

    โยปิ มํ ยาจเต ตตฺถ, โสปิ เม มนโส ปิโย;

    Yopi maṃ yācate tattha, sopi me manaso piyo;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, จกฺขุ เม อุปปชฺชถา’’ติฯ

    Etena saccavajjena, cakkhu me upapajjathā’’ti.

    ตตฺถ เย มนฺติ เย มํ ยาจิตุํ อาคจฺฉนฺติ, เตสุ ยาจเกสุ อาคจฺฉเนฺตสุ โยปิ มํ ยาจเต, โสปิ เม มนโส ปิโยฯ เอเตนาติ สเจ มม สเพฺพปิ ยาจกา ปิยา, สจฺจเมเวตํ มยา วุตฺตํ, เอเตน เม สจฺจวจเนน เอกํ เม จกฺขุ อุปปชฺชถ อุปปชฺชตูติ อาหฯ

    Tattha ye manti ye maṃ yācituṃ āgacchanti, tesu yācakesu āgacchantesu yopi maṃ yācate, sopi me manaso piyo. Etenāti sace mama sabbepi yācakā piyā, saccamevetaṃ mayā vuttaṃ, etena me saccavacanena ekaṃ me cakkhu upapajjatha upapajjatūti āha.

    อถสฺส วจนานนฺตรเมว ปฐมํ จกฺขุ อุทปาทิฯ ตโต ทุติยสฺส อุปฺปชฺชนตฺถาย คาถาทฺวยมาห –

    Athassa vacanānantarameva paṭhamaṃ cakkhu udapādi. Tato dutiyassa uppajjanatthāya gāthādvayamāha –

    ๗๕.

    75.

    ‘‘ยํ มํ โส ยาจิตุํ อาคา, เทหิ จกฺขุนฺติ พฺราหฺมโณ;

    ‘‘Yaṃ maṃ so yācituṃ āgā, dehi cakkhunti brāhmaṇo;

    ตสฺส จกฺขูนิ ปาทาสิํ, พฺราหฺมณสฺส วนิพฺพโตฯ

    Tassa cakkhūni pādāsiṃ, brāhmaṇassa vanibbato.

    ๗๖.

    76.

    ‘‘ภิโยฺย มํ อาวิสี ปีติ, โสมนสฺสญฺจนปฺปกํ;

    ‘‘Bhiyyo maṃ āvisī pīti, somanassañcanappakaṃ;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, ทุติยํ เม อุปปชฺชถา’’ติฯ

    Etena saccavajjena, dutiyaṃ me upapajjathā’’ti.

    ตตฺถ ยํ มนฺติ โย มํ ยาจติฯ โสติ โส จกฺขุวิกโล พฺราหฺมโณ ‘‘เทหิ เม จกฺขุ’’นฺติ ยาจิตุํ อาคโตฯ วนิพฺพโตติ ยาจนฺตสฺสฯ ภิโยฺย มํ อาวิสีติ พฺราหฺมณสฺส จกฺขูนิ ทตฺวา อนฺธกาลโต ปฎฺฐาย ตสฺมิํ อนฺธกาเล ตถารูปํ เวทนํ อคเณตฺวา ‘‘อโห สุทินฺนํ เม ทาน’’นฺติ ปจฺจเวกฺขนฺตํ มํ ภิโยฺย อติเรกตรา ปีติ อาวิสิ, มม หทยํ ปวิฎฺฐา, โสมนสฺสญฺจ มม อนนฺตํ อปริมาณํ อุปฺปชฺชิฯ เอเตนาติ สเจ มม ตทา อนปฺปกํ ปีติโสมนสฺสํ อุปฺปนฺนํ, สจฺจเมเวตํ มยา วุตฺตํ, เอเตน เม สจฺจวจเนน ทุติยมฺปิ จกฺขุ อุปปชฺชตูติ อาหฯ

    Tattha yaṃ manti yo maṃ yācati. Soti so cakkhuvikalo brāhmaṇo ‘‘dehi me cakkhu’’nti yācituṃ āgato. Vanibbatoti yācantassa. Bhiyyo maṃ āvisīti brāhmaṇassa cakkhūni datvā andhakālato paṭṭhāya tasmiṃ andhakāle tathārūpaṃ vedanaṃ agaṇetvā ‘‘aho sudinnaṃ me dāna’’nti paccavekkhantaṃ maṃ bhiyyo atirekatarā pīti āvisi, mama hadayaṃ paviṭṭhā, somanassañca mama anantaṃ aparimāṇaṃ uppajji. Etenāti sace mama tadā anappakaṃ pītisomanassaṃ uppannaṃ, saccamevetaṃ mayā vuttaṃ, etena me saccavacanena dutiyampi cakkhu upapajjatūti āha.

    ตงฺขณเญฺญว ทุติยมฺปิ จกฺขุ อุทปาทิฯ ตานิ ปนสฺส จกฺขูนิ เนว ปากติกานิ, น ทิพฺพานิฯ สกฺกพฺราหฺมณสฺส หิ ทินฺนํ จกฺขุํ ปุน ปากติกํ กาตุํ น สกฺกา, อุปหตวตฺถุโน จ ทิพฺพจกฺขุ นาม น อุปฺปชฺชติ, ตานิ ปนสฺส สจฺจปารมิตานุภาเวน สมฺภูตานิ จกฺขูนีติ วุตฺตานิฯ เตสํ อุปฺปตฺติสมกาลเมว สกฺกานุภาเวน สพฺพา ราชปริสา สนฺนิปติตาว อเหสุํฯ อถสฺส สโกฺก มหาชนมเชฺฌเยว ถุติํ กโรโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Taṅkhaṇaññeva dutiyampi cakkhu udapādi. Tāni panassa cakkhūni neva pākatikāni, na dibbāni. Sakkabrāhmaṇassa hi dinnaṃ cakkhuṃ puna pākatikaṃ kātuṃ na sakkā, upahatavatthuno ca dibbacakkhu nāma na uppajjati, tāni panassa saccapāramitānubhāvena sambhūtāni cakkhūnīti vuttāni. Tesaṃ uppattisamakālameva sakkānubhāvena sabbā rājaparisā sannipatitāva ahesuṃ. Athassa sakko mahājanamajjheyeva thutiṃ karonto gāthādvayamāha –

    ๗๗.

    77.

    ‘‘ธเมฺมน ภาสิตา คาถา, สิวีนํ รฎฺฐวฑฺฒน;

    ‘‘Dhammena bhāsitā gāthā, sivīnaṃ raṭṭhavaḍḍhana;

    เอตานิ ตว เนตฺตานิ, ทิพฺพานิ ปฎิทิสฺสเรฯ

    Etāni tava nettāni, dibbāni paṭidissare.

    ๗๘.

    78.

    ‘‘ติโรกุฎฺฎํ ติโรเสลํ, สมติคฺคยฺห ปพฺพตํ;

    ‘‘Tirokuṭṭaṃ tiroselaṃ, samatiggayha pabbataṃ;

    สมนฺตา โยชนสตํ, ทสฺสนํ อนุโภนฺตุ เต’’ติฯ

    Samantā yojanasataṃ, dassanaṃ anubhontu te’’ti.

    ตตฺถ ธเมฺมน ภาสิตาติ มหาราช, อิมา เต คาถา ธเมฺมน สภาเวเนว ภาสิตาฯ ทิพฺพานีติ ทิพฺพานุภาวยุตฺตานิฯ ปฎิทิสฺสเรติ ปฎิทิสฺสนฺติฯ ติโรกุฎฺฎนฺติ มหาราช, อิมานิ เต จกฺขูนิ เทวตานํ จกฺขูนิ วิย ปรกุฎฺฎํ ปรเสลํ ยํกิญฺจิ ปพฺพตมฺปิ สมติคฺคยฺห อติกฺกมิตฺวา สมนฺตา ทส ทิสา โยชนสตํ รูปทสฺสนํ อนุโภนฺตุ สาเธนฺตูติ อโตฺถฯ

    Tattha dhammena bhāsitāti mahārāja, imā te gāthā dhammena sabhāveneva bhāsitā. Dibbānīti dibbānubhāvayuttāni. Paṭidissareti paṭidissanti. Tirokuṭṭanti mahārāja, imāni te cakkhūni devatānaṃ cakkhūni viya parakuṭṭaṃ paraselaṃ yaṃkiñci pabbatampi samatiggayha atikkamitvā samantā dasa disā yojanasataṃ rūpadassanaṃ anubhontu sādhentūti attho.

    อิติ โส อากาเส ฐตฺวา มหาชนมเชฺฌ อิมา คาถา ภาสิตฺวา ‘‘อปฺปมโตฺต โหหี’’ติ มหาสตฺตํ โอวทิตฺวา เทวโลกเมว คโตฯ มหาสโตฺตปิ มหาชนปริวุโต มหเนฺตน สกฺกาเรน นครํ ปวิสิตฺวา สุจนฺทกํ ปาสาทํ อภิรุหิฯ เตน จกฺขูนํ ปฎิลทฺธภาโว สกลสิวิรเฎฺฐ ปากโฎ ชาโตฯ อถสฺส ทสฺสนตฺถํ สกลรฎฺฐวาสิโน พหุํ ปณฺณาการํ คเหตฺวา อาคมิํสุฯ มหาสโตฺต ‘‘อิมสฺมิํ มหาชนสนฺนิปาเต มม ทานํ วณฺณยิสฺสามี’’ติ ราชทฺวาเร มหามณฺฑปํ กาเรตฺวา สมุสฺสิตเสตจฺฉเตฺต ราชปลฺลเงฺก นิสิโนฺน นคเร เภริํ จราเปตฺวา สพฺพเสนิโย สนฺนิปาเตตฺวา ‘‘อโมฺภ, สิวิรฎฺฐวาสิโน อิมานิ เม ทิพฺพจกฺขูนิ ทิสฺวา อิโต ปฎฺฐาย ทานํ อทตฺวา มา ภุญฺชถา’’ติ ธมฺมํ เทเสโนฺต จตโสฺส คาถา อภาสิ –

    Iti so ākāse ṭhatvā mahājanamajjhe imā gāthā bhāsitvā ‘‘appamatto hohī’’ti mahāsattaṃ ovaditvā devalokameva gato. Mahāsattopi mahājanaparivuto mahantena sakkārena nagaraṃ pavisitvā sucandakaṃ pāsādaṃ abhiruhi. Tena cakkhūnaṃ paṭiladdhabhāvo sakalasiviraṭṭhe pākaṭo jāto. Athassa dassanatthaṃ sakalaraṭṭhavāsino bahuṃ paṇṇākāraṃ gahetvā āgamiṃsu. Mahāsatto ‘‘imasmiṃ mahājanasannipāte mama dānaṃ vaṇṇayissāmī’’ti rājadvāre mahāmaṇḍapaṃ kāretvā samussitasetacchatte rājapallaṅke nisinno nagare bheriṃ carāpetvā sabbaseniyo sannipātetvā ‘‘ambho, siviraṭṭhavāsino imāni me dibbacakkhūni disvā ito paṭṭhāya dānaṃ adatvā mā bhuñjathā’’ti dhammaṃ desento catasso gāthā abhāsi –

    ๗๙.

    79.

    ‘‘โก นีธ วิตฺตํ น ทเทยฺย ยาจิโต, อปิ วิสิฎฺฐํ สุปิยมฺปิ อตฺตโน;

    ‘‘Ko nīdha vittaṃ na dadeyya yācito, api visiṭṭhaṃ supiyampi attano;

    ตทิงฺฆ สเพฺพ สิวโย สมาคตา, ทิพฺพานิ เนตฺตานิ มมชฺช ปสฺสถฯ

    Tadiṅgha sabbe sivayo samāgatā, dibbāni nettāni mamajja passatha.

    ๘๐.

    80.

    ‘‘ติโรกุฎฺฎํ ติโรเสลํ, สมติคฺคยฺห ปพฺพตํ;

    ‘‘Tirokuṭṭaṃ tiroselaṃ, samatiggayha pabbataṃ;

    สมนฺตา โยชนสตํ, ทสฺสนํ อนุโภนฺติ เมฯ

    Samantā yojanasataṃ, dassanaṃ anubhonti me.

    ๘๑.

    81.

    ‘‘น จาคมตฺตา ปรมตฺถิ กิญฺจิ, มจฺจานํ อิธ ชีวิเต;

    ‘‘Na cāgamattā paramatthi kiñci, maccānaṃ idha jīvite;

    ทตฺวาน มานุสํ จกฺขุํ, ลทฺธํ เม จกฺขุํ อมานุสํฯ

    Datvāna mānusaṃ cakkhuṃ, laddhaṃ me cakkhuṃ amānusaṃ.

    ๘๒.

    82.

    ‘‘เอตมฺปิ ทิสฺวา สิวโย, เทถ ทานานิ ภุญฺชถ;

    ‘‘Etampi disvā sivayo, detha dānāni bhuñjatha;

    ทตฺวา จ ภุตฺวา จ ยถานุภาวํ, อนินฺทิตา สคฺคมุเปถ ฐาน’’นฺติฯ

    Datvā ca bhutvā ca yathānubhāvaṃ, aninditā saggamupetha ṭhāna’’nti.

    ตตฺถ โกนีธาติ โก นุ อิธฯ อปิ วิสิฎฺฐนฺติ อุตฺตมมฺปิ สมานํฯ จาคมตฺตาติ จาคปมาณโต อญฺญํ วรํ นาม นตฺถิฯ อิธ ชีวิเตติ อิมสฺมิํ ชีวโลเกฯ ‘‘อิธ ชีวต’’นฺติปิ ปาโฐ, อิมสฺมิํ โลเก ชีวมานานนฺติ อโตฺถฯ อมานุสนฺติ ทิพฺพจกฺขุ มยา ลทฺธํ, อิมินา การเณน เวทิตพฺพเมตํ ‘‘จาคโต อุตฺตมํ นาม นตฺถี’’ติฯ เอตมฺปิ ทิสฺวาติ เอตํ มยา ลทฺธํ ทิพฺพจกฺขุํ ทิสฺวาปิฯ

    Tattha konīdhāti ko nu idha. Api visiṭṭhanti uttamampi samānaṃ. Cāgamattāti cāgapamāṇato aññaṃ varaṃ nāma natthi. Idha jīviteti imasmiṃ jīvaloke. ‘‘Idha jīvata’’ntipi pāṭho, imasmiṃ loke jīvamānānanti attho. Amānusanti dibbacakkhu mayā laddhaṃ, iminā kāraṇena veditabbametaṃ ‘‘cāgato uttamaṃ nāma natthī’’ti. Etampi disvāti etaṃ mayā laddhaṃ dibbacakkhuṃ disvāpi.

    อิติ อิมาหิ จตูหิ คาถาหิ ธมฺมํ เทเสตฺวา ตโต ปฎฺฐาย อนฺวทฺธมาสํ ปนฺนรสุโปสเถสุ มหาชนํ สนฺนิปาตาเปตฺวา นิจฺจํ อิมาหิ คาถาหิ ธมฺมํ เทเสสิฯ ตํ สุตฺวา มหาชโน ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา เทวโลกํ ปูเรโนฺตว อคมาสิฯ

    Iti imāhi catūhi gāthāhi dhammaṃ desetvā tato paṭṭhāya anvaddhamāsaṃ pannarasuposathesu mahājanaṃ sannipātāpetvā niccaṃ imāhi gāthāhi dhammaṃ desesi. Taṃ sutvā mahājano dānādīni puññāni katvā devalokaṃ pūrentova agamāsi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, โปราณกปณฺฑิตา พาหิรทาเนน อสนฺตุฎฺฐา สมฺปตฺตยาจกานํ อตฺตโน จกฺขูนิ อุปฺปาเฎตฺวา อทํสู’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สีวิกเวโชฺช อานโนฺท อโหสิ, สโกฺก อนุรุโทฺธ อโหสิ, เสสปริสา พุทฺธปริสา, สิวิราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, porāṇakapaṇḍitā bāhiradānena asantuṭṭhā sampattayācakānaṃ attano cakkhūni uppāṭetvā adaṃsū’’ti vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā sīvikavejjo ānando ahosi, sakko anuruddho ahosi, sesaparisā buddhaparisā, sivirājā pana ahameva ahosi’’nti.

    สิวิชาตกวณฺณนา ตติยาฯ

    Sivijātakavaṇṇanā tatiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๙๙. สิวิชาตกํ • 499. Sivijātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact