Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๗. พีรณถมฺภวโคฺค
7. Bīraṇathambhavaggo
[๒๑๑] ๑. โสมทตฺตชาตกวณฺณนา
[211] 1. Somadattajātakavaṇṇanā
อกาสิ โยคฺคนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ลาฬุทายิเตฺถรํ อารพฺภ กเถสิฯ โส หิ ทฺวินฺนํ ติณฺณํ ชนานํ อนฺตเร เอกวจนมฺปิ สมฺปาเทตฺวา กเถสุํ น สโกฺกติ, สารชฺชพหุโล ‘‘อญฺญํ กเถสฺสามี’’ติ อญฺญเมว กเถสิฯ ตสฺส ตํ ปวตฺติํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กเถนฺตา นิสีทิํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ , ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, ลาฬุทายี อิทาเนว สารชฺชพหุโล, ปุเพฺพปิ สารชฺชพหุโลเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Akāsiyogganti idaṃ satthā jetavane viharanto lāḷudāyittheraṃ ārabbha kathesi. So hi dvinnaṃ tiṇṇaṃ janānaṃ antare ekavacanampi sampādetvā kathesuṃ na sakkoti, sārajjabahulo ‘‘aññaṃ kathessāmī’’ti aññameva kathesi. Tassa taṃ pavattiṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathentā nisīdiṃsu. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha , bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, lāḷudāyī idāneva sārajjabahulo, pubbepi sārajjabahuloyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กาสิรเฎฺฐ อญฺญตรสฺมิํ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สิปฺปํ อุคฺคณฺหิตฺวา ปุน เคหํ อาคนฺตฺวา มาตาปิตูนํ ทุคฺคตภาวํ ญตฺวา ‘‘ปริหีนกุลโต เสฎฺฐิกุลํ ปติฎฺฐเปสฺสามี’’ติ มาตาปิตโร อาปุจฺฉิตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา ราชานํ อุปฎฺฐาสิฯ โส รญฺญา ปิโย อโหสิ มนาโปฯ อถสฺส ปิตุโน ‘‘ทฺวีหิเยว โคเณหิ กสิํ กตฺวา ชีวิกํ กเปฺปนฺตสฺส เอโก โคโณ มโตฯ โส โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตาต, เอโก โคโณ มโต, กสิกมฺมํ น ปวตฺตติ, ราชานํ เอกํ โคณํ ยาจาหี’’ติ อาหฯ ‘‘ตาต, นจิรเสฺสว เม ราชา ทิโฎฺฐ, อิทาเนว โคณํ ยาจิตุํ น ยุตฺตํ, ตุเมฺห ยาจถา’’ติฯ ‘‘ตาต, ตฺวํ มยฺหํ สารชฺชพหุลภาวํ น ชานาสิ, อหญฺหิ ทฺวินฺนํ ติณฺณํ สมฺมุเข กถํ สมฺปาเทตุํ น สโกฺกมิฯ สเจ อหํ รโญฺญ สนฺติกํ โคณํ ยาจิตุํ คมิสฺสามิ, อิมมฺปิ ทตฺวา อาคมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘ตาต, ยํ โหติ, ตํ โหตุ, น สกฺกา มยา ราชานํ ยาจิตุํ, อปิจ โข ปนาหํ ตุเมฺห โยคฺคํ กาเรสฺสามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ สาธุ มํ โยคฺคํ กาเรหี’’ติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kāsiraṭṭhe aññatarasmiṃ brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ sippaṃ uggaṇhitvā puna gehaṃ āgantvā mātāpitūnaṃ duggatabhāvaṃ ñatvā ‘‘parihīnakulato seṭṭhikulaṃ patiṭṭhapessāmī’’ti mātāpitaro āpucchitvā bārāṇasiṃ gantvā rājānaṃ upaṭṭhāsi. So raññā piyo ahosi manāpo. Athassa pituno ‘‘dvīhiyeva goṇehi kasiṃ katvā jīvikaṃ kappentassa eko goṇo mato. So bodhisattaṃ upasaṅkamitvā ‘‘tāta, eko goṇo mato, kasikammaṃ na pavattati, rājānaṃ ekaṃ goṇaṃ yācāhī’’ti āha. ‘‘Tāta, nacirasseva me rājā diṭṭho, idāneva goṇaṃ yācituṃ na yuttaṃ, tumhe yācathā’’ti. ‘‘Tāta, tvaṃ mayhaṃ sārajjabahulabhāvaṃ na jānāsi, ahañhi dvinnaṃ tiṇṇaṃ sammukhe kathaṃ sampādetuṃ na sakkomi. Sace ahaṃ rañño santikaṃ goṇaṃ yācituṃ gamissāmi, imampi datvā āgamissāmī’’ti. ‘‘Tāta, yaṃ hoti, taṃ hotu, na sakkā mayā rājānaṃ yācituṃ, apica kho panāhaṃ tumhe yoggaṃ kāressāmī’’ti. ‘‘Tena hi sādhu maṃ yoggaṃ kārehī’’ti.
โพธิสโตฺต ปิตรํ อาทาย พีรณตฺถมฺภกสุสานํ คนฺตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ติณกลาเป พนฺธิตฺวา ‘‘อยํ ราชา, อยํ อุปราชา, อยํ เสนาปตี’’ติ นามานิ กตฺวา ปฎิปาฎิยา ปิตุ ทเสฺสตฺวา ‘‘ตาต, ตฺวํ รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘ชยตุ, มหาราชา’ติ เอวํ อิมํ คาถํ วตฺวา โคณํ ยาเจยฺยาสี’’ติ คาถํ อุคฺคณฺหาเปสิ –
Bodhisatto pitaraṃ ādāya bīraṇatthambhakasusānaṃ gantvā tattha tattha tiṇakalāpe bandhitvā ‘‘ayaṃ rājā, ayaṃ uparājā, ayaṃ senāpatī’’ti nāmāni katvā paṭipāṭiyā pitu dassetvā ‘‘tāta, tvaṃ rañño santikaṃ gantvā ‘jayatu, mahārājā’ti evaṃ imaṃ gāthaṃ vatvā goṇaṃ yāceyyāsī’’ti gāthaṃ uggaṇhāpesi –
‘‘เทฺว เม โคณา มหาราช, เยหิ เขตฺตํ กสามเส;
‘‘Dve me goṇā mahārāja, yehi khettaṃ kasāmase;
เตสุ เอโก มโต เทว, ทุติยํ เทหิ ขตฺติยา’’ติฯ
Tesu eko mato deva, dutiyaṃ dehi khattiyā’’ti.
พฺราหฺมโณ เอเกน สํวจฺฉเรน อิมํ คาถํ ปคุณํ กตฺวา โพธิสตฺตํ อาห – ‘‘ตาต, โสมทตฺต, คาถา เม ปคุณา ชาตา, อิทานิ อหํ ยสฺส กสฺสจิ สนฺติเก วตฺตุํ สโกฺกมิ, มํ รโญฺญ สนฺติกํ เนหี’’ติฯ โส ‘‘สาธุ, ตาตา’’ติ ตถารูปํ ปณฺณาการํ คาหาเปตฺวา ปิตรํ รโญฺญ สนฺติกํ เนสิฯ พฺราหฺมโณ ‘‘ชยตุ, มหาราชา’’ติ วตฺวา ปณฺณาการํ อทาสิฯ ราชา ‘‘อยํ เต โสมทตฺต พฺราหฺมโณ กิํ โหตี’’ติ อาหฯ ‘‘ปิตา เม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘เกนเฎฺฐนาคโต’’ติ? ตสฺมิํ ขเณ พฺราหฺมโณ โคณยาจนตฺถาย คาถํ วทโนฺต –
Brāhmaṇo ekena saṃvaccharena imaṃ gāthaṃ paguṇaṃ katvā bodhisattaṃ āha – ‘‘tāta, somadatta, gāthā me paguṇā jātā, idāni ahaṃ yassa kassaci santike vattuṃ sakkomi, maṃ rañño santikaṃ nehī’’ti. So ‘‘sādhu, tātā’’ti tathārūpaṃ paṇṇākāraṃ gāhāpetvā pitaraṃ rañño santikaṃ nesi. Brāhmaṇo ‘‘jayatu, mahārājā’’ti vatvā paṇṇākāraṃ adāsi. Rājā ‘‘ayaṃ te somadatta brāhmaṇo kiṃ hotī’’ti āha. ‘‘Pitā me, mahārājā’’ti. ‘‘Kenaṭṭhenāgato’’ti? Tasmiṃ khaṇe brāhmaṇo goṇayācanatthāya gāthaṃ vadanto –
‘‘เทฺว เม โคณา มหาราช, เยหิ เขตฺตํ กสามเส;
‘‘Dve me goṇā mahārāja, yehi khettaṃ kasāmase;
เตสุ เอโก มโต เทว, ทุติยํ คณฺห ขตฺติยา’’ติฯ – อาห;
Tesu eko mato deva, dutiyaṃ gaṇha khattiyā’’ti. – āha;
ราชา พฺราหฺมเณน วิรชฺฌิตฺวา กถิตภาวํ ญตฺวา สิตํ กตฺวา ‘‘โสมทตฺต, ตุมฺหากํ เคเห พหู มเญฺญ โคณา’’ติ อาหฯ ‘‘ตุเมฺหหิ ทินฺนา ภวิสฺสนฺติ, มหาราชา’’ติฯ ราชา โพธิสตฺตสฺส ตุสฺสิตฺวา พฺราหฺมณสฺส โสฬส โคเณ อลงฺการภณฺฑเก นิวาสนคามญฺจสฺส พฺรหฺมเทยฺยํ ทตฺวา มหเนฺตน ยเสน พฺราหฺมณํ อุโยฺยเชสิฯ พฺราหฺมโณ สพฺพเสตสินฺธวยุตฺตํ รถํ อภิรุยฺห มหเนฺตน ปริวาเรน คามํ อคมาสิฯ โพธิสโตฺต ปิตรา สทฺธิํ รเถ นิสีทิตฺวา คจฺฉโนฺต ‘‘ตาต, อหํ ตุเมฺห สกลสํวจฺฉรํ โยคฺคํ กาเรสิํ, สนฺนิฎฺฐานกาเล ปน ตุมฺหากํ โคณํ รโญฺญ อทตฺถา’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Rājā brāhmaṇena virajjhitvā kathitabhāvaṃ ñatvā sitaṃ katvā ‘‘somadatta, tumhākaṃ gehe bahū maññe goṇā’’ti āha. ‘‘Tumhehi dinnā bhavissanti, mahārājā’’ti. Rājā bodhisattassa tussitvā brāhmaṇassa soḷasa goṇe alaṅkārabhaṇḍake nivāsanagāmañcassa brahmadeyyaṃ datvā mahantena yasena brāhmaṇaṃ uyyojesi. Brāhmaṇo sabbasetasindhavayuttaṃ rathaṃ abhiruyha mahantena parivārena gāmaṃ agamāsi. Bodhisatto pitarā saddhiṃ rathe nisīditvā gacchanto ‘‘tāta, ahaṃ tumhe sakalasaṃvaccharaṃ yoggaṃ kāresiṃ, sanniṭṭhānakāle pana tumhākaṃ goṇaṃ rañño adatthā’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๒๑.
121.
‘‘อกาสิ โยคฺคํ ธุวมปฺปมโตฺต, สํวจฺฉรํ พีรณถมฺภกสฺมิํ;
‘‘Akāsi yoggaṃ dhuvamappamatto, saṃvaccharaṃ bīraṇathambhakasmiṃ;
พฺยากาสิ สญฺญํ ปริสํ วิคยฺห, น นิยฺยโม ตายติ อปฺปปญฺญ’’นฺติฯ
Byākāsi saññaṃ parisaṃ vigayha, na niyyamo tāyati appapañña’’nti.
ตตฺถ อกาสิ โยคฺคํ ธุวมปฺปมโตฺต, สํวจฺฉรํ พีรณถมฺภกสฺมินฺติ, ตาต, ตฺวํ นิจฺจํ อปฺปมโตฺต พีรณตฺถมฺภมเย สุสาเน โยคฺคํ อกาสิ ฯ พฺยากาสิ สญฺญํ ปริสํ วิคยฺหาติ อถ จ ปน ปริสํ วิคาหิตฺวา ตํ สญฺญํ วิอกาสิ วิการํ อาปาเทสิ, ปริวเตฺตสีติ อโตฺถฯ น นิยฺยโม ตายติ อปฺปปญฺญนฺติ อปฺปหญฺญํ นาม ปุคฺคลํ นิยฺยโม โยคฺคาจิณฺณํ จรณํ น ตายติ น รกฺขตีติฯ
Tattha akāsi yoggaṃ dhuvamappamatto, saṃvaccharaṃ bīraṇathambhakasminti, tāta, tvaṃ niccaṃ appamatto bīraṇatthambhamaye susāne yoggaṃ akāsi . Byākāsi saññaṃ parisaṃ vigayhāti atha ca pana parisaṃ vigāhitvā taṃ saññaṃ viakāsi vikāraṃ āpādesi, parivattesīti attho. Na niyyamo tāyati appapaññanti appahaññaṃ nāma puggalaṃ niyyamo yoggāciṇṇaṃ caraṇaṃ na tāyati na rakkhatīti.
อถสฺส วจนํ สุตฺวา พฺราหฺมโณ ทุติยํ คาถมาห –
Athassa vacanaṃ sutvā brāhmaṇo dutiyaṃ gāthamāha –
๑๒๒.
122.
‘‘ทฺวยํ ยาจนโก ตาต, โสมทตฺต นิคจฺฉติ;
‘‘Dvayaṃ yācanako tāta, somadatta nigacchati;
อลาภํ ธนลาภํ วา, เอวํธมฺมา หิ ยาจนา’’ติฯ
Alābhaṃ dhanalābhaṃ vā, evaṃdhammā hi yācanā’’ti.
ตตฺถ เอวํธมฺมา หิ ยาจนาติ ยาจนา หิ เอวํสภาวาติฯ
Tattha evaṃdhammā hi yācanāti yācanā hi evaṃsabhāvāti.
สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, ลาฬุทายี อิทาเนว สารชฺชพหุโล, ปุเพฺพปิ สารชฺชพหุโลเยวา’’ติ วตฺวา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท, โสมทตฺตสฺส ปิตา ลาฬุทายี อโหสิ, โสมทโตฺต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā ‘‘na, bhikkhave, lāḷudāyī idāneva sārajjabahulo, pubbepi sārajjabahuloyevā’’ti vatvā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando, somadattassa pitā lāḷudāyī ahosi, somadatto pana ahameva ahosi’’nti.
โสมทตฺตชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Somadattajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๑๑. โสมทตฺตชาตกํ • 211. Somadattajātakaṃ