Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā |
๑๐. โสมนสฺสสุตฺตวณฺณนา
10. Somanassasuttavaṇṇanā
๓๗. ทสเม สุขโสมนสฺสพหุโลติ เอตฺถ สุขนฺติ กายิกํ สุขํ, โสมนสฺสนฺติ เจตสิกํฯ ตสฺมา ยสฺส กายิกํ เจตสิกญฺจ สุขํ อภิณฺหํ ปวตฺตติ, โส สุขโสมนสฺสพหุโลติ วุโตฺตฯ โยนีติ ‘‘จตโสฺส โข อิมา, สาริปุตฺต, โยนิโย’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๕๒) ขนฺธโกฎฺฐาโส โยนีติ อาคโตฯ ‘‘โยนิ เหสา, ภูมิช, ผลสฺส อธิคมายา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๒๖) การณํฯ
37. Dasame sukhasomanassabahuloti ettha sukhanti kāyikaṃ sukhaṃ, somanassanti cetasikaṃ. Tasmā yassa kāyikaṃ cetasikañca sukhaṃ abhiṇhaṃ pavattati, so sukhasomanassabahuloti vutto. Yonīti ‘‘catasso kho imā, sāriputta, yoniyo’’tiādīsu (ma. ni. 1.152) khandhakoṭṭhāso yonīti āgato. ‘‘Yoni hesā, bhūmija, phalassa adhigamāyā’’tiādīsu (ma. ni. 3.226) kāraṇaṃ.
‘‘น จาหํ พฺราหฺมณํ พฺรูมิ, โยนิชํ มตฺติสมฺภว’’นฺติ จฯ (ม. นิ. ๒.๔๕๗; ธ. ป. ๓๙๖; สุ. นิ. ๖๒๕);
‘‘Na cāhaṃ brāhmaṇaṃ brūmi, yonijaṃ mattisambhava’’nti ca. (ma. ni. 2.457; dha. pa. 396; su. ni. 625);
‘‘ตเมนํ กมฺมชา วาตา นิพฺพตฺติตฺวา อุทฺธํปาทํ อโธสิรํ สมฺปริวเตฺตตฺวา มาตุ โยนิมุเข สมฺปฎิปาเทนฺตี’’ติ จ อาทีสุ ปสฺสาวมโคฺคฯ อิธ ปน การณํ อธิเปฺปตํฯ อสฺสาติ อเนนฯ อารทฺธาติ ปฎฺฐปิตา ปคฺคหิตา ปริปุณฺณา สมฺปาทิตา วาฯ
‘‘Tamenaṃ kammajā vātā nibbattitvā uddhaṃpādaṃ adhosiraṃ samparivattetvā mātu yonimukhe sampaṭipādentī’’ti ca ādīsu passāvamaggo. Idha pana kāraṇaṃ adhippetaṃ. Assāti anena. Āraddhāti paṭṭhapitā paggahitā paripuṇṇā sampāditā vā.
อาสวานํ ขยายาติ เอตฺถ อาสวนฺตีติ อาสวา, จกฺขุโตปิ…เป.… มนโตปิ สวนฺติ ปวตฺตนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ธมฺมโต ยาว โคตฺรภู, โอกาสโต ยาว ภวคฺคา สวนฺตีติ วา อาสวาฯ เอเต ธเมฺม เอตญฺจ โอกาสํ อโนฺต กริตฺวา ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ อโนฺตกรณโตฺถ หิ อยํ อากาโรฯ จิรปาริวาสิยเฎฺฐน มทิราทโย อาสวา วิยาติปิ อาสวาฯ โลเก หิ จิรปาริวาสิกา มทิราทโย อาสวาติ วุจฺจนฺติฯ ยทิ จ จิรปาริวาสิยเฎฺฐน อาสวา, เอเต เอว ภวิตุํ อรหนฺติฯ วุตฺตํ เหตํ – ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ อวิชฺชาย, อิโต ปุเพฺพ อวิชฺชา นาโหสี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๑๐.๖๑)ฯ อายตํ สํสารทุกฺขํ สวนฺติ ปสวนฺตีติปิ อาสวาฯ ปุริมานิ เจตฺถ นิพฺพจนานิ ยตฺถ กิเลสา อาสวาติ อาคตา, ตตฺถ ยุชฺชนฺติ; ปจฺฉิมํ กเมฺมปิฯ น เกวลญฺจ กมฺมกิเลสา เอว อาสวา, อปิจ โข นานปฺปการา อุปทฺทวาปิฯ อภิธเมฺม หิ ‘‘จตฺตาโร อาสวา – กามาสโว, ภวาสโว, ทิฎฺฐาสโว, อวิชฺชาสโว’’ติ (ธ. ส. ๑๑๐๒) กามราคาทโย กิเลสา อาสวาติ อาคตาฯ สุเตฺตปิ ‘‘นาหํ, จุนฺท, ทิฎฺฐธมฺมิกานํเยว อาสวานํ สํวราย ธมฺมํ เทเสมี’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๘๒) เอตฺถ วิวาทมูลภูตา กิเลสา อาสวาติ อาคตาฯ
Āsavānaṃkhayāyāti ettha āsavantīti āsavā, cakkhutopi…pe… manatopi savanti pavattantīti vuttaṃ hoti. Dhammato yāva gotrabhū, okāsato yāva bhavaggā savantīti vā āsavā. Ete dhamme etañca okāsaṃ anto karitvā pavattantīti attho. Antokaraṇattho hi ayaṃ ākāro. Cirapārivāsiyaṭṭhena madirādayo āsavā viyātipi āsavā. Loke hi cirapārivāsikā madirādayo āsavāti vuccanti. Yadi ca cirapārivāsiyaṭṭhena āsavā, ete eva bhavituṃ arahanti. Vuttaṃ hetaṃ – ‘‘purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati avijjāya, ito pubbe avijjā nāhosī’’tiādi (a. ni. 10.61). Āyataṃ saṃsāradukkhaṃ savanti pasavantītipi āsavā. Purimāni cettha nibbacanāni yattha kilesā āsavāti āgatā, tattha yujjanti; pacchimaṃ kammepi. Na kevalañca kammakilesā eva āsavā, apica kho nānappakārā upaddavāpi. Abhidhamme hi ‘‘cattāro āsavā – kāmāsavo, bhavāsavo, diṭṭhāsavo, avijjāsavo’’ti (dha. sa. 1102) kāmarāgādayo kilesā āsavāti āgatā. Suttepi ‘‘nāhaṃ, cunda, diṭṭhadhammikānaṃyeva āsavānaṃ saṃvarāya dhammaṃ desemī’’ti (dī. ni. 3.182) ettha vivādamūlabhūtā kilesā āsavāti āgatā.
‘‘เยน เทวูปปตฺยสฺส, คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม;
‘‘Yena devūpapatyassa, gandhabbo vā vihaṅgamo;
ยกฺขตฺตํ เยน คเจฺฉยฺย, มนุสฺสตฺตญฺจ อพฺพเช;
Yakkhattaṃ yena gaccheyya, manussattañca abbaje;
เต มยฺหํ, อาสวา ขีณา, วิทฺธสฺตา วินฬีกตา’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๓๖) –
Te mayhaṃ, āsavā khīṇā, viddhastā vinaḷīkatā’’ti. (a. ni. 4.36) –
เอตฺถ เตภูมกํ กมฺมํ อวเสสา จ อกุสลา ธมฺมาฯ ‘‘ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตายา’’ติ (ปารา. ๓๙) เอตฺถ ปรูปฆาตวิปฺปฎิสารวธพนฺธาทโย เจว อปายทุกฺขภูตา นานปฺปการา อุปทฺทวา จฯ
Ettha tebhūmakaṃ kammaṃ avasesā ca akusalā dhammā. ‘‘Diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāyā’’ti (pārā. 39) ettha parūpaghātavippaṭisāravadhabandhādayo ceva apāyadukkhabhūtā nānappakārā upaddavā ca.
เต ปเนเต อาสวา วินเย ‘‘ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย, สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตายา’’ติ เทฺวธา อาคตาฯ สฬายตเน ‘‘ตโยเม, อาวุโส, อาสวา – กามาสโว, ภวาสโว, อวิชฺชาสโว’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๒๑) ติธา อาคตาฯ ตถา อเญฺญสุ สุตฺตเนฺตสุฯ อภิธเมฺม เตเยว ทิฎฺฐาสเวน สทฺธิํ จตุธา อาคตาฯ นิเพฺพธิกปริยาเย ปน ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อาสวา นิรยคมนียา, อตฺถิ อาสวา ติรจฺฉานโยนิคมนียา, อตฺถิ อาสวา เปตฺติวิสยคมนียา, อตฺถิ อาสวา มนุสฺสโลกคมนียา, อตฺถิ อาสวา เทวโลกคมนียา’’ติ (อ. นิ. ๖.๖๓) ปญฺจธา อาคตาฯ กมฺมเมว เจตฺถ อาสวาติ อธิเปฺปตํฯ ฉกฺกนิปาเต ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อาสวา สํวรา ปหาตพฺพา’’ติอาทินา (อ. นิ. ๖.๕๘) นเยน ฉธา อาคตาฯ สพฺพาสวปริยาเย เตเยว ทสฺสนปหาตเพฺพหิ ธเมฺมหิ สทฺธิํ สตฺตธา อาคตาฯ อิธ ปน อภิธมฺมปริยาเยน จตฺตาโร อาสวา อธิเปฺปตาติ เวทิตพฺพาฯ
Te panete āsavā vinaye ‘‘diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya, samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāyā’’ti dvedhā āgatā. Saḷāyatane ‘‘tayome, āvuso, āsavā – kāmāsavo, bhavāsavo, avijjāsavo’’ti (saṃ. ni. 4.321) tidhā āgatā. Tathā aññesu suttantesu. Abhidhamme teyeva diṭṭhāsavena saddhiṃ catudhā āgatā. Nibbedhikapariyāye pana ‘‘atthi, bhikkhave, āsavā nirayagamanīyā, atthi āsavā tiracchānayonigamanīyā, atthi āsavā pettivisayagamanīyā, atthi āsavā manussalokagamanīyā, atthi āsavā devalokagamanīyā’’ti (a. ni. 6.63) pañcadhā āgatā. Kammameva cettha āsavāti adhippetaṃ. Chakkanipāte ‘‘atthi, bhikkhave, āsavā saṃvarā pahātabbā’’tiādinā (a. ni. 6.58) nayena chadhā āgatā. Sabbāsavapariyāye teyeva dassanapahātabbehi dhammehi saddhiṃ sattadhā āgatā. Idha pana abhidhammapariyāyena cattāro āsavā adhippetāti veditabbā.
ขยายาติ เอตฺถ ปน ‘‘โย อาสวานํ ขโย วโย เภโท ปริเภโท อนิจฺจตา อนฺตรธาน’’นฺติ อาสวานํ สรสเภโท อาสวานํ ขโยติ วุโตฺตฯ ‘‘ชานโต อหํ, ภิกฺขเว, ปสฺสโต อาสวานํ ขยํ วทามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๕) เอตฺถ อาสวานํ ขีณากาโร นตฺถิภาโว อจฺจนฺตํ อสมุปฺปาโท อาสวกฺขโยติ วุโตฺตฯ
Khayāyāti ettha pana ‘‘yo āsavānaṃ khayo vayo bhedo paribhedo aniccatā antaradhāna’’nti āsavānaṃ sarasabhedo āsavānaṃ khayoti vutto. ‘‘Jānato ahaṃ, bhikkhave, passato āsavānaṃ khayaṃ vadāmī’’ti (ma. ni. 1.15) ettha āsavānaṃ khīṇākāro natthibhāvo accantaṃ asamuppādo āsavakkhayoti vutto.
‘‘เสขสฺส สิกฺขมานสฺส, อุชุมคฺคานุสาริโน;
‘‘Sekhassa sikkhamānassa, ujumaggānusārino;
ขยสฺมิํ ปฐมํ ญาณํ, ตโต อญฺญา อนนฺตรา’’ติฯ (อิติวุ. ๖๒) –
Khayasmiṃ paṭhamaṃ ñāṇaṃ, tato aññā anantarā’’ti. (itivu. 62) –
เอตฺถ อริยมโคฺค อาสวกฺขโยติ วุโตฺตฯ ‘‘อาสวานํ ขยา สมโณ โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๓๘) เอตฺถ ผลํฯ
Ettha ariyamaggo āsavakkhayoti vutto. ‘‘Āsavānaṃ khayā samaṇo hotī’’ti (ma. ni. 1.438) ettha phalaṃ.
‘‘ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส, นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน;
‘‘Paravajjānupassissa, niccaṃ ujjhānasaññino;
อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ, อารา โส อาสวกฺขยา’’ติฯ (ธ. ป. ๒๕๓) –
Āsavā tassa vaḍḍhanti, ārā so āsavakkhayā’’ti. (dha. pa. 253) –
เอตฺถ นิพฺพานํฯ อิธ ปน ผลํ สนฺธาย ‘‘อาสวานํ ขยายา’’ติ วุตฺตํ, อรหตฺตผลตฺถายาติ อโตฺถฯ
Ettha nibbānaṃ. Idha pana phalaṃ sandhāya ‘‘āsavānaṃ khayāyā’’ti vuttaṃ, arahattaphalatthāyāti attho.
สํเวชนีเยสุ ฐาเนสูติ สํเวคชนเกสุ ชาติอาทีสุ สํเวควตฺถูสุฯ ชาติ, ชรา, พฺยาธิ, มรณํ, อปายทุกฺขํ, อตีเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, อนาคเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ , ปจฺจุปฺปเนฺน อาหารปริเยฎฺฐิมูลกํ ทุกฺขนฺติ อิมานิ หิ สํเวควตฺถูนิ สํเวชนียฎฺฐานานิ นามฯ อปิจ ‘‘อาทิโตฺต โลกสนฺนิวาโส อุยฺยุโตฺต ปยาโต กุมฺมคฺคปฺปฎิปโนฺน, อุปนียติ โลโก อทฺธุโว, อตาโณ โลโก อนภิสฺสโร, อสฺสโก โลโก, สพฺพํ ปหาย คมนียํ, อูโน โลโก อติโตฺต ตณฺหาทาโส’’ติเอวมาทีนิ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๗) เจตฺถ สํเวชนียฎฺฐานานีติ เวทิตพฺพานิฯ สํเวชเนนาติ ชาติอาทิสํเวควตฺถูนิ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนภยสงฺขาเตน สํเวชเนนฯ อตฺถโต ปน สโหตฺตปฺปญาณํ สํเวโค นามฯ
Saṃvejanīyesu ṭhānesūti saṃvegajanakesu jātiādīsu saṃvegavatthūsu. Jāti, jarā, byādhi, maraṇaṃ, apāyadukkhaṃ, atīte vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, anāgate vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ , paccuppanne āhārapariyeṭṭhimūlakaṃ dukkhanti imāni hi saṃvegavatthūni saṃvejanīyaṭṭhānāni nāma. Apica ‘‘āditto lokasannivāso uyyutto payāto kummaggappaṭipanno, upanīyati loko addhuvo, atāṇo loko anabhissaro, assako loko, sabbaṃ pahāya gamanīyaṃ, ūno loko atitto taṇhādāso’’tievamādīni (paṭi. ma. 1.117) cettha saṃvejanīyaṭṭhānānīti veditabbāni. Saṃvejanenāti jātiādisaṃvegavatthūni paṭicca uppannabhayasaṅkhātena saṃvejanena. Atthato pana sahottappañāṇaṃ saṃvego nāma.
สํวิคฺคสฺสาติ คโพฺภกฺกนฺติกาทิวเสน อเนกวิเธหิ ชาติอาทิทุเกฺขหิ สํเวคชาตสฺสฯ ‘‘สํเวชิตฺวา’’ติ จ ปฐนฺติฯ โยนิโส ปธาเนนาติ อุปายปธาเนน, สมฺมาวายาเมนาติ อโตฺถฯ โส หิ ยถา อกุสลา ธมฺมา ปหียนฺติ, กุสลา ธมฺมา ภาวนาปาริปูริํ คจฺฉนฺติ, เอวํ ปทหนโต อุตฺตมภาวสาธนโต จ ‘‘ปธาน’’นฺติ วุจฺจติฯ ตตฺถ สํเวเคน ภวาทีสุ กิญฺจิ ตาณํ เลณํ ปฎิสรณํ อปสฺสโนฺต ตตฺถ อโนลียโนฺต อลคฺคมานโส ตปฺปฎิปเกฺขน จ วินิวตฺติตวิสญฺญิโต อญฺญทตฺถุ นิพฺพานนิโนฺน โหติ นิพฺพานโปโณ นิพฺพานปพฺภาโรฯ โส กลฺยาณมิตฺตสนฺนิสฺสเยน โยนิโสมนสิการพหุโล วิสุทฺธาสยปฺปโยโค สมถวิปสฺสนาสุ ยุตฺตปฺปยุโตฺต สพฺพสฺมิมฺปิ สงฺขารคเต นิพฺพินฺทติ วิรชฺชติ, วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปติฯ ตตฺถ ยทิทํ โยนิโสมนสิการพหุโล วิสุทฺธาสยปฺปโยโค สมถวิปสฺสนาสุ ยุตฺตปฺปยุโตฺต, เตนสฺส ทิเฎฺฐว ธเมฺม สุขโสมนสฺสพหุลตา เวทิตพฺพาฯ ยํ ปนายํ สมเถ ปติฎฺฐิโต วิปสฺสนาย ยุตฺตปฺปยุโตฺต สพฺพสฺมิมฺปิ สงฺขารคเต นิพฺพินฺทติ วิรชฺชติ, วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปติ, เตนสฺส โยนิ อารทฺธา อาสวานํ ขยายาติ เวทิตพฺพํฯ
Saṃviggassāti gabbhokkantikādivasena anekavidhehi jātiādidukkhehi saṃvegajātassa. ‘‘Saṃvejitvā’’ti ca paṭhanti. Yoniso padhānenāti upāyapadhānena, sammāvāyāmenāti attho. So hi yathā akusalā dhammā pahīyanti, kusalā dhammā bhāvanāpāripūriṃ gacchanti, evaṃ padahanato uttamabhāvasādhanato ca ‘‘padhāna’’nti vuccati. Tattha saṃvegena bhavādīsu kiñci tāṇaṃ leṇaṃ paṭisaraṇaṃ apassanto tattha anolīyanto alaggamānaso tappaṭipakkhena ca vinivattitavisaññito aññadatthu nibbānaninno hoti nibbānapoṇo nibbānapabbhāro. So kalyāṇamittasannissayena yonisomanasikārabahulo visuddhāsayappayogo samathavipassanāsu yuttappayutto sabbasmimpi saṅkhāragate nibbindati virajjati, vipassanaṃ ussukkāpeti. Tattha yadidaṃ yonisomanasikārabahulo visuddhāsayappayogo samathavipassanāsu yuttappayutto, tenassa diṭṭheva dhamme sukhasomanassabahulatā veditabbā. Yaṃ panāyaṃ samathe patiṭṭhito vipassanāya yuttappayutto sabbasmimpi saṅkhāragate nibbindati virajjati, vipassanaṃ ussukkāpeti, tenassa yoni āraddhā āsavānaṃ khayāyāti veditabbaṃ.
คาถาสุ สํวิเชฺชเถวาติ สํวิเชฺชยฺย เอว สํเวคํ กเรยฺย เอวฯ ‘‘สํวิชฺชิตฺวานา’’ติ จ ปฐนฺติฯ วุตฺตนเยน สํวิโคฺค หุตฺวาติ อโตฺถฯ ปณฺฑิโตติ สปฺปโญฺญ, ติเหตุกปฎิสนฺธีติ วุตฺตํ โหติฯ ปญฺญาย สมเวกฺขิยาติ สํเวควตฺถูนิ สํวิชฺชนวเสน ปญฺญาย สมฺมา อเวกฺขิยฯ อถ วา ปญฺญาย สมฺมา อเวกฺขิตฺวาติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวฯ
Gāthāsu saṃvijjethevāti saṃvijjeyya eva saṃvegaṃ kareyya eva. ‘‘Saṃvijjitvānā’’ti ca paṭhanti. Vuttanayena saṃviggo hutvāti attho. Paṇḍitoti sappañño, tihetukapaṭisandhīti vuttaṃ hoti. Paññāya samavekkhiyāti saṃvegavatthūni saṃvijjanavasena paññāya sammā avekkhiya. Atha vā paññāya sammā avekkhitvāti. Sesaṃ sabbattha uttānatthameva.
ทสมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dasamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
อิติ ปรมตฺถทีปนิยา อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถาย
Iti paramatthadīpaniyā itivuttaka-aṭṭhakathāya
ทุกนิปาเต ปฐมวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dukanipāte paṭhamavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๑๐. โสมนสฺสสุตฺตํ • 10. Somanassasuttaṃ