Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
โสณกุฎิกณฺณวตฺถุกถาวณฺณนา
Soṇakuṭikaṇṇavatthukathāvaṇṇanā
๒๕๗. ปปตเก ปพฺพเตติ เอตฺถ ‘‘ปวเตฺต ปพฺพเต’’ติปิ ปฐนฺติ, ปวตฺตนามเก ปพฺพเตติ อโตฺถฯ โสโณ อุปาสโกติอาทีสุ (อุทา. อฎฺฐ. ๔๖) นาเมน โสโณ นาม, ตีหิ สรณคมเนหิ อุปาสกตฺตปฎิเวทเนน อุปาสโก, โกฎิอคฺฆนกสฺส กณฺณปิฬนฺธนสฺส ธารเณน ‘‘โกฎิกโณฺณ’’ติ จ วตฺตเพฺพ ‘‘กุฎิกโณฺณ’’ติ เอวํ อภิญฺญาโต, น สุกุมารโสโณติ อธิปฺปาโยฯ อยญฺหิ อายสฺมโต มหากจฺจานสฺส สนฺติเก ธมฺมํ สุตฺวา สาสเน อภิปฺปสโนฺน สรเณสุ จ สีเลสุ จ ปติฎฺฐิโต ปปตเก ปพฺพเต ฉายูทกสมฺปเนฺน ฐาเน วิหารํ กาเรตฺวา เถรํ ตตฺถ วสาเปตฺวา จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐาติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อายสฺมโต มหากจฺจานสฺส อุปฎฺฐาโก โหตี’’ติฯ
257.Papatake pabbateti ettha ‘‘pavatte pabbate’’tipi paṭhanti, pavattanāmake pabbateti attho. Soṇo upāsakotiādīsu (udā. aṭṭha. 46) nāmena soṇo nāma, tīhi saraṇagamanehi upāsakattapaṭivedanena upāsako, koṭiagghanakassa kaṇṇapiḷandhanassa dhāraṇena ‘‘koṭikaṇṇo’’ti ca vattabbe ‘‘kuṭikaṇṇo’’ti evaṃ abhiññāto, na sukumārasoṇoti adhippāyo. Ayañhi āyasmato mahākaccānassa santike dhammaṃ sutvā sāsane abhippasanno saraṇesu ca sīlesu ca patiṭṭhito papatake pabbate chāyūdakasampanne ṭhāne vihāraṃ kāretvā theraṃ tattha vasāpetvā catūhi paccayehi upaṭṭhāti. Tena vuttaṃ ‘‘āyasmato mahākaccānassa upaṭṭhāko hotī’’ti.
โส กาเลน กาลํ เถรสฺส อุปฎฺฐานํ คจฺฉติ, เถโร จสฺส ธมฺมํ เทเสติ, เตน สํเวคพหุโล ธมฺมจริยายํ อุสฺสาหชาโต วิหรติฯ โส เอกทา สเตฺถน สทฺธิํ วาณิชฺชตฺถาย อุเชฺชนิํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค อฎวิยํ สเตฺถ นิวิเฎฺฐ รตฺติยํ ชนสมฺพาธภเยน เอกมนฺตํ อปกฺกมฺม นิทฺทํ อุปคญฺฉิฯ สโตฺถ ปจฺจูสเวลายํ อุฎฺฐาย คโต, น เอโกปิ โสณํ ปโพเธสิ, สเพฺพ วิสฺสริตฺวา อคมิํสุฯ โส ปภาตาย รตฺติยา ปพุชฺฌิตฺวา อุฎฺฐาย กญฺจิ อปสฺสโนฺต สเตฺถน คตมคฺคํ คเหตฺวา สีฆํ สีฆํ คจฺฉโนฺต เอกํ วฎรุกฺขํ อุปคญฺฉิฯ ตตฺถ อทฺทส เอกํ มหากายํ วิรูปทสฺสนํ พีภจฺฉํ ปุริสํ อฎฺฐิโต มุตฺตานิ อตฺตโน มํสานิ สยเมว ขาทนฺตํ, ทิสฺวาน ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ ปุจฺฉิฯ เปโตสฺมิ, ภเนฺตติฯ กสฺมา เอวํ กโรสีติ? อตฺตโน ปุพฺพกเมฺมนาติฯ กิํ ปน ตํ กมฺมนฺติ? อหํ ปุเพฺพ ภารุกจฺฉนครวาสี กูฎวาณิโช หุตฺวา ปเรสํ สนฺตกํ วเญฺจตฺวา ขาทิํ, สมเณ จ ภิกฺขาย อุปคเต ‘‘ตุมฺหากํ มํสํ ขาทถา’’ติ อโกฺกสิํ, เตน กเมฺมน เอตรหิ อิมํ ทุกฺขํ อนุภวามีติฯ ตํ สุตฺวา โสโณ อติวิย สํเวคํ ปฎิลภิฯ
So kālena kālaṃ therassa upaṭṭhānaṃ gacchati, thero cassa dhammaṃ deseti, tena saṃvegabahulo dhammacariyāyaṃ ussāhajāto viharati. So ekadā satthena saddhiṃ vāṇijjatthāya ujjeniṃ gacchanto antarāmagge aṭaviyaṃ satthe niviṭṭhe rattiyaṃ janasambādhabhayena ekamantaṃ apakkamma niddaṃ upagañchi. Sattho paccūsavelāyaṃ uṭṭhāya gato, na ekopi soṇaṃ pabodhesi, sabbe vissaritvā agamiṃsu. So pabhātāya rattiyā pabujjhitvā uṭṭhāya kañci apassanto satthena gatamaggaṃ gahetvā sīghaṃ sīghaṃ gacchanto ekaṃ vaṭarukkhaṃ upagañchi. Tattha addasa ekaṃ mahākāyaṃ virūpadassanaṃ bībhacchaṃ purisaṃ aṭṭhito muttāni attano maṃsāni sayameva khādantaṃ, disvāna ‘‘kosi tva’’nti pucchi. Petosmi, bhanteti. Kasmā evaṃ karosīti? Attano pubbakammenāti. Kiṃ pana taṃ kammanti? Ahaṃ pubbe bhārukacchanagaravāsī kūṭavāṇijo hutvā paresaṃ santakaṃ vañcetvā khādiṃ, samaṇe ca bhikkhāya upagate ‘‘tumhākaṃ maṃsaṃ khādathā’’ti akkosiṃ, tena kammena etarahi imaṃ dukkhaṃ anubhavāmīti. Taṃ sutvā soṇo ativiya saṃvegaṃ paṭilabhi.
ตโต ปรํ คจฺฉโนฺต มุขโต ปคฺฆริตกาฬโลหิเต เทฺว เปตทารเก ปสฺสิตฺวา ตเถว ปุจฺฉิ, เตปิสฺส อตฺตโน กมฺมํ กเถสุํฯ เต กิร ภารุกจฺฉนคเร ทารกกาเล คนฺธวาณิชฺชาย ชีวิกํ กเปฺปนฺตา อตฺตโน มาตริ ขีณาสเว นิมเนฺตตฺวา โภเชนฺติยา เคหํ คนฺตฺวา ‘‘อมฺหากํ สนฺตกํ กสฺมา สมณานํ เทสิ, ตยา ทินฺนํ โภชนํ ภุญฺชนกสมณานํ มุขโต กาฬโลหิตํ ปคฺฆรตู’’ติ อโกฺกสิํสุฯ เต เตน กเมฺมน นิรเย ปจฺจิตฺวา ตสฺส วิปากาวเสเสน เปตโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา ตทา อิมํ ทุกฺขํ อนุภวนฺติฯ ตมฺปิ สุตฺวา โสโณ อติวิย สํเวคชาโต อโหสิฯ
Tato paraṃ gacchanto mukhato paggharitakāḷalohite dve petadārake passitvā tatheva pucchi, tepissa attano kammaṃ kathesuṃ. Te kira bhārukacchanagare dārakakāle gandhavāṇijjāya jīvikaṃ kappentā attano mātari khīṇāsave nimantetvā bhojentiyā gehaṃ gantvā ‘‘amhākaṃ santakaṃ kasmā samaṇānaṃ desi, tayā dinnaṃ bhojanaṃ bhuñjanakasamaṇānaṃ mukhato kāḷalohitaṃ paggharatū’’ti akkosiṃsu. Te tena kammena niraye paccitvā tassa vipākāvasesena petayoniyaṃ nibbattitvā tadā imaṃ dukkhaṃ anubhavanti. Tampi sutvā soṇo ativiya saṃvegajāto ahosi.
โส อุเชฺชนิํ คนฺตฺวา ตํ กรณียํ ตีเรตฺวา กุรรฆรํ ปจฺจาคโต เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา กตปฎิสนฺถาโร ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ เถโรปิสฺส ปวตฺตินิวตฺตีสุ อาทีนวานิสํเส วิภาเวโนฺต ธมฺมํ เทเสสิฯ โส เถรํ วนฺทิตฺวา เคหํ คโต สายมาสํ ภุญฺชิตฺวา สยนํ อุปคโต โถกํเยว นิทฺทายิตฺวา ปพุชฺฌิตฺวา สยนตเล นิสชฺช ยถาสุตํ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตุํ อารโทฺธฯ ตสฺส ตํ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขโต เต จ เปตตฺตภาเว อนุสฺสรโต สํสารทุกฺขํ อติวิย ภยานกํ หุตฺวา อุปฎฺฐาสิ, ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ นมิฯ โส วิภาตาย รตฺติยา สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา เถรํ อุปคนฺตฺวา อตฺตโน อชฺฌาสยํ อาโรเจตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อถ โข โสโณ อุปาสโก…เป.… ปพฺพาเชตุ มํ, ภเนฺต, อโยฺย มหากจฺจาโน’’ติฯ
So ujjeniṃ gantvā taṃ karaṇīyaṃ tīretvā kuraragharaṃ paccāgato theraṃ upasaṅkamitvā katapaṭisanthāro tamatthaṃ ārocesi. Theropissa pavattinivattīsu ādīnavānisaṃse vibhāvento dhammaṃ desesi. So theraṃ vanditvā gehaṃ gato sāyamāsaṃ bhuñjitvā sayanaṃ upagato thokaṃyeva niddāyitvā pabujjhitvā sayanatale nisajja yathāsutaṃ dhammaṃ paccavekkhituṃ āraddho. Tassa taṃ dhammaṃ paccavekkhato te ca petattabhāve anussarato saṃsāradukkhaṃ ativiya bhayānakaṃ hutvā upaṭṭhāsi, pabbajjāya cittaṃ nami. So vibhātāya rattiyā sarīrapaṭijagganaṃ katvā theraṃ upagantvā attano ajjhāsayaṃ ārocetvā pabbajjaṃ yāci. Tena vuttaṃ ‘‘atha kho soṇo upāsako…pe… pabbājetu maṃ, bhante, ayyo mahākaccāno’’ti.
ตตฺถ ยถา ยถาติอาทิปทานํ อยํ สเงฺขปโตฺถ – เยน เยน อากาเรน อโยฺย มหากจฺจาโน ธมฺมํ เทเสติ อาจิกฺขติ ปญฺญเปติ ปฎฺฐเปติ วิวรติ วิภชติ อุตฺตานิํ กโรติ ปกาเสติ, เตน เตน เม อุปปริกฺขโต เอวํ โหติ ‘‘ยเทตํ สิกฺขตฺตยพฺรหฺมจริยํ เอกมฺปิ ทิวสํ อขณฺฑํ กตฺวา จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย เอกนฺตปริปุณฺณํ, เอกทิวสมฺปิ กิเลสมเลน อมลีนํ กตฺวา จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย เอกนฺตปริสุทฺธํ, สงฺขลิขิตํ ลิขิตสงฺขสทิสํ โธตสงฺขสปฺปฎิภาคํ จริตพฺพํ, อิทํ น สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา อคารมเชฺฌ วสเนฺตน เอกนฺตปริปุณฺณํ…เป.… จริตุ’’นฺติฯ
Tattha yathā yathātiādipadānaṃ ayaṃ saṅkhepattho – yena yena ākārena ayyo mahākaccāno dhammaṃ deseti ācikkhati paññapeti paṭṭhapeti vivarati vibhajati uttāniṃ karoti pakāseti, tena tena me upaparikkhato evaṃ hoti ‘‘yadetaṃ sikkhattayabrahmacariyaṃ ekampi divasaṃ akhaṇḍaṃ katvā carimakacittaṃ pāpetabbatāya ekantaparipuṇṇaṃ, ekadivasampi kilesamalena amalīnaṃ katvā carimakacittaṃ pāpetabbatāya ekantaparisuddhaṃ, saṅkhalikhitaṃ likhitasaṅkhasadisaṃ dhotasaṅkhasappaṭibhāgaṃ caritabbaṃ, idaṃ na sukaraṃ agāraṃ ajjhāvasatā agāramajjhe vasantena ekantaparipuṇṇaṃ…pe… caritu’’nti.
เอวํ อตฺตโน ปริวิตกฺกิตํ โสโณ อุปาสโก เถรสฺส อาโรเจตฺวา ตํ ปฎิปชฺชิตุกาโม ‘‘อิจฺฉามหํ ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ เถโร ปน ‘‘น ตาวสฺส ญาณํ ปริปากํ คต’’นฺติ อุปธาเรตฺวา ญาณปริปากํ อาคมยมาโน ‘‘ทุกฺกรํ โข’’ติอาทินา ปพฺพชฺชาฉนฺทํ นิวาเรสิฯ ตตฺถ เอกเสยฺยนฺติ อทุติยเสยฺยํฯ เอตฺถ จ เสยฺยาสีเสน ‘‘เอโก ติฎฺฐติ, เอโก คจฺฉติ, เอโก นิสีทตี’’ติอาทินา นเยน วุตฺตํ จตูสุ อิริยาปเถสุ กายวิเวกํ ทีเปติ, น เอกิกา หุตฺวา สยนมตฺตํฯ เอกภตฺตนฺติ ‘‘เอกภตฺติโก โหติ รตฺตูปรโต วิรโต วิกาลโภชนา’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๐, ๑๙๔; ม. นิ. ๑.๒๙๓ อ. นิ. ๓.๗๑) เอวํ วุตฺตํ วิกาลโภชนา วิรติํ สนฺธาย วทติฯ พฺรหฺมจริยนฺติ เมถุนวิรติพฺรหฺมจริยํ, สิกฺขตฺตยานุโยคสงฺขาตํ สาสนพฺรหฺมจริยํ วาฯ อิงฺฆาติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ ตเตฺถวาติ เคเหเยวฯ พุทฺธานํ สาสนํ อนุยุญฺชาติ นิจฺจสีลอุโปสถสีลนิยมาทิเภทํ ปญฺจงฺคํ อฎฺฐงฺคํ ทสงฺคญฺจ สีลํ ตทนุรูปญฺจ สมาธิปญฺญาภาวนํ อนุยุญฺชฯ เอตญฺหิ อุปาสเกน ปุพฺพภาเค อนุยุญฺชิตพฺพํ พุทฺธสาสนํ นามฯ เตนาห ‘‘กาลยุตฺตํ เอกเสยฺยํ เอกภตฺตํ พฺรหฺมจริย’’นฺติฯ
Evaṃ attano parivitakkitaṃ soṇo upāsako therassa ārocetvā taṃ paṭipajjitukāmo ‘‘icchāmahaṃ bhante’’tiādimāha. Thero pana ‘‘na tāvassa ñāṇaṃ paripākaṃ gata’’nti upadhāretvā ñāṇaparipākaṃ āgamayamāno ‘‘dukkaraṃ kho’’tiādinā pabbajjāchandaṃ nivāresi. Tattha ekaseyyanti adutiyaseyyaṃ. Ettha ca seyyāsīsena ‘‘eko tiṭṭhati, eko gacchati, eko nisīdatī’’tiādinā nayena vuttaṃ catūsu iriyāpathesu kāyavivekaṃ dīpeti, na ekikā hutvā sayanamattaṃ. Ekabhattanti ‘‘ekabhattiko hoti rattūparato virato vikālabhojanā’’ti (dī. ni. 1.10, 194; ma. ni. 1.293 a. ni. 3.71) evaṃ vuttaṃ vikālabhojanā viratiṃ sandhāya vadati. Brahmacariyanti methunaviratibrahmacariyaṃ, sikkhattayānuyogasaṅkhātaṃ sāsanabrahmacariyaṃ vā. Iṅghāti codanatthe nipāto. Tatthevāti geheyeva. Buddhānaṃ sāsanaṃ anuyuñjāti niccasīlauposathasīlaniyamādibhedaṃ pañcaṅgaṃ aṭṭhaṅgaṃ dasaṅgañca sīlaṃ tadanurūpañca samādhipaññābhāvanaṃ anuyuñja. Etañhi upāsakena pubbabhāge anuyuñjitabbaṃ buddhasāsanaṃ nāma. Tenāha ‘‘kālayuttaṃ ekaseyyaṃ ekabhattaṃ brahmacariya’’nti.
ตตฺถ กาลยุตฺตนฺติ จาตุทฺทสีปญฺจทฺทสีอฎฺฐมีปาฎิหาริกปกฺขสงฺขาเตน กาเลน ยุตฺตํ, ยถาวุตฺตกาเล วา ตุยฺหํ อนุยุญฺชนฺตสฺส ยุตฺตํ ปติรูปํ สกฺกุเณยฺยํ, น สพฺพกาลํ สพฺพนฺติ อธิปฺปาโย ฯ สพฺพเมตํ ญาณสฺส อปริปกฺกตฺตา ตสฺส กามานํ ทุปฺปหานตาย สมฺมา ปฎิปตฺติยํ โยคฺยํ การาเปตุํ วทติ, น ปพฺพชฺชาฉนฺทํ นิวาเรตุํฯ ปพฺพชฺชาภิสงฺขาโรติ ปพฺพชิตุํ อารโมฺภ อุสฺสาโหฯ ปฎิปฺปสฺสมฺภีติ อินฺทฺริยานํ อปริปกฺกตฺตา สํเวคสฺส จ นาติติกฺขภาวโต วูปสมิฯ กิญฺจาปิ ปฎิปฺปสฺสมฺภิ, เถเรน วุตฺตวิธิํ ปน อนุติฎฺฐโนฺต กาเลน กาลํ เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ปยิรุปาสโนฺต ธมฺมํ สุณาติฯ ตสฺส วุตฺตนเยเนว ทุติยมฺปิ ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ อุปฺปชฺชิ, เถรสฺส จ อาโรเจสิ, ทุติยมฺปิ เถโร ปฎิกฺขิปิฯ ตติยวาเร ปน ญาณสฺส ปริปกฺกภาวํ ญตฺวา ‘‘อิทานิ นํ ปพฺพาเชตุํ กาโล’’ติ เถโร ปพฺพาเชสิ, ปพฺพชิตญฺจ ตํ ตีณิ สํวจฺฉรานิ อติกฺกมิตฺวา คณํ ปริเยสิตฺวา อุปสมฺปาเทสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ทุติยมฺปิ โข โสโณ…เป.… อุปสมฺปาเทสี’’ติฯ
Tattha kālayuttanti cātuddasīpañcaddasīaṭṭhamīpāṭihārikapakkhasaṅkhātena kālena yuttaṃ, yathāvuttakāle vā tuyhaṃ anuyuñjantassa yuttaṃ patirūpaṃ sakkuṇeyyaṃ, na sabbakālaṃ sabbanti adhippāyo . Sabbametaṃ ñāṇassa aparipakkattā tassa kāmānaṃ duppahānatāya sammā paṭipattiyaṃ yogyaṃ kārāpetuṃ vadati, na pabbajjāchandaṃ nivāretuṃ. Pabbajjābhisaṅkhāroti pabbajituṃ ārambho ussāho. Paṭippassambhīti indriyānaṃ aparipakkattā saṃvegassa ca nātitikkhabhāvato vūpasami. Kiñcāpi paṭippassambhi, therena vuttavidhiṃ pana anutiṭṭhanto kālena kālaṃ theraṃ upasaṅkamitvā payirupāsanto dhammaṃ suṇāti. Tassa vuttanayeneva dutiyampi pabbajjāya cittaṃ uppajji, therassa ca ārocesi, dutiyampi thero paṭikkhipi. Tatiyavāre pana ñāṇassa paripakkabhāvaṃ ñatvā ‘‘idāni naṃ pabbājetuṃ kālo’’ti thero pabbājesi, pabbajitañca taṃ tīṇi saṃvaccharāni atikkamitvā gaṇaṃ pariyesitvā upasampādesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘dutiyampi kho soṇo…pe… upasampādesī’’ti.
ตตฺถ อปฺปภิกฺขุโกติ กติปยภิกฺขุโกฯ ตทา กิร ภิกฺขู เยภุเยฺยน มชฺฌิมเทเสเยว วสิํสุ, ตสฺมา ตตฺถ กติปยา เอว อเหสุํ ฯ เต จ เอกสฺมิํ คาเม เอโก, เอกสฺมิํ นิคเม เทฺวติ เอวํ วิสุํ วิสุํ วสิํสุฯ กิเจฺฉนาติ ทุเกฺขนฯ กสิเรนาติ อายาเสนฯ ตโต ตโตติ ตสฺมา ตสฺมา คามนิคมาทิโตฯ เถเรน หิ กติปเย ภิกฺขู อาเนตฺวา อเญฺญสุ อานียมาเนสุ ปุเพฺพ อานีตา เกนจิเทว กรณีเยน ปกฺกมิํสุ, กญฺจิ กาลํ อาคเมตฺวา ปุน เตสุ อานียมาเนสุ อิตเร ปกฺกมิํสุฯ เอวํ ปุนปฺปุนํ อานยเนน สนฺนิปาโต จิเรเนว อโหสิฯ เถโรปิ ตทา เอกวิหารี อโหสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ติณฺณํ วสฺสานํ…เป.… สนฺนิปาตาเปตฺวา’’ติฯ
Tattha appabhikkhukoti katipayabhikkhuko. Tadā kira bhikkhū yebhuyyena majjhimadeseyeva vasiṃsu, tasmā tattha katipayā eva ahesuṃ . Te ca ekasmiṃ gāme eko, ekasmiṃ nigame dveti evaṃ visuṃ visuṃ vasiṃsu. Kicchenāti dukkhena. Kasirenāti āyāsena. Tato tatoti tasmā tasmā gāmanigamādito. Therena hi katipaye bhikkhū ānetvā aññesu ānīyamānesu pubbe ānītā kenacideva karaṇīyena pakkamiṃsu, kañci kālaṃ āgametvā puna tesu ānīyamānesu itare pakkamiṃsu. Evaṃ punappunaṃ ānayanena sannipāto cireneva ahosi. Theropi tadā ekavihārī ahosi. Tena vuttaṃ ‘‘tiṇṇaṃ vassānaṃ…pe… sannipātāpetvā’’ti.
วสฺสํวุตฺถสฺสาติ วสฺสํ อุปคนฺตฺวา วุสิตวโตฯ เอทิโส จ เอทิโส จาติ เอวรูโป จ เอวรูโป จฯ ‘‘เอวรูปาย นาม รูปกายสมฺปตฺติยา สมนฺนาคโต, เอวรูปาย ธมฺมกายสมฺปตฺติยา สมนฺนาคโต’’ติ สุโตเยว เม โส ภควาฯ น จ มยา สมฺมุขา ทิโฎฺฐติ เอตฺถ ปน ปุถุชฺชนสทฺธาย เอว อายสฺมา โสโณ ภควนฺตํ ทฎฺฐุกาโม อโหสิฯ อปรภาเค ปน สตฺถารา สทฺธิํ เอกคนฺธกุฎิยํ วสิตฺวา ปจฺจูสสมยํ อชฺฌิโฎฺฐ โสฬส อฎฺฐกวคฺคิยานิ สตฺถุ สมฺมุขา อฎฺฐิํ กตฺวา มนสิ กตฺวา สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา อตฺถธมฺมปฎิสํเวที หุตฺวา ภณโนฺต ธมฺมุปสญฺหิตปาโมชฺชาทิมุเขน สมาหิโต สรภญฺญปริโยสาเน วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา สงฺขาเร สมฺมสโนฺต อนุปุเพฺพน อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เอตทตฺถเมว หิสฺส ภควตา อตฺตนา สทฺธิํ เอกคนฺธกุฎิยํ วาโส อาณโตฺตติ วทนฺติฯ
Vassaṃvutthassāti vassaṃ upagantvā vusitavato. Ediso ca ediso cāti evarūpo ca evarūpo ca. ‘‘Evarūpāya nāma rūpakāyasampattiyā samannāgato, evarūpāya dhammakāyasampattiyā samannāgato’’ti sutoyeva me so bhagavā. Na ca mayā sammukhā diṭṭhoti ettha pana puthujjanasaddhāya eva āyasmā soṇo bhagavantaṃ daṭṭhukāmo ahosi. Aparabhāge pana satthārā saddhiṃ ekagandhakuṭiyaṃ vasitvā paccūsasamayaṃ ajjhiṭṭho soḷasa aṭṭhakavaggiyāni satthu sammukhā aṭṭhiṃ katvā manasi katvā sabbaṃ cetasā samannāharitvā atthadhammapaṭisaṃvedī hutvā bhaṇanto dhammupasañhitapāmojjādimukhena samāhito sarabhaññapariyosāne vipassanaṃ paṭṭhapetvā saṅkhāre sammasanto anupubbena arahattaṃ pāpuṇi. Etadatthameva hissa bhagavatā attanā saddhiṃ ekagandhakuṭiyaṃ vāso āṇattoti vadanti.
เกจิ ปนาหุ ‘‘น จ มยา สมฺมุขา ทิโฎฺฐติ อิทํ รูปกายทสฺสนเมว สนฺธาย วุตฺตํฯ อายสฺมา หิ โสโณ ปพฺพชิตฺวา เถรสฺส สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ฆเฎโนฺต วายมโนฺต อนุปสมฺปโนฺนว โสตาปโนฺน หุตฺวา อุปสมฺปชฺชิตฺวา ‘อุปาสกาปิ โสตาปนฺนา โหนฺติ, อหมฺปิ โสตาปโนฺน, กิเมตฺถ จิตฺต’นฺติ อุปริมคฺคตฺถาย วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อโนฺตวเสฺสเยว ฉฬภิโญฺญ หุตฺวา วิสุทฺธิปวารณาย ปวาเรสิฯ อริยสจฺจทสฺสเนน ภควโต ธมฺมกาโย ทิโฎฺฐ นาม โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘โย โข, วกฺกลิ, ธมฺมํ ปสฺสติ, โส มํ ปสฺสตี’ติ (สํ. นิ. ๓.๘๗)ฯ ตสฺมาสฺส ธมฺมกายทสฺสนํ ปเคว สิทฺธํ, ปวาเรตฺวา ปน รูปกายํ ทฎฺฐุกาโม อโหสี’’ติฯ
Keci panāhu ‘‘na ca mayā sammukhā diṭṭhoti idaṃ rūpakāyadassanameva sandhāya vuttaṃ. Āyasmā hi soṇo pabbajitvā therassa santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā ghaṭento vāyamanto anupasampannova sotāpanno hutvā upasampajjitvā ‘upāsakāpi sotāpannā honti, ahampi sotāpanno, kimettha citta’nti uparimaggatthāya vipassanaṃ vaḍḍhetvā antovasseyeva chaḷabhiñño hutvā visuddhipavāraṇāya pavāresi. Ariyasaccadassanena bhagavato dhammakāyo diṭṭho nāma hoti. Vuttañhetaṃ ‘yo kho, vakkali, dhammaṃ passati, so maṃ passatī’ti (saṃ. ni. 3.87). Tasmāssa dhammakāyadassanaṃ pageva siddhaṃ, pavāretvā pana rūpakāyaṃ daṭṭhukāmo ahosī’’ti.
ปาสาทิกนฺติอาทิปทานํ อโตฺถ อฎฺฐกถายเมว วุโตฺตฯ ตตฺถ วิสูกายิกวิปฺผนฺทิตานนฺติ ปฎิปกฺขภูตานํ ทิฎฺฐิจิตฺตวิปฺผนฺทิตานนฺติ อโตฺถฯ ปาสาทิกนฺติ (อุทา. อฎฺฐ. ๑๐) วา ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณอสีติอนุพฺยญฺชนพฺยามปฺปภาเกตุมาลาลงฺกตาย สมนฺตปาสาทิกาย อตฺตโน สรีรปฺปภาย สมฺปตฺติยา รูปกายทสฺสนพฺยาวฎสฺส ชนสฺส สพฺพภาคโต ปสาทาวหํฯ ปสาทนียนฺติ ทสพลจตุเวสารชฺชฉอสาธารณญาณอฎฺฐารสอาเวณิกพุทฺธธมฺมปฺปภุติอปริมาณคุณคณสมนฺนาคตาย ธมฺมกายสมฺปตฺติยา ปริกฺขกชนสฺส ปสาทนียํ ปสีทิตพฺพยุตฺตํ ปสาทกํ วาฯ สนฺตินฺทฺริยนฺติ จกฺขาทิปญฺจินฺทฺริยโลลตาวิคเมน วูปสนฺตปญฺจินฺทฺริยํฯ สนฺตมานสนฺติ ฉฎฺฐสฺส มนินฺทฺริยสฺส นิพฺพิเสวนภาวูปคมเนน วูปสนฺตมานสํฯ อุตฺตมทมถสมถํ อนุปฺปตฺตนฺติ โลกุตฺตรปญฺญาวิมุตฺติเจโตวิมุตฺติสงฺขาตํ อุตฺตมํ ทมถํ สมถญฺจ อนุปฺปตฺวา อธิคนฺตฺวา ฐิตํฯ ทนฺตนฺติ สุปริสุทฺธกายสมาจารตาย หตฺถปาทกุกฺกุจฺจาภาวโต ทวาทิอภาวโต จ กาเยน ทนฺตํฯ คุตฺตนฺติ สุปริสุทฺธวจีสมาจารตาย นิรตฺถกวาจาภาวโต รวาทิอภาวโต จ วาจาย คุตฺตํฯ ยตินฺทฺริยนฺติ สุปริสุทฺธมโนสมาจารตาย อริยิทฺธิโยเคน อพฺยาวฎอปฺปฎิสงฺขุเปกฺขาภาวโต จ มนินฺทฺริยวเสน ยตินฺทฺริยํฯ นาคนฺติ ฉนฺทาทิวเสน อคมนโต, ปหีนานํ ราคาทิกิเลสานํ อปุนาคมนโต อปจฺจาคมนโต กสฺสจิปิ อาคุสฺส สพฺพถาปิ อกรณโต, ปุนพฺภวสฺส จ อคมนโตติ อิเมหิ การเณหิ นาคํฯ เอตฺถ จ ‘‘ปาสาทิก’’นฺติ อิมินา รูปกาเยน ภควโต ปมาณภูตตํ ทีเปติ, ‘‘ปสาทนีย’’นฺติ อิมินา ธมฺมกาเยนฯ ‘‘สนฺตินฺทฺริย’’นฺติอาทินา เสเสหิ ปมาณภูตตํ ทีเปติ, เตน จตุปฺปมาณิเก โลกสนฺนิวาเส อนวเสสโต สตฺตานํ ภควโต ปมาณภาโว ปกาสิโตติ เวทิตโพฺพฯ เอกวิหาเรติ เอกคนฺธกุฎิยํฯ คนฺธกุฎิ หิ อิธ ‘‘วิหาโร’’ติ อธิเปฺปโตฯ วตฺถุนฺติ วสิตุํฯ
Pāsādikantiādipadānaṃ attho aṭṭhakathāyameva vutto. Tattha visūkāyikavipphanditānanti paṭipakkhabhūtānaṃ diṭṭhicittavipphanditānanti attho. Pāsādikanti (udā. aṭṭha. 10) vā dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇaasītianubyañjanabyāmappabhāketumālālaṅkatāya samantapāsādikāya attano sarīrappabhāya sampattiyā rūpakāyadassanabyāvaṭassa janassa sabbabhāgato pasādāvahaṃ. Pasādanīyanti dasabalacatuvesārajjachaasādhāraṇañāṇaaṭṭhārasaāveṇikabuddhadhammappabhutiaparimāṇaguṇagaṇasamannāgatāya dhammakāyasampattiyā parikkhakajanassa pasādanīyaṃ pasīditabbayuttaṃ pasādakaṃ vā. Santindriyanti cakkhādipañcindriyalolatāvigamena vūpasantapañcindriyaṃ. Santamānasanti chaṭṭhassa manindriyassa nibbisevanabhāvūpagamanena vūpasantamānasaṃ. Uttamadamathasamathaṃ anuppattanti lokuttarapaññāvimutticetovimuttisaṅkhātaṃ uttamaṃ damathaṃ samathañca anuppatvā adhigantvā ṭhitaṃ. Dantanti suparisuddhakāyasamācāratāya hatthapādakukkuccābhāvato davādiabhāvato ca kāyena dantaṃ. Guttanti suparisuddhavacīsamācāratāya niratthakavācābhāvato ravādiabhāvato ca vācāya guttaṃ. Yatindriyanti suparisuddhamanosamācāratāya ariyiddhiyogena abyāvaṭaappaṭisaṅkhupekkhābhāvato ca manindriyavasena yatindriyaṃ. Nāganti chandādivasena agamanato, pahīnānaṃ rāgādikilesānaṃ apunāgamanato apaccāgamanato kassacipi āgussa sabbathāpi akaraṇato, punabbhavassa ca agamanatoti imehi kāraṇehi nāgaṃ. Ettha ca ‘‘pāsādika’’nti iminā rūpakāyena bhagavato pamāṇabhūtataṃ dīpeti, ‘‘pasādanīya’’nti iminā dhammakāyena. ‘‘Santindriya’’ntiādinā sesehi pamāṇabhūtataṃ dīpeti, tena catuppamāṇike lokasannivāse anavasesato sattānaṃ bhagavato pamāṇabhāvo pakāsitoti veditabbo. Ekavihāreti ekagandhakuṭiyaṃ. Gandhakuṭi hi idha ‘‘vihāro’’ti adhippeto. Vatthunti vasituṃ.
๒๕๘. อโชฺฌกาเส วีตินาเมตฺวาติ (อุทา. อฎฺฐ. ๔๖) อโชฺฌกาเส นิสชฺชาย วีตินาเมตฺวาฯ ‘‘ยสฺมา ภควา อายสฺมโต โสณสฺส สมาปตฺติสมาปชฺชเนน ปฎิสนฺถารํ กโรโนฺต สาวกสาธารณา สพฺพา สมาปตฺติโย อนุโลมปฎิโลมํ สมาปชฺชโนฺต พหุเทว รตฺติํ อโชฺฌกาเส นิสชฺชาย วีตินาเมตฺวา ปาเท ปกฺขาเลตฺวา วิหารํ ปาวิสิ, ตสฺมา อายสฺมาปิ โสโณ ภควโต อธิปฺปายํ ญตฺวา ตทนุรูปํ สพฺพา ตา สมาปตฺติโย สมาปชฺชโนฺต พหุเทว รตฺติํ อโชฺฌกาเส นิสชฺชาย วีตินาเมตฺวา ปาเท ปกฺขาเลตฺวา วิหารํ ปาวิสี’’ติ เกจิ วทนฺติฯ ปวิสิตฺวา จ ภควตา อนุญฺญาโต จีวรํ ติโรกรณียํ กตฺวาปิ ภควโต ปาทปเสฺส นิสชฺชาย วีตินาเมสิฯ อเชฺฌสีติ อาณาเปสิฯ ปฎิภาตุ ตํ ภิกฺขุ ธโมฺม ภาสิตุนฺติ ภิกฺขุ ตุยฺหํ ธโมฺม ภาสิตุํ อุปฎฺฐาตุ ญาณมุขํ อาคจฺฉตุ, ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ ภณาหีติ อโตฺถฯ
258.Ajjhokāse vītināmetvāti (udā. aṭṭha. 46) ajjhokāse nisajjāya vītināmetvā. ‘‘Yasmā bhagavā āyasmato soṇassa samāpattisamāpajjanena paṭisanthāraṃ karonto sāvakasādhāraṇā sabbā samāpattiyo anulomapaṭilomaṃ samāpajjanto bahudeva rattiṃ ajjhokāse nisajjāya vītināmetvā pāde pakkhāletvā vihāraṃ pāvisi, tasmā āyasmāpi soṇo bhagavato adhippāyaṃ ñatvā tadanurūpaṃ sabbā tā samāpattiyo samāpajjanto bahudeva rattiṃ ajjhokāse nisajjāya vītināmetvā pāde pakkhāletvā vihāraṃ pāvisī’’ti keci vadanti. Pavisitvā ca bhagavatā anuññāto cīvaraṃ tirokaraṇīyaṃ katvāpi bhagavato pādapasse nisajjāya vītināmesi. Ajjhesīti āṇāpesi. Paṭibhātu taṃ bhikkhu dhammo bhāsitunti bhikkhu tuyhaṃ dhammo bhāsituṃ upaṭṭhātu ñāṇamukhaṃ āgacchatu, yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ bhaṇāhīti attho.
สพฺพาเนว อฎฺฐกวคฺคิกานีติ อฎฺฐกวคฺคภูตานิ กามสุตฺตาทีนิ (มหานิ. ๑) โสฬส สุตฺตานิฯ สเรน อภาสีติ สุตฺตุสฺสารณสเรน อภาสิ, สรภญฺญวเสน กเถสีติ อโตฺถฯ สรภญฺญปริโยสาเนติ อุสฺสารณาวสาเนฯ สุคฺคหิตานีติ สมฺมา อุคฺคหิตานิฯ สุมนสิกตานีติ สุฎฺฐุ มนสิ กตานิฯ เอกโจฺจ อุคฺคหณกาเล สมฺมา อุคฺคเหตฺวาปิ ปจฺฉา สชฺฌายาทิวเสน มนสิกรณกาเล พฺยญฺชนานิ วา มิจฺฉา โรเปติ, ปทปจฺจาภฎฺฐํ วา กโรติ, น เอวมยํฯ อิมินา ปน สมฺมเทว ยถุคฺคหิตํ มนสิ กตานิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สุมนสิกตานีติ สุฎฺฐุ มนสิ กตานี’’ติฯ สูปธาริตานีติ อตฺถโตปิ สุฎฺฐุ อุปธาริตานิฯ อเตฺถ หิ สุฎฺฐุ อุปธาริเต สกฺกา ปาฬิ สมฺมา อุสฺสาเรตุํฯ กลฺยาณิยาปิ วาจาย สมนฺนาคโตติ สิถิลธนิตาทีนํ ยถาวิธานํ วจเนน ปริมณฺฑลปทพฺยญฺชนาย โปริยา วาจาย สมนฺนาคโตฯ วิสฺสฎฺฐายาติ วิมุตฺตายฯ เอเตนสฺส วิมุตฺตวาทิตํ ทเสฺสติฯ อเนลคลายาติ เอลํ วุจฺจติ โทโส, ตํ น ปคฺฆรตีติ อเนลคลา, ตาย นิโทฺทสายาติ อโตฺถฯ อถ วา อเนลคลายาติ อเนลาย จ อคลาย จ, นิโทฺทสาย อคลิตปทพฺยญฺชนาย อปริหีนปทพฺยญฺชนายาติ อโตฺถฯ ตถา หิ นํ ภควา ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ กลฺยาณวากฺกรณานํ ยทิทํ โสโณ กุฎิกโณฺณ’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๙๘, ๒๐๖) เอตทเคฺค ฐเปสิฯ อตฺถสฺส วิญฺญาปนิยาติ ยถาธิเปฺปตํ อตฺถํ ญาเปตุํ สมตฺถายฯ
Sabbāneva aṭṭhakavaggikānīti aṭṭhakavaggabhūtāni kāmasuttādīni (mahāni. 1) soḷasa suttāni. Sarena abhāsīti suttussāraṇasarena abhāsi, sarabhaññavasena kathesīti attho. Sarabhaññapariyosāneti ussāraṇāvasāne. Suggahitānīti sammā uggahitāni. Sumanasikatānīti suṭṭhu manasi katāni. Ekacco uggahaṇakāle sammā uggahetvāpi pacchā sajjhāyādivasena manasikaraṇakāle byañjanāni vā micchā ropeti, padapaccābhaṭṭhaṃ vā karoti, na evamayaṃ. Iminā pana sammadeva yathuggahitaṃ manasi katāni. Tena vuttaṃ ‘‘sumanasikatānīti suṭṭhu manasi katānī’’ti. Sūpadhāritānīti atthatopi suṭṭhu upadhāritāni. Atthe hi suṭṭhu upadhārite sakkā pāḷi sammā ussāretuṃ. Kalyāṇiyāpi vācāya samannāgatoti sithiladhanitādīnaṃ yathāvidhānaṃ vacanena parimaṇḍalapadabyañjanāya poriyā vācāya samannāgato. Vissaṭṭhāyāti vimuttāya. Etenassa vimuttavāditaṃ dasseti. Anelagalāyāti elaṃ vuccati doso, taṃ na paggharatīti anelagalā, tāya niddosāyāti attho. Atha vā anelagalāyāti anelāya ca agalāya ca, niddosāya agalitapadabyañjanāya aparihīnapadabyañjanāyāti attho. Tathā hi naṃ bhagavā ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ kalyāṇavākkaraṇānaṃ yadidaṃ soṇo kuṭikaṇṇo’’ti (a. ni. 1.198, 206) etadagge ṭhapesi. Atthassa viññāpaniyāti yathādhippetaṃ atthaṃ ñāpetuṃ samatthāya.
กติวโสฺสติ โส กิร มชฺฌิมวยสฺส ตติเย โกฎฺฐาเส ฐิโต อากปฺปสมฺปโนฺน จ ปเรสํ จิรตรปพฺพชิโต วิย ขายติฯ ตํ สนฺธาย ภควา ปุจฺฉีติ เกจิ, ตํ อการณํฯ เอวํ สนฺตํ สมาธิสุขํ อนุภวิตุํ ยุโตฺต, เอตฺตกํ กาลํ กสฺมา ปมาทํ อาปโนฺนสีติ ปน อนุยุญฺชิตุํ สตฺถา ‘‘กติวโสฺสสี’’ติ ตํ ปุจฺฉิฯ เตเนวาห ‘‘กิสฺส ปน ตฺวํ ภิกฺขุ เอวํ จิรํ อกาสี’’ติฯ ตตฺถ กิสฺสาติ กิํการณาฯ เอวํ จิรํ อกาสีติ เอวํ จิรายิ, เกน การเณน เอวํ จิรกาลํ ปพฺพชฺชํ อนุปคนฺตฺวา อคารมเชฺฌ วสีติ อโตฺถฯ จิรํ ทิโฎฺฐ เมติ จิเรน จิรกาเลน มยา ทิโฎฺฐฯ กาเมสูติ วตฺถุกาเมสุ กิเลสกาเมสุ จฯ อาทีนโวติ โทโสฯ อปิจาติ กาเมสุ อาทีนเว เกนจิ ปกาเรน ทิเฎฺฐปิ น ตาวาหํ ฆราวาสโต นิกฺขมิตุํ อสกฺขิํฯ กสฺมา? สมฺพาโธ ฆราวาโส, อุจฺจาวเจหิ กิจฺจกรณีเยหิ สมุปพฺยูโฬฺห อคาริยภาโวฯ เตเนวาห ‘‘พหุกิโจฺจ พหุกรณีโย’’ติฯ
Kativassoti so kira majjhimavayassa tatiye koṭṭhāse ṭhito ākappasampanno ca paresaṃ ciratarapabbajito viya khāyati. Taṃ sandhāya bhagavā pucchīti keci, taṃ akāraṇaṃ. Evaṃ santaṃ samādhisukhaṃ anubhavituṃ yutto, ettakaṃ kālaṃ kasmā pamādaṃ āpannosīti pana anuyuñjituṃ satthā ‘‘kativassosī’’ti taṃ pucchi. Tenevāha ‘‘kissa pana tvaṃ bhikkhu evaṃ ciraṃ akāsī’’ti. Tattha kissāti kiṃkāraṇā. Evaṃ ciraṃ akāsīti evaṃ cirāyi, kena kāraṇena evaṃ cirakālaṃ pabbajjaṃ anupagantvā agāramajjhe vasīti attho. Ciraṃ diṭṭho meti cirena cirakālena mayā diṭṭho. Kāmesūti vatthukāmesu kilesakāmesu ca. Ādīnavoti doso. Apicāti kāmesu ādīnave kenaci pakārena diṭṭhepi na tāvāhaṃ gharāvāsato nikkhamituṃ asakkhiṃ. Kasmā? Sambādho gharāvāso, uccāvacehi kiccakaraṇīyehi samupabyūḷho agāriyabhāvo. Tenevāha ‘‘bahukicco bahukaraṇīyo’’ti.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ กาเมสุ ยถาภูตํ อาทีนวทสฺสิโน จิตฺตํ จิรายิตฺวาปิ ฆราวาเส น ปกฺขนฺทติ, อญฺญทตฺถุ ปทุมปลาเส อุทกพินฺทุ วิย วินิวตฺตติเยวาติ เอตมตฺถํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ ปวตฺติํ นิวตฺติญฺจ สมฺมเทว ชานโนฺต ปวตฺติยํ ตํนิมิเตฺต จ น กทาจิปิ รมตีติ อิทมตฺถทีปกํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Etamatthaṃ viditvāti kāmesu yathābhūtaṃ ādīnavadassino cittaṃ cirāyitvāpi gharāvāse na pakkhandati, aññadatthu padumapalāse udakabindu viya vinivattatiyevāti etamatthaṃ sabbākārato viditvā. Imaṃ udānanti pavattiṃ nivattiñca sammadeva jānanto pavattiyaṃ taṃnimitte ca na kadācipi ramatīti idamatthadīpakaṃ imaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺถ ทิสฺวา อาทีนวํ โลเกติ สพฺพสฺมิมฺปิ สงฺขารโลเก ‘‘อนิโจฺจ ทุโกฺข วิปริณามธโมฺม’’ติอาทีนวํ โทสํ ปญฺญาจกฺขุนา ปสฺสิตฺวาฯ เอเตน วิปสฺสนาจาโร กถิโตฯ ญตฺวา ธมฺมํ นิรูปธินฺติ สพฺพูปธิปฎินิสฺสคฺคตฺตา นิรุปธิํ นิพฺพานธมฺมํ ยถาภูตํ ญตฺวา, นิสฺสรณวิเวกาสงฺขตามตสภาวโต มคฺคญาเณน ปฎิวิชฺฌิตฺวาฯ ‘‘ทิสฺวา ญตฺวา’’ติ อิเมสํ ปทานํ ‘‘ฆตํ ปิวิตฺวา พลํ โหติ, สีหํ ทิสฺวา ภยํ โหติ, ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๗๑) วิย เหตุอตฺถตา ทฎฺฐพฺพาฯ อริโย น รมตี ปาเปติ กิเลเสหิ อารกตฺตา อริโย สปฺปุริโส อณุมเตฺตปิ ปาเป น รมติฯ กสฺมา? ปาเป น รมตี สุจีติ สุวิสุทฺธกายสมาจาราทิตาย สุจิ สุทฺธปุคฺคโล ราชหํโส วิย อุจฺจารฎฺฐาเน ปาเป สํกิลิฎฺฐธเมฺม น รมติ นาภินนฺทติฯ ‘‘ปาโป น รมตี สุจิ’’นฺติปิ ปาโฐ, ตสฺสโตฺถ – ปาโป ปุคฺคโล สุจิํ อนวชฺชํ โวทานธมฺมํ น รมติ, อญฺญทตฺถุ คามสูกราทโย วิย อุจฺจารฎฺฐานํ อสุจิํ สํกิเลสธมฺมํเยว รมตีติ ปฎิปกฺขโต เทสนํ ปริวเตฺตติฯ
Tattha disvā ādīnavaṃ loketi sabbasmimpi saṅkhāraloke ‘‘anicco dukkho vipariṇāmadhammo’’tiādīnavaṃ dosaṃ paññācakkhunā passitvā. Etena vipassanācāro kathito. Ñatvā dhammaṃ nirūpadhinti sabbūpadhipaṭinissaggattā nirupadhiṃ nibbānadhammaṃ yathābhūtaṃ ñatvā, nissaraṇavivekāsaṅkhatāmatasabhāvato maggañāṇena paṭivijjhitvā. ‘‘Disvā ñatvā’’ti imesaṃ padānaṃ ‘‘ghataṃ pivitvā balaṃ hoti, sīhaṃ disvā bhayaṃ hoti, paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā hontī’’tiādīsu (ma. ni. 1.271) viya hetuatthatā daṭṭhabbā. Ariyo na ramatī pāpeti kilesehi ārakattā ariyo sappuriso aṇumattepi pāpe na ramati. Kasmā? Pāpe na ramatī sucīti suvisuddhakāyasamācārāditāya suci suddhapuggalo rājahaṃso viya uccāraṭṭhāne pāpe saṃkiliṭṭhadhamme na ramati nābhinandati. ‘‘Pāpo na ramatī suci’’ntipi pāṭho, tassattho – pāpo puggalo suciṃ anavajjaṃ vodānadhammaṃ na ramati, aññadatthu gāmasūkarādayo viya uccāraṭṭhānaṃ asuciṃ saṃkilesadhammaṃyeva ramatīti paṭipakkhato desanaṃ parivatteti.
โสณกุฎิกณฺณวตฺถุกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Soṇakuṭikaṇṇavatthukathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
๒๕๙. กาฬสีโหติ กาฬมุขวานรชาติฯ เสสเมตฺถ ปาฬิโต อฎฺฐกถาโต จ สุวิเญฺญยฺยเมวาติฯ
259.Kāḷasīhoti kāḷamukhavānarajāti. Sesamettha pāḷito aṭṭhakathāto ca suviññeyyamevāti.
จมฺมกฺขนฺธกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Cammakkhandhakavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi
๑๕๗. โสณกุฎิกณฺณวตฺถุ • 157. Soṇakuṭikaṇṇavatthu
๑๕๘. มหากจฺจานสฺส ปญฺจวรปริทสฺสนา • 158. Mahākaccānassa pañcavaraparidassanā
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / สพฺพจมฺมปฎิเกฺขปาทิกถา • Sabbacammapaṭikkhepādikathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / สพฺพจมฺมปฎิเกฺขปาทิกถาวณฺณนา • Sabbacammapaṭikkhepādikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / คิหิวิกตานุญฺญาตาทิกถาวณฺณนา • Gihivikatānuññātādikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๑๕๗. โสณกุฎิกณฺณวตฺถุกถา • 157. Soṇakuṭikaṇṇavatthukathā