Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā |
๖. โสณสุตฺตวณฺณนา
6. Soṇasuttavaṇṇanā
๔๖. ฉเฎฺฐ อวนฺตีสูติ อวนฺติรเฎฺฐฯ กุรรฆเรติ เอวํนามเก นคเรฯ ปวเตฺต ปพฺพเตติ ปวตฺตนามเก ปพฺพเตฯ ‘‘ปปาเต ปพฺพเต’’ติปิ ปฐนฺติฯ โสโณ อุปาสโก กุฎิกโณฺณติ นาเมน โสโณ นาม, ตีหิ สรณคมเนหิ อุปาสกภาวปฺปฎิเวทเนน อุปาสโก, โกฎิอคฺฆนกสฺส กณฺณปิฬนฺธนสฺส ธารเณน ‘‘โกฎิกโณฺณ’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘กุฎิกโณฺณ’’ติ เอวํ อภิญฺญาโต, น สุขุมาลโสโณติ อธิปฺปาโย ฯ อยญฺหิ อายสฺมโต มหากจฺจายนสฺส สนฺติเก ธมฺมํ สุตฺวา สาสเน อภิปฺปสโนฺน, สรเณสุ จ สีเลสุ จ ปติฎฺฐิโต ปวเตฺต ปพฺพเต ฉายูทกสมฺปเนฺน ฐาเน วิหารํ กาเรตฺวา เถรํ ตตฺถ วสาเปตฺวา จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐาติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อายสฺมโต มหากจฺจานสฺส อุปฎฺฐาโก โหตี’’ติฯ
46. Chaṭṭhe avantīsūti avantiraṭṭhe. Kuraraghareti evaṃnāmake nagare. Pavatte pabbateti pavattanāmake pabbate. ‘‘Papāte pabbate’’tipi paṭhanti. Soṇo upāsako kuṭikaṇṇoti nāmena soṇo nāma, tīhi saraṇagamanehi upāsakabhāvappaṭivedanena upāsako, koṭiagghanakassa kaṇṇapiḷandhanassa dhāraṇena ‘‘koṭikaṇṇo’’ti vattabbe ‘‘kuṭikaṇṇo’’ti evaṃ abhiññāto, na sukhumālasoṇoti adhippāyo . Ayañhi āyasmato mahākaccāyanassa santike dhammaṃ sutvā sāsane abhippasanno, saraṇesu ca sīlesu ca patiṭṭhito pavatte pabbate chāyūdakasampanne ṭhāne vihāraṃ kāretvā theraṃ tattha vasāpetvā catūhi paccayehi upaṭṭhāti. Tena vuttaṃ – ‘‘āyasmato mahākaccānassa upaṭṭhāko hotī’’ti.
โส กาเลน กาลํ เถรสฺส อุปฎฺฐานํ คจฺฉติฯ เถโร จสฺส ธมฺมํ เทเสติฯ เตน สํเวคพหุโล ธมฺมจริยาย อุสฺสาหชาโต วิหรติฯ โส เอกทา สเตฺถน สทฺธิํ วาณิชฺชตฺถาย อุเชฺชนิํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค อฎวิยํ สเตฺถ นิวิเฎฺฐ รตฺติยํ ชนสมฺพาธภเยน เอกมนฺตํ อปกฺกมฺม นิทฺทํ อุปคญฺฉิฯ สโตฺถ ปจฺจูสเวลายํ อุฎฺฐาย คโต, น เอโกปิ โสณํ ปโพเธสิ, สเพฺพปิ วิสริตฺวา อคมํสุฯ โส ปภาตาย รตฺติยา ปพุชฺฌิตฺวา อุฎฺฐาย กญฺจิ อปสฺสโนฺต สเตฺถเนว คตมคฺคํ คเหตฺวา สีฆํ สีฆํ คจฺฉโนฺต เอกํ วฎรุกฺขํ อุปคญฺฉิฯ ตตฺถ อทฺทส เอกํ มหากายํ วิรูปทสฺสนํ คจฺฉนฺตํ ปุริสํ อฎฺฐิโต มุตฺตานิ อตฺตโน มํสานิ สยเมว ขาทนฺตํ, ทิสฺวาน ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เปโตมฺหิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กสฺมา เอวํ กโรสี’’ติฯ ‘‘อตฺตโน ปุพฺพกเมฺมนา’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ตํ กมฺม’’นฺติฯ ‘‘อหํ ปุเพฺพ ภารุกจฺฉนครวาสี กูฎวาณิโช หุตฺวา ปเรสํ สนฺตกํ วเญฺจตฺวา ขาทิํ, สมเณ จ ภิกฺขาย อุปคเต ‘ตุมฺหากํ มํสํ ขาทถา’ติ อโกฺกสิํ, เตน กเมฺมน เอตรหิ อิมํ ทุกฺขํ อนุภวามี’’ติฯ ตํ สุตฺวา โสโณ อติวิย สํเวคํ ปฎิลภิฯ
So kālena kālaṃ therassa upaṭṭhānaṃ gacchati. Thero cassa dhammaṃ deseti. Tena saṃvegabahulo dhammacariyāya ussāhajāto viharati. So ekadā satthena saddhiṃ vāṇijjatthāya ujjeniṃ gacchanto antarāmagge aṭaviyaṃ satthe niviṭṭhe rattiyaṃ janasambādhabhayena ekamantaṃ apakkamma niddaṃ upagañchi. Sattho paccūsavelāyaṃ uṭṭhāya gato, na ekopi soṇaṃ pabodhesi, sabbepi visaritvā agamaṃsu. So pabhātāya rattiyā pabujjhitvā uṭṭhāya kañci apassanto sattheneva gatamaggaṃ gahetvā sīghaṃ sīghaṃ gacchanto ekaṃ vaṭarukkhaṃ upagañchi. Tattha addasa ekaṃ mahākāyaṃ virūpadassanaṃ gacchantaṃ purisaṃ aṭṭhito muttāni attano maṃsāni sayameva khādantaṃ, disvāna ‘‘kosi tva’’nti pucchi. ‘‘Petomhi, bhante’’ti. ‘‘Kasmā evaṃ karosī’’ti. ‘‘Attano pubbakammenā’’ti. ‘‘Kiṃ pana taṃ kamma’’nti. ‘‘Ahaṃ pubbe bhārukacchanagaravāsī kūṭavāṇijo hutvā paresaṃ santakaṃ vañcetvā khādiṃ, samaṇe ca bhikkhāya upagate ‘tumhākaṃ maṃsaṃ khādathā’ti akkosiṃ, tena kammena etarahi imaṃ dukkhaṃ anubhavāmī’’ti. Taṃ sutvā soṇo ativiya saṃvegaṃ paṭilabhi.
ตโต ปรํ คจฺฉโนฺต มุขโต ปคฺฆริตกาฬโลหิเต เทฺว เปตทารเก ปสฺสิตฺวา ตเถว ปุจฺฉิฯ เตปิสฺส อตฺตโน กมฺมํ กเถสุํฯ เต กิร ภารุกจฺฉนคเร ทารกกาเล คนฺธวาณิชฺชาย ชีวิกํ กเปฺปนฺตา อตฺตโน มาตริ ขีณาสเว นิมเนฺตตฺวา โภเชนฺติยา เคหํ คนฺตฺวา ‘‘อมฺหากํ สนฺตกํ กสฺมา สมณานํ เทสิ, ตยา ทินฺนํ โภชนํ ภุญฺชนกสมณานํ มุขโต กาฬโลหิตํ ปคฺฆรตู’’ติ อโกฺกสิํสุฯ เต เตน กเมฺมน นิรเย ปจฺจิตฺวา ตสฺส วิปากาวเสเสน เปตโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา ตทา อิมํ ทุกฺขํ อนุภวนฺติฯ ตมฺปิ สุตฺวา โสโณ อติวิย สํเวคชาโต อโหสิฯ
Tato paraṃ gacchanto mukhato paggharitakāḷalohite dve petadārake passitvā tatheva pucchi. Tepissa attano kammaṃ kathesuṃ. Te kira bhārukacchanagare dārakakāle gandhavāṇijjāya jīvikaṃ kappentā attano mātari khīṇāsave nimantetvā bhojentiyā gehaṃ gantvā ‘‘amhākaṃ santakaṃ kasmā samaṇānaṃ desi, tayā dinnaṃ bhojanaṃ bhuñjanakasamaṇānaṃ mukhato kāḷalohitaṃ paggharatū’’ti akkosiṃsu. Te tena kammena niraye paccitvā tassa vipākāvasesena petayoniyaṃ nibbattitvā tadā imaṃ dukkhaṃ anubhavanti. Tampi sutvā soṇo ativiya saṃvegajāto ahosi.
โส อุเชฺชนิํ คนฺตฺวา ตํ กรณียํ ตีเรตฺวา กุลฆรํ ปจฺจาคโต เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา กตปฎิสนฺถาโร เถรสฺส ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ เถโรปิสฺส ปวตฺตินิวตฺตีสุ อาทีนวานิสํเส วิภาเวโนฺต ธมฺมํ เทเสสิฯ โส เถรํ วนฺทิตฺวา เคหํ คโต สายมาสํ ภุญฺชิตฺวา สยนํ อุปคโต โถกํเยว นิทฺทายิตฺวา ปพุชฺฌิตฺวา สยนตเล นิสชฺช ยถาสุตํ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตุํ อารโทฺธฯ ตสฺส ตํ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขโต, เต จ เปตตฺตภาเว อนุสฺสรโต สํสารทุกฺขํ อติวิย ภยานกํ หุตฺวา อุปฎฺฐาสิ, ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ นมิฯ โส วิภาตาย รตฺติยา สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา อตฺตโน อชฺฌาสยํ อาโรเจตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข โสณสฺส อุปาสกสฺส กุฎิกณฺณสฺส รโหคตสฺส…เป.… ปพฺพาเชตุ มํ, ภเนฺต, อโยฺย มหากจฺจาโน’’ติฯ
So ujjeniṃ gantvā taṃ karaṇīyaṃ tīretvā kulagharaṃ paccāgato theraṃ upasaṅkamitvā katapaṭisanthāro therassa tamatthaṃ ārocesi. Theropissa pavattinivattīsu ādīnavānisaṃse vibhāvento dhammaṃ desesi. So theraṃ vanditvā gehaṃ gato sāyamāsaṃ bhuñjitvā sayanaṃ upagato thokaṃyeva niddāyitvā pabujjhitvā sayanatale nisajja yathāsutaṃ dhammaṃ paccavekkhituṃ āraddho. Tassa taṃ dhammaṃ paccavekkhato, te ca petattabhāve anussarato saṃsāradukkhaṃ ativiya bhayānakaṃ hutvā upaṭṭhāsi, pabbajjāya cittaṃ nami. So vibhātāya rattiyā sarīrapaṭijagganaṃ katvā theraṃ upasaṅkamitvā attano ajjhāsayaṃ ārocetvā pabbajjaṃ yāci. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho soṇassa upāsakassa kuṭikaṇṇassa rahogatassa…pe… pabbājetu maṃ, bhante, ayyo mahākaccāno’’ti.
ตตฺถ ยถา ยถาติอาทีนํ ปทานํ อยํ สเงฺขปโตฺถ – เยน เยน อากาเรน อโยฺย มหากจฺจาโน ธมฺมํ เทเสติ อาจิกฺขติ ปญฺญเปติ ปฎฺฐเปติ วิวรติ วิภชติ อุตฺตานีกโรติ ปกาเสติ, เตน เตน เม อุปปริกฺขโต เอวํ โหติ, ยเทตํ สิกฺขตฺตยพฺรหฺมจริยํ เอกมฺปิ ทิวสํ อกฺขณฺฑํ กตฺวา จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย เอกนฺตปริปุณฺณํฯ เอกทิวสมฺปิ กิเลสมเลน อมลินํ กตฺวา จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย เอกนฺตปริสุทฺธํฯ สงฺขลิขิตนฺติ ลิขิตสงฺขสทิสํ โธตสงฺขสปฺปฎิภาคํ จริตพฺพํฯ อิทํ น สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา อคารมเชฺฌ วสเนฺตน เอกนฺต ปริปุณฺณํ…เป.… จริตุํ ยํนูนาหํ เกเส เจว มสฺสูนิ จ โอหาเรตฺวา โวโรเปตฺวา กาสายรสปีตตาย กาสายานิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตานํ อนุจฺฉวิกานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา นิวาเสตฺวา เจว ปารุปิตฺวา จ อคารสฺมา นิกฺขมิตฺวา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยํ ฯ ยสฺมา อคารสฺส หิตํ กสิวาณิชฺชาทิกมฺมํ อคาริยนฺติ วุจฺจติ, ตญฺจ ปพฺพชฺชาย นตฺถิ, ตสฺมา ปพฺพชฺชา อนคาริยา นามฯ ตํ อนคาริยํ ปพฺพชฺชํ ปพฺพเชยฺยํ อุปคเจฺฉยฺยํ, ปฎิปเชฺชยฺยนฺติ อโตฺถฯ
Tattha yathā yathātiādīnaṃ padānaṃ ayaṃ saṅkhepattho – yena yena ākārena ayyo mahākaccāno dhammaṃ deseti ācikkhati paññapeti paṭṭhapeti vivarati vibhajati uttānīkaroti pakāseti, tena tena me upaparikkhato evaṃ hoti, yadetaṃ sikkhattayabrahmacariyaṃ ekampi divasaṃ akkhaṇḍaṃ katvā carimakacittaṃ pāpetabbatāya ekantaparipuṇṇaṃ. Ekadivasampi kilesamalena amalinaṃ katvā carimakacittaṃ pāpetabbatāya ekantaparisuddhaṃ. Saṅkhalikhitanti likhitasaṅkhasadisaṃ dhotasaṅkhasappaṭibhāgaṃ caritabbaṃ. Idaṃ nasukaraṃ agāraṃ ajjhāvasatā agāramajjhe vasantena ekanta paripuṇṇaṃ…pe… carituṃ yaṃnūnāhaṃ kese ceva massūni ca ohāretvā voropetvā kāsāyarasapītatāya kāsāyāni brahmacariyaṃ carantānaṃ anucchavikāni vatthāni acchādetvā nivāsetvā ceva pārupitvā ca agārasmā nikkhamitvā anagāriyaṃ pabbajeyyaṃ. Yasmā agārassa hitaṃ kasivāṇijjādikammaṃ agāriyanti vuccati, tañca pabbajjāya natthi, tasmā pabbajjā anagāriyā nāma. Taṃ anagāriyaṃ pabbajjaṃ pabbajeyyaṃ upagaccheyyaṃ, paṭipajjeyyanti attho.
เอวํ อตฺตนา รโหวิตกฺกิตํ โสโณ อุปาสโก เถรสฺส อาโรเจตฺวา ตํ ปฎิปชฺชิตุกาโม ‘‘ปพฺพาเชตุ มํ, ภเนฺต, อโยฺย มหากจฺจาโน’’ติ อาหฯ เถโร ปน ‘‘ตาวสฺส ญาณปริปากํ กถ’’นฺติ อุปธาเรตฺวา ญาณปริปากํ อาคมยมาโน ‘‘ทุกฺกรํ โข’’ติอาทินา ปพฺพชฺชาฉนฺทํ นิวาเรสิฯ
Evaṃ attanā rahovitakkitaṃ soṇo upāsako therassa ārocetvā taṃ paṭipajjitukāmo ‘‘pabbājetu maṃ, bhante, ayyo mahākaccāno’’ti āha. Thero pana ‘‘tāvassa ñāṇaparipākaṃ katha’’nti upadhāretvā ñāṇaparipākaṃ āgamayamāno ‘‘dukkaraṃ kho’’tiādinā pabbajjāchandaṃ nivāresi.
ตตฺถ เอกภตฺตนฺติ ‘‘เอกภตฺติโก โหติ รตฺตูปรโต วิรโต วิกาลโภชนา’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๙๔; อ. นิ. ๓.๗๑) เอวํ วุตฺตํ วิกาลโภชนวิรติํ สนฺธาย วทติฯ เอกเสยฺยนฺติ อทุติยเสยฺยํฯ เอตฺถ จ เสยฺยาสีเสน ‘‘เอโก ติฎฺฐติ, เอโก คจฺฉติ, เอโก นิสีทตี’’ติอาทินา (มหานิ. ๗; ๔๙) นเยน วุเตฺตสุ จตูสุ อิริยาปเถสุ กายวิเวกํ ทีเปติ, น เอกากินา หุตฺวา สยนมตฺตํฯ พฺรหฺมจริยนฺติ เมถุนวิรติพฺรหฺมจริยํ, สิกฺขตฺตยานุโยคสงฺขาตํ สาสนพฺรหฺมจริยํ วาฯ อิงฺฆาติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ ตเตฺถวาติ เคเหเยวฯ พุทฺธานํ สาสนํ อนุยุญฺชาติ นิจฺจสีลอุโปสถสีลาทิเภทํ ปญฺจงฺคอฎฺฐงฺคทสงฺคสีลํ, ตทนุรูปญฺจ สมาธิปญฺญาภาวนํ อนุยุญฺชฯ เอตญฺหิ อุปาสเกน ปุพฺพภาเค อนุยุญฺชิตพฺพํ พุทฺธสาสนํ นามฯ เตนาห – ‘‘กาลยุตฺตํ เอกภตฺตํ เอกเสยฺยํ พฺรหฺมริย’’นฺติฯ
Tattha ekabhattanti ‘‘ekabhattiko hoti rattūparato virato vikālabhojanā’’ti (dī. ni. 1.194; a. ni. 3.71) evaṃ vuttaṃ vikālabhojanaviratiṃ sandhāya vadati. Ekaseyyanti adutiyaseyyaṃ. Ettha ca seyyāsīsena ‘‘eko tiṭṭhati, eko gacchati, eko nisīdatī’’tiādinā (mahāni. 7; 49) nayena vuttesu catūsu iriyāpathesu kāyavivekaṃ dīpeti, na ekākinā hutvā sayanamattaṃ. Brahmacariyanti methunaviratibrahmacariyaṃ, sikkhattayānuyogasaṅkhātaṃ sāsanabrahmacariyaṃ vā. Iṅghāti codanatthe nipāto. Tatthevāti geheyeva. Buddhānaṃ sāsanaṃ anuyuñjāti niccasīlauposathasīlādibhedaṃ pañcaṅgaaṭṭhaṅgadasaṅgasīlaṃ, tadanurūpañca samādhipaññābhāvanaṃ anuyuñja. Etañhi upāsakena pubbabhāge anuyuñjitabbaṃ buddhasāsanaṃ nāma. Tenāha – ‘‘kālayuttaṃ ekabhattaṃ ekaseyyaṃ brahmariya’’nti.
ตตฺถ กาลยุตฺตนฺติ จาตุทฺทสีปญฺจทสีอฎฺฐมีปาฎิหาริยปกฺขสงฺขาเตน กาเลน ยุตฺตํ, ยถาวุตฺตกาเล วา ตุยฺหํ อนุยุญฺชนฺตสฺส ยุตฺตํ ปติรูปํ สกฺกุเณยฺยํ, น สพฺพกาลํ ปพฺพชฺชาติ อธิปฺปาโยฯ สพฺพเมตํ ญาณสฺส อปริปกฺกตฺตา ตสฺส กามานํ ทุปฺปหานตาย สมฺมาปฎิปตฺติยํ โยคฺยํ การาเปตุํ วทติ, น ปพฺพชฺชาฉนฺทํ นิวาเรตุํฯ ปพฺพชฺชาภิสงฺขาโรติ ปพฺพชิตุํ อารโมฺภ อุสฺสาโหฯ ปฎิปสฺสมฺภีติ อินฺทฺริยานํ อปริปกฺกตฺตา, สํเวคสฺส จ นาติติกฺขภาวโต วูปสมิฯ กิญฺจาปิ ปฎิปสฺสมฺภิ, เถเรน วุตฺตวิธิํ ปน อนุติฎฺฐโนฺต กาเลน กาลํ เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ปยิรุปาสโนฺต ธมฺมํ สุณาติฯ ตสฺส วุตฺตนเยเนว ทุติยํ ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ อุปฺปชฺชิ, เถรสฺส จ อาโรเจสิฯ ทุติยมฺปิ เถโร ปฎิกฺขิปิฯ ตติยวาเร ปน ญาณสฺส ปริปกฺกภาวํ ญตฺวา ‘‘อิทานิ นํ ปพฺพาเชตุํ กาโล’’ติ เถโร ปพฺพาเชสิ, ปพฺพชิตญฺจ ตํ ตีณิ สํวจฺฉรานิ อติกฺกมิตฺวา คณํ ปริเยสิตฺวา อุปสมฺปาเทสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ทุติยมฺปิ โข โสโณ…เป.… อุปสมฺปาเทสี’’ติฯ
Tattha kālayuttanti cātuddasīpañcadasīaṭṭhamīpāṭihāriyapakkhasaṅkhātena kālena yuttaṃ, yathāvuttakāle vā tuyhaṃ anuyuñjantassa yuttaṃ patirūpaṃ sakkuṇeyyaṃ, na sabbakālaṃ pabbajjāti adhippāyo. Sabbametaṃ ñāṇassa aparipakkattā tassa kāmānaṃ duppahānatāya sammāpaṭipattiyaṃ yogyaṃ kārāpetuṃ vadati, na pabbajjāchandaṃ nivāretuṃ. Pabbajjābhisaṅkhāroti pabbajituṃ ārambho ussāho. Paṭipassambhīti indriyānaṃ aparipakkattā, saṃvegassa ca nātitikkhabhāvato vūpasami. Kiñcāpi paṭipassambhi, therena vuttavidhiṃ pana anutiṭṭhanto kālena kālaṃ theraṃ upasaṅkamitvā payirupāsanto dhammaṃ suṇāti. Tassa vuttanayeneva dutiyaṃ pabbajjāya cittaṃ uppajji, therassa ca ārocesi. Dutiyampi thero paṭikkhipi. Tatiyavāre pana ñāṇassa paripakkabhāvaṃ ñatvā ‘‘idāni naṃ pabbājetuṃ kālo’’ti thero pabbājesi, pabbajitañca taṃ tīṇi saṃvaccharāni atikkamitvā gaṇaṃ pariyesitvā upasampādesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘dutiyampi kho soṇo…pe… upasampādesī’’ti.
ตตฺถ อปฺปภิกฺขุโกติ กติปยภิกฺขุโกฯ ตทา กิร ภิกฺขู เยภุเยฺยน มชฺฌิมเทเส เอว วสิํสุฯ ตสฺมา ตตฺถ กติปยา เอว อเหสุํ , เต จ เอกสฺมิํ นิคเม เอโก, เอกสฺมิํ เทฺวติ เอวํ วิสุํ วิสุํ วสิํสุฯ กิเจฺฉนาติ ทุเกฺขนฯ กสิเรนาติ อายาเสนฯ ตโต ตโตติ ตสฺมา ตสฺมา คามนิคมาทิโตฯ เถเรน หิ กติปเย ภิกฺขู อาเนตฺวา อเญฺญสุ อานียมาเนสุ ปุเพฺพ อานีตา เกนจิเทว กรณีเยน ปกฺกมิํสุ, กิญฺจิ กาลํ อาคเมตฺวา ปุน เตสุ อานียมาเนสุ อิตเร ปกฺกมิํสุฯ เอวํ ปุนปฺปุนํ อานยเนน สนฺนิปาโต จิเรเนว อโหสิ, เถโร จ ตทา เอกวิหารี อโหสิฯ ทสวคฺคํ ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวาติ ตทา ภควตา ปจฺจนฺตเทเสปิ ทสวเคฺคเนว สเงฺฆน อุปสมฺปทา อนุญฺญาตาฯ อิโตนิทานญฺหิ เถเรน ยาจิโต ปญฺจวเคฺคน สเงฺฆน ปจฺจนฺตเทเส อุปสมฺปทํ อนุชานิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ติณฺณํ วสฺสานํ…เป.… สนฺนิปาเตตฺวา’’ติฯ
Tattha appabhikkhukoti katipayabhikkhuko. Tadā kira bhikkhū yebhuyyena majjhimadese eva vasiṃsu. Tasmā tattha katipayā eva ahesuṃ , te ca ekasmiṃ nigame eko, ekasmiṃ dveti evaṃ visuṃ visuṃ vasiṃsu. Kicchenāti dukkhena. Kasirenāti āyāsena. Tato tatoti tasmā tasmā gāmanigamādito. Therena hi katipaye bhikkhū ānetvā aññesu ānīyamānesu pubbe ānītā kenacideva karaṇīyena pakkamiṃsu, kiñci kālaṃ āgametvā puna tesu ānīyamānesu itare pakkamiṃsu. Evaṃ punappunaṃ ānayanena sannipāto cireneva ahosi, thero ca tadā ekavihārī ahosi. Dasavaggaṃ bhikkhusaṅghaṃ sannipātetvāti tadā bhagavatā paccantadesepi dasavaggeneva saṅghena upasampadā anuññātā. Itonidānañhi therena yācito pañcavaggena saṅghena paccantadese upasampadaṃ anujāni. Tena vuttaṃ – ‘‘tiṇṇaṃ vassānaṃ…pe… sannipātetvā’’ti.
วสฺสํวุฎฺฐสฺสาติ อุปสมฺปชฺชิตฺวา ปฐมวสฺสํ อุปคนฺตฺวา วุสิตวโตฯ อีทิโส จ อีทิโส จาติ เอวรูโป จ เอวรูโป จ, เอวรูปาย นามกายรูปกายสมฺปตฺติยา สมนฺนาคโต, เอวรูปาย ธมฺมกายสมฺปตฺติยา สมนฺนาคโตติ สุโตเยว เม โส ภควาฯ น โข เม โส ภควา สมฺมุขา ทิโฎฺฐติ เอเตน ปุถุชฺชนสทฺธาย เอวํ อายสฺมา โสโณ ภควนฺตํ ทฎฺฐุกาโม อโหสิฯ อปรภาเค ปน สตฺถารา สทฺธิํ เอกคนฺธกุฎิยํ วสิตฺวา ปจฺจูสสมยํ อชฺฌิโฎฺฐ โสฬส อฎฺฐกวคฺคิกานิ สตฺถุ สมฺมุขา อฎฺฐิํ กตฺวา มนสิ กตฺวา สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวา อตฺถธมฺมปฺปฎิสํเวที หุตฺวา ภณโนฺต ธมฺมูปสญฺหิตปาโมชฺชาทิมุเขน สมาหิโต สรภญฺญปริโยสาเน วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา สงฺขาเร สมฺมสโนฺต อนุปุเพฺพน อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เอตทตฺถเมว หิสฺส ภควตา อตฺตนา สทฺธิํ เอกคนฺธกุฎิยํ วาโส อาณโตฺตติ วทนฺติฯ
Vassaṃvuṭṭhassāti upasampajjitvā paṭhamavassaṃ upagantvā vusitavato. Īdiso ca īdiso cāti evarūpo ca evarūpo ca, evarūpāya nāmakāyarūpakāyasampattiyā samannāgato, evarūpāya dhammakāyasampattiyā samannāgatoti sutoyeva me so bhagavā. Na kho me so bhagavā sammukhā diṭṭhoti etena puthujjanasaddhāya evaṃ āyasmā soṇo bhagavantaṃ daṭṭhukāmo ahosi. Aparabhāge pana satthārā saddhiṃ ekagandhakuṭiyaṃ vasitvā paccūsasamayaṃ ajjhiṭṭho soḷasa aṭṭhakavaggikāni satthu sammukhā aṭṭhiṃ katvā manasi katvā sabbaṃ cetaso samannāharitvā atthadhammappaṭisaṃvedī hutvā bhaṇanto dhammūpasañhitapāmojjādimukhena samāhito sarabhaññapariyosāne vipassanaṃ paṭṭhapetvā saṅkhāre sammasanto anupubbena arahattaṃ pāpuṇi. Etadatthameva hissa bhagavatā attanā saddhiṃ ekagandhakuṭiyaṃ vāso āṇattoti vadanti.
เกจิ ปนาหุ – ‘‘น โข เม โส ภควา สมฺมุขา ทิโฎฺฐ’’ติ อิทํ รูปกายทสฺสนเมว สนฺธาย วุตฺตนฺติฯ อายสฺมา หิ โสโณ ปพฺพชิตฺวาว เถรสฺส สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ฆเฎโนฺต วายมโนฺต อนุปสมฺปโนฺนว โสตาปโนฺน หุตฺวา อุปสมฺปชฺชิตฺวา ‘‘อุปาสกาปิ โสตาปนฺนา โหนฺติ, อหมฺปิ โสตาปโนฺน, กิเมตฺถ จิตฺต’’นฺติ อุปริมคฺคตฺถาย วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อโนฺตวเสฺสเยว ฉฬภิโญฺญ หุตฺวา วิสุทฺธิปวารณาย ปวาเรสิ ฯ อริยสจฺจทสฺสเนน หิ ภควโต ธมฺมกาโย ทิโฎฺฐ นาม โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Keci panāhu – ‘‘na kho me so bhagavā sammukhā diṭṭho’’ti idaṃ rūpakāyadassanameva sandhāya vuttanti. Āyasmā hi soṇo pabbajitvāva therassa santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā ghaṭento vāyamanto anupasampannova sotāpanno hutvā upasampajjitvā ‘‘upāsakāpi sotāpannā honti, ahampi sotāpanno, kimettha citta’’nti uparimaggatthāya vipassanaṃ vaḍḍhetvā antovasseyeva chaḷabhiñño hutvā visuddhipavāraṇāya pavāresi . Ariyasaccadassanena hi bhagavato dhammakāyo diṭṭho nāma hoti. Vuttañhetaṃ –
‘‘โย โข, วกฺกลิ, ธมฺมํ ปสฺสติ, โส มํ ปสฺสติฯ โย มํ ปสฺสติ, โส ธมฺมํ ปสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๘๗)ฯ
‘‘Yo kho, vakkali, dhammaṃ passati, so maṃ passati. Yo maṃ passati, so dhammaṃ passatī’’ti (saṃ. ni. 3.87).
ตสฺมาสฺส ธมฺมกายทสฺสนํ ปเคว สิทฺธํ, ปวาเรตฺวา ปน รูปกายํ ทฎฺฐุกาโม อโหสีติฯ
Tasmāssa dhammakāyadassanaṃ pageva siddhaṃ, pavāretvā pana rūpakāyaṃ daṭṭhukāmo ahosīti.
‘‘สเจ มํ อุปชฺฌาโย อนุชานาตี’’ติปิ ปาโฐฯ ‘‘ภเนฺต’’ติ ปน ลิขนฺติฯ ตถา ‘‘สาธุ สาธุ, อาวุโส โสณ, คจฺฉ ตฺวํ, อาวุโส โสณา’’ติปิ ปาโฐฯ ‘‘อาวุโส’’ติ ปน เกสุจิ โปตฺถเกสุ นตฺถิฯ ตถา ‘‘เอวมาวุโสติ โข อายสฺมา โสโณ’’ติปิ ปาโฐฯ อาวุโสวาโทเยว หิ อญฺญมญฺญํ ภิกฺขูนํ ภควโต ธรมานกาเล อาจิโณฺณฯ ภควนฺตํ ปาสาทิกนฺติอาทีนํ ปทานํ อโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ
‘‘Sace maṃ upajjhāyo anujānātī’’tipi pāṭho. ‘‘Bhante’’ti pana likhanti. Tathā ‘‘sādhu sādhu, āvuso soṇa, gaccha tvaṃ, āvuso soṇā’’tipi pāṭho. ‘‘Āvuso’’ti pana kesuci potthakesu natthi. Tathā ‘‘evamāvusoti kho āyasmā soṇo’’tipi pāṭho. Āvusovādoyeva hi aññamaññaṃ bhikkhūnaṃ bhagavato dharamānakāle āciṇṇo. Bhagavantaṃ pāsādikantiādīnaṃ padānaṃ attho heṭṭhā vuttoyeva.
กจฺจิ ภิกฺขุ ขมนียนฺติ ภิกฺขุ อิทํ ตุยฺหํ จตุจกฺกํ นวทฺวารํ สรีรยนฺตํ กจฺจิ ขมนียํ, กิํ สกฺกา ขมิตุํ สหิตุํ ปริหริตุํ, กิํ ทุกฺขภาโร นาภิภวติฯ กจฺจิ ยาปนียนฺติ กิํ ตํตํกิเจฺจสุ ยาเปตุํ คเมตุํ สกฺกา, น กญฺจิ อนฺตรายนฺติ ทเสฺสติฯ กจฺจิสิ อปฺปกิลมเถนาติ อนายาเสน อิมํ เอตฺตกํ อทฺธานํ กจฺจิ อาคโตสิฯ
Kacci bhikkhu khamanīyanti bhikkhu idaṃ tuyhaṃ catucakkaṃ navadvāraṃ sarīrayantaṃ kacci khamanīyaṃ, kiṃ sakkā khamituṃ sahituṃ pariharituṃ, kiṃ dukkhabhāro nābhibhavati. Kacci yāpanīyanti kiṃ taṃtaṃkiccesu yāpetuṃ gametuṃ sakkā, na kañci antarāyanti dasseti. Kaccisi appakilamathenāti anāyāsena imaṃ ettakaṃ addhānaṃ kacci āgatosi.
เอตทโหสีติ พุทฺธาจิณฺณํ อนุสฺสรนฺตสฺส อายสฺมโต อานนฺทสฺส เอตํ ‘‘ยสฺส โข มํ ภควา’’ติอาทินา อิทานิ วุจฺจมานํ จิเตฺต อาจิณฺณํ อโหสิฯ เอกวิหาเรติ เอกคนฺธกุฎิยํฯ คนฺธกุฎิ หิ อิธ วิหาโรติ อธิเปฺปตาฯ วตฺถุนฺติ วสิตุํฯ
Etadahosīti buddhāciṇṇaṃ anussarantassa āyasmato ānandassa etaṃ ‘‘yassa kho maṃ bhagavā’’tiādinā idāni vuccamānaṃ citte āciṇṇaṃ ahosi. Ekavihāreti ekagandhakuṭiyaṃ. Gandhakuṭi hi idha vihāroti adhippetā. Vatthunti vasituṃ.
นิสชฺชาย วีตินาเมตฺวาติ เอตฺถ ยสฺมา ภควา อายสฺมโต โสณสฺส สมาปตฺติสมาปชฺชเน ปฎิสนฺถารํ กโรโนฺต สาวกสาธารณา สพฺพา สมาปตฺติโย อนุโลมปฎิโลมํ สมาปชฺชโนฺต พหุเทว รตฺติํ…เป.… วิหารํ ปาวิสิ, ตสฺมา อายสฺมาปิ โสโณ ภควโต อธิปฺปายํ ญตฺวา ตทนุรูปํ สพฺพา ตา สมาปตฺติโย สมาปชฺชโนฺต ‘‘พหุเทว รตฺติํ…เป.… วิหารํ ปาวิสี’’ติ เกจิ วทนฺติฯ ปวิสิตฺวา จ ภควตา อนุญฺญาโต จีวรํ ติโรกรณียํ กตฺวาปิ ภควโต ปาทปเสฺส นิสชฺชาย วีตินาเมสิฯ อเชฺฌสีติ อาณาเปสิฯ ปฎิภาตุ ตํ ภิกฺขุ ธโมฺม ภาสิตุนฺติ ภิกฺขุ ตุยฺหํ ธโมฺม ภาสิตุํ อุปฎฺฐาตุ ญาณมุเข อาคจฺฉตุ, ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ ภณาหีติ อโตฺถฯ
Nisajjāya vītināmetvāti ettha yasmā bhagavā āyasmato soṇassa samāpattisamāpajjane paṭisanthāraṃ karonto sāvakasādhāraṇā sabbā samāpattiyo anulomapaṭilomaṃ samāpajjanto bahudeva rattiṃ…pe… vihāraṃ pāvisi, tasmā āyasmāpi soṇo bhagavato adhippāyaṃ ñatvā tadanurūpaṃ sabbā tā samāpattiyo samāpajjanto ‘‘bahudeva rattiṃ…pe… vihāraṃ pāvisī’’ti keci vadanti. Pavisitvā ca bhagavatā anuññāto cīvaraṃ tirokaraṇīyaṃ katvāpi bhagavato pādapasse nisajjāya vītināmesi. Ajjhesīti āṇāpesi. Paṭibhātu taṃ bhikkhu dhammo bhāsitunti bhikkhu tuyhaṃ dhammo bhāsituṃ upaṭṭhātu ñāṇamukhe āgacchatu, yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ bhaṇāhīti attho.
โสฬส อฎฺฐกวคฺคิกานีติ อฎฺฐกวคฺคภูตานิ กามสุตฺตาทีนิ โสฬส สุตฺตานิฯ สเรน อภณีติ สุตฺตุสฺสารณสเรน อภาสิ, สรภญฺญวเสน กเถสีติ อโตฺถฯ สรภญฺญปริโยสาเนติ อุสฺสารณาวสาเนฯ สุคฺคหิตานีติ สมฺมา อุคฺคหิตานิฯ สุมนสิกตานีติ สุฎฺฐุ มนสิ กตานิฯ เอกโจฺจ อุคฺคหณกาเล สมฺมา อุคฺคเหตฺวาปิ ปจฺฉา สชฺฌายาทิวเสน มนสิ กรณกาเล พฺยญฺชนานิ วา มิจฺฉา โรเปติ, ปทปจฺฉาภฎฺฐํ วา กโรติ, น เอวมยํฯ อิมินา ปน สมฺมเทว ยถุคฺคหิตํ มนสิ กตานิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สุมนสิกตานีติ สุฎฺฐุ มนสิ กตานี’’ติฯ สูปธาริตานีติ อตฺถโตปิ สุฎฺฐุ อุปธาริตานิฯ อเตฺถ หิ สุฎฺฎุ อุปธาริเต สกฺกา ปาฬิํ สมฺมา อุสฺสาเรตุํฯ กลฺยาณิยาสิ วาจาย สมนฺนาคโตติ สิถิลธนิตาทีนํ ยถาวิธานวจเนน ปริมณฺฑลปทพฺยญฺชนปริปุณฺณาย โปริยา วาจาย สมนฺนาคโต อาสิฯ วิสฺสฎฺฐายาติ วิมุตฺตายฯ เอเตนสฺส วิมุตฺตวาทิตํ ทเสฺสติฯ อเนลคฬายาติ เอลา วุจฺจติ โทโส, ตํ น ปคฺฆรตีติ อเนลคฬา, ตาย นิโทฺทสายาติ อโตฺถฯ อถ วา อเนลคฬายาติ อเนลาย จ อคฬาย จ นิโทฺทสาย อคฬิตปทพฺยญฺชนาย, อปริหีนปทพฺยญฺชนายาติ อโตฺถฯ ตถา หิ นํ ภควา ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ กลฺยาณวากฺกรณานํ ยทิทํ โสโณ กุฎิกโณฺณ’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๐๖) เอตทเคฺค ฐเปสิฯ อตฺถสฺส วิญฺญาปนิยาติ ยถาธิเปฺปตํ อตฺถํ วิญฺญาเปตุํ สมตฺถายฯ
Soḷasa aṭṭhakavaggikānīti aṭṭhakavaggabhūtāni kāmasuttādīni soḷasa suttāni. Sarena abhaṇīti suttussāraṇasarena abhāsi, sarabhaññavasena kathesīti attho. Sarabhaññapariyosāneti ussāraṇāvasāne. Suggahitānīti sammā uggahitāni. Sumanasikatānīti suṭṭhu manasi katāni. Ekacco uggahaṇakāle sammā uggahetvāpi pacchā sajjhāyādivasena manasi karaṇakāle byañjanāni vā micchā ropeti, padapacchābhaṭṭhaṃ vā karoti, na evamayaṃ. Iminā pana sammadeva yathuggahitaṃ manasi katāni. Tena vuttaṃ – ‘‘sumanasikatānīti suṭṭhu manasi katānī’’ti. Sūpadhāritānīti atthatopi suṭṭhu upadhāritāni. Atthe hi suṭṭu upadhārite sakkā pāḷiṃ sammā ussāretuṃ. Kalyāṇiyāsi vācāya samannāgatoti sithiladhanitādīnaṃ yathāvidhānavacanena parimaṇḍalapadabyañjanaparipuṇṇāya poriyā vācāya samannāgato āsi. Vissaṭṭhāyāti vimuttāya. Etenassa vimuttavāditaṃ dasseti. Anelagaḷāyāti elā vuccati doso, taṃ na paggharatīti anelagaḷā, tāya niddosāyāti attho. Atha vā anelagaḷāyāti anelāya ca agaḷāya ca niddosāya agaḷitapadabyañjanāya, aparihīnapadabyañjanāyāti attho. Tathā hi naṃ bhagavā ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ kalyāṇavākkaraṇānaṃ yadidaṃ soṇo kuṭikaṇṇo’’ti (a. ni. 1.206) etadagge ṭhapesi. Atthassa viññāpaniyāti yathādhippetaṃ atthaṃ viññāpetuṃ samatthāya.
กติวโสฺสติ โส กิร มชฺฌิมวยสฺส ตติยโกฎฺฐาเส ฐิโต อากปฺปสมฺปโนฺน จ ปเรสํ จิรตรปพฺพชิโต วิย ขายติฯ ตํ สนฺธาย ภควา ปุจฺฉตีติ เกจิ, ตํ อการณํฯ เอวํ สเนฺต สมาธิสุขํ อนุภวิตุํ ยุโตฺต, เอตฺตกํ กาลํ กสฺมา ปมาทมาปโนฺนติ ปุน อนุยุญฺชิตุํ สตฺถา ‘‘กติวโสฺสสี’’ติ ตํ ปุจฺฉติฯ เตเนวาห – ‘‘กิสฺส ปน ตฺวํ ภิกฺขุ เอวํ จิรํ อกาสี’’ติฯ
Kativassoti so kira majjhimavayassa tatiyakoṭṭhāse ṭhito ākappasampanno ca paresaṃ ciratarapabbajito viya khāyati. Taṃ sandhāya bhagavā pucchatīti keci, taṃ akāraṇaṃ. Evaṃ sante samādhisukhaṃ anubhavituṃ yutto, ettakaṃ kālaṃ kasmā pamādamāpannoti puna anuyuñjituṃ satthā ‘‘kativassosī’’ti taṃ pucchati. Tenevāha – ‘‘kissa pana tvaṃ bhikkhu evaṃ ciraṃ akāsī’’ti.
ตตฺถ กิสฺสาติ กิํ การณาฯ เอวํ จิรํ อกาสีติ เอวํ จิรายิ, เกน การเณน เอวํ จิรกาลํ ปพฺพชฺชํ อนุปคนฺตฺวา อคารมเชฺฌ วสีติ อโตฺถฯ จิรํ ทิโฎฺฐ เมติ จิเรน จิรกาเลน มยา ทิโฎฺฐฯ กาเมสูติ กิเลสกาเมสุ จ วตฺถุกาเมสุ จฯ อาทีนโวติ โทโสฯ อปิ จาติ กาเมสุ อาทีนเว เกนจิ ปกาเรน ทิเฎฺฐปิ น ตาวาหํ ฆราวาสโต นิกฺขมิตุํ อสกฺขิํฯ กสฺมา? สมฺพาโธ ฆราวาโส อุจฺจาวเจหิ กิจฺจกรณีเยหิ สมุปพฺยูโฬฺห อคาริยภาโวฯ เตเนวาห – ‘‘พหุกิโจฺจ พหุกรณีโย’’ติฯ
Tattha kissāti kiṃ kāraṇā. Evaṃ ciraṃ akāsīti evaṃ cirāyi, kena kāraṇena evaṃ cirakālaṃ pabbajjaṃ anupagantvā agāramajjhe vasīti attho. Ciraṃ diṭṭho meti cirena cirakālena mayā diṭṭho. Kāmesūti kilesakāmesu ca vatthukāmesu ca. Ādīnavoti doso. Api cāti kāmesu ādīnave kenaci pakārena diṭṭhepi na tāvāhaṃ gharāvāsato nikkhamituṃ asakkhiṃ. Kasmā? Sambādho gharāvāso uccāvacehi kiccakaraṇīyehi samupabyūḷho agāriyabhāvo. Tenevāha – ‘‘bahukicco bahukaraṇīyo’’ti.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ กาเมสุ ยถาภูตํ อาทีนวทสฺสิโน จิตฺตํ จิรายิตฺวาปิ น ปติฎฺฐาติ, อญฺญทตฺถุ ปทุมปลาเส อุทกพินฺทุ วิย วินิวตฺตติเยวาติ เอตมตฺถํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ ปวตฺติํ นิวตฺติญฺจ สมฺมเทว ชานโนฺต ปวตฺติยํ ตนฺนิมิเตฺต จ น กทาจิปิ รมตีติ อิทมตฺถทีปกํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Etamatthaṃ viditvāti kāmesu yathābhūtaṃ ādīnavadassino cittaṃ cirāyitvāpi na patiṭṭhāti, aññadatthu padumapalāse udakabindu viya vinivattatiyevāti etamatthaṃ sabbākārato viditvā. Imaṃ udānanti pavattiṃ nivattiñca sammadeva jānanto pavattiyaṃ tannimitte ca na kadācipi ramatīti idamatthadīpakaṃ imaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺถ ทิสฺวา อาทีนวํ โลเกติ สพฺพสฺมิํ สงฺขารโลเก ‘‘อนิโจฺจ ทุโกฺข วิปริณามธโมฺม’’ติอาทินา อาทีนวํ โทสํ ปญฺญาย ปสฺสิตฺวาฯ เอเตน วิปสฺสนาวาโร กถิโต ฯ ญตฺวา ธมฺมํ นิรุปธินฺติ สพฺพูปธิปฎินิสฺสคฺคตฺตา นิรุปธิํ นิพฺพานธมฺมํ ยถาภูตํ ญตฺวา นิสฺสรณวิเวกาสงฺขตามตสภาวโต มคฺคญาเณน ปฎิวิชฺฌิตฺวาฯ ‘‘ทิสฺวา ญตฺวา’’ติ อิเมสํ ปทานํ ‘‘สปฺปิํ ปิวิตฺวา พลํ โหติ, สีหํ ทิสฺวา ภยํ โหติ, ปญฺญาย ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺตี’’ติอาทีสุ (ปุ. ป. ๒๐๘; อ. นิ. ๙.๔๒-๔๓) วิย เหตุอตฺถตา ทฎฺฐพฺพาฯ อริโย น รมตี ปาเปติ กิเลเสหิ อารกตฺตา อริโย สปฺปุริโส อณุมเตฺตปิ ปาเป น รมติฯ กสฺมา? ปาเป น รมตี สุจีติ สุวิสุทฺธกายสมาจาราทิตาย วิสุทฺธปุคฺคโล ราชหํโส วิย อุกฺการฎฺฐาเน ปาเป สํกิลิฎฺฐธเมฺม น รมติ นาภินนฺทติฯ ‘‘ปาโป น รมตี สุจิ’’นฺติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – ปาโป ปาปปุคฺคโล สุจิํ อนวชฺชํ โวทานธมฺมํ น รมติ, อญฺญทตฺถุ คามสูกราทโย วิย อุกฺการฎฺฐานํ อสุจิํ สํกิเลสธมฺมํเยว รมตีติ ปฎิปกฺขโต เทสนํ ปริวเตฺตติฯ
Tattha disvā ādīnavaṃ loketi sabbasmiṃ saṅkhāraloke ‘‘anicco dukkho vipariṇāmadhammo’’tiādinā ādīnavaṃ dosaṃ paññāya passitvā. Etena vipassanāvāro kathito . Ñatvā dhammaṃ nirupadhinti sabbūpadhipaṭinissaggattā nirupadhiṃ nibbānadhammaṃ yathābhūtaṃ ñatvā nissaraṇavivekāsaṅkhatāmatasabhāvato maggañāṇena paṭivijjhitvā. ‘‘Disvā ñatvā’’ti imesaṃ padānaṃ ‘‘sappiṃ pivitvā balaṃ hoti, sīhaṃ disvā bhayaṃ hoti, paññāya disvā āsavā parikkhīṇā hontī’’tiādīsu (pu. pa. 208; a. ni. 9.42-43) viya hetuatthatā daṭṭhabbā. Ariyo na ramatī pāpeti kilesehi ārakattā ariyo sappuriso aṇumattepi pāpe na ramati. Kasmā? Pāpe na ramatī sucīti suvisuddhakāyasamācārāditāya visuddhapuggalo rājahaṃso viya ukkāraṭṭhāne pāpe saṃkiliṭṭhadhamme na ramati nābhinandati. ‘‘Pāpo na ramatī suci’’ntipi pāṭho. Tassattho – pāpo pāpapuggalo suciṃ anavajjaṃ vodānadhammaṃ na ramati, aññadatthu gāmasūkarādayo viya ukkāraṭṭhānaṃ asuciṃ saṃkilesadhammaṃyeva ramatīti paṭipakkhato desanaṃ parivatteti.
เอวํ ภควตา อุทาเน อุทานิเต อายสฺมา โสโณ อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส วจเนน ปจฺจนฺตเทเส ปญฺจวเคฺคน อุปสมฺปทาทิปญฺจวตฺถูนิ ยาจิฯ ภควาปิ ตานิ อนุชานีติ ตํ สพฺพํ ขนฺธเก (มหาว. ๒๔๒ อาทโย) อาคตนเยน เวทิตพฺพํฯ
Evaṃ bhagavatā udāne udānite āyasmā soṇo uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ vanditvā attano upajjhāyassa vacanena paccantadese pañcavaggena upasampadādipañcavatthūni yāci. Bhagavāpi tāni anujānīti taṃ sabbaṃ khandhake (mahāva. 242 ādayo) āgatanayena veditabbaṃ.
ฉฎฺฐสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Chaṭṭhasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๖. โสณสุตฺตํ • 6. Soṇasuttaṃ