Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อปทาน-อฎฺฐกถา • Apadāna-aṭṭhakathā |
๙. โสปากเตฺถรอปทานวณฺณนา
9. Sopākattheraapadānavaṇṇanā
ปพฺภารํ โสธยนฺตสฺสาติอาทิกํ อายสฺมโต โสปากเตฺถรสฺส อปทานํฯ อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยานิ ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต สิทฺธตฺถสฺส ภควโต กาเล อญฺญตรสฺส กุฎุมฺพิกสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ เอกทิวสํ สตฺถารํ ทิสฺวา พีชปูรผลานิ สตฺถุ อุปเนสิ, ปริภุญฺชิ ภควา ตสฺสานุกมฺปํ อุปาทายฯ โส ภิกฺขุ สตฺถริ สเงฺฆ จ อภิปฺปสโนฺน สลากภตฺตํ ปฎฺฐเปตฺวา สงฺฆุเทฺทสวเสน ติณฺณํ ภิกฺขูนํ ยาวตายุกํ ขีรภตฺตํ อทาสิฯ โส เตหิ ปุเญฺญหิ อปราปรํ เทวมนุเสฺสสุ สมฺปตฺติโย อนุภวโนฺต เอกทา มนุสฺสโยนิยํ นิพฺพโตฺต เอกสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส ขีรภตฺตํ อทาสิฯ
Pabbhāraṃ sodhayantassātiādikaṃ āyasmato sopākattherassa apadānaṃ. Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayāni puññāni upacinanto siddhatthassa bhagavato kāle aññatarassa kuṭumbikassa putto hutvā nibbatti. Ekadivasaṃ satthāraṃ disvā bījapūraphalāni satthu upanesi, paribhuñji bhagavā tassānukampaṃ upādāya. So bhikkhu satthari saṅghe ca abhippasanno salākabhattaṃ paṭṭhapetvā saṅghuddesavasena tiṇṇaṃ bhikkhūnaṃ yāvatāyukaṃ khīrabhattaṃ adāsi. So tehi puññehi aparāparaṃ devamanussesu sampattiyo anubhavanto ekadā manussayoniyaṃ nibbatto ekassa paccekabuddhassa khīrabhattaṃ adāsi.
เอวํ ตตฺถ ตตฺถ ปุญฺญานิ กตฺวา สุคตีสุเยว ปริพฺภมโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ปุริมกมฺมนิสฺสเนฺทน สาวตฺถิยํ อญฺญตราย ทุคฺคติตฺถิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ สา ตํ ทสมาเส กุจฺฉินา ปริหริตฺวา ปริปเกฺก คเพฺภ วิชายนกาเล วิชายิตุํ อสโกฺกนฺตี มุจฺฉํ อาปชฺชิตฺวา พหุเวลํ มตา วิย นิปชฺชิฯ ญาตกา ‘‘มตา’’ติ สญฺญาย สุสานํ เนตฺวา จิตกํ อาโรเปตฺวา เทวตานุภาเวน วาตวุฎฺฐิยา อุฎฺฐิตาย อคฺคิํ อทตฺวา ปกฺกมิํสุฯ ทารโก ปจฺฉิมภวิกตฺตา เทวตานุภาเวเนว อโรโค หุตฺวา มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมิฯ มาตา ปน กาลมกาสิฯ เทวตา มนุสฺสรูเปนุปคมฺม ตํ คเหตฺวา สุสานโคปกสฺส เคเห ฐเปตฺวา กติปาหํ กาลํ ปติรูเปน อาหาเรน โปเสสิฯ ตโต ปรํ สุสานโคปโก อตฺตโน ปุตฺตํ กตฺวา วเฑฺฒสิฯ โส ตถา วเฑฺฒโนฺต ตสฺส ปุเตฺตน สุปฺปิเยน นาม ทารเกน สทฺธิํ กีฬโนฺต วิจริฯ ตสฺส สุสาเน ชาตสํวฑฺฒภาวโต โสปาโกติ สมญฺญา อโหสิฯ
Evaṃ tattha tattha puññāni katvā sugatīsuyeva paribbhamanto imasmiṃ buddhuppāde purimakammanissandena sāvatthiyaṃ aññatarāya duggatitthiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Sā taṃ dasamāse kucchinā pariharitvā paripakke gabbhe vijāyanakāle vijāyituṃ asakkontī mucchaṃ āpajjitvā bahuvelaṃ matā viya nipajji. Ñātakā ‘‘matā’’ti saññāya susānaṃ netvā citakaṃ āropetvā devatānubhāvena vātavuṭṭhiyā uṭṭhitāya aggiṃ adatvā pakkamiṃsu. Dārako pacchimabhavikattā devatānubhāveneva arogo hutvā mātukucchito nikkhami. Mātā pana kālamakāsi. Devatā manussarūpenupagamma taṃ gahetvā susānagopakassa gehe ṭhapetvā katipāhaṃ kālaṃ patirūpena āhārena posesi. Tato paraṃ susānagopako attano puttaṃ katvā vaḍḍhesi. So tathā vaḍḍhento tassa puttena suppiyena nāma dārakena saddhiṃ kīḷanto vicari. Tassa susāne jātasaṃvaḍḍhabhāvato sopākoti samaññā ahosi.
อเถกทิวสํ สตฺตวสฺสิกํ ตํ ภควา ปจฺจูสเวลายํ ญาณชาลํ ปตฺถริตฺวา เวเนยฺยพนฺธเว โอโลเกโนฺต ญาณชาลสฺส อโนฺตคตํ ทิสฺวา สุสานฎฺฐานํ อคมาสิฯ ทารโก ปุพฺพเหตุนา โจทิยมาโน ปสนฺนมานโส สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ สตฺถา ตสฺส ธมฺมํ กเถสิฯ โส ธมฺมํ สุตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา ปิตรา ‘‘อนุญฺญาโตสี’’ติ วุโตฺต ปิตรํ สตฺถุ สนฺติกํ อาเนสิฯ ตสฺส ปิตา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ‘‘อิมํ ทารกํ ปพฺพาเชถ, ภเนฺต’’ติ อนุชานิ, ตํ ปพฺพาเชตฺวา ภควา เมตฺตาภาวนาย นิโยเชสิฯ โส เมตฺตากมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา สุสาเน วิหรโนฺต นจิรเสฺสว เมตฺตาฌานํ ปาทกํ กตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ สจฺฉากาสิฯ อรหา หุตฺวาปิ อเญฺญสํ โสสานิกภิกฺขูนํ เมตฺตาภาวนาวิธิํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยถาปิ เอกปุตฺตสฺมิ’’นฺติ (เถรคา. ๓๓) คาถํ อภาสิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา เอกปุตฺตเก ปิเย มนาเป มาตา ปิตา จ กุสลี เอกนฺตหิเตสี ภเวยฺย, เอวํ ปุรตฺถิมาทิเภทาสุ สพฺพาสุ ทิสาสุ กามภวาทิเภเทสุ วา สเพฺพสุ ภเวสุ ทหราทิเภทาสุ สพฺพาสุ อวตฺถาสุปิ ฐิเตสุ สเพฺพสุ สเตฺตสุ เอกนฺตหิเตสิตาย กุสลี ภเวยฺย ‘‘มิโตฺต, อุทาสิโน, ปจฺจตฺถิโก’’ติ สีมํ อกตฺวา สีมาย สเมฺภทวเสน สพฺพตฺถ เอกรสํ เมตฺตํ ภาเวยฺยาติ อิมํ ปน คาถํ วตฺวา ‘‘สเจ ตุเมฺห อายสฺมโนฺต เอวํ เมตฺตํ ภาเวยฺยาถ, เย เต ภควตา ‘สุขํ สุปตี’ติอาทินา (อ. นิ. ๑๑.๑๕; ปริ. ๓๓๑; มิ. ป. ๔.๔.๖) เอกาทส เมตฺตานิสํสา จ วุตฺตา, เอกํเสน เตสํ ภาคิโน ภวถา’’ติ โอวาทํ อทาสิฯ
Athekadivasaṃ sattavassikaṃ taṃ bhagavā paccūsavelāyaṃ ñāṇajālaṃ pattharitvā veneyyabandhave olokento ñāṇajālassa antogataṃ disvā susānaṭṭhānaṃ agamāsi. Dārako pubbahetunā codiyamāno pasannamānaso satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā aṭṭhāsi. Satthā tassa dhammaṃ kathesi. So dhammaṃ sutvā pabbajjaṃ yācitvā pitarā ‘‘anuññātosī’’ti vutto pitaraṃ satthu santikaṃ ānesi. Tassa pitā satthāraṃ vanditvā ‘‘imaṃ dārakaṃ pabbājetha, bhante’’ti anujāni, taṃ pabbājetvā bhagavā mettābhāvanāya niyojesi. So mettākammaṭṭhānaṃ gahetvā susāne viharanto nacirasseva mettājhānaṃ pādakaṃ katvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ sacchākāsi. Arahā hutvāpi aññesaṃ sosānikabhikkhūnaṃ mettābhāvanāvidhiṃ dassento ‘‘yathāpi ekaputtasmi’’nti (theragā. 33) gāthaṃ abhāsi. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā ekaputtake piye manāpe mātā pitā ca kusalī ekantahitesī bhaveyya, evaṃ puratthimādibhedāsu sabbāsu disāsu kāmabhavādibhedesu vā sabbesu bhavesu daharādibhedāsu sabbāsu avatthāsupi ṭhitesu sabbesu sattesu ekantahitesitāya kusalī bhaveyya ‘‘mitto, udāsino, paccatthiko’’ti sīmaṃ akatvā sīmāya sambhedavasena sabbattha ekarasaṃ mettaṃ bhāveyyāti imaṃ pana gāthaṃ vatvā ‘‘sace tumhe āyasmanto evaṃ mettaṃ bhāveyyātha, ye te bhagavatā ‘sukhaṃ supatī’tiādinā (a. ni. 11.15; pari. 331; mi. pa. 4.4.6) ekādasa mettānisaṃsā ca vuttā, ekaṃsena tesaṃ bhāgino bhavathā’’ti ovādaṃ adāsi.
๑๑๒. เอวํ โส ปตฺตผลาธิคโม อตฺตโน กตปุญฺญํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา สญฺชาตโสมนโสฺส ปุพฺพจริตาปทานํ ทเสฺสโนฺต ปพฺภารํ โสธยนฺตสฺสาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปพฺภารนฺติ สิลาปพฺพตสฺส วิเวกฎฺฐานํ, ตํ ปพฺพชิตานุรูปตฺตา อิฎฺฐกปาการํ กตฺวา ทฺวารกวาฎํ โยเชตฺวา ภิกฺขูนํ วสนตฺถาย อทาสิ, ปกาเรน ภโร ปเตฺถตโพฺพติ ปพฺภาโร, ตํ โสธยนฺตสฺส มม สนฺติกํ สิทฺธโตฺถ นาม ภควา อาคจฺฉิ ปาปุณิฯ
112. Evaṃ so pattaphalādhigamo attano katapuññaṃ paccavekkhitvā sañjātasomanasso pubbacaritāpadānaṃ dassento pabbhāraṃ sodhayantassātiādimāha. Tattha pabbhāranti silāpabbatassa vivekaṭṭhānaṃ, taṃ pabbajitānurūpattā iṭṭhakapākāraṃ katvā dvārakavāṭaṃ yojetvā bhikkhūnaṃ vasanatthāya adāsi, pakārena bharo patthetabboti pabbhāro, taṃ sodhayantassa mama santikaṃ siddhattho nāma bhagavā āgacchi pāpuṇi.
๑๑๓. พุทฺธํ อุปคตํ ทิสฺวาติ เอวํ มม สนฺติกํ อาคตํ ทิสฺวา ตาทิโน อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ อกมฺปิยสภาวตฺตา ตาทิคุณยุตฺตสฺส โลกเชฎฺฐสฺส พุทฺธสฺส สนฺถรํ ติณปณฺณาทิสนฺถรํ กฎฺฐตฺถรํ ปญฺญาเปตฺวา นิฎฺฐาเปตฺวา ปุปฺผาสนํ ปุปฺผมยํ อาสนํ อหํ อทาสิํฯ
113.Buddhaṃ upagataṃ disvāti evaṃ mama santikaṃ āgataṃ disvā tādino iṭṭhāniṭṭhesu akampiyasabhāvattā tādiguṇayuttassa lokajeṭṭhassa buddhassa santharaṃ tiṇapaṇṇādisantharaṃ kaṭṭhattharaṃ paññāpetvā niṭṭhāpetvā pupphāsanaṃ pupphamayaṃ āsanaṃ ahaṃ adāsiṃ.
๑๑๔. ปุปฺผาสเน นิสีทิตฺวาติ ตสฺมิํ ปญฺญเตฺต ปุปฺผาสเน นิสีทิตฺวา โลกนายโก สิทฺธโตฺถ ภควาฯ มมญฺจ คติมญฺญายาติ มยฺหํ คติํ อายติํ อุปฺปตฺติฎฺฐานํ อญฺญาย ชานิตฺวา อนิจฺจตํ อนิจฺจภาวํ อุทาหริ กเถสิฯ
114.Pupphāsanenisīditvāti tasmiṃ paññatte pupphāsane nisīditvā lokanāyako siddhattho bhagavā. Mamañca gatimaññāyāti mayhaṃ gatiṃ āyatiṃ uppattiṭṭhānaṃ aññāya jānitvā aniccataṃ aniccabhāvaṃ udāhari kathesi.
๑๑๕. อนิจฺจา วต สงฺขาราติ วต เอกเนฺตน สงฺขารา ปจฺจเยหิ สเมจฺจ สมาคนฺตฺวา กรียมานา สเพฺพ สปฺปจฺจยธมฺมา หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจาฯ อุปฺปาทวยธมฺมิโนติ อุปฺปชฺชิตฺวา วินสฺสนสภาวา อุปฺปชฺชิตฺวา ปาตุภวิตฺวา เอเต สงฺขารา นิรุชฺฌนฺติ วินสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ เตสํ วูปสโม สุโขติ เตสํ สงฺขารานํ วิเสเสน อุปสโม สุโข, เตสํ วูปสมกรํ นิพฺพานเมว เอกนฺตสุขนฺติ อโตฺถฯ
115.Aniccā vata saṅkhārāti vata ekantena saṅkhārā paccayehi samecca samāgantvā karīyamānā sabbe sappaccayadhammā hutvā abhāvaṭṭhena aniccā. Uppādavayadhamminoti uppajjitvā vinassanasabhāvā uppajjitvā pātubhavitvā ete saṅkhārā nirujjhanti vinassantīti attho. Tesaṃ vūpasamo sukhoti tesaṃ saṅkhārānaṃ visesena upasamo sukho, tesaṃ vūpasamakaraṃ nibbānameva ekantasukhanti attho.
๑๑๖. อิทํ วตฺวาน สพฺพญฺญูติ สพฺพธมฺมชานนโก ภควา โลกานํ เชโฎฺฐ วุโฑฺฒ นรานํ อาสโภ ปธาโน วีโร อิทํ อนิจฺจปฎิสํยุตฺตํ ธมฺมเทสนํ วตฺวาน กเถตฺวา อมฺพเร อากาเส หํสราชา อิว นภํ อากาสํ อพฺภุคฺคมีติ สมฺพโนฺธฯ
116.Idaṃ vatvāna sabbaññūti sabbadhammajānanako bhagavā lokānaṃ jeṭṭho vuḍḍho narānaṃ āsabho padhāno vīro idaṃ aniccapaṭisaṃyuttaṃ dhammadesanaṃ vatvāna kathetvā ambare ākāse haṃsarājā iva nabhaṃ ākāsaṃ abbhuggamīti sambandho.
๑๑๗. สกํ ทิฎฺฐิํ อตฺตโน ลทฺธิํ ขนฺติํ รุจิํ อชฺฌาสยํ ชหิตฺวาน ปหายฯ ภาวยานิจฺจสญฺญหนฺติ อนิเจฺจ อนิจฺจนฺติ ปวตฺตสญฺญํ อหํ ภาวยิํ วเฑฺฒสิํ มนสิ อกาสิํฯ ตตฺถ กาลํ กโต อหนฺติ ตตฺถ ติสฺสํ ชาติยํ ตโต ชาติโต อหํ กาลํ กโต มโตฯ
117.Sakaṃ diṭṭhiṃ attano laddhiṃ khantiṃ ruciṃ ajjhāsayaṃ jahitvāna pahāya. Bhāvayāniccasaññahanti anicce aniccanti pavattasaññaṃ ahaṃ bhāvayiṃ vaḍḍhesiṃ manasi akāsiṃ. Tattha kālaṃ kato ahanti tattha tissaṃ jātiyaṃ tato jātito ahaṃ kālaṃ kato mato.
๑๑๘. เทฺว สมฺปตฺตี อนุโภตฺวาติ มนุสฺสสมฺปตฺติทิพฺพสมฺปตฺติสงฺขาตา เทฺว สมฺปตฺติโย อนุภวิตฺวาฯ สุกฺกมูเลน โจทิโตติ ปุราณกุสลมูเลน, มูลภูเตน กุสเลน วา โจทิโต สโญฺจทิโตฯ ปจฺฉิเม ภเว สมฺปเตฺตติ ปริโยสาเน ภเว สมฺปเตฺต ปาปุณิเตฯ สปากโยนุปาคมินฺติ สกํ ปจิตภตฺตํ สปากํ โยนิํ อุปาคมิํฯ ยสฺส กุลสฺส อตฺตโน ปจิตภตฺตํ อเญฺญหิ อภุญฺชนียํ, ตสฺมิํ จณฺฑาลกุเล นิพฺพโตฺตสฺมีติ อโตฺถฯ อถ วา สา วุจฺจติ สุนโข, สุนโขจฺฉิฎฺฐภตฺตภุญฺชนกจณฺฑาลกุเล ชาโตติ อโตฺถฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ
118.Dvesampattī anubhotvāti manussasampattidibbasampattisaṅkhātā dve sampattiyo anubhavitvā. Sukkamūlena coditoti purāṇakusalamūlena, mūlabhūtena kusalena vā codito sañcodito. Pacchime bhave sampatteti pariyosāne bhave sampatte pāpuṇite. Sapākayonupāgaminti sakaṃ pacitabhattaṃ sapākaṃ yoniṃ upāgamiṃ. Yassa kulassa attano pacitabhattaṃ aññehi abhuñjanīyaṃ, tasmiṃ caṇḍālakule nibbattosmīti attho. Atha vā sā vuccati sunakho, sunakhocchiṭṭhabhattabhuñjanakacaṇḍālakule jātoti attho. Sesaṃ uttānatthamevāti.
โสปากเตฺถรอปทานวณฺณนา สมตฺตาฯ
Sopākattheraapadānavaṇṇanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อปทานปาฬิ • Apadānapāḷi / ๙. โสปากเตฺถรอปทานํ • 9. Sopākattheraapadānaṃ