Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๓. สุภาสิตสุตฺตวณฺณนา
3. Subhāsitasuttavaṇṇanā
เอวํ เม สุตนฺติ สุภาสิตสุตฺตํฯ อตฺตชฺฌาสยโต จสฺส อุปฺปตฺติฯ ภควา หิ สุภาสิตปฺปิโย, โส อตฺตโน สุภาสิตสมุทาจารปฺปกาสเนน สตฺตานํ ทุพฺภาสิตสมุทาจารํ ปฎิเสเธโนฺต อิมํ สุตฺตมภาสิฯ ตตฺถ เอวํ เม สุตนฺติอาทิ สงฺคีติการวจนํฯ ตตฺถ ตตฺร โข ภควา…เป.… ภทเนฺตติ เต ภิกฺขูติ เอตํ อปุพฺพํ, เสสํ วุตฺตนยเมวฯ ตสฺมา อปุพฺพปทวณฺณนตฺถมิทํ วุจฺจติ – ตตฺราติ เทสกาลปริทีปนํฯ ตญฺหิ ยํ สมยํ วิหรติ, ตตฺร สมเย, ยสฺมิญฺจ อาราเม วิหรติ, ตตฺร อาราเมติ ทีเปติฯ ภาสิตพฺพยุเตฺต วา เทสกาเล ทีเปติฯ น หิ ภควา อยุเตฺต เทเส กาเล วา ธมฺมํ ภาสติฯ ‘‘อกาโล โข, ตาว, พาหิยา’’ติอาทิ (อุทา. ๑๐) เจตฺถ สาธกํฯ โขติ ปทปูรณมเตฺต อวธารณาทิกาลเตฺถ วา นิปาโตฯ ภควาติ โลกครุปริทีปนํฯ ภิกฺขูติ กถาสวนยุตฺตปุคฺคลปริทีปนํฯ อามเนฺตสีติ อาลปิ อภาสิ สโมฺพเธสิฯ
Evaṃme sutanti subhāsitasuttaṃ. Attajjhāsayato cassa uppatti. Bhagavā hi subhāsitappiyo, so attano subhāsitasamudācārappakāsanena sattānaṃ dubbhāsitasamudācāraṃ paṭisedhento imaṃ suttamabhāsi. Tattha evaṃ me sutantiādi saṅgītikāravacanaṃ. Tattha tatra kho bhagavā…pe… bhadanteti te bhikkhūti etaṃ apubbaṃ, sesaṃ vuttanayameva. Tasmā apubbapadavaṇṇanatthamidaṃ vuccati – tatrāti desakālaparidīpanaṃ. Tañhi yaṃ samayaṃ viharati, tatra samaye, yasmiñca ārāme viharati, tatra ārāmeti dīpeti. Bhāsitabbayutte vā desakāle dīpeti. Na hi bhagavā ayutte dese kāle vā dhammaṃ bhāsati. ‘‘Akālo kho, tāva, bāhiyā’’tiādi (udā. 10) cettha sādhakaṃ. Khoti padapūraṇamatte avadhāraṇādikālatthe vā nipāto. Bhagavāti lokagaruparidīpanaṃ. Bhikkhūti kathāsavanayuttapuggalaparidīpanaṃ. Āmantesīti ālapi abhāsi sambodhesi.
ภิกฺขโวติ อามนฺตนาการปริทีปนํฯ ตญฺจ ภิกฺขนสีลตาทิคุณโยคสิทฺธตฺตา วุตฺตํฯ เตน เนสํ หีนาธิกชนเสวิตํ วุตฺติํ ปกาเสโนฺต อุทฺธตทีนภาวนิคฺคหํ กโรติฯ ‘‘ภิกฺขโว’’ติ อิมินา จ กรุณาวิปฺผารโสมฺมหทยนยนนิปาตปุพฺพงฺคเมน วจเนน เต อตฺตโน มุขาภิมุเข กริตฺวา เตเนว กเถตุกมฺยตาทีปเกน วจเนน เตสํ โสตุกมฺยตํ ชเนติ, เตเนว จ สโมฺพธนเตฺถน วจเนน สาธุกสวนมนสิกาเรปิ เต นิโยเชติฯ สาธุกสวนมนสิการายตฺตา หิ สาสนสมฺปตฺติฯ อปเรสุปิ เทวมนุเสฺสสุ วิชฺชมาเนสุ กสฺมา ภิกฺขู เอว อามเนฺตสีติ เจ? เชฎฺฐเสฎฺฐาสนฺนสทาสนฺนิหิตภาวโตฯ สพฺพปริสสาธารณา หิ อยํ ธมฺมเทสนา, น ปาฎิปุคฺคลิกาฯ ปริสาย จ เชฎฺฐา ภิกฺขู ปฐมุปฺปนฺนตฺตา, เสฎฺฐา อนคาริยภาวํ อาทิํ กตฺวา สตฺถุ จริยานุวิธายกตฺตา สกลสาสนปฎิคฺคาหกตฺตา จฯ อาสนฺนา ตตฺถ นิสิเนฺนสุ สตฺถุ สนฺติกตฺตา, สทา สนฺนิหิตา สตฺถุ สนฺติกาวจรตฺตาฯ เตน ภควา สพฺพปริสสาธารณํ ธมฺมํ เทเสโนฺต ภิกฺขู เอว อามเนฺตสิฯ อปิจ ภาชนํ เต อิมาย กถาย ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปตฺติสพฺภาวโตติปิ เต เอว อามเนฺตสิฯ ภทเนฺตติ คารวาธิวจนเมตํฯ เต ภิกฺขูติ เย ภควา อามเนฺตสิ, เต เอวํ ภควนฺตํ อาลปนฺตา ภควโต ปจฺจโสฺสสุนฺติฯ
Bhikkhavoti āmantanākāraparidīpanaṃ. Tañca bhikkhanasīlatādiguṇayogasiddhattā vuttaṃ. Tena nesaṃ hīnādhikajanasevitaṃ vuttiṃ pakāsento uddhatadīnabhāvaniggahaṃ karoti. ‘‘Bhikkhavo’’ti iminā ca karuṇāvipphārasommahadayanayananipātapubbaṅgamena vacanena te attano mukhābhimukhe karitvā teneva kathetukamyatādīpakena vacanena tesaṃ sotukamyataṃ janeti, teneva ca sambodhanatthena vacanena sādhukasavanamanasikārepi te niyojeti. Sādhukasavanamanasikārāyattā hi sāsanasampatti. Aparesupi devamanussesu vijjamānesu kasmā bhikkhū eva āmantesīti ce? Jeṭṭhaseṭṭhāsannasadāsannihitabhāvato. Sabbaparisasādhāraṇā hi ayaṃ dhammadesanā, na pāṭipuggalikā. Parisāya ca jeṭṭhā bhikkhū paṭhamuppannattā, seṭṭhā anagāriyabhāvaṃ ādiṃ katvā satthu cariyānuvidhāyakattā sakalasāsanapaṭiggāhakattā ca. Āsannā tattha nisinnesu satthu santikattā, sadā sannihitā satthu santikāvacarattā. Tena bhagavā sabbaparisasādhāraṇaṃ dhammaṃ desento bhikkhū eva āmantesi. Apica bhājanaṃ te imāya kathāya yathānusiṭṭhaṃ paṭipattisabbhāvatotipi te eva āmantesi. Bhadanteti gāravādhivacanametaṃ. Te bhikkhūti ye bhagavā āmantesi, te evaṃ bhagavantaṃ ālapantā bhagavato paccassosunti.
จตูหิ อเงฺคหีติ จตูหิ การเณหิ อวยเวหิ วาฯ มุสาวาทาเวรมณิอาทีนิ หิ จตฺตาริ สุภาสิตวาจาย การณานิฯ สจฺจวจนาทโย จตฺตาโร อวยวา, การณเตฺถ จ องฺคสโทฺทฯ จตูหีติ นิสฺสกฺกวจนํ โหติ, อวยวเตฺถ กรณวจนํฯ สมนฺนาคตาติ สมนุอาคตา ปวตฺตา ยุตฺตา จฯ วาจาติ สมุลฺลปนวาจาฯ ยา สา ‘‘วาจา คิรา พฺยปฺปโถ’’ติ (ธ. ส. ๖๓๖) จ, ‘‘เนลา กณฺณสุขา’’ติ (ที. นิ. ๑.๙; ม. นิ. ๓.๑๔) จ เอวมาทีสุ อาคจฺฉติฯ ยา ปน ‘‘วาจาย เจ กตํ กมฺม’’นฺติ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑ กายกมฺมทฺวาร) เอวํ วิญฺญตฺติ จ, ‘‘ยา จตูหิ วจีทุจฺจริเตหิ อารติ วิรติ…เป.… อยํ วุจฺจติ สมฺมาวาจา’’ติ (ธ. ส. ๒๙๙; วิภ. ๒๐๖) เอวํ วิรติ จ, ‘‘ผรุสวาจา, ภิกฺขเว, อาเสวิตา ภาวิตา พหุลีกตา นิรยสํวตฺตนิกา โหตี’’ติ (อ. นิ. ๘.๔๐) เอวํ เจตนา จ วาจาติ อาคจฺฉติ, สา อิธ น อธิเปฺปตาฯ กสฺมา? อภาสิตพฺพโตฯ สุภาสิตา โหตีติ สุฎฺฐุ ภาสิตา โหติฯ เตนสฺสา อตฺถาวหนตํ ทีเปติฯ น ทุพฺภาสิตาติ น ทุฎฺฐุ ภาสิตาฯ เตนสฺสา อนตฺถานาวหนตํ ทีเปติฯ อนวชฺชาติ วชฺชสงฺขาตราคาทิโทสวิรหิตาฯ เตนสฺสา การณสุทฺธิํ วุตฺตโทสาภาวญฺจ ทีเปติฯ อนนุวชฺชา จาติ อนุวาทวิมุตฺตาฯ เตนสฺสา สพฺพาการสมฺปตฺติํ ทีเปติฯ วิญฺญูนนฺติ ปณฺฑิตานํฯ เตน นินฺทาปสํสาสุ พาลา อปฺปมาณาติ ทีเปติฯ
Catūhiaṅgehīti catūhi kāraṇehi avayavehi vā. Musāvādāveramaṇiādīni hi cattāri subhāsitavācāya kāraṇāni. Saccavacanādayo cattāro avayavā, kāraṇatthe ca aṅgasaddo. Catūhīti nissakkavacanaṃ hoti, avayavatthe karaṇavacanaṃ. Samannāgatāti samanuāgatā pavattā yuttā ca. Vācāti samullapanavācā. Yā sā ‘‘vācā girā byappatho’’ti (dha. sa. 636) ca, ‘‘nelā kaṇṇasukhā’’ti (dī. ni. 1.9; ma. ni. 3.14) ca evamādīsu āgacchati. Yā pana ‘‘vācāya ce kataṃ kamma’’nti (dha. sa. aṭṭha. 1 kāyakammadvāra) evaṃ viññatti ca, ‘‘yā catūhi vacīduccaritehi ārati virati…pe… ayaṃ vuccati sammāvācā’’ti (dha. sa. 299; vibha. 206) evaṃ virati ca, ‘‘pharusavācā, bhikkhave, āsevitā bhāvitā bahulīkatā nirayasaṃvattanikā hotī’’ti (a. ni. 8.40) evaṃ cetanā ca vācāti āgacchati, sā idha na adhippetā. Kasmā? Abhāsitabbato. Subhāsitā hotīti suṭṭhu bhāsitā hoti. Tenassā atthāvahanataṃ dīpeti. Na dubbhāsitāti na duṭṭhu bhāsitā. Tenassā anatthānāvahanataṃ dīpeti. Anavajjāti vajjasaṅkhātarāgādidosavirahitā. Tenassā kāraṇasuddhiṃ vuttadosābhāvañca dīpeti. Ananuvajjā cāti anuvādavimuttā. Tenassā sabbākārasampattiṃ dīpeti. Viññūnanti paṇḍitānaṃ. Tena nindāpasaṃsāsu bālā appamāṇāti dīpeti.
กตเมหิ จตูหีติ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาฯ อิธาติ อิมสฺมิํ สาสเนฯ ภิกฺขเวติ เยสํ กเถตุกาโม, ตทาลปนํฯ ภิกฺขูติ วุตฺตปฺปการวาจาภาสนกปุคฺคลนิทสฺสนํฯ สุภาสิตํเยว ภาสตีติ ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย จตูสุ วาจเงฺคสุ อญฺญตรงฺคนิเทฺทสวจนํฯ โน ทุพฺภาสิตนฺติ ตเสฺสว วาจงฺคสฺส ปฎิปกฺขภาสนนิวารณํฯ เตน ‘‘มุสาวาทาทโยปิ กทาจิ วตฺตพฺพา’’ติ ทิฎฺฐิํ นิเสเธติฯ ‘‘โน ทุพฺภาสิต’’นฺติ อิมินา วา มิจฺฉาวาจปฺปหานํ ทีเปติ, ‘‘สุภาสิต’’นฺติ อิมินา ปหีนมิจฺฉาวาเจน สตา ภาสิตพฺพวจนลกฺขณํฯ ตถา ปาปสฺส อกรณํ, กุสลสฺส อุปสมฺปทํ ฯ องฺคปริทีปนตฺถํ ปน อภาสิตพฺพํ ปุเพฺพ อวตฺวา ภาสิตพฺพเมวาหฯ เอส นโย ธมฺมํเยวาติอาทีสุปิฯ
Katamehi catūhīti kathetukamyatāpucchā. Idhāti imasmiṃ sāsane. Bhikkhaveti yesaṃ kathetukāmo, tadālapanaṃ. Bhikkhūti vuttappakāravācābhāsanakapuggalanidassanaṃ. Subhāsitaṃyeva bhāsatīti puggalādhiṭṭhānāya desanāya catūsu vācaṅgesu aññataraṅganiddesavacanaṃ. No dubbhāsitanti tasseva vācaṅgassa paṭipakkhabhāsananivāraṇaṃ. Tena ‘‘musāvādādayopi kadāci vattabbā’’ti diṭṭhiṃ nisedheti. ‘‘No dubbhāsita’’nti iminā vā micchāvācappahānaṃ dīpeti, ‘‘subhāsita’’nti iminā pahīnamicchāvācena satā bhāsitabbavacanalakkhaṇaṃ. Tathā pāpassa akaraṇaṃ, kusalassa upasampadaṃ . Aṅgaparidīpanatthaṃ pana abhāsitabbaṃ pubbe avatvā bhāsitabbamevāha. Esa nayo dhammaṃyevātiādīsupi.
เอตฺถ จ ‘‘สุภาสิตํเยว ภาสติ โน ทุพฺภาสิต’’นฺติ อิมินา ปิสุณโทสรหิตํ สมคฺคกรณวจนํ วุตฺตํ, ‘‘ธมฺมํเยว ภาสติ โน อธมฺม’’นฺติ อิมินา สมฺผโทสรหิตํ ธมฺมโต อนเปตํ มนฺตาวจนํ วุตฺตํ, อิตเรหิ ทฺวีหิ ผรุสาลิกรหิตานิ ปิยสจฺจวจนานิ วุตฺตานิฯ อิเมหิ โขติอาทินา ปน ตานิ องฺคานิ ปจฺจกฺขโต ทเสฺสโนฺต ตํ วาจํ นิคเมติฯ วิเสสโต เจตฺถ ‘‘อิเมหิ โข, ภิกฺขเว , จตูหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตา วาจา สุภาสิตา โหตี’’ติ ภณโนฺต ยทเญฺญ ปฎิญฺญาทีหิ อวยเวหิ นามาทีหิ ปเทหิ ลิงฺควจนวิภตฺติกาลการกาทีหิ สมฺปตฺตีหิ จ สมนฺนาคตํ วาจํ ‘‘สุภาสิต’’นฺติ มญฺญนฺติ, ตํ ธมฺมโต ปฎิเสเธติฯ อวยวาทิสมฺปนฺนาปิ หิ เปสุญฺญาทิสมนฺนาคตา วาจา ทุพฺภาสิตาว โหติ อตฺตโน ปเรสญฺจ อนตฺถาวหตฺตาฯ อิเมหิ ปน จตูหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตา สเจปิ มิลกฺขุภาสาปริยาปนฺนา ฆฎเจฎิกาคีติกปริยาปนฺนา วา โหติ, ตถาปิ สุภาสิตา เอว โลกิยโลกุตฺตรหิตสุขาวหตฺตาฯ สีหฬทีเป มคฺคปเสฺส สสฺสํ รกฺขนฺติยา สีหฬเจฎิกาย สีหฬเกเนว ชาติชรามรณปฎิสํยุตฺตํ คีตํ คายนฺติยา สุตฺวา มคฺคํ คจฺฉนฺตา สฎฺฐิมตฺตา วิปสฺสกภิกฺขู เจตฺถ อรหตฺตํ ปตฺตา นิทสฺสนํฯ ตถา ติโสฺส นาม อารทฺธวิปสฺสโก ภิกฺขุ ปทุมสรสมีเปน คจฺฉโนฺต ปทุมสเร ปทุมานิ ภญฺชิตฺวา ภญฺชิตฺวา –
Ettha ca ‘‘subhāsitaṃyeva bhāsati no dubbhāsita’’nti iminā pisuṇadosarahitaṃ samaggakaraṇavacanaṃ vuttaṃ, ‘‘dhammaṃyeva bhāsati no adhamma’’nti iminā samphadosarahitaṃ dhammato anapetaṃ mantāvacanaṃ vuttaṃ, itarehi dvīhi pharusālikarahitāni piyasaccavacanāni vuttāni. Imehi khotiādinā pana tāni aṅgāni paccakkhato dassento taṃ vācaṃ nigameti. Visesato cettha ‘‘imehi kho, bhikkhave , catūhi aṅgehi samannāgatā vācā subhāsitā hotī’’ti bhaṇanto yadaññe paṭiññādīhi avayavehi nāmādīhi padehi liṅgavacanavibhattikālakārakādīhi sampattīhi ca samannāgataṃ vācaṃ ‘‘subhāsita’’nti maññanti, taṃ dhammato paṭisedheti. Avayavādisampannāpi hi pesuññādisamannāgatā vācā dubbhāsitāva hoti attano paresañca anatthāvahattā. Imehi pana catūhi aṅgehi samannāgatā sacepi milakkhubhāsāpariyāpannā ghaṭaceṭikāgītikapariyāpannā vā hoti, tathāpi subhāsitā eva lokiyalokuttarahitasukhāvahattā. Sīhaḷadīpe maggapasse sassaṃ rakkhantiyā sīhaḷaceṭikāya sīhaḷakeneva jātijarāmaraṇapaṭisaṃyuttaṃ gītaṃ gāyantiyā sutvā maggaṃ gacchantā saṭṭhimattā vipassakabhikkhū cettha arahattaṃ pattā nidassanaṃ. Tathā tisso nāma āraddhavipassako bhikkhu padumasarasamīpena gacchanto padumasare padumāni bhañjitvā bhañjitvā –
‘‘ปาโต ผุลฺลํ โกกนทํ, สูริยาโลเกน ภชฺชิยเต;
‘‘Pāto phullaṃ kokanadaṃ, sūriyālokena bhajjiyate;
เอวํ มนุสฺสตฺตคตา สตฺตา, ชราภิเวเคน มทฺทียนฺตี’’ติฯ –
Evaṃ manussattagatā sattā, jarābhivegena maddīyantī’’ti. –
อิมํ คีตํ คายนฺติยา เจฎิกาย สุตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺต, พุทฺธนฺตเร จ อญฺญตโร ปุริโส สตฺตหิ ปุเตฺตหิ สทฺธิํ วนา อาคมฺม อญฺญตราย อิตฺถิยา มุสเลน ตณฺฑุเล โกเฎฺฎนฺติยา –
Imaṃ gītaṃ gāyantiyā ceṭikāya sutvā arahattaṃ patto, buddhantare ca aññataro puriso sattahi puttehi saddhiṃ vanā āgamma aññatarāya itthiyā musalena taṇḍule koṭṭentiyā –
‘‘ชราย ปริมทฺทิตํ เอตํ, มิลาตฉวิจมฺมนิสฺสิตํ;
‘‘Jarāya parimadditaṃ etaṃ, milātachavicammanissitaṃ;
มรเณน ภิชฺชติ เอตํ, มจฺจุสฺส ฆสมามิสํฯ
Maraṇena bhijjati etaṃ, maccussa ghasamāmisaṃ.
‘‘กิมีนํ อาลยํ เอตํ, นานากุณเปน ปูริตํ;
‘‘Kimīnaṃ ālayaṃ etaṃ, nānākuṇapena pūritaṃ;
อสุจิสฺส ภาชนํ เอตํ, กทลิกฺขนฺธสมํ อิท’’นฺติฯ –
Asucissa bhājanaṃ etaṃ, kadalikkhandhasamaṃ ida’’nti. –
อิมํ คีติกํ สุตฺวา สห ปุเตฺตหิ ปเจฺจกโพธิํ ปโตฺต, อเญฺญ จ อีทิเสหิ อุปาเยหิ อริยภูมิํ ปตฺตา นิทสฺสนํฯ อนจฺฉริยํ ปเนตํ, ยํ ภควตา อาสยานุสยกุสเลน ‘‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา’’ติอาทินา นเยน วุตฺตา คาถาโย สุตฺวา ปญฺจสตา ภิกฺขู อรหตฺตํ ปาปุณิํสุ, อเญฺญ จ ขนฺธายตนาทิปฎิสํยุตฺตา กถา สุตฺวา อเนเก เทวมนุสฺสาติฯ เอวํ อิเมหิ จตูหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตา วาจา สเจปิ มิลกฺขุภาสาปริยาปนฺนา, ฆฎเจฎิกาคีติกปริยาปนฺนา วา โหติ, ตถาปิ ‘‘สุภาสิตา’’ติ เวทิตพฺพาฯ สุภาสิตตฺตา เอว จ อนวชฺชา จ อนนุวชฺชา จ วิญฺญูนํ อตฺถตฺถิกานํ กุลปุตฺตานํ อตฺถปฎิสรณานํ, โน พฺยญฺชนปฎิสรณานนฺติฯ
Imaṃ gītikaṃ sutvā saha puttehi paccekabodhiṃ patto, aññe ca īdisehi upāyehi ariyabhūmiṃ pattā nidassanaṃ. Anacchariyaṃ panetaṃ, yaṃ bhagavatā āsayānusayakusalena ‘‘sabbe saṅkhārā aniccā’’tiādinā nayena vuttā gāthāyo sutvā pañcasatā bhikkhū arahattaṃ pāpuṇiṃsu, aññe ca khandhāyatanādipaṭisaṃyuttā kathā sutvā aneke devamanussāti. Evaṃ imehi catūhi aṅgehi samannāgatā vācā sacepi milakkhubhāsāpariyāpannā, ghaṭaceṭikāgītikapariyāpannā vā hoti, tathāpi ‘‘subhāsitā’’ti veditabbā. Subhāsitattā eva ca anavajjā ca ananuvajjā ca viññūnaṃ atthatthikānaṃ kulaputtānaṃ atthapaṭisaraṇānaṃ, no byañjanapaṭisaraṇānanti.
อิทมโวจ ภควาติ อิทํ สุภาสิตลกฺขณํ ภควา อโวจฯ อิทํ วตฺวาน สุคโต, อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถาติ อิทญฺจ ลกฺขณํ วตฺวา อถ อญฺญมฺปิ เอตํ อโวจ สตฺถาฯ อิทานิ วตฺตพฺพคาถํ ทเสฺสตฺวา สพฺพเมตํ สงฺคีติการกา อาหํสุฯ ตตฺถ อปรนฺติ คาถาพนฺธวจนํ สนฺธาย วุจฺจติฯ ตํ ทุวิธํ โหติ – ปจฺฉา อาคตปริสํ อสฺสวนสุสฺสวนอาธารณทฬฺหีกรณาทีนิ วา สนฺธาย ตทตฺถทีปกเมว จฯ ปุเพฺพ เกนจิ การเณน ปริหาปิตสฺส อตฺถสฺส ทีปเนน อตฺถวิเสสทีปกญฺจ ‘‘ปุริสสฺส หิ ชาตสฺส, กุฐารี ชายเต มุเข’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๖๖๒) วิยฯ อิธ ปน ตทตฺถทีปกเมวฯ
Idamavocabhagavāti idaṃ subhāsitalakkhaṇaṃ bhagavā avoca. Idaṃ vatvāna sugato, athāparaṃ etadavoca satthāti idañca lakkhaṇaṃ vatvā atha aññampi etaṃ avoca satthā. Idāni vattabbagāthaṃ dassetvā sabbametaṃ saṅgītikārakā āhaṃsu. Tattha aparanti gāthābandhavacanaṃ sandhāya vuccati. Taṃ duvidhaṃ hoti – pacchā āgataparisaṃ assavanasussavanaādhāraṇadaḷhīkaraṇādīni vā sandhāya tadatthadīpakameva ca. Pubbe kenaci kāraṇena parihāpitassa atthassa dīpanena atthavisesadīpakañca ‘‘purisassa hi jātassa, kuṭhārī jāyate mukhe’’tiādīsu (su. ni. 662) viya. Idha pana tadatthadīpakameva.
๔๕๓. ตตฺถ สโนฺตติ พุทฺธาทโยฯ เต หิ สุภาสิตํ ‘‘อุตฺตมํ เสฎฺฐ’’นฺติ วณฺณยนฺติฯ ทุติยํ ตติยํ จตุตฺถนฺติ อิทํ ปน ปุเพฺพ นิทฺทิฎฺฐกฺกมํ อุปาทาย วุตฺตํฯ คาถาปริโยสาเน ปน วงฺคีสเตฺถโร ภควโต สุภาสิเต ปสีทิฯ
453. Tattha santoti buddhādayo. Te hi subhāsitaṃ ‘‘uttamaṃ seṭṭha’’nti vaṇṇayanti. Dutiyaṃ tatiyaṃ catutthanti idaṃ pana pubbe niddiṭṭhakkamaṃ upādāya vuttaṃ. Gāthāpariyosāne pana vaṅgīsatthero bhagavato subhāsite pasīdi.
โส ยํ ปสนฺนาการํ อกาสิ, ยญฺจ วจนํ ภควา อภาสิ, ตํ ทเสฺสนฺตา สงฺคีติการกา ‘‘อถ โข อายสฺมา’’ติอาทิมาหํสุฯ ตตฺถ ปฎิภาติ มนฺติ มม ภาโค ปกาสติ ฯ ปฎิภาตุ ตนฺติ ตว ภาโค ปกาสตุฯ สารุปฺปาหีติ อนุจฺฉวิกาหิฯ อภิตฺถวีติ ปสํสิฯ
So yaṃ pasannākāraṃ akāsi, yañca vacanaṃ bhagavā abhāsi, taṃ dassentā saṅgītikārakā ‘‘atha kho āyasmā’’tiādimāhaṃsu. Tattha paṭibhāti manti mama bhāgo pakāsati . Paṭibhātu tanti tava bhāgo pakāsatu. Sāruppāhīti anucchavikāhi. Abhitthavīti pasaṃsi.
๔๕๔. น ตาปเยติ วิปฺปฎิสาเรน น ตาเปยฺยฯ น วิหิํเสยฺยาติ อญฺญมญฺญํ ภินฺทโนฺต น พาเธยฺยฯ สา เว วาจาติ สา วาจา เอกํเสเนว สุภาสิตาฯ เอตฺตาวตา อปิสุณวาจาย ภควนฺตํ โถเมติฯ
454.Na tāpayeti vippaṭisārena na tāpeyya. Na vihiṃseyyāti aññamaññaṃ bhindanto na bādheyya. Sā ve vācāti sā vācā ekaṃseneva subhāsitā. Ettāvatā apisuṇavācāya bhagavantaṃ thometi.
๔๕๕. ปฎินนฺทิตาติ หเฎฺฐน หทเยน ปฎิมุขํ คนฺตฺวา นนฺทิตา สมฺปิยายิตาฯ ยํ อนาทาย ปาปานิ, ปเรสํ ภาสเต ปิยนฺติ ยํ วาจํ ภาสโนฺต ปเรสํ ปาปานิ อปฺปิยานิ ปฎิกฺกูลานิ ผรุสวจนานิ อนาทาย อตฺถพฺยญฺชนมธุรํ ปิยเมว วจนํ ภาสติ, ตํ ปิยวาจเมว ภาเสยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ อิมาย คาถาย ปิยวจเนน ภควนฺตํ อภิตฺถวิฯ
455.Paṭinanditāti haṭṭhena hadayena paṭimukhaṃ gantvā nanditā sampiyāyitā. Yaṃ anādāya pāpāni, paresaṃ bhāsate piyanti yaṃ vācaṃ bhāsanto paresaṃ pāpāni appiyāni paṭikkūlāni pharusavacanāni anādāya atthabyañjanamadhuraṃ piyameva vacanaṃ bhāsati, taṃ piyavācameva bhāseyyāti vuttaṃ hoti. Imāya gāthāya piyavacanena bhagavantaṃ abhitthavi.
๔๕๖. อมตาติ อมตสทิสา สาทุภาเวนฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘สจฺจํ หเว สาทุตรํ รสาน’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๗๓; สุ. นิ. ๑๘๔)ฯ นิพฺพานามตปจฺจยตฺตา วา อมตาฯ เอส ธโมฺม สนนฺตโนติ ยายํ สจฺจวาจา นาม, เอส โปราโณ ธโมฺม จริยา ปเวณี, อิทเมว หิ โปราณานํ อาจิณฺณํ, น เต อลิกํ ภาสิํสุฯ เตเนวาห – ‘‘สเจฺจ อเตฺถ จ ธเมฺม จ, อหุ สโนฺต ปติฎฺฐิตา’’ติฯ ตตฺถ สเจฺจ ปติฎฺฐิตตฺตา เอว อตฺตโน จ ปเรสญฺจ อเตฺถ ปติฎฺฐิตาฯ อเตฺถ ปติฎฺฐิตตฺตา เอว จ ธเมฺม ปติฎฺฐิตา โหนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ ปรํ วา ทฺวยํ สจฺจวิเสสนมิเจฺจว เวทิตพฺพํฯ สเจฺจ ปติฎฺฐิตาฯ กีทิเส? อเตฺถ จ ธเมฺม จ, ยํ ปเรสํ อตฺถโต อนเปตตฺตา อตฺถํ อนุปโรธํ กโรตีติ วุตฺตํ โหติฯ สติปิ จ อนุปโรธกรเตฺต ธมฺมโต อนเปตตฺตา ธมฺมํ, ยํ ธมฺมิกเมว อตฺถํ สาเธตีติ วุตฺตํ โหติฯ อิมาย คาถาย สจฺจวจเนน ภควนฺตํ อภิตฺถวิฯ
456.Amatāti amatasadisā sādubhāvena. Vuttampi cetaṃ ‘‘saccaṃ have sādutaraṃ rasāna’’nti (saṃ. ni. 1.73; su. ni. 184). Nibbānāmatapaccayattā vā amatā. Esa dhammo sanantanoti yāyaṃ saccavācā nāma, esa porāṇo dhammo cariyā paveṇī, idameva hi porāṇānaṃ āciṇṇaṃ, na te alikaṃ bhāsiṃsu. Tenevāha – ‘‘sacce atthe ca dhamme ca, ahu santo patiṭṭhitā’’ti. Tattha sacce patiṭṭhitattā eva attano ca paresañca atthe patiṭṭhitā. Atthe patiṭṭhitattā eva ca dhamme patiṭṭhitā hontīti veditabbā. Paraṃ vā dvayaṃ saccavisesanamicceva veditabbaṃ. Sacce patiṭṭhitā. Kīdise? Atthe ca dhamme ca, yaṃ paresaṃ atthato anapetattā atthaṃ anuparodhaṃ karotīti vuttaṃ hoti. Satipi ca anuparodhakaratte dhammato anapetattā dhammaṃ, yaṃ dhammikameva atthaṃ sādhetīti vuttaṃ hoti. Imāya gāthāya saccavacanena bhagavantaṃ abhitthavi.
๔๕๗. เขมนฺติ อภยํ นิรุปทฺทวํฯ เกน การเณนาติ เจ? นิพฺพานปฺปตฺติยา ทุกฺขสฺสนฺตกิริยาย, ยสฺมา กิเลสนิพฺพานํ ปาเปติ, วฎฺฎทุกฺขสฺส จ อนฺตกิริยาย สํวตฺตตีติ อโตฺถฯ อถ วา ยํ พุโทฺธ นิพฺพานปฺปตฺติยา ทุกฺขสฺสนฺตกิริยายาติ ทฺวินฺนํ นิพฺพานธาตูนมตฺถาย เขมมคฺคปฺปกาสนโต เขมํ วาจํ ภาสติ, สา เว วาจานมุตฺตมาติ สา วาจา สพฺพวาจานํ เสฎฺฐาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิมาย คาถาย มนฺตาวจเนน ภควนฺตํ อภิตฺถวโนฺต อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ นิฎฺฐาเปสีติ อยเมตฺถ อปุพฺพปทวณฺณนาฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ
457.Khemanti abhayaṃ nirupaddavaṃ. Kena kāraṇenāti ce? Nibbānappattiyā dukkhassantakiriyāya, yasmā kilesanibbānaṃ pāpeti, vaṭṭadukkhassa ca antakiriyāya saṃvattatīti attho. Atha vā yaṃ buddho nibbānappattiyā dukkhassantakiriyāyāti dvinnaṃ nibbānadhātūnamatthāya khemamaggappakāsanato khemaṃ vācaṃ bhāsati, sā ve vācānamuttamāti sā vācā sabbavācānaṃ seṭṭhāti evamettha attho veditabbo. Imāya gāthāya mantāvacanena bhagavantaṃ abhitthavanto arahattanikūṭena desanaṃ niṭṭhāpesīti ayamettha apubbapadavaṇṇanā. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbanti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย สุภาสิตสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya subhāsitasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๓. สุภาสิตสุตฺตํ • 3. Subhāsitasuttaṃ