Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya

    ๑๐. สุภสุตฺตํ

    10. Subhasuttaṃ

    สุภมาณววตฺถุ

    Subhamāṇavavatthu

    ๔๔๔. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ อายสฺมา อานโนฺท สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม อจิรปรินิพฺพุเต ภควติฯ เตน โข ปน สมเยน สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต สาวตฺถิยํ ปฎิวสติ เกนจิเทว กรณีเยนฯ

    444. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ āyasmā ānando sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme aciraparinibbute bhagavati. Tena kho pana samayena subho māṇavo todeyyaputto sāvatthiyaṃ paṭivasati kenacideva karaṇīyena.

    ๔๔๕. อถ โข สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต อญฺญตรํ มาณวกํ อามเนฺตสิ – ‘‘เอหิ ตฺวํ, มาณวก, เยน สมโณ อานโนฺท เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ – ‘สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต ภวนฺตํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี’ติฯ เอวญฺจ วเทหิ – ‘สาธุ กิร ภวํ อานโนฺท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’’ติฯ

    445. Atha kho subho māṇavo todeyyaputto aññataraṃ māṇavakaṃ āmantesi – ‘‘ehi tvaṃ, māṇavaka, yena samaṇo ānando tenupasaṅkama; upasaṅkamitvā mama vacanena samaṇaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ puccha – ‘subho māṇavo todeyyaputto bhavantaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchatī’ti. Evañca vadehi – ‘sādhu kira bhavaṃ ānando yena subhassa māṇavassa todeyyaputtassa nivesanaṃ tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’’’ti.

    ๔๔๖. ‘‘เอวํ, โภ’’ติ โข โส มาณวโก สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส ปฎิสฺสุตฺวา เยนายสฺมา อานโนฺท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา อานเนฺทน สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข โส มาณวโก อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ – ‘‘สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต ภวนฺตํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติ; เอวญฺจ วเทติ – ‘สาธุ กิร ภวํ อานโนฺท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’’ติฯ

    446. ‘‘Evaṃ, bho’’ti kho so māṇavako subhassa māṇavassa todeyyaputtassa paṭissutvā yenāyasmā ānando tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmatā ānandena saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho so māṇavako āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca – ‘‘subho māṇavo todeyyaputto bhavantaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchati; evañca vadeti – ‘sādhu kira bhavaṃ ānando yena subhassa māṇavassa todeyyaputtassa nivesanaṃ tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’’’ti.

    ๔๔๗. เอวํ วุเตฺต, อายสฺมา อานโนฺท ตํ มาณวกํ เอตทโวจ – ‘‘อกาโล โข, มาณวก ฯ อตฺถิ เม อชฺช เภสชฺชมตฺตา ปีตาฯ อเปฺปวนาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายา’’ติฯ

    447. Evaṃ vutte, āyasmā ānando taṃ māṇavakaṃ etadavoca – ‘‘akālo kho, māṇavaka . Atthi me ajja bhesajjamattā pītā. Appevanāma svepi upasaṅkameyyāma kālañca samayañca upādāyā’’ti.

    ‘‘เอวํ, โภ’’ติ โข โส มาณวโก อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปฎิสฺสุตฺวา อุฎฺฐายาสนา เยน สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ ; อุปสงฺกมิตฺวา สุภํ มาณวํ โตเทยฺยปุตฺตํ เอตทโวจ, ‘‘อโวจุมฺหา โข มยํ โภโต วจเนน ตํ ภวนฺตํ อานนฺทํ – ‘สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต ภวนฺตํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติ, เอวญฺจ วเทติ – ‘‘สาธุ กิร ภวํ อานโนฺท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, โภ, สมโณ อานโนฺท มํ เอตทโวจ – ‘อกาโล โข, มาณวกฯ อตฺถิ เม อชฺช เภสชฺชมตฺตา ปีตาฯ อเปฺปวนาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายา’ติฯ เอตฺตาวตาปิ โข, โภ, กตเมว เอตํ, ยโต โข โส ภวํ อานโนฺท โอกาสมกาสิ สฺวาตนายปิ อุปสงฺกมนายา’’ติฯ

    ‘‘Evaṃ, bho’’ti kho so māṇavako āyasmato ānandassa paṭissutvā uṭṭhāyāsanā yena subho māṇavo todeyyaputto tenupasaṅkami ; upasaṅkamitvā subhaṃ māṇavaṃ todeyyaputtaṃ etadavoca, ‘‘avocumhā kho mayaṃ bhoto vacanena taṃ bhavantaṃ ānandaṃ – ‘subho māṇavo todeyyaputto bhavantaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchati, evañca vadeti – ‘‘sādhu kira bhavaṃ ānando yena subhassa māṇavassa todeyyaputtassa nivesanaṃ tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’’’ti. Evaṃ vutte, bho, samaṇo ānando maṃ etadavoca – ‘akālo kho, māṇavaka. Atthi me ajja bhesajjamattā pītā. Appevanāma svepi upasaṅkameyyāma kālañca samayañca upādāyā’ti. Ettāvatāpi kho, bho, katameva etaṃ, yato kho so bhavaṃ ānando okāsamakāsi svātanāyapi upasaṅkamanāyā’’ti.

    ๔๔๘. อถ โข อายสฺมา อานโนฺท ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เจตเกน ภิกฺขุนา ปจฺฉาสมเณน เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ

    448. Atha kho āyasmā ānando tassā rattiyā accayena pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya cetakena bhikkhunā pacchāsamaṇena yena subhassa māṇavassa todeyyaputtassa nivesanaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi.

    อถ โข สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต เยนายสฺมา อานโนฺท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา อานเนฺทน สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ – ‘‘ภวญฺหิ อานโนฺท ตสฺส โภโต โคตมสฺส ทีฆรตฺตํ อุปฎฺฐาโก สนฺติกาวจโร สมีปจารีฯ ภวเมตํ อานโนฺท ชาเนยฺย, เยสํ โส ภวํ โคตโม ธมฺมานํ วณฺณวาที อโหสิ, ยตฺถ จ อิมํ ชนตํ สมาทเปสิ นิเวเสสิ ปติฎฺฐาเปสิฯ กตเมสานํ โข, โภ อานนฺท, ธมฺมานํ โส ภวํ โคตโม วณฺณวาที อโหสิ; กตฺถ จ อิมํ ชนตํ สมาทเปสิ นิเวเสสิ ปติฎฺฐาเปสี’’ติ?

    Atha kho subho māṇavo todeyyaputto yenāyasmā ānando tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmatā ānandena saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho subho māṇavo todeyyaputto āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca – ‘‘bhavañhi ānando tassa bhoto gotamassa dīgharattaṃ upaṭṭhāko santikāvacaro samīpacārī. Bhavametaṃ ānando jāneyya, yesaṃ so bhavaṃ gotamo dhammānaṃ vaṇṇavādī ahosi, yattha ca imaṃ janataṃ samādapesi nivesesi patiṭṭhāpesi. Katamesānaṃ kho, bho ānanda, dhammānaṃ so bhavaṃ gotamo vaṇṇavādī ahosi; kattha ca imaṃ janataṃ samādapesi nivesesi patiṭṭhāpesī’’ti?

    ๔๔๙. ‘‘ติณฺณํ โข, มาณว, ขนฺธานํ โส ภควา วณฺณวาที อโหสิ; เอตฺถ จ อิมํ ชนตํ สมาทเปสิ นิเวเสสิ ปติฎฺฐาเปสิฯ กตเมสํ ติณฺณํ? อริยสฺส สีลกฺขนฺธสฺส, อริยสฺส สมาธิกฺขนฺธสฺส, อริยสฺส ปญฺญากฺขนฺธสฺสฯ อิเมสํ โข, มาณว, ติณฺณํ ขนฺธานํ โส ภควา วณฺณวาที อโหสิ; เอตฺถ จ อิมํ ชนตํ สมาทเปสิ นิเวเสสิ ปติฎฺฐาเปสี’’ติฯ

    449. ‘‘Tiṇṇaṃ kho, māṇava, khandhānaṃ so bhagavā vaṇṇavādī ahosi; ettha ca imaṃ janataṃ samādapesi nivesesi patiṭṭhāpesi. Katamesaṃ tiṇṇaṃ? Ariyassa sīlakkhandhassa, ariyassa samādhikkhandhassa, ariyassa paññākkhandhassa. Imesaṃ kho, māṇava, tiṇṇaṃ khandhānaṃ so bhagavā vaṇṇavādī ahosi; ettha ca imaṃ janataṃ samādapesi nivesesi patiṭṭhāpesī’’ti.

    สีลกฺขโนฺธ

    Sīlakkhandho

    ๔๕๐. ‘‘กตโม ปน โส, โภ อานนฺท, อริโย สีลกฺขโนฺธ, ยสฺส โส ภวํ โคตโม วณฺณวาที อโหสิ, ยตฺถ จ อิมํ ชนตํ สมาทเปสิ นิเวเสสิ ปติฎฺฐาเปสี’’ติ?

    450. ‘‘Katamo pana so, bho ānanda, ariyo sīlakkhandho, yassa so bhavaṃ gotamo vaṇṇavādī ahosi, yattha ca imaṃ janataṃ samādapesi nivesesi patiṭṭhāpesī’’ti?

    ‘‘อิธ, มาณว, ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควาฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณิํ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ ตํ ธมฺมํ สุณาติ คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา อญฺญตรสฺมิํ วา กุเล ปจฺจาชาโตฯ โส ตํ ธมฺมํ สุตฺวา ตถาคเต สทฺธํ ปฎิลภติฯ โส เตน สทฺธาปฎิลาเภน สมนฺนาคโต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘สมฺพาโธ ฆราวาโส รโชปโถ, อโพฺภกาโส ปพฺพชฺชา, นยิทํ สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา เอกนฺตปริปุณฺณํ เอกนฺตปริสุทฺธํ สงฺขลิขิตํ พฺรหฺมจริยํ จริตุํฯ ยํนูนาหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย’นฺติฯ โส อปเรน สมเยน อปฺปํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย มหนฺตํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย อปฺปํ วา ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย มหนฺตํ วา ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรติ, อาจารโคจรสมฺปโนฺน, อนุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวี, สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ, กายกมฺมวจีกเมฺมน สมนฺนาคโต กุสเลน, ปริสุทฺธาชีโว, สีลสมฺปโนฺน, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร, สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต, สนฺตุโฎฺฐฯ

    ‘‘Idha, māṇava, tathāgato loke uppajjati arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā. So imaṃ lokaṃ sadevakaṃ samārakaṃ sabrahmakaṃ sassamaṇabrāhmaṇiṃ pajaṃ sadevamanussaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedeti. So dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇaṃ sātthaṃ sabyañjanaṃ kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ pakāseti. Taṃ dhammaṃ suṇāti gahapati vā gahapatiputto vā aññatarasmiṃ vā kule paccājāto. So taṃ dhammaṃ sutvā tathāgate saddhaṃ paṭilabhati. So tena saddhāpaṭilābhena samannāgato iti paṭisañcikkhati – ‘sambādho gharāvāso rajopatho, abbhokāso pabbajjā, nayidaṃ sukaraṃ agāraṃ ajjhāvasatā ekantaparipuṇṇaṃ ekantaparisuddhaṃ saṅkhalikhitaṃ brahmacariyaṃ carituṃ. Yaṃnūnāhaṃ kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyya’nti. So aparena samayena appaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya mahantaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya appaṃ vā ñātiparivaṭṭaṃ pahāya mahantaṃ vā ñātiparivaṭṭaṃ pahāya kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajati. So evaṃ pabbajito samāno pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharati, ācāragocarasampanno, anumattesu vajjesu bhayadassāvī, samādāya sikkhati sikkhāpadesu, kāyakammavacīkammena samannāgato kusalena, parisuddhājīvo, sīlasampanno, indriyesu guttadvāro, satisampajaññena samannāgato, santuṭṭho.

    ๔๕๑. ‘‘กถญฺจ, มาณว, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน โหติ? อิธ, มาณว, ภิกฺขุ ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติ, นิหิตทโณฺฑ นิหิตสโตฺถ ลชฺชี ทยาปโนฺน, สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี วิหรติฯ ยมฺปิ, มาณว, ภิกฺขุ ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติ, นิหิตทโณฺฑ นิหิตสโตฺถ ลชฺชี ทยาปโนฺน, สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี วิหรติ; อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ (ยถา ๑๙๔ ยาว ๒๑๐ อนุเจฺฉเทสุ เอวํ วิตฺถาเรตพฺพํ)ฯ

    451. ‘‘Kathañca, māṇava, bhikkhu sīlasampanno hoti? Idha, māṇava, bhikkhu pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato hoti, nihitadaṇḍo nihitasattho lajjī dayāpanno, sabbapāṇabhūtahitānukampī viharati. Yampi, māṇava, bhikkhu pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato hoti, nihitadaṇḍo nihitasattho lajjī dayāpanno, sabbapāṇabhūtahitānukampī viharati; idampissa hoti sīlasmiṃ. (Yathā 194 yāva 210 anucchedesu evaṃ vitthāretabbaṃ).

    ‘‘ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กเปฺปนฺติ, เสยฺยถิทํ – สนฺติกมฺมํ ปณิธิกมฺมํ ภูตกมฺมํ ภูริกมฺมํ วสฺสกมฺมํ โวสฺสกมฺมํ วตฺถุกมฺมํ วตฺถุปริกมฺมํ อาจมนํ นฺหาปนํ ชุหนํ วมนํ วิเรจนํ อุทฺธํวิเรจนํ อโธวิเรจนํ สีสวิเรจนํ กณฺณเตลํ เนตฺตตปฺปนํ นตฺถุกมฺมํ อญฺชนํ ปจฺจญฺชนํ สาลากิยํ สลฺลกตฺติยํ ทารกติกิจฺฉา มูลเภสชฺชานํ อนุปฺปทานํ โอสธีนํ ปฎิโมโกฺข อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฎิวิรโต โหติฯ ยมฺปิ, มาณว, ภิกฺขุ ยถา วา ปเนเก โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิตํ กเปฺปนฺติ, เสยฺยถิทํ, สนฺติกมฺมํ ปณิธิกมฺมํ…เป.… โอสธีนํ ปฎิโมโกฺข อิติ วา อิติ เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีวา ปฎิวิรโต โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิํฯ

    ‘‘Yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvena jīvitaṃ kappenti, seyyathidaṃ – santikammaṃ paṇidhikammaṃ bhūtakammaṃ bhūrikammaṃ vassakammaṃ vossakammaṃ vatthukammaṃ vatthuparikammaṃ ācamanaṃ nhāpanaṃ juhanaṃ vamanaṃ virecanaṃ uddhaṃvirecanaṃ adhovirecanaṃ sīsavirecanaṃ kaṇṇatelaṃ nettatappanaṃ natthukammaṃ añjanaṃ paccañjanaṃ sālākiyaṃ sallakattiyaṃ dārakatikicchā mūlabhesajjānaṃ anuppadānaṃ osadhīnaṃ paṭimokkho iti vā iti evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvā paṭivirato hoti. Yampi, māṇava, bhikkhu yathā vā paneke bhonto samaṇabrāhmaṇā saddhādeyyāni bhojanāni bhuñjitvā te evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvena jīvitaṃ kappenti, seyyathidaṃ, santikammaṃ paṇidhikammaṃ…pe… osadhīnaṃ paṭimokkho iti vā iti evarūpāya tiracchānavijjāya micchājīvā paṭivirato hoti. Idampissa hoti sīlasmiṃ.

    ๔๕๒. ‘‘ส โข โส 1, มาณว, ภิกฺขุ เอวํ สีลสมฺปโนฺน น กุโตจิ ภยํ สมนุปสฺสติ, ยทิทํ สีลสํวรโตฯ เสยฺยถาปิ, มาณว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาวสิโตฺต นิหตปจฺจามิโตฺต น กุโตจิ ภยํ สมนุปสฺสติ, ยทิทํ ปจฺจตฺถิกโตฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ เอวํ สีลสมฺปโนฺน น กุโตจิ ภยํ สมนุปสฺสติ, ยทิทํ สีลสํวรโตฯ โส อิมินา อริเยน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺตํ อนวชฺชสุขํ ปฎิสํเวเทติฯ เอวํ โข, มาณว, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน โหติฯ

    452. ‘‘Sa kho so 2, māṇava, bhikkhu evaṃ sīlasampanno na kutoci bhayaṃ samanupassati, yadidaṃ sīlasaṃvarato. Seyyathāpi, māṇava, rājā khattiyo muddhāvasitto nihatapaccāmitto na kutoci bhayaṃ samanupassati, yadidaṃ paccatthikato. Evameva kho, māṇava, bhikkhu evaṃ sīlasampanno na kutoci bhayaṃ samanupassati, yadidaṃ sīlasaṃvarato. So iminā ariyena sīlakkhandhena samannāgato ajjhattaṃ anavajjasukhaṃ paṭisaṃvedeti. Evaṃ kho, māṇava, bhikkhu sīlasampanno hoti.

    ๔๕๓. ‘‘อยํ โข โส, มาณว, อริโย สีลกฺขโนฺธ ยสฺส โส ภควา วณฺณวาที อโหสิ, ยตฺถ จ อิมํ ชนตํ สมาทเปสิ นิเวเสสิ ปติฎฺฐาเปสิฯ อตฺถิ เจเวตฺถ อุตฺตริกรณีย’’นฺติฯ

    453. ‘‘Ayaṃ kho so, māṇava, ariyo sīlakkhandho yassa so bhagavā vaṇṇavādī ahosi, yattha ca imaṃ janataṃ samādapesi nivesesi patiṭṭhāpesi. Atthi cevettha uttarikaraṇīya’’nti.

    ‘‘อจฺฉริยํ, โภ อานนฺท, อพฺภุตํ, โภ อานนฺท! โส จายํ, โภ อานนฺท, อริโย สีลกฺขโนฺธ ปริปุโณฺณ, โน อปริปุโณฺณฯ เอวํ ปริปุณฺณํ จาหํ, โภ, อานนฺท, อริยํ สีลกฺขนฺธํ อิโต พหิทฺธา อเญฺญสุ สมณพฺราหฺมเณสุ น สมนุปสฺสามิฯ เอวํ ปริปุณฺณญฺจ, โภ อานนฺท, อริยํ สีลกฺขนฺธํ อิโต พหิทฺธา อเญฺญ สมณพฺราหฺมณา อตฺตนิ สมนุปเสฺสยฺยุํ, เต ตาวตเกเนว อตฺตมนา อสฺสุ – ‘อลเมตฺตาวตา, กตเมตฺตาวตา, อนุปฺปโตฺต โน สามญฺญโตฺถ, นตฺถิ โน กิญฺจิ อุตฺตริกรณีย’นฺติฯ อถ จ ปน ภวํ อานโนฺท เอวมาห – ‘อตฺถิ เจเวตฺถ อุตฺตริกรณีย’’’นฺติ 3

    ‘‘Acchariyaṃ, bho ānanda, abbhutaṃ, bho ānanda! So cāyaṃ, bho ānanda, ariyo sīlakkhandho paripuṇṇo, no aparipuṇṇo. Evaṃ paripuṇṇaṃ cāhaṃ, bho, ānanda, ariyaṃ sīlakkhandhaṃ ito bahiddhā aññesu samaṇabrāhmaṇesu na samanupassāmi. Evaṃ paripuṇṇañca, bho ānanda, ariyaṃ sīlakkhandhaṃ ito bahiddhā aññe samaṇabrāhmaṇā attani samanupasseyyuṃ, te tāvatakeneva attamanā assu – ‘alamettāvatā, katamettāvatā, anuppatto no sāmaññattho, natthi no kiñci uttarikaraṇīya’nti. Atha ca pana bhavaṃ ānando evamāha – ‘atthi cevettha uttarikaraṇīya’’’nti 4.

    สมาธิกฺขโนฺธ

    Samādhikkhandho

    ๔๕๔. ‘‘กตโม ปน โส, โภ อานนฺท, อริโย สมาธิกฺขโนฺธ, ยสฺส โส ภวํ โคตโม วณฺณวาที อโหสิ, ยตฺถ จ อิมํ ชนตํ สมาทเปสิ นิเวเสสิ ปติฎฺฐาเปสี’’ติ?

    454. ‘‘Katamo pana so, bho ānanda, ariyo samādhikkhandho, yassa so bhavaṃ gotamo vaṇṇavādī ahosi, yattha ca imaṃ janataṃ samādapesi nivesesi patiṭṭhāpesī’’ti?

    ‘‘กถญฺจ, มาณว, ภิกฺขุ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติ? อิธ, มาณว, ภิกฺขุ จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหี; ยตฺวาธิกรณเมนํ จกฺขุนฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ ตสฺส สํวราย ปฎิปชฺชติ, รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวา…เป.… ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา… ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา… กาเยน โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา… มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหี; ยตฺวาธิกรณเมนํ มนินฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ ตสฺส สํวราย ปฎิปชฺชติ, รกฺขติ มนินฺทฺริยํ, มนินฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติฯ โส อิมินา อริเยน อินฺทฺริยสํวเรน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺตํ อพฺยาเสกสุขํ ปฎิสํเวเทติฯ เอวํ โข, มาณว, ภิกฺขุ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติฯ

    ‘‘Kathañca, māṇava, bhikkhu indriyesu guttadvāro hoti? Idha, māṇava, bhikkhu cakkhunā rūpaṃ disvā na nimittaggāhī hoti nānubyañjanaggāhī; yatvādhikaraṇamenaṃ cakkhundriyaṃ asaṃvutaṃ viharantaṃ abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyuṃ tassa saṃvarāya paṭipajjati, rakkhati cakkhundriyaṃ, cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjati. Sotena saddaṃ sutvā…pe… ghānena gandhaṃ ghāyitvā… jivhāya rasaṃ sāyitvā… kāyena phoṭṭhabbaṃ phusitvā… manasā dhammaṃ viññāya na nimittaggāhī hoti nānubyañjanaggāhī; yatvādhikaraṇamenaṃ manindriyaṃ asaṃvutaṃ viharantaṃ abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyuṃ tassa saṃvarāya paṭipajjati, rakkhati manindriyaṃ, manindriye saṃvaraṃ āpajjati. So iminā ariyena indriyasaṃvarena samannāgato ajjhattaṃ abyāsekasukhaṃ paṭisaṃvedeti. Evaṃ kho, māṇava, bhikkhu indriyesu guttadvāro hoti.

    ๔๕๕. ‘‘กถญฺจ, มาณว, ภิกฺขุ สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต โหติ? อิธ, มาณว, ภิกฺขุ อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺต สมฺปชานการี โหติ, อาโลกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี โหติ, สมิญฺชิเต ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ, สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณ สมฺปชานการี โหติ, อสิเต ปีเต ขายิเต สายิเต สมฺปชานการี โหติ, อุจฺจารปสฺสาวกเมฺม สมฺปชานการี โหติ, คเต ฐิเต นิสิเนฺน สุเตฺต ชาคริเต ภาสิเต ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี โหติฯ เอวํ โข, มาณว, ภิกฺขุ สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต โหติฯ

    455. ‘‘Kathañca, māṇava, bhikkhu satisampajaññena samannāgato hoti? Idha, māṇava, bhikkhu abhikkante paṭikkante sampajānakārī hoti, ālokite vilokite sampajānakārī hoti, samiñjite pasārite sampajānakārī hoti, saṅghāṭipattacīvaradhāraṇe sampajānakārī hoti, asite pīte khāyite sāyite sampajānakārī hoti, uccārapassāvakamme sampajānakārī hoti, gate ṭhite nisinne sutte jāgarite bhāsite tuṇhībhāve sampajānakārī hoti. Evaṃ kho, māṇava, bhikkhu satisampajaññena samannāgato hoti.

    ๔๕๖. ‘‘กถญฺจ, มาณว, ภิกฺขุ สนฺตุโฎฺฐ โหติ? อิธ, มาณว, ภิกฺขุ สนฺตุโฎฺฐ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน กุจฺฉิปริหาริเกน ปิณฺฑปาเตนฯ โส เยน เยเนว ปกฺกมติ, สมาทาเยว ปกฺกมติฯ เสยฺยถาปิ, มาณว, ปกฺขี สกุโณ เยน เยเนว เฑติ, สปตฺตภาโรว เฑติ ; เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ สนฺตุโฎฺฐ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน กุจฺฉิปริหาริเกน ปิณฺฑปาเตนฯ โส เยน เยเนว ปกฺกมติ, สมาทาเยว ปกฺกมติฯ เอวํ โข, มาณว, ภิกฺขุ สนฺตุโฎฺฐ โหติฯ

    456. ‘‘Kathañca, māṇava, bhikkhu santuṭṭho hoti? Idha, māṇava, bhikkhu santuṭṭho hoti kāyaparihārikena cīvarena kucchiparihārikena piṇḍapātena. So yena yeneva pakkamati, samādāyeva pakkamati. Seyyathāpi, māṇava, pakkhī sakuṇo yena yeneva ḍeti, sapattabhārova ḍeti ; evameva kho, māṇava, bhikkhu santuṭṭho hoti kāyaparihārikena cīvarena kucchiparihārikena piṇḍapātena. So yena yeneva pakkamati, samādāyeva pakkamati. Evaṃ kho, māṇava, bhikkhu santuṭṭho hoti.

    ๔๕๗. ‘‘โส อิมินา จ อริเยน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต, อิมินา จ อริเยน อินฺทฺริยสํวเรน สมนฺนาคโต, อิมินา จ อริเยน สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต, อิมาย จ อริยาย สนฺตุฎฺฐิยา สมนฺนาคโต วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อโพฺภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ โส ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฺปฎิกฺกโนฺต นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา, อุชุํ กายํ ปณิธาย, ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาฯ

    457. ‘‘So iminā ca ariyena sīlakkhandhena samannāgato, iminā ca ariyena indriyasaṃvarena samannāgato, iminā ca ariyena satisampajaññena samannāgato, imāya ca ariyāya santuṭṭhiyā samannāgato vivittaṃ senāsanaṃ bhajati araññaṃ rukkhamūlaṃ pabbataṃ kandaraṃ giriguhaṃ susānaṃ vanapatthaṃ abbhokāsaṃ palālapuñjaṃ. So pacchābhattaṃ piṇḍapātappaṭikkanto nisīdati pallaṅkaṃ ābhujitvā, ujuṃ kāyaṃ paṇidhāya, parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvā.

    ๔๕๘. ‘‘โส อภิชฺฌํ โลเก ปหาย วิคตาภิเชฺฌน เจตสา วิหรติ อภิชฺฌาย จิตฺตํ ปริโสเธติฯ พฺยาปาทปโทสํ ปหาย อพฺยาปนฺนจิโตฺต วิหรติ สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี พฺยาปาทปโทสา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ ถินมิทฺธํ ปหาย วิคตถินมิโทฺธ วิหรติ อาโลกสญฺญี สโต สมฺปชาโน, ถินมิทฺธา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหาย อนุทฺธโต วิหรติ อชฺฌตฺตํ วูปสนฺตจิโตฺต อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ วิจิกิจฺฉํ ปหาย ติณฺณวิจิกิโจฺฉ วิหรติ อกถํกถี กุสเลสุ ธเมฺมสุ, วิจิกิจฺฉาย จิตฺตํ ปริโสเธติฯ

    458. ‘‘So abhijjhaṃ loke pahāya vigatābhijjhena cetasā viharati abhijjhāya cittaṃ parisodheti. Byāpādapadosaṃ pahāya abyāpannacitto viharati sabbapāṇabhūtahitānukampī byāpādapadosā cittaṃ parisodheti. Thinamiddhaṃ pahāya vigatathinamiddho viharati ālokasaññī sato sampajāno, thinamiddhā cittaṃ parisodheti. Uddhaccakukkuccaṃ pahāya anuddhato viharati ajjhattaṃ vūpasantacitto uddhaccakukkuccā cittaṃ parisodheti. Vicikicchaṃ pahāya tiṇṇavicikiccho viharati akathaṃkathī kusalesu dhammesu, vicikicchāya cittaṃ parisodheti.

    ๔๕๙. ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, ปุริโส อิณํ อาทาย กมฺมเนฺต ปโยเชยฺยฯ ตสฺส เต กมฺมนฺตา สมิเชฺฌยฺยุํฯ โส ยานิ จ โปราณานิ อิณมูลานิ ตานิ จ พฺยนฺติํ กเรยฺย, สิยา จสฺส อุตฺตริํ อวสิฎฺฐํ ทารภรณายฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข ปุเพฺพ อิณํ อาทาย กมฺมเนฺต ปโยเชสิํ ฯ ตสฺส เม เต กมฺมนฺตา สมิชฺฌิํสุฯ โสหํ ยานิ จ โปราณานิ อิณมูลานิ ตานิ จ พฺยนฺติํ อกาสิํ, อตฺถิ จ เม อุตฺตริํ อวสิฎฺฐํ ทารภรณายา’ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺสํฯ

    459. ‘‘Seyyathāpi, māṇava, puriso iṇaṃ ādāya kammante payojeyya. Tassa te kammantā samijjheyyuṃ. So yāni ca porāṇāni iṇamūlāni tāni ca byantiṃ kareyya, siyā cassa uttariṃ avasiṭṭhaṃ dārabharaṇāya. Tassa evamassa – ‘ahaṃ kho pubbe iṇaṃ ādāya kammante payojesiṃ . Tassa me te kammantā samijjhiṃsu. Sohaṃ yāni ca porāṇāni iṇamūlāni tāni ca byantiṃ akāsiṃ, atthi ca me uttariṃ avasiṭṭhaṃ dārabharaṇāyā’ti. So tatonidānaṃ labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassaṃ.

    ๔๖๐. ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, ปุริโส อาพาธิโก อสฺส ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโน; ภตฺตญฺจสฺส นจฺฉาเทยฺย, น จสฺส กาเย พลมตฺตาฯ โส อปเรน สมเยน ตมฺหา อาพาธา มุเจฺจยฺย, ภตฺตญฺจสฺส ฉาเทยฺย, สิยา จสฺส กาเย พลมตฺตาฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข ปุเพฺพ อาพาธิโก อโหสิํ ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโน, ภตฺตญฺจ เม นจฺฉาเทสิ, น จ เม อาสิ กาเย พลมตฺตาฯ โสมฺหิ เอตรหิ ตมฺหา อาพาธา มุโตฺต ภตฺตญฺจ เม ฉาเทติ, อตฺถิ จ เม กาเย พลมตฺตา’ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺสํฯ

    460. ‘‘Seyyathāpi, māṇava, puriso ābādhiko assa dukkhito bāḷhagilāno; bhattañcassa nacchādeyya, na cassa kāye balamattā. So aparena samayena tamhā ābādhā mucceyya, bhattañcassa chādeyya, siyā cassa kāye balamattā. Tassa evamassa – ‘ahaṃ kho pubbe ābādhiko ahosiṃ dukkhito bāḷhagilāno, bhattañca me nacchādesi, na ca me āsi kāye balamattā. Somhi etarahi tamhā ābādhā mutto bhattañca me chādeti, atthi ca me kāye balamattā’ti. So tatonidānaṃ labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassaṃ.

    ๔๖๑. ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, ปุริโส พนฺธนาคาเร พโทฺธ อสฺสฯ โส อปเรน สมเยน ตมฺหา พนฺธนาคารา มุเจฺจยฺย โสตฺถินา อพฺภเยน, น จสฺส กิญฺจิ โภคานํ วโยฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข ปุเพฺพ พนฺธนาคาเร พโทฺธ อโหสิํฯ โสมฺหิ เอตรหิ ตมฺหา พนฺธนาคารา มุโตฺต โสตฺถินา อพฺภเยน, นตฺถิ จ เม กิญฺจิ โภคานํ วโย’ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺสํฯ

    461. ‘‘Seyyathāpi, māṇava, puriso bandhanāgāre baddho assa. So aparena samayena tamhā bandhanāgārā mucceyya sotthinā abbhayena, na cassa kiñci bhogānaṃ vayo. Tassa evamassa – ‘ahaṃ kho pubbe bandhanāgāre baddho ahosiṃ. Somhi etarahi tamhā bandhanāgārā mutto sotthinā abbhayena, natthi ca me kiñci bhogānaṃ vayo’ti. So tatonidānaṃ labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassaṃ.

    ๔๖๒. ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, ปุริโส ทาโส อสฺส อนตฺตาธีโน ปราธีโน น เยนกามํคโมฯ โส อปเรน สมเยน ตมฺหา ทาสพฺยา มุเจฺจยฺย, อตฺตาธีโน อปราธีโน ภุชิโสฺส เยนกามํคโมฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข ปุเพฺพ ทาโส อโหสิํ อนตฺตาธีโน ปราธีโน น เยนกามํคโมฯ โสมฺหิ เอตรหิ ตมฺหา ทาสพฺยา มุโตฺต อตฺตาธีโน อปราธีโน ภุชิโสฺส เยนกามํคโม’ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺสํฯ

    462. ‘‘Seyyathāpi, māṇava, puriso dāso assa anattādhīno parādhīno na yenakāmaṃgamo. So aparena samayena tamhā dāsabyā mucceyya, attādhīno aparādhīno bhujisso yenakāmaṃgamo. Tassa evamassa – ‘ahaṃ kho pubbe dāso ahosiṃ anattādhīno parādhīno na yenakāmaṃgamo. Somhi etarahi tamhā dāsabyā mutto attādhīno aparādhīno bhujisso yenakāmaṃgamo’ti. So tatonidānaṃ labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassaṃ.

    ๔๖๓. ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, ปุริโส สธโน สโภโค กนฺตารทฺธานมคฺคํ ปฎิปเชฺชยฺย ทุพฺภิกฺขํ สปฺปฎิภยํฯ โส อปเรน สมเยน ตํ กนฺตารํ นิตฺถเรยฺย, โสตฺถินา คามนฺตํ อนุปาปุเณยฺย เขมํ อปฺปฎิภยํฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข ปุเพฺพ สธโน สโภโค กนฺตารทฺธานมคฺคํ ปฎิปชฺชิํ ทุพฺภิกฺขํ สปฺปฎิภยํฯ โสมฺหิ เอตรหิ กนฺตารํ นิตฺถิโณฺณ, โสตฺถินา คามนฺตํ อนุปฺปโตฺต เขมํ อปฺปฎิภย’นฺติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺสํฯ

    463. ‘‘Seyyathāpi, māṇava, puriso sadhano sabhogo kantāraddhānamaggaṃ paṭipajjeyya dubbhikkhaṃ sappaṭibhayaṃ. So aparena samayena taṃ kantāraṃ nitthareyya, sotthinā gāmantaṃ anupāpuṇeyya khemaṃ appaṭibhayaṃ. Tassa evamassa – ‘ahaṃ kho pubbe sadhano sabhogo kantāraddhānamaggaṃ paṭipajjiṃ dubbhikkhaṃ sappaṭibhayaṃ. Somhi etarahi kantāraṃ nitthiṇṇo, sotthinā gāmantaṃ anuppatto khemaṃ appaṭibhaya’nti. So tatonidānaṃ labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassaṃ.

    ๔๖๔. ‘‘เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ ยถา อิณํ ยถา โรคํ ยถา พนฺธนาคารํ ยถา ทาสพฺยํ ยถา กนฺตารทฺธานมคฺคํ, เอวํ อิเม ปญฺจ นีวรเณ อปฺปหีเน อตฺตนิ สมนุปสฺสติฯ

    464. ‘‘Evameva kho, māṇava, bhikkhu yathā iṇaṃ yathā rogaṃ yathā bandhanāgāraṃ yathā dāsabyaṃ yathā kantāraddhānamaggaṃ, evaṃ ime pañca nīvaraṇe appahīne attani samanupassati.

    ๔๖๕. ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, ยถา อาณณฺยํ ยถา อาโรคฺยํ ยถา พนฺธนาโมกฺขํ ยถา ภุชิสฺสํ ยถา เขมนฺตภูมิํฯ เอวเมว ภิกฺขุ อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหีเน อตฺตนิ สมนุปสฺสติฯ

    465. ‘‘Seyyathāpi, māṇava, yathā āṇaṇyaṃ yathā ārogyaṃ yathā bandhanāmokkhaṃ yathā bhujissaṃ yathā khemantabhūmiṃ. Evameva bhikkhu ime pañca nīvaraṇe pahīne attani samanupassati.

    ๔๖๖. ‘‘ตสฺสิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหีเน อตฺตนิ สมนุปสฺสโต ปาโมชฺชํ ชายติ, ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติ, ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติ, ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวเทติ, สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติฯ

    466. ‘‘Tassime pañca nīvaraṇe pahīne attani samanupassato pāmojjaṃ jāyati, pamuditassa pīti jāyati, pītimanassa kāyo passambhati, passaddhakāyo sukhaṃ vedeti, sukhino cittaṃ samādhiyati.

    ๔๖๗. ‘‘โส วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ วิเวกเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส วิเวกเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ

    467. ‘‘So vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ vivekajena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa vivekajena pītisukhena apphuṭaṃ hoti.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, ทโกฺข นฺหาปโก วา นฺหาปกเนฺตวาสี วา กํสถาเล นฺหานียจุณฺณานิ อากิริตฺวา อุทเกน ปริโปฺผสกํ ปริโปฺผสกํ สเนฺทยฺยฯ สายํ นฺหานียปิณฺฑิ เสฺนหานุคตา เสฺนหปเรตา สนฺตรพาหิรา ผุฎา เสฺนเหน, น จ ปคฺฆรณีฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ วิเวกเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส วิเวกเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ ยมฺปิ, มาณว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ วิเวกเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส วิเวกเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สมาธิสฺมิํฯ

    ‘‘Seyyathāpi, māṇava, dakkho nhāpako vā nhāpakantevāsī vā kaṃsathāle nhānīyacuṇṇāni ākiritvā udakena paripphosakaṃ paripphosakaṃ sandeyya. Sāyaṃ nhānīyapiṇḍi snehānugatā snehaparetā santarabāhirā phuṭā snehena, na ca paggharaṇī. Evameva kho, māṇava, bhikkhu imameva kāyaṃ vivekajena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa vivekajena pītisukhena apphuṭaṃ hoti. Yampi, māṇava, bhikkhu vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ vivekajena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa vivekajena pītisukhena apphuṭaṃ hoti. Idampissa hoti samādhismiṃ.

    ๔๖๘. ‘‘ปุน จปรํ, มาณว, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ สมาธิเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส สมาธิเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ

    468. ‘‘Puna caparaṃ, māṇava, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ samādhijena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa samādhijena pītisukhena apphuṭaṃ hoti.

    ‘‘เสยฺยถาปิ , มาณว, อุทกรหโท คมฺภีโร อุพฺภิโททโกฯ ตสฺส เนวสฺส ปุรตฺถิมาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น ทกฺขิณาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น ปจฺฉิมาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น อุตฺตราย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, เทโว จ น กาเลน กาลํ สมฺมา ธารํ อนุปเวเจฺฉยฺยฯ อถ โข ตมฺหาว อุทกรหทา สีตา วาริธารา อุพฺภิชฺชิตฺวา ตเมว อุทกรหทํ สีเตน วารินา อภิสเนฺทยฺย ปริสเนฺทยฺย ปริปูเรยฺย ปริปฺผเรยฺย, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต อุทกรหทสฺส สีเตน วารินา อปฺผุฎํ อสฺสฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ…เป.… ยมฺปิ, มาณว, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา… เป.… ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, โส อิมเมว กายํ สมาธิเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส สมาธิเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สมาธิสฺมิํฯ

    ‘‘Seyyathāpi , māṇava, udakarahado gambhīro ubbhidodako. Tassa nevassa puratthimāya disāya udakassa āyamukhaṃ, na dakkhiṇāya disāya udakassa āyamukhaṃ, na pacchimāya disāya udakassa āyamukhaṃ, na uttarāya disāya udakassa āyamukhaṃ, devo ca na kālena kālaṃ sammā dhāraṃ anupaveccheyya. Atha kho tamhāva udakarahadā sītā vāridhārā ubbhijjitvā tameva udakarahadaṃ sītena vārinā abhisandeyya parisandeyya paripūreyya paripphareyya, nāssa kiñci sabbāvato udakarahadassa sītena vārinā apphuṭaṃ assa. Evameva kho, māṇava, bhikkhu…pe… yampi, māṇava, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā… pe… dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati, so imameva kāyaṃ samādhijena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa samādhijena pītisukhena apphuṭaṃ hoti. Idampissa hoti samādhismiṃ.

    ๔๖๙. ‘‘ปุน จปรํ, มาณว, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ สโต สมฺปชาโน , สุขญฺจ กาเยน ปฎิสํเวเทติ, ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ – ‘‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี’’ติ, ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ นิปฺปีติเกน สุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส นิปฺปีติเกน สุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ

    469. ‘‘Puna caparaṃ, māṇava, bhikkhu pītiyā ca virāgā upekkhako ca viharati sato sampajāno , sukhañca kāyena paṭisaṃvedeti, yaṃ taṃ ariyā ācikkhanti – ‘‘upekkhako satimā sukhavihārī’’ti, tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ nippītikena sukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa nippītikena sukhena apphuṭaṃ hoti.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, อุปฺปลินิยํ วา ปทุมินิยํ วา ปุณฺฑรีกินิยํ วา อเปฺปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ อโนฺตนิมุคฺคโปสีนิ, ตานิ ยาว จคฺคา ยาว จ มูลา สีเตน วารินา อภิสนฺนานิ ปริสนฺนานิ ปริปูรานิ ปริปฺผุฎานิ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวตํ อุปฺปลานํ วา ปทุมานํ วา ปุณฺฑรีกานํ วา สีเตน วารินา อปฺผุฎํ อสฺสฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ…เป.… ยมฺปิ, มาณว, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา…เป.… ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ นิปฺปีติเกน สุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส นิปฺปีติเกน สุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สมาธิสฺมิํฯ

    ‘‘Seyyathāpi, māṇava, uppaliniyaṃ vā paduminiyaṃ vā puṇḍarīkiniyaṃ vā appekaccāni uppalāni vā padumāni vā puṇḍarīkāni vā udake jātāni udake saṃvaḍḍhāni udakānuggatāni antonimuggaposīni, tāni yāva caggā yāva ca mūlā sītena vārinā abhisannāni parisannāni paripūrāni paripphuṭāni, nāssa kiñci sabbāvataṃ uppalānaṃ vā padumānaṃ vā puṇḍarīkānaṃ vā sītena vārinā apphuṭaṃ assa. Evameva kho, māṇava, bhikkhu…pe… yampi, māṇava, bhikkhu pītiyā ca virāgā…pe… tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ nippītikena sukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa nippītikena sukhena apphuṭaṃ hoti. Idampissa hoti samādhismiṃ.

    ๔๗๐. ‘‘ปุน จปรํ, มาณว, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตน ผริตฺวา นิสิโนฺน โหติ; นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตน อปฺผุฎํ โหติฯ

    470. ‘‘Puna caparaṃ, māṇava, bhikkhu sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ parisuddhena cetasā pariyodātena pharitvā nisinno hoti; nāssa kiñci sabbāvato kāyassa parisuddhena cetasā pariyodātena apphuṭaṃ hoti.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, ปุริโส โอทาเตน วเตฺถน สสีสํ ปารุปิตฺวา นิสิโนฺน อสฺส, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส โอทาเตน วเตฺถน อปฺผุฎํ อสฺสฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ…เป.… ยมฺปิ, มาณว, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตน ผริตฺวา นิสิโนฺน โหติ; นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตน อปฺผุฎํ โหติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ สมาธิสฺมิํฯ

    ‘‘Seyyathāpi, māṇava, puriso odātena vatthena sasīsaṃ pārupitvā nisinno assa, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa odātena vatthena apphuṭaṃ assa. Evameva kho, māṇava, bhikkhu…pe… yampi, māṇava, bhikkhu sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ parisuddhena cetasā pariyodātena pharitvā nisinno hoti; nāssa kiñci sabbāvato kāyassa parisuddhena cetasā pariyodātena apphuṭaṃ hoti. Idampissa hoti samādhismiṃ.

    ๔๗๑. ‘‘อยํ โข โส, มาณว, อริโย สมาธิกฺขโนฺธ ยสฺส โส ภควา วณฺณวาที อโหสิ , ยตฺถ จ อิมํ ชนตํ สมาทเปสิ นิเวเสสิ ปติฎฺฐาเปสิฯ อตฺถิ เจเวตฺถ อุตฺตริกรณีย’’นฺติฯ

    471. ‘‘Ayaṃ kho so, māṇava, ariyo samādhikkhandho yassa so bhagavā vaṇṇavādī ahosi , yattha ca imaṃ janataṃ samādapesi nivesesi patiṭṭhāpesi. Atthi cevettha uttarikaraṇīya’’nti.

    ‘‘อจฺฉริยํ, โภ อานนฺท, อพฺภุตํ, โภ อานนฺท! โส จายํ, โภ อานนฺท, อริโย สมาธิกฺขโนฺธ ปริปุโณฺณ, โน อปริปุโณฺณฯ เอวํ ปริปุณฺณํ จาหํ, โภ อานนฺท, อริยํ สมาธิกฺขนฺธํ อิโต พหิทฺธา อเญฺญสุ สมณพฺราหฺมเณสุ น สมนุปสฺสามิฯ เอวํ ปริปุณฺณญฺจ, โภ อานนฺท, อริยํ สมาธิกฺขนฺธํ อิโต พหิทฺธา อเญฺญ สมณพฺราหฺมณา อตฺตนิ สมนุปเสฺสยฺยุํ, เต ตาวตเกเนว อตฺตมนา อสฺสุ – ‘อลเมตฺตาวตา, กตเมตฺตาวตา, อนุปฺปโตฺต โน สามญฺญโตฺถ, นตฺถิ โน กิญฺจิ อุตฺตริกรณีย’นฺติฯ อถ จ ปน ภวํ อานโนฺท เอวมาห – ‘อตฺถิ เจเวตฺถ อุตฺตริกรณีย’’’นฺติฯ

    ‘‘Acchariyaṃ, bho ānanda, abbhutaṃ, bho ānanda! So cāyaṃ, bho ānanda, ariyo samādhikkhandho paripuṇṇo, no aparipuṇṇo. Evaṃ paripuṇṇaṃ cāhaṃ, bho ānanda, ariyaṃ samādhikkhandhaṃ ito bahiddhā aññesu samaṇabrāhmaṇesu na samanupassāmi. Evaṃ paripuṇṇañca, bho ānanda, ariyaṃ samādhikkhandhaṃ ito bahiddhā aññe samaṇabrāhmaṇā attani samanupasseyyuṃ, te tāvatakeneva attamanā assu – ‘alamettāvatā, katamettāvatā, anuppatto no sāmaññattho, natthi no kiñci uttarikaraṇīya’nti. Atha ca pana bhavaṃ ānando evamāha – ‘atthi cevettha uttarikaraṇīya’’’nti.

    ปญฺญากฺขโนฺธ

    Paññākkhandho

    ๔๗๒. ‘‘กตโม ปน โส, โภ อานนฺท, อริโย ปญฺญากฺขโนฺธ, ยสฺส โภ ภวํ โคตโม วณฺณวาที อโหสิ, ยตฺถ จ อิมํ ชนตํ สมาทเปสิ นิเวเสสิ ปติฎฺฐาเปสี’’ติ?

    472. ‘‘Katamo pana so, bho ānanda, ariyo paññākkhandho, yassa bho bhavaṃ gotamo vaṇṇavādī ahosi, yattha ca imaṃ janataṃ samādapesi nivesesi patiṭṭhāpesī’’ti?

    ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ญาณทสฺสนาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘อยํ โข เม กาโย รูปี จาตุมหาภูติโก มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสูปจโย อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทนวิทฺธํสนธโมฺม; อิทญฺจ ปน เม วิญฺญาณํ เอตฺถ สิตํ เอตฺถ ปฎิพทฺธ’นฺติฯ

    ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte ñāṇadassanāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So evaṃ pajānāti – ‘ayaṃ kho me kāyo rūpī cātumahābhūtiko mātāpettikasambhavo odanakummāsūpacayo aniccucchādanaparimaddanabhedanaviddhaṃsanadhammo; idañca pana me viññāṇaṃ ettha sitaṃ ettha paṭibaddha’nti.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฎฺฐํโส สุปริกมฺมกโต อโจฺฉ วิปฺปสโนฺน อนาวิโล สพฺพาการสมฺปโนฺนฯ ตตฺราสฺส สุตฺตํ อาวุตํ นีลํ วา ปีตํ วา โลหิตํ วา โอทาตํ วา ปณฺฑุสุตฺตํ วาฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส หเตฺถ กริตฺวา ปจฺจเวเกฺขยฺย – ‘อยํ โข มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฎฺฐํโส สุปริกมฺมกโต อโจฺฉ วิปฺปสโนฺน อนาวิโล สพฺพาการสมฺปโนฺนฯ ตตฺริทํ สุตฺตํ อาวุตํ นีลํ วา ปีตํ วา โลหิตํ วา โอทาตํ วา ปณฺฑุสุตฺตํ วา’ติฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ญาณทสฺสนาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘อยํ โข เม กาโย รูปี จาตุมหาภูติโก มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสูปจโย อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทน-วิทฺธํสนธโมฺมฯ อิทญฺจ ปน เม วิญฺญาณํ เอตฺถ สิตํ เอตฺถ ปฎิพทฺธ’นฺติฯ ยมฺปิ, มาณว, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต…เป.… อาเนญฺชปฺปเตฺต ญาณทสฺสนาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส เอวํ ปชานาติ…เป.… เอตฺถ ปฎิพทฺธนฺติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ ปญฺญายฯ

    ‘‘Seyyathāpi, māṇava, maṇi veḷuriyo subho jātimā aṭṭhaṃso suparikammakato accho vippasanno anāvilo sabbākārasampanno. Tatrāssa suttaṃ āvutaṃ nīlaṃ vā pītaṃ vā lohitaṃ vā odātaṃ vā paṇḍusuttaṃ vā. Tamenaṃ cakkhumā puriso hatthe karitvā paccavekkheyya – ‘ayaṃ kho maṇi veḷuriyo subho jātimā aṭṭhaṃso suparikammakato accho vippasanno anāvilo sabbākārasampanno. Tatridaṃ suttaṃ āvutaṃ nīlaṃ vā pītaṃ vā lohitaṃ vā odātaṃ vā paṇḍusuttaṃ vā’ti. Evameva kho, māṇava, bhikkhu evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte ñāṇadassanāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So evaṃ pajānāti – ‘ayaṃ kho me kāyo rūpī cātumahābhūtiko mātāpettikasambhavo odanakummāsūpacayo aniccucchādanaparimaddanabhedana-viddhaṃsanadhammo. Idañca pana me viññāṇaṃ ettha sitaṃ ettha paṭibaddha’nti. Yampi, māṇava, bhikkhu evaṃ samāhite citte…pe… āneñjappatte ñāṇadassanāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So evaṃ pajānāti…pe… ettha paṭibaddhanti. Idampissa hoti paññāya.

    ๔๗๓. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต มโนมยํ กายํ อภินิมฺมานาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส อิมมฺหา กายา อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินาติ รูปิํ มโนมยํ สพฺพงฺคปจฺจงฺคิํ อหีนินฺทฺริยํฯ

    473. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte manomayaṃ kāyaṃ abhinimmānāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So imamhā kāyā aññaṃ kāyaṃ abhinimmināti rūpiṃ manomayaṃ sabbaṅgapaccaṅgiṃ ahīnindriyaṃ.

    ‘‘เสยฺยถาปิ , มาณว, ปุริโส มุญฺชมฺหา อีสิกํ ปวาเหยฺยฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อยํ มุโญฺช อยํ อีสิกา; อโญฺญ มุโญฺช อญฺญา อีสิกา; มุญฺชมฺหา เตฺวว อีสิกา ปวาฬฺหา’ติฯ เสยฺยถา วา ปน, มาณว, ปุริโส อสิํ โกสิยา ปวาเหยฺยฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อยํ อสิ, อยํ โกสิ; อโญฺญ อสิ, อญฺญา โกสิ; โกสิยา เตฺวว อสิ ปวาโฬฺห’ติฯ เสยฺยถา วา ปน, มาณว, ปุริโส อหิํ กรณฺฑา อุทฺธเรยฺยฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อยํ อหิ, อยํ กรโณฺฑ; อโญฺญ อหิ, อโญฺญ กรโณฺฑ; กรณฺฑา เตฺวว อหิ อุพฺภโต’ติ ฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ…เป.… ยมฺปิ, มาณว, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต มโนมยํ กายํ อภินิมฺมานาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติ…เป.…ฯ อิทมฺปิสฺส โหติ ปญฺญายฯ

    ‘‘Seyyathāpi , māṇava, puriso muñjamhā īsikaṃ pavāheyya. Tassa evamassa – ‘ayaṃ muñjo ayaṃ īsikā; añño muñjo aññā īsikā; muñjamhā tveva īsikā pavāḷhā’ti. Seyyathā vā pana, māṇava, puriso asiṃ kosiyā pavāheyya. Tassa evamassa – ‘ayaṃ asi, ayaṃ kosi; añño asi, aññā kosi; kosiyā tveva asi pavāḷho’ti. Seyyathā vā pana, māṇava, puriso ahiṃ karaṇḍā uddhareyya. Tassa evamassa – ‘ayaṃ ahi, ayaṃ karaṇḍo; añño ahi, añño karaṇḍo; karaṇḍā tveva ahi ubbhato’ti . Evameva kho, māṇava, bhikkhu…pe… yampi, māṇava, bhikkhu evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte manomayaṃ kāyaṃ abhinimmānāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti…pe…. Idampissa hoti paññāya.

    ๔๗๔. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อิทฺธิวิธาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภติฯ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติฯ อาวิภาวํ ติโรภาวํ ติโรกุฎฺฎํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมาโน คจฺฉติ เสยฺยถาปิ อากาเสฯ ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรติ, เสยฺยถาปิ อุทเกฯ อุทเกปิ อภิชฺชมาเน คจฺฉติ เสยฺยถาปิ ปถวิยํฯ อากาเสปิ ปลฺลเงฺกน กมติ เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณฯ อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํ มหิทฺธิเก เอวํ มหานุภาเว ปาณินา ปรามสติ ปริมชฺชติฯ ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วเตฺตติฯ

    474. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte iddhividhāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So anekavihitaṃ iddhividhaṃ paccanubhoti. Ekopi hutvā bahudhā hoti, bahudhāpi hutvā eko hoti. Āvibhāvaṃ tirobhāvaṃ tirokuṭṭaṃ tiropākāraṃ tiropabbataṃ asajjamāno gacchati seyyathāpi ākāse. Pathaviyāpi ummujjanimujjaṃ karoti, seyyathāpi udake. Udakepi abhijjamāne gacchati seyyathāpi pathaviyaṃ. Ākāsepi pallaṅkena kamati seyyathāpi pakkhī sakuṇo. Imepi candimasūriye evaṃ mahiddhike evaṃ mahānubhāve pāṇinā parāmasati parimajjati. Yāva brahmalokāpi kāyena vasaṃ vatteti.

    ‘‘เสยฺยถาปิ , มาณว, ทโกฺข กุมฺภกาโร วา กุมฺภการเนฺตวาสี วา สุปริกมฺมกตาย มตฺติกาย ยญฺญเทว ภาชนวิกติํ อากเงฺขยฺย, ตํ ตเทว กเรยฺย อภินิปฺผาเทยฺยฯ เสยฺยถา วา ปน, มาณว, ทโกฺข ทนฺตกาโร วา ทนฺตการเนฺตวาสี วา สุปริกมฺมกตสฺมิํ ทนฺตสฺมิํ ยญฺญเทว ทนฺตวิกติํ อากเงฺขยฺย, ตํ ตเทว กเรยฺย อภินิปฺผาเทยฺยฯ เสยฺยถา วา ปน, มาณว, ทโกฺข สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา สุปริกมฺมกตสฺมิํ สุวณฺณสฺมิํ ยญฺญเทว สุวณฺณวิกติํ อากเงฺขยฺย, ตํ ตเทว กเรยฺย อภินิปฺผาเทยฺยฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ …เป.… ยมฺปิ มาณว ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อิทฺธิวิธาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภติฯ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ …เป.… ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วเตฺตติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ ปญฺญายฯ

    ‘‘Seyyathāpi , māṇava, dakkho kumbhakāro vā kumbhakārantevāsī vā suparikammakatāya mattikāya yaññadeva bhājanavikatiṃ ākaṅkheyya, taṃ tadeva kareyya abhinipphādeyya. Seyyathā vā pana, māṇava, dakkho dantakāro vā dantakārantevāsī vā suparikammakatasmiṃ dantasmiṃ yaññadeva dantavikatiṃ ākaṅkheyya, taṃ tadeva kareyya abhinipphādeyya. Seyyathā vā pana, māṇava, dakkho suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā suparikammakatasmiṃ suvaṇṇasmiṃ yaññadeva suvaṇṇavikatiṃ ākaṅkheyya, taṃ tadeva kareyya abhinipphādeyya. Evameva kho, māṇava, bhikkhu …pe… yampi māṇava bhikkhu evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte iddhividhāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So anekavihitaṃ iddhividhaṃ paccanubhoti. Ekopi hutvā bahudhā hoti …pe… yāva brahmalokāpi kāyena vasaṃ vatteti. Idampissa hoti paññāya.

    ๔๗๕. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต…เป.… อาเนญฺชปฺปเตฺต ทิพฺพาย โสตธาตุยา จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สเทฺท สุณาติ ทิเพฺพ จ มานุเส จ เย ทูเร สนฺติเก จฯ เสยฺยถาปิ, มาณว, ปุริโส อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺนฯ โส สุเณยฺย เภริสทฺทมฺปิ มุทิงฺคสทฺทมฺปิ สงฺขปณวทินฺทิมสทฺทมฺปิฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘เภริสโทฺท อิติปิ มุทิงฺคสโทฺท อิติปิ สงฺขปณวทินฺทิมสโทฺท อิติ’ปิ 5ฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ…เป.…ฯ ยมฺปิ มาณว, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต…เป.… อาเนญฺชปฺปเตฺต ทิพฺพาย โสตธาตุยา จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สเทฺท สุณาติ ทิเพฺพ จ มานุเส จ เย ทูเร สนฺติเก จฯ อิทมฺปิสฺส โหติ ปญฺญายฯ

    475. ‘‘So evaṃ samāhite citte…pe… āneñjappatte dibbāya sotadhātuyā cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya ubho sadde suṇāti dibbe ca mānuse ca ye dūre santike ca. Seyyathāpi, māṇava, puriso addhānamaggappaṭipanno. So suṇeyya bherisaddampi mudiṅgasaddampi saṅkhapaṇavadindimasaddampi. Tassa evamassa – ‘bherisaddo itipi mudiṅgasaddo itipi saṅkhapaṇavadindimasaddo iti’pi 6. Evameva kho, māṇava, bhikkhu…pe…. Yampi māṇava, bhikkhu evaṃ samāhite citte…pe… āneñjappatte dibbāya sotadhātuyā cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya ubho sadde suṇāti dibbe ca mānuse ca ye dūre santike ca. Idampissa hoti paññāya.

    ๔๗๖. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต เจโตปริยญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาติ, ‘สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘วีตราคํ วา จิตฺตํ วีตราคํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘สโทสํ วา จิตฺตํ สโทสํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘วีตโทสํ วา จิตฺตํ วีตโทสํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘สโมหํ วา จิตฺตํ สโมหํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘วีตโมหํ วา จิตฺตํ วีตโมหํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ สงฺขิตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ วิกฺขิตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘มหคฺคตํ วา จิตฺตํ มหคฺคตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ อมหคฺคตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘สอุตฺตรํ วา จิตฺตํ สอุตฺตรํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ อนุตฺตรํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘สมาหิตํ วา จิตฺตํ สมาหิตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘อสมาหิตํ วา จิตฺตํ อสมาหิตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิมุตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, ‘อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ อวิมุตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติฯ

    476. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte cetopariyañāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So parasattānaṃ parapuggalānaṃ cetasā ceto paricca pajānāti, ‘sarāgaṃ vā cittaṃ sarāgaṃ citta’nti pajānāti, ‘vītarāgaṃ vā cittaṃ vītarāgaṃ citta’nti pajānāti, ‘sadosaṃ vā cittaṃ sadosaṃ citta’nti pajānāti, ‘vītadosaṃ vā cittaṃ vītadosaṃ citta’nti pajānāti, ‘samohaṃ vā cittaṃ samohaṃ citta’nti pajānāti, ‘vītamohaṃ vā cittaṃ vītamohaṃ citta’nti pajānāti, ‘saṅkhittaṃ vā cittaṃ saṅkhittaṃ citta’nti pajānāti, ‘vikkhittaṃ vā cittaṃ vikkhittaṃ citta’nti pajānāti, ‘mahaggataṃ vā cittaṃ mahaggataṃ citta’nti pajānāti, ‘amahaggataṃ vā cittaṃ amahaggataṃ citta’nti pajānāti, ‘sauttaraṃ vā cittaṃ sauttaraṃ citta’nti pajānāti, ‘anuttaraṃ vā cittaṃ anuttaraṃ citta’nti pajānāti, ‘samāhitaṃ vā cittaṃ samāhitaṃ citta’nti pajānāti, ‘asamāhitaṃ vā cittaṃ asamāhitaṃ citta’nti pajānāti, ‘vimuttaṃ vā cittaṃ vimuttaṃ citta’nti pajānāti, ‘avimuttaṃ vā cittaṃ avimuttaṃ citta’nti pajānāti.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, อิตฺถี วา ปุริโส วา ทหโร ยุวา มณฺฑนชาติโก อาทาเส วา ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อเจฺฉ วา อุทกปเตฺต สกํ มุขนิมิตฺตํ ปจฺจเวกฺขมาโน สกณิกํ วา สกณิกนฺติ ชาเนยฺย, อกณิกํ วา อกณิกนฺติ ชาเนยฺยฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ…เป.… ยมฺปิ, มาณว, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต…เป.… อาเนญฺชปฺปเตฺต เจโตปริยญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส ปรสตฺตานํ ปุรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาติ, สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ…เป.… อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ อวิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ ปญฺญายฯ

    ‘‘Seyyathāpi, māṇava, itthī vā puriso vā daharo yuvā maṇḍanajātiko ādāse vā parisuddhe pariyodāte acche vā udakapatte sakaṃ mukhanimittaṃ paccavekkhamāno sakaṇikaṃ vā sakaṇikanti jāneyya, akaṇikaṃ vā akaṇikanti jāneyya. Evameva kho, māṇava, bhikkhu…pe… yampi, māṇava, bhikkhu evaṃ samāhite…pe… āneñjappatte cetopariyañāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So parasattānaṃ purapuggalānaṃ cetasā ceto paricca pajānāti, sarāgaṃ vā cittaṃ sarāgaṃ cittanti pajānāti…pe… avimuttaṃ vā cittaṃ avimuttaṃ cittanti pajānāti. Idampissa hoti paññāya.

    ๔๗๗. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต…เป.… อาเนญฺชปฺปเตฺต ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ เสยฺยถิทํ, เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ติํสมฺปิ ชาติโย จตฺตาลีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ วิวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺป – ‘อมุตฺราสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺตฯ โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทิํ; ตตฺราปาสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต; โส ตโต จุโต อิธูปปโนฺน’ติฯ อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ

    477. ‘‘So evaṃ samāhite citte…pe… āneñjappatte pubbenivāsānussatiñāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati. Seyyathidaṃ, ekampi jātiṃ dvepi jātiyo tissopi jātiyo catassopi jātiyo pañcapi jātiyo dasapi jātiyo vīsampi jātiyo tiṃsampi jātiyo cattālīsampi jātiyo paññāsampi jātiyo jātisatampi jātisahassampi jātisatasahassampi anekepi saṃvaṭṭakappe anekepi vivaṭṭakappe anekepi saṃvaṭṭavivaṭṭakappe – ‘amutrāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto. So tato cuto amutra udapādiṃ; tatrāpāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto; so tato cuto idhūpapanno’ti. Iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, ปุริโส สกมฺหา คามา อญฺญํ คามํ คเจฺฉยฺย; ตมฺหาปิ คามา อญฺญํ คามํ คเจฺฉยฺย; โส ตมฺหา คามา สกํเยว คามํ ปจฺจาคเจฺฉยฺย ฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข สกมฺหา คามา อมุํ คามํ อคจฺฉิํ, ตตฺร เอวํ อฎฺฐาสิํ เอวํ นิสีทิํ เอวํ อภาสิํ เอวํ ตุณฺหี อโหสิํฯ โส ตมฺหาปิ คามา อมุํ คามํ คจฺฉิํ, ตตฺราปิ เอวํ อฎฺฐาสิํ เอวํ นิสีทิํ เอวํ อภาสิํ เอวํ ตุณฺหี อโหสิํฯ โสมฺหิ ตมฺหา คามา สกํเยว คามํ ปจฺจาคโต’ติฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ…เป.… ยมฺปิ, มาณว, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต…เป.… อาเนญฺชปฺปเตฺต ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติ ฯ โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ…เป.… อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ ปญฺญายฯ

    ‘‘Seyyathāpi, māṇava, puriso sakamhā gāmā aññaṃ gāmaṃ gaccheyya; tamhāpi gāmā aññaṃ gāmaṃ gaccheyya; so tamhā gāmā sakaṃyeva gāmaṃ paccāgaccheyya . Tassa evamassa – ‘ahaṃ kho sakamhā gāmā amuṃ gāmaṃ agacchiṃ, tatra evaṃ aṭṭhāsiṃ evaṃ nisīdiṃ evaṃ abhāsiṃ evaṃ tuṇhī ahosiṃ. So tamhāpi gāmā amuṃ gāmaṃ gacchiṃ, tatrāpi evaṃ aṭṭhāsiṃ evaṃ nisīdiṃ evaṃ abhāsiṃ evaṃ tuṇhī ahosiṃ. Somhi tamhā gāmā sakaṃyeva gāmaṃ paccāgato’ti. Evameva kho, māṇava, bhikkhu…pe… yampi, māṇava, bhikkhu evaṃ samāhite citte…pe… āneñjappatte pubbenivāsānussatiñāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti . So anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati. Seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ…pe… iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati. Idampissa hoti paññāya.

    ๔๗๘. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต…เป.… อาเนญฺชปฺปเตฺต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต, ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติ – ‘อิเม วต โภโนฺต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานาฯ เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนาฯ อิเม วา ปน โภโนฺต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฎฺฐิกา สมฺมาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานาฯ เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา’ติฯ อิติ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต, ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ

    478. ‘‘So evaṃ samāhite citte…pe… āneñjappatte sattānaṃ cutūpapātañāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate, yathākammūpage satte pajānāti – ‘ime vata bhonto sattā kāyaduccaritena samannāgatā vacīduccaritena samannāgatā manoduccaritena samannāgatā ariyānaṃ upavādakā micchādiṭṭhikā micchādiṭṭhikammasamādānā. Te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapannā. Ime vā pana bhonto sattā kāyasucaritena samannāgatā vacīsucaritena samannāgatā manosucaritena samannāgatā ariyānaṃ anupavādakā sammādiṭṭhikā sammādiṭṭhikammasamādānā. Te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapannā’ti. Iti dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate, yathākammūpage satte pajānāti.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, มเชฺฌสิงฺฆาฎเก ปาสาโท, ตตฺถ จกฺขุมา ปุริโส ฐิโต ปเสฺสยฺย มนุเสฺส เคหํ ปวิสเนฺตปิ นิกฺขมเนฺตปิ รถิกายปิ วีถิํ สญฺจรเนฺต มเชฺฌสิงฺฆาฎเก นิสิเนฺนปิฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘เอเต มนุสฺสา เคหํ ปวิสนฺติ, เอเต นิกฺขมนฺติ, เอเต รถิกาย วีถิํ สญฺจรนฺติ, เอเต มเชฺฌสิงฺฆาฎเก นิสินฺนา’ติฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ…เป.… ยมฺปิ, มาณว, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต…เป.… อาเนญฺชปฺปเตฺต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต, ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ ปญฺญายฯ

    ‘‘Seyyathāpi, māṇava, majjhesiṅghāṭake pāsādo, tattha cakkhumā puriso ṭhito passeyya manusse gehaṃ pavisantepi nikkhamantepi rathikāyapi vīthiṃ sañcarante majjhesiṅghāṭake nisinnepi. Tassa evamassa – ‘ete manussā gehaṃ pavisanti, ete nikkhamanti, ete rathikāya vīthiṃ sañcaranti, ete majjhesiṅghāṭake nisinnā’ti. Evameva kho, māṇava, bhikkhu…pe… yampi, māṇava, bhikkhu evaṃ samāhite citte…pe… āneñjappatte sattānaṃ cutūpapātañāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate, yathākammūpage satte pajānāti. Idampissa hoti paññāya.

    ๔๗๙. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส อิทํ ทุกฺขนฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ ทุกฺขสมุทโยติ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ ทุกฺขนิโรโธติ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทาติ ยถาภูตํ ปชานาติ; อิเม อาสวาติ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ อาสวสมุทโยติ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ อาสวนิโรโธติ ยถาภูตํ ปชานาติ , อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฎิปทาติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ

    479. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte āsavānaṃ khayañāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So idaṃ dukkhanti yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ dukkhasamudayoti yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ dukkhanirodhoti yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadāti yathābhūtaṃ pajānāti; ime āsavāti yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ āsavasamudayoti yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ āsavanirodhoti yathābhūtaṃ pajānāti , ayaṃ āsavanirodhagāminī paṭipadāti yathābhūtaṃ pajānāti. Tassa evaṃ jānato evaṃ passato kāmāsavāpi cittaṃ vimuccati, bhavāsavāpi cittaṃ vimuccati, avijjāsavāpi cittaṃ vimuccati, vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hoti. ‘Khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, มาณว, ปพฺพตสเงฺขเป อุทกรหโท อโจฺฉ วิปฺปสโนฺน อนาวิโลฯ ตตฺถ จกฺขุมา ปุริโส ตีเร ฐิโต ปเสฺสยฺย สิปฺปิกสมฺพุกมฺปิ สกฺขรกถลมฺปิ มจฺฉคุมฺพมฺปิ จรนฺตมฺปิ ติฎฺฐนฺตมฺปิฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อยํ โข อุทกรหโท อโจฺฉ วิปฺปสโนฺน อนาวิโลฯ ตตฺริเม สิปฺปิกสมฺพุกาปิ สกฺขรกถลาปิ มจฺฉคุมฺพาปิ จรนฺติปิ ติฎฺฐนฺติปี’ติฯ เอวเมว โข, มาณว, ภิกฺขุ…เป.… ยมฺปิ, มาณว, ภิกฺขุ เอวํ สมาหิเต จิเตฺต…เป.… อาเนญฺชปฺปเตฺต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติฯ โส อิทํ ทุกฺขนฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ…เป.… อาสวนิโรธคามินี ปฎิปทาติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ, ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติ ฯ อิทมฺปิสฺส โหติ ปญฺญายฯ

    ‘‘Seyyathāpi, māṇava, pabbatasaṅkhepe udakarahado accho vippasanno anāvilo. Tattha cakkhumā puriso tīre ṭhito passeyya sippikasambukampi sakkharakathalampi macchagumbampi carantampi tiṭṭhantampi. Tassa evamassa – ‘ayaṃ kho udakarahado accho vippasanno anāvilo. Tatrime sippikasambukāpi sakkharakathalāpi macchagumbāpi carantipi tiṭṭhantipī’ti. Evameva kho, māṇava, bhikkhu…pe… yampi, māṇava, bhikkhu evaṃ samāhite citte…pe… āneñjappatte āsavānaṃ khayañāṇāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti. So idaṃ dukkhanti yathābhūtaṃ pajānāti…pe… āsavanirodhagāminī paṭipadāti yathābhūtaṃ pajānāti. Tassa evaṃ jānato evaṃ passato kāmāsavāpi cittaṃ vimuccati, bhavāsavāpi cittaṃ vimuccati, avijjāsavāpi cittaṃ vimuccati, vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hoti, ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti . Idampissa hoti paññāya.

    ๔๘๐. ‘‘อยํ โข, โส มาณว, อริโย ปญฺญากฺขโนฺธ ยสฺส โส ภควา วณฺณวาที อโหสิ, ยตฺถ จ อิมํ ชนตํ สมาทเปสิ นิเวเสสิ ปติฎฺฐาเปสิฯ นตฺถิ เจเวตฺถ อุตฺตริกรณีย’’นฺติฯ

    480. ‘‘Ayaṃ kho, so māṇava, ariyo paññākkhandho yassa so bhagavā vaṇṇavādī ahosi, yattha ca imaṃ janataṃ samādapesi nivesesi patiṭṭhāpesi. Natthi cevettha uttarikaraṇīya’’nti.

    ‘‘อจฺฉริยํ , โภ อานนฺท, อพฺภุตํ, โภ อานนฺท! โส จายํ, โภ อานนฺท, อริโย ปญฺญากฺขโนฺธ ปริปุโณฺณ, โน อปริปุโณฺณฯ เอวํ ปริปุณฺณํ จาหํ, โภ อานนฺท, อริยํ ปญฺญากฺขนฺธํ อิโต พหิทฺธา อเญฺญสุ สมณพฺราหฺมเณสุ น สมนุปสฺสามิฯ นตฺถิ เจเวตฺถ 7 อุตฺตริกรณียํ 8ฯ อภิกฺกนฺตํ, โภ อานนฺท, อภิกฺกนฺตํ, โภ อานนฺท! เสยฺยถาปิ, โภ อานนฺท, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุเชฺชยฺย, ปฎิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย ‘จกฺขุมโนฺต รูปานิ ทกฺขนฺตี’ติฯ เอวเมวํ โภตา อานเนฺทน อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโตฯ เอสาหํ, โภ อานนฺท, ตํ ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภวํ อานโนฺท ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ

    ‘‘Acchariyaṃ , bho ānanda, abbhutaṃ, bho ānanda! So cāyaṃ, bho ānanda, ariyo paññākkhandho paripuṇṇo, no aparipuṇṇo. Evaṃ paripuṇṇaṃ cāhaṃ, bho ānanda, ariyaṃ paññākkhandhaṃ ito bahiddhā aññesu samaṇabrāhmaṇesu na samanupassāmi. Natthi cevettha 9 uttarikaraṇīyaṃ 10. Abhikkantaṃ, bho ānanda, abhikkantaṃ, bho ānanda! Seyyathāpi, bho ānanda, nikkujjitaṃ vā ukkujjeyya, paṭicchannaṃ vā vivareyya, mūḷhassa vā maggaṃ ācikkheyya, andhakāre vā telapajjotaṃ dhāreyya ‘cakkhumanto rūpāni dakkhantī’ti. Evamevaṃ bhotā ānandena anekapariyāyena dhammo pakāsito. Esāhaṃ, bho ānanda, taṃ bhavantaṃ gotamaṃ saraṇaṃ gacchāmi dhammañca bhikkhusaṅghañca. Upāsakaṃ maṃ bhavaṃ ānando dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti.

    สุภสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ทสมํฯ

    Subhasuttaṃ niṭṭhitaṃ dasamaṃ.







    Footnotes:
    1. อยํ โข โส (ก.)
    2. ayaṃ kho so (ka.)
    3. อิมสฺส อนนฺตรํ สี. ปี. โปตฺถเกสุ ‘‘ปฐมภาณวารํ’’ติ ปาโฐ ทิสฺสติ
    4. imassa anantaraṃ sī. pī. potthakesu ‘‘paṭhamabhāṇavāraṃ’’ti pāṭho dissati
    5. อิติปีติ (ก.)
    6. itipīti (ka.)
    7. น สมนุปสฺสามิ…เป.… นตฺถิ โน กิญฺจิ (สฺยา. ก.)
    8. อุตฺตริํ กรณียนฺติ (สี. สฺยา. ปี.) อุตฺตริกรณียนฺติ (ก.)
    9. na samanupassāmi…pe… natthi no kiñci (syā. ka.)
    10. uttariṃ karaṇīyanti (sī. syā. pī.) uttarikaraṇīyanti (ka.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. สุภสุตฺตวณฺณนา • 10. Subhasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๑๐. สุภสุตฺตวณฺณนา • 10. Subhasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact