Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๙. สุภสุตฺตวณฺณนา
9. Subhasuttavaṇṇanā
๔๖๒. เอวํ เม สุตนฺติ สุภสุตฺตํฯ ตตฺถ โตเทยฺยปุโตฺตติ ตุทิคามวาสิโน โตเทยฺยพฺราหฺมณสฺส ปุโตฺตฯ อาราธโก โหตีติ สมฺปาทโก โหติ ปริปูรโกฯ ญายํ ธมฺมนฺติ การณธมฺมํฯ กุสลนฺติ อนวชฺชํฯ
462.Evaṃme sutanti subhasuttaṃ. Tattha todeyyaputtoti tudigāmavāsino todeyyabrāhmaṇassa putto. Ārādhako hotīti sampādako hoti paripūrako. Ñāyaṃ dhammanti kāraṇadhammaṃ. Kusalanti anavajjaṃ.
๔๖๓. มิจฺฉาปฎิปตฺตินฺติ อนิยฺยานิกํ อกุสลปฎิปทํฯ สมฺมาปฎิปตฺตินฺติ นิยฺยานิกํ กุสลปฎิปทํฯ
463.Micchāpaṭipattinti aniyyānikaṃ akusalapaṭipadaṃ. Sammāpaṭipattinti niyyānikaṃ kusalapaṭipadaṃ.
มหฎฺฐนฺติอาทีสุ มหเนฺตหิ เวยฺยาวจฺจกเรหิ วา อุปกรเณหิ วา พหูหิ อโตฺถ เอตฺถาติ มหฎฺฐํฯ มหนฺตานิ นามคฺคหณมงฺคลาทีนิ กิจฺจานิ เอตฺถาติ มหากิจฺจํฯ อิทํ อชฺช กตฺตพฺพํ, อิทํ เสฺวติ เอวํ มหนฺตานิ อธิการสงฺขาตานิ อธิกรณานิ เอตฺถาติ มหาธิกรณํฯ พหูนํ กเมฺม ยุตฺตปฺปยุตฺตตาวเสน ปีฬาสงฺขาโต มหาสมารโมฺภ เอตฺถาติ มหาสมารมฺภํฯ ฆราวาสกมฺมฎฺฐานนฺติ ฆราวาสกมฺมํฯ เอวํ สพฺพวาเรสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ กสิกเมฺม เจตฺถ นงฺคลโกฎิํ อาทิํ กตฺวา อุปกรณานํ ปริเยสนวเสน มหฎฺฐตา, วณิชฺชาย ยถาฐิตํเยว ภณฺฑํ คเหตฺวา ปริวตฺตนวเสน อปฺปฎฺฐตา เวทิตพฺพาฯ วิปชฺชมานนฺติ อวุฎฺฐิอติวุฎฺฐิอาทีหิ กสิกมฺมํ, มณิสุวณฺณาทีสุ อเจฺฉกตาทีหิ จ วณิชฺชกมฺมํ อปฺปผลํ โหติ, มูลเจฺฉทมฺปิ ปาปุณาติฯ วิปริยาเยน สมฺปชฺชมานํ มหปฺผลํ จูฬเนฺตวาสิกสฺส วิยฯ
Mahaṭṭhantiādīsu mahantehi veyyāvaccakarehi vā upakaraṇehi vā bahūhi attho etthāti mahaṭṭhaṃ. Mahantāni nāmaggahaṇamaṅgalādīni kiccāni etthāti mahākiccaṃ. Idaṃ ajja kattabbaṃ, idaṃ sveti evaṃ mahantāni adhikārasaṅkhātāni adhikaraṇāni etthāti mahādhikaraṇaṃ. Bahūnaṃ kamme yuttappayuttatāvasena pīḷāsaṅkhāto mahāsamārambho etthāti mahāsamārambhaṃ. Gharāvāsakammaṭṭhānanti gharāvāsakammaṃ. Evaṃ sabbavāresu attho veditabbo. Kasikamme cettha naṅgalakoṭiṃ ādiṃ katvā upakaraṇānaṃ pariyesanavasena mahaṭṭhatā, vaṇijjāya yathāṭhitaṃyeva bhaṇḍaṃ gahetvā parivattanavasena appaṭṭhatā veditabbā. Vipajjamānanti avuṭṭhiativuṭṭhiādīhi kasikammaṃ, maṇisuvaṇṇādīsu acchekatādīhi ca vaṇijjakammaṃ appaphalaṃ hoti, mūlacchedampi pāpuṇāti. Vipariyāyena sampajjamānaṃ mahapphalaṃ cūḷantevāsikassa viya.
๔๖๔. เอวเมว โขติ ยถา กสิกมฺมฎฺฐานํ วิปชฺชมานํ อปฺปผลํ โหติ, เอวํ ฆราวาสกมฺมฎฺฐานมฺปิฯ อกตกลฺยาโณ หิ กาลํ กตฺวา นิรเย นิพฺพตฺตติฯ มหาทตฺตเสนาปติ นาม กิเรโก พฺราหฺมณภโตฺต อโหสิ, ตสฺส มรณสมเย นิรโย อุปฎฺฐาสิฯ โส พฺราหฺมเณหิ ‘‘กิํ ปสฺสสี’’ติ วุโตฺต? โลหิตฆรนฺติ อาหฯ พฺรหฺมโลโก โภ เอโสติฯ พฺรหฺมโลโก นาม โภ กหนฺติ? อุปรีติฯ มยฺหํ เหฎฺฐา อุปฎฺฐาตีติฯ กิญฺจาปิ เหฎฺฐา อุปฎฺฐาติ , ตถาปิ อุปรีติ กาลํ กตฺวา นิรเย นิพฺพโตฺตฯ ‘‘อิมินา อมฺหากํ ยเญฺญ โทโส ทิโนฺน’’ติ สหสฺสํ คเหตฺวา นีหริตุํ อทํสุฯ สมฺปชฺชมานํ ปน มหปฺผลํ โหติฯ กตกลฺยาโณ หิ กาลํ กตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺตติฯ สกลาย คุตฺติลวิมานกถาย ทีเปตพฺพํฯ ยถา ปน ตํ วณิชฺชกมฺมฎฺฐานํ วิปชฺชมานํ อปฺปผลํ โหติ, เอวํ สีเลสุ อปริปูรการิโน อเนสนาย ยุตฺตสฺส ปพฺพชฺชากมฺมฎฺฐานมฺปิฯ เอวรูปา หิ เนว ฌานาทิสุขํ น สคฺคโมกฺขํ ลภติฯ สมฺปชฺชมานํ ปน มหปฺผลํ โหติฯ สีลานิ หิ ปูเรตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต อรหตฺตมฺปิ ปาปุณาติฯ
464.Evameva khoti yathā kasikammaṭṭhānaṃ vipajjamānaṃ appaphalaṃ hoti, evaṃ gharāvāsakammaṭṭhānampi. Akatakalyāṇo hi kālaṃ katvā niraye nibbattati. Mahādattasenāpati nāma kireko brāhmaṇabhatto ahosi, tassa maraṇasamaye nirayo upaṭṭhāsi. So brāhmaṇehi ‘‘kiṃ passasī’’ti vutto? Lohitagharanti āha. Brahmaloko bho esoti. Brahmaloko nāma bho kahanti? Uparīti. Mayhaṃ heṭṭhā upaṭṭhātīti. Kiñcāpi heṭṭhā upaṭṭhāti , tathāpi uparīti kālaṃ katvā niraye nibbatto. ‘‘Iminā amhākaṃ yaññe doso dinno’’ti sahassaṃ gahetvā nīharituṃ adaṃsu. Sampajjamānaṃ pana mahapphalaṃ hoti. Katakalyāṇo hi kālaṃ katvā sagge nibbattati. Sakalāya guttilavimānakathāya dīpetabbaṃ. Yathā pana taṃ vaṇijjakammaṭṭhānaṃ vipajjamānaṃ appaphalaṃ hoti, evaṃ sīlesu aparipūrakārino anesanāya yuttassa pabbajjākammaṭṭhānampi. Evarūpā hi neva jhānādisukhaṃ na saggamokkhaṃ labhati. Sampajjamānaṃ pana mahapphalaṃ hoti. Sīlāni hi pūretvā vipassanaṃ vaḍḍhento arahattampi pāpuṇāti.
พฺราหฺมณา, โภ โคตโมติ อิธ กิํ ปุจฺฉามีติ ปุจฺฉติ? พฺราหฺมณา วทนฺติ – ‘‘ปพฺพชิโต อิเม ปญฺจ ธเมฺม ปูเรตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, คหโฎฺฐว ปูเรตี’’ติฯ สมโณ ปน โคตโม – ‘‘คิหิสฺส วา อหํ มาณว ปพฺพชิตสฺส วา’’ติ ปุนปฺปุนํ วทติ, เนว ปพฺพชิตํ มุญฺจติ, มยฺหเมว ปุจฺฉํ มเญฺญ น สลฺลเกฺขตีติ จาคสีเสน ปญฺจ ธเมฺม ปุจฺฉามีติ ปุจฺฉติฯ สเจ เต อครูติ สเจ ตุยฺหํ ยถา พฺราหฺมณา ปญฺญเปนฺติ, ตถา อิธ ภาสิตุํ ภาริยํ น โหติ, ยทิ น โกจิ อผาสุกภาโว โหติ, ภาสสฺสูติ อโตฺถฯ น โข เม, โภติ กิํ สนฺธายาห? ปณฺฑิตปฎิรูปกานญฺหิ สนฺติเก กเถตุํ ทุกฺขํ โหติ, เต ปเท ปเท อกฺขเร อกฺขเร โทสเมว วทนฺติฯ เอกนฺตปณฺฑิตา ปน กถํ สุตฺวา สุกถิตํ ปสํสนฺติ, ทุกฺกถิเต ปาฬิปทอตฺถพฺยญฺชเนสุ ยํ ยํ วิรุชฺฌติ, ตํ ตํ อุชุํ กตฺวา เทนฺติฯ ภควตา จ สทิโส เอกนฺตปณฺฑิโต นาม นตฺถิ, เตนาห ‘‘น โข เม, โภ โคตม, ครุ, ยตฺถสฺสุ ภวโนฺต วา นิสิโนฺน ภวนฺตรูโป วา’’ติฯ สจฺจนฺติ วจีสจฺจํฯ ตปนฺติ ตปจริยํฯ พฺรหฺมจริยนฺติ เมถุนวิรติํฯ อเชฺฌนนฺติ มนฺตคหณํฯ จาคนฺติ อามิสปริจฺจาคํฯ
Brāhmaṇā, bho gotamoti idha kiṃ pucchāmīti pucchati? Brāhmaṇā vadanti – ‘‘pabbajito ime pañca dhamme pūretuṃ samattho nāma natthi, gahaṭṭhova pūretī’’ti. Samaṇo pana gotamo – ‘‘gihissa vā ahaṃ māṇava pabbajitassa vā’’ti punappunaṃ vadati, neva pabbajitaṃ muñcati, mayhameva pucchaṃ maññe na sallakkhetīti cāgasīsena pañca dhamme pucchāmīti pucchati. Sace te agarūti sace tuyhaṃ yathā brāhmaṇā paññapenti, tathā idha bhāsituṃ bhāriyaṃ na hoti, yadi na koci aphāsukabhāvo hoti, bhāsassūti attho. Na kho me, bhoti kiṃ sandhāyāha? Paṇḍitapaṭirūpakānañhi santike kathetuṃ dukkhaṃ hoti, te pade pade akkhare akkhare dosameva vadanti. Ekantapaṇḍitā pana kathaṃ sutvā sukathitaṃ pasaṃsanti, dukkathite pāḷipadaatthabyañjanesu yaṃ yaṃ virujjhati, taṃ taṃ ujuṃ katvā denti. Bhagavatā ca sadiso ekantapaṇḍito nāma natthi, tenāha ‘‘na kho me, bho gotama, garu, yatthassu bhavanto vā nisinno bhavantarūpo vā’’ti. Saccanti vacīsaccaṃ. Tapanti tapacariyaṃ. Brahmacariyanti methunaviratiṃ. Ajjhenanti mantagahaṇaṃ. Cāganti āmisapariccāgaṃ.
๔๖๖. ปาปิโต ภวิสฺสตีติฯ อชานนภาวํ ปาปิโต ภวิสฺสติฯ เอตทโวจาติ ภควตา อนฺธเวณูปมาย นิคฺคหิโต ตํ ปจฺจาหริตุํ อสโกฺกโนฺต ยถา นาม ทุพฺพลสุนโข มิคํ อุฎฺฐเปตฺวา สามิกสฺส อภิมุขํ กตฺวา สยํ อปสกฺกติ, เอวเมวํ อาจริยํ อปทิสโนฺต เอวํ ‘‘พฺราหฺมโณ’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ ตตฺถ โปกฺขรสาตีติ อิทํ ตสฺส นามํ, ‘‘โปกฺขรสายี’’ติปิ วุจฺจติฯ ตสฺส กิร กาโย เสตโปกฺขรสทิโส เทวนคเร อุสฺสาปิตรชตโตรณํ วิย โสภติ, สีสํ ปนสฺส กาฬวณฺณอินฺทนีลมยํ วิย, มสฺสุปิ จนฺทมณฺฑเล กาฬเมฆราชิ วิย ขายติ, อกฺขีนิ นีลุปฺปลสทิสานิ, นาสา รชตปนาฬิกา วิย สุวฎฺฎิตา สุปริสุทฺธา, หตฺถปาทตลานิ เจว มุขญฺจ กตลาขารสปริกมฺมํ วิย โสภติฯ อติวิย โสภคฺคปฺปโตฺต พฺราหฺมณสฺส อตฺตภาโวฯ อราชเก ฐาเน ราชานํ กาตุํ ยุตฺตมิมํ พฺราหฺมณํ, เอวเมส สสฺสิริโก, อิติ นํ โปกฺขรสทิสตฺตา ‘‘โปกฺขรสาตี’’ติ สญฺชานนฺติ, โปกฺขเร ปน โส นิพฺพโตฺต, น มาตุกุจฺฉิยนฺติ อิติ นํ โปกฺขเร สยิตตฺตา ‘‘โปกฺขรสายี’’ติปิ สญฺชานนฺติฯ โอปมโญฺญติ อุปมญฺญโคโตฺตฯ สุภควนิโกติ อุกฺกฎฺฐาย สุภควนสฺส อิสฺสโรฯ หสฺสกํเยวาติ หสิตพฺพกเญฺญวฯ นามกํเยวาติ ลามกํเยวฯ ตเทว ตํ อตฺถาภาเวน ริตฺตกํฯ ริตฺตกตฺตา จ ตุจฺฉกํฯ อิทานิ นํ ภควา สาจริยกํ นิคฺคณฺหิตุํ กิํ ปน มาณวาติอาทิมาหฯ
466.Pāpito bhavissatīti. Ajānanabhāvaṃ pāpito bhavissati. Etadavocāti bhagavatā andhaveṇūpamāya niggahito taṃ paccāharituṃ asakkonto yathā nāma dubbalasunakho migaṃ uṭṭhapetvā sāmikassa abhimukhaṃ katvā sayaṃ apasakkati, evamevaṃ ācariyaṃ apadisanto evaṃ ‘‘brāhmaṇo’’tiādivacanaṃ avoca. Tattha pokkharasātīti idaṃ tassa nāmaṃ, ‘‘pokkharasāyī’’tipi vuccati. Tassa kira kāyo setapokkharasadiso devanagare ussāpitarajatatoraṇaṃ viya sobhati, sīsaṃ panassa kāḷavaṇṇaindanīlamayaṃ viya, massupi candamaṇḍale kāḷamegharāji viya khāyati, akkhīni nīluppalasadisāni, nāsā rajatapanāḷikā viya suvaṭṭitā suparisuddhā, hatthapādatalāni ceva mukhañca katalākhārasaparikammaṃ viya sobhati. Ativiya sobhaggappatto brāhmaṇassa attabhāvo. Arājake ṭhāne rājānaṃ kātuṃ yuttamimaṃ brāhmaṇaṃ, evamesa sassiriko, iti naṃ pokkharasadisattā ‘‘pokkharasātī’’ti sañjānanti, pokkhare pana so nibbatto, na mātukucchiyanti iti naṃ pokkhare sayitattā ‘‘pokkharasāyī’’tipi sañjānanti. Opamaññoti upamaññagotto. Subhagavanikoti ukkaṭṭhāya subhagavanassa issaro. Hassakaṃyevāti hasitabbakaññeva. Nāmakaṃyevāti lāmakaṃyeva. Tadeva taṃ atthābhāvena rittakaṃ. Rittakattā ca tucchakaṃ. Idāni naṃ bhagavā sācariyakaṃ niggaṇhituṃ kiṃ pana māṇavātiādimāha.
๔๖๗. ตตฺถ กตมา เนสํ เสโยฺยติ กตมา วาจา เตสํ เสโยฺย, ปาสํสตโรติ อโตฺถฯ สมฺมุจฺจาติ สมฺมุติยา โลกโวหาเรนฯ มนฺตาติ ตุลยิตฺวา ปริคฺคณฺหิตฺวาฯ ปฎิสงฺขายาติ ชานิตฺวาฯ อตฺถสํหิตนฺติ การณนิสฺสิตํฯ เอวํ สเนฺตติ โลกโวหารํ อมุญฺจิตฺวา ตุลยิตฺวา ชานิตฺวา การณนิสฺสิตํ กตฺวา กถิตาย เสยฺยภาเว สติฯ อาวุโตติ อาวริโตฯ นิวุโตติ นิวาริโตฯ โอผุโฎติ โอนโทฺธฯ ปริโยนโทฺธติ ปลิเวฐิโตฯ
467. Tattha katamā nesaṃ seyyoti katamā vācā tesaṃ seyyo, pāsaṃsataroti attho. Sammuccāti sammutiyā lokavohārena. Mantāti tulayitvā pariggaṇhitvā. Paṭisaṅkhāyāti jānitvā. Atthasaṃhitanti kāraṇanissitaṃ. Evaṃ santeti lokavohāraṃ amuñcitvā tulayitvā jānitvā kāraṇanissitaṃ katvā kathitāya seyyabhāve sati. Āvutoti āvarito. Nivutoti nivārito. Ophuṭoti onaddho. Pariyonaddhoti paliveṭhito.
๔๖๘. คธิโตติอาทีนิ วุตฺตตฺถาเนวฯ สเจ ตํ, โภ โคตม, ฐานนฺติ สเจ เอตํ การณมตฺถิฯ สฺวาสฺสาติ ธูมฉาริกาทีนํ อภาเวน โส อสฺส อคฺคิ อจฺจิมา จ วณฺณิมา จ ปภสฺสโร จาติฯ ตถูปมาหํ มาณวาติ ตปฺปฎิภาคํ อหํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยเถว หิ ติณกฎฺฐุปาทานํ ปฎิจฺจ ชลมาโน อคฺคิ ธูมฉาริกงฺคารานํ อตฺถิตาย สโทโส โหติ , เอวเมวํ ปญฺจ กามคุเณ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนา ปีติ ชาติชราพฺยาธิมรณโสกาทีนํ อตฺถิตาย สโทสาฯ ยถา ปน ปริจฺจตฺตติณกฎฺฐุปาทาโน ธูมาทีนํ อภาเวน ปริสุโทฺธ, เอวเมวํ โลกุตฺตรชฺฌานทฺวยสมฺปยุตฺตา ปีติ ชาติอาทีนํ อภาเวน ปริสุทฺธาติ อโตฺถฯ
468.Gadhitotiādīni vuttatthāneva. Sace taṃ, bho gotama, ṭhānanti sace etaṃ kāraṇamatthi. Svāssāti dhūmachārikādīnaṃ abhāvena so assa aggi accimā ca vaṇṇimā ca pabhassaro cāti. Tathūpamāhaṃ māṇavāti tappaṭibhāgaṃ ahaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yatheva hi tiṇakaṭṭhupādānaṃ paṭicca jalamāno aggi dhūmachārikaṅgārānaṃ atthitāya sadoso hoti , evamevaṃ pañca kāmaguṇe paṭicca uppannā pīti jātijarābyādhimaraṇasokādīnaṃ atthitāya sadosā. Yathā pana pariccattatiṇakaṭṭhupādāno dhūmādīnaṃ abhāvena parisuddho, evamevaṃ lokuttarajjhānadvayasampayuttā pīti jātiādīnaṃ abhāvena parisuddhāti attho.
๔๖๙. อิทานิ เย เต พฺราหฺมเณหิ จาคสีเสน ปญฺจ ธมฺมา ปญฺญตฺตา, เตปิ ยสฺมา ปเญฺจว หุตฺวา น นิจฺจลา ติฎฺฐนฺติ, อนุกมฺปาชาติเกน สทฺธิํ ฉ อาปชฺชนฺติฯ ตสฺมา ตํ โทสํ ทเสฺสตุํ เย เต มาณวาติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนุกมฺปาชาติกนฺติ อนุกมฺปาสภาวํฯ
469. Idāni ye te brāhmaṇehi cāgasīsena pañca dhammā paññattā, tepi yasmā pañceva hutvā na niccalā tiṭṭhanti, anukampājātikena saddhiṃ cha āpajjanti. Tasmā taṃ dosaṃ dassetuṃ ye te māṇavātiādimāha. Tattha anukampājātikanti anukampāsabhāvaṃ.
กตฺถ พหุลํ สมนุปสฺสสีติ อิทํ ภควา ยสฺมา – ‘‘เอส อิเม ปญฺจ ธเมฺม ปพฺพชิโต ปริปูเรตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, คหโฎฺฐ ปริปูเรตี’’ติ อาห, ตสฺมา – ‘‘ปพฺพชิโตว อิเม ปูเรติ, คหโฎฺฐ ปูเรตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถี’’ติ เตเนว มุเขน ภณาเปตุํ ปุจฺฉติฯ
Kattha bahulaṃ samanupassasīti idaṃ bhagavā yasmā – ‘‘esa ime pañca dhamme pabbajito paripūretuṃ samattho nāma natthi, gahaṭṭho paripūretī’’ti āha, tasmā – ‘‘pabbajitova ime pūreti, gahaṭṭho pūretuṃ samattho nāma natthī’’ti teneva mukhena bhaṇāpetuṃ pucchati.
น สตตํ สมิตํ สจฺจวาทีติอาทีสุ คหโฎฺฐ อญฺญสฺมิํ อสติ วฬญฺชนกมุสาวาทมฺปิ กโรติเยว, ปพฺพชิตา อสินา สีเส ฉิชฺชเนฺตปิ เทฺว กถา น กเถนฺติฯ คหโฎฺฐ จ อโนฺตเตมาสมตฺตมฺปิ สิกฺขาปทํ รกฺขิตุํ น สโกฺกติ, ปพฺพชิโต นิจฺจเมว ตปสฺสี สีลวา ตปนิสฺสิตโก โหติฯ คหโฎฺฐ มาสสฺส อฎฺฐทิวสมตฺตมฺปิ อุโปสถกมฺมํ กาตุํ น สโกฺกติ, ปพฺพชิตา ยาวชีวํ พฺรหฺมจาริโน โหนฺติฯ คหโฎฺฐ รตนสุตฺตมงฺคลสุตฺตมตฺตมฺปิ โปตฺถเก ลิขิตฺวา ฐเปติ, ปพฺพชิตา นิจฺจํ สชฺฌายนฺติฯ คหโฎฺฐ สลากภตฺตมฺปิ อขณฺฑํ กตฺวา ทาตุํ น สโกฺกติ, ปพฺพชิตา อญฺญสฺมิํ อสติ กากสุนขาทีนมฺปิ ปิณฺฑํ เทนฺติ, ภณฺฑคฺคาหกทหรสฺสปิ ปเตฺต ปกฺขิปเนฺตวาติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ จิตฺตสฺสาหเมเตนฺติ อหํ เอเต ปญฺจ ธเมฺม เมตฺตจิตฺตสฺส ปริวาเร วทามีติ อโตฺถฯ
Na satataṃ samitaṃ saccavādītiādīsu gahaṭṭho aññasmiṃ asati vaḷañjanakamusāvādampi karotiyeva, pabbajitā asinā sīse chijjantepi dve kathā na kathenti. Gahaṭṭho ca antotemāsamattampi sikkhāpadaṃ rakkhituṃ na sakkoti, pabbajito niccameva tapassī sīlavā tapanissitako hoti. Gahaṭṭho māsassa aṭṭhadivasamattampi uposathakammaṃ kātuṃ na sakkoti, pabbajitā yāvajīvaṃ brahmacārino honti. Gahaṭṭho ratanasuttamaṅgalasuttamattampi potthake likhitvā ṭhapeti, pabbajitā niccaṃ sajjhāyanti. Gahaṭṭho salākabhattampi akhaṇḍaṃ katvā dātuṃ na sakkoti, pabbajitā aññasmiṃ asati kākasunakhādīnampi piṇḍaṃ denti, bhaṇḍaggāhakadaharassapi patte pakkhipantevāti evamattho daṭṭhabbo. Cittassāhametenti ahaṃ ete pañca dhamme mettacittassa parivāre vadāmīti attho.
๔๗๐. ชาตวโทฺธติ ชาโต จ วฑฺฒิโต จฯ โย หิ เกวลํ ตตฺถ ชาโตว โหติ, อญฺญตฺถ วฑฺฒิโต, ตสฺส สมนฺตา คามมคฺคา น สพฺพโส ปจฺจกฺขา โหนฺติ, ตสฺมา ชาตวโทฺธติ อาหฯ ชาตวโทฺธปิ หิ โย จิรํ นิกฺขโนฺต, ตสฺส น สพฺพโส ปจฺจกฺขา โหนฺติ, ตสฺมา ตาวเทว อวสฎนฺติ อาห, ตํขณเมว นิกฺขนฺตนฺติ อโตฺถฯ ทนฺธายิตตฺตนฺติ ‘‘อยํ นุ โข มโคฺค อยํ น นุ โข’’ติ กงฺขาวเสน จิรายิตตฺตํฯ วิตฺถายิตตฺตนฺติ ยถา สุขุมํ อตฺถชาตํ สหสา ปุจฺฉิตสฺส กสฺสจิ สรีรํ ถทฺธภาวํ คณฺหาติ, เอวํ ถทฺธภาวคหณํฯ นเตฺววาติ อิมินา สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส อปฺปฎิหตภาวํ ทเสฺสติฯ ตสฺส หิ ปุริสสฺส มาราวฎฺฎนาทีนํ วเสน สิยา ญาณสฺส ปฎิฆาโต, เตน โส ทนฺธาเยยฺย วา วิตฺถาเยยฺย วา, สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปน อปฺปฎิหตํ, น สกฺกา ตสฺส เกนจิ อนฺตราโย กาตุนฺติ ทีเปติฯ
470.Jātavaddhoti jāto ca vaḍḍhito ca. Yo hi kevalaṃ tattha jātova hoti, aññattha vaḍḍhito, tassa samantā gāmamaggā na sabbaso paccakkhā honti, tasmā jātavaddhoti āha. Jātavaddhopi hi yo ciraṃ nikkhanto, tassa na sabbaso paccakkhā honti, tasmā tāvadeva avasaṭanti āha, taṃkhaṇameva nikkhantanti attho. Dandhāyitattanti ‘‘ayaṃ nu kho maggo ayaṃ na nu kho’’ti kaṅkhāvasena cirāyitattaṃ. Vitthāyitattanti yathā sukhumaṃ atthajātaṃ sahasā pucchitassa kassaci sarīraṃ thaddhabhāvaṃ gaṇhāti, evaṃ thaddhabhāvagahaṇaṃ. Natvevāti iminā sabbaññutaññāṇassa appaṭihatabhāvaṃ dasseti. Tassa hi purisassa mārāvaṭṭanādīnaṃ vasena siyā ñāṇassa paṭighāto, tena so dandhāyeyya vā vitthāyeyya vā, sabbaññutaññāṇaṃ pana appaṭihataṃ, na sakkā tassa kenaci antarāyo kātunti dīpeti.
เสยฺยถาปิ มาณว พลวา สงฺขธโมติ เอตฺถ พลวาติ พลสมฺปโนฺนฯ สงฺขธโมติ สงฺขธมโกฯ อปฺปกสิเรนาติ อกิเจฺฉน อทุเกฺขนฯ ทุพฺพโล หิ สงฺขธมโก สงฺขํ ธมโนฺตปิ น สโกฺกติ จตโสฺส ทิสา สเรน วิญฺญาเปตุํ, นาสฺส สงฺขสโทฺท สพฺพโส ผริฯ พลวโต ปน วิปฺผาริโก โหติ, ตสฺมา พลวาติ อาหฯ เมตฺตาย เจโตวิมุตฺติยาติ เอตฺถ เมตฺตายาติ วุเตฺต อุปจาโรปิ อปฺปนาปิ วฎฺฎติ, เจโตวิมุตฺติยาติ วุเตฺต ปน อปฺปนาว วฎฺฎติฯ ยํ ปมาณกตํ กมฺมนฺติ ปมาณกตํ กมฺมํ นาม กามาวจรํ วุจฺจติ, อปฺปมาณกตํ กมฺมํ นาม รูปารูปาวจรํฯ เตสุปิ อิธ พฺรหฺมวิหารกมฺมเญฺญว อธิเปฺปตํฯ ตญฺหิ ปมาณํ อติกฺกมิตฺวา โอธิสกอโนธิสก ทิสาผรณวเสน วเฑฺฒตฺวา กตตฺตา อปฺปมาณกตนฺติ วุจฺจติฯ น ตํ ตตฺราวสิสฺสติ, น ตํ ตตฺราวติฎฺฐตีติ ตํ กามาวจรกมฺมํ ตสฺมิํ รูปารูปาวจรกเมฺม น โอหียติ น ติฎฺฐติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? กามาวจรกมฺมํ ตสฺส รูปารูปาวจรกมฺมสฺส อนฺตรา ลคฺคิตุํ วา ฐาตุํ วา รูปารูปาวจรกมฺมํ ผริตฺวา ปริยาทิยิตฺวา อตฺตโน โอกาสํ คเหตฺวา ปติฎฺฐาตุํ วา น สโกฺกติ, อถ โข รูปารูปาวจรกมฺมเมว กามาวจรํ มโหโฆ วิย ปริตฺตอุทกํ ผริตฺวา ปริยาทิยิตฺวา อตฺตโน โอกาสํ คเหตฺวา ติฎฺฐติ, ตสฺส วิปากํ ปฎิพาหิตฺวา สยเมว พฺรหฺมสหพฺยตํ อุปเนตีติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
Seyyathāpi māṇava balavā saṅkhadhamoti ettha balavāti balasampanno. Saṅkhadhamoti saṅkhadhamako. Appakasirenāti akicchena adukkhena. Dubbalo hi saṅkhadhamako saṅkhaṃ dhamantopi na sakkoti catasso disā sarena viññāpetuṃ, nāssa saṅkhasaddo sabbaso phari. Balavato pana vipphāriko hoti, tasmā balavāti āha. Mettāya cetovimuttiyāti ettha mettāyāti vutte upacāropi appanāpi vaṭṭati, cetovimuttiyāti vutte pana appanāva vaṭṭati. Yaṃ pamāṇakataṃ kammanti pamāṇakataṃ kammaṃ nāma kāmāvacaraṃ vuccati, appamāṇakataṃ kammaṃ nāma rūpārūpāvacaraṃ. Tesupi idha brahmavihārakammaññeva adhippetaṃ. Tañhi pamāṇaṃ atikkamitvā odhisakaanodhisaka disāpharaṇavasena vaḍḍhetvā katattā appamāṇakatanti vuccati. Na taṃ tatrāvasissati, na taṃ tatrāvatiṭṭhatīti taṃ kāmāvacarakammaṃ tasmiṃ rūpārūpāvacarakamme na ohīyati na tiṭṭhati. Kiṃ vuttaṃ hoti? Kāmāvacarakammaṃ tassa rūpārūpāvacarakammassa antarā laggituṃ vā ṭhātuṃ vā rūpārūpāvacarakammaṃ pharitvā pariyādiyitvā attano okāsaṃ gahetvā patiṭṭhātuṃ vā na sakkoti, atha kho rūpārūpāvacarakammameva kāmāvacaraṃ mahogho viya parittaudakaṃ pharitvā pariyādiyitvā attano okāsaṃ gahetvā tiṭṭhati, tassa vipākaṃ paṭibāhitvā sayameva brahmasahabyataṃ upanetīti. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
สุภสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Subhasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๙. สุภสุตฺตํ • 9. Subhasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๙. สุภสุตฺตวณฺณนา • 9. Subhasuttavaṇṇanā