Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) |
๑๐. สุภสุตฺตวณฺณนา
10. Subhasuttavaṇṇanā
สุภมาณวกวตฺถุวณฺณนา
Subhamāṇavakavatthuvaṇṇanā
๔๔๔. ‘‘อจิรปรินิพฺพุเต’’ติ สตฺถุ ปรินิพฺพุตภาวสฺส จิรกาลตาปฎิเกฺขเปน อาสนฺนตา ทสฺสิตา, กาลปริเจฺฉโท น ทสฺสิโตติ ตํ ปริเจฺฉทโต ทเสฺสตุํ ‘‘ปรินิพฺพานโต อุทฺธํ มาสมเตฺต กาเล’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ มตฺต-คฺคหเณน กาลสฺส อสมฺปุณฺณตํ โชเตติฯ ตุทิสญฺญิโต คาโม นิวาโส เอตสฺสาติ โตเทโยฺยฯ ตํ ปเนส ยสฺมา โสณทโณฺฑ วิย จมฺปํ, กูฎทโนฺต วิย จ ขาณุมตํ อชฺฌาวสติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ตสฺส อธิปติตฺตา’’ติ อิสฺสรภาวโตติ อโตฺถฯ สมาหารนฺติ สนฺนิจยํฯ ปณฺฑิโต ฆรมาวเสติ ยสฺมา อปฺปตรปฺปตเรปิ วยมาเน โภคา ขิยนฺติ, อปฺปตรปฺปตเรปิ สญฺจิยมาเน วฑฺฒนฺติ, ตสฺมา วิญฺญุชาติโก กิญฺจิ วยํ อกตฺวา อายเมว อุปฺปาเทโนฺต ฆราวาสํ อนุติเฎฺฐยฺยาติ โลภาเทสิตํ ปฎิปตฺติํ อุปทิสติฯ
444.‘‘Aciraparinibbute’’ti satthu parinibbutabhāvassa cirakālatāpaṭikkhepena āsannatā dassitā, kālaparicchedo na dassitoti taṃ paricchedato dassetuṃ ‘‘parinibbānato uddhaṃ māsamatte kāle’’ti vuttaṃ. Tattha matta-ggahaṇena kālassa asampuṇṇataṃ joteti. Tudisaññito gāmo nivāso etassāti todeyyo. Taṃ panesa yasmā soṇadaṇḍo viya campaṃ, kūṭadanto viya ca khāṇumataṃ ajjhāvasati, tasmā vuttaṃ ‘‘tassa adhipatittā’’ti issarabhāvatoti attho. Samāhāranti sannicayaṃ. Paṇḍito gharamāvaseti yasmā appatarappatarepi vayamāne bhogā khiyanti, appatarappatarepi sañciyamāne vaḍḍhanti, tasmā viññujātiko kiñci vayaṃ akatvā āyameva uppādento gharāvāsaṃ anutiṭṭheyyāti lobhādesitaṃ paṭipattiṃ upadisati.
อทานเมว สิกฺขาเปตฺวา โลภาภิภูตตาย ตสฺมิํเยว ฆเร สุนโข หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ โลภวสิกสฺส หิ ทุคฺคติ ปาฎิกงฺขาฯ อติวิย ปิยายติ ปุพฺพปริจเยนฯ ปิณฺฑาย ปาวิสิ สุภํ มาณวํ อนุคฺคณฺหิตุกาโมฯ นิรเย นิพฺพตฺติสฺสสิ กโตกาสสฺส กมฺมสฺส ปฎิพาหิตุํ อสกฺกุเณยฺยภาวโตฯ
Adānameva sikkhāpetvā lobhābhibhūtatāya tasmiṃyeva ghare sunakho hutvā nibbatti. Lobhavasikassa hi duggati pāṭikaṅkhā. Ativiya piyāyati pubbaparicayena. Piṇḍāya pāvisi subhaṃ māṇavaṃ anuggaṇhitukāmo. Niraye nibbattissasi katokāsassa kammassa paṭibāhituṃ asakkuṇeyyabhāvato.
พฺราหฺมณจาริตฺตสฺส ภาวิตตํ สนฺธาย, ตถา ปิตรํ อุกฺกํเสโนฺต จ ‘‘พฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺต’’ติ อาหฯ ตํ ปวตฺติํ ปุจฺฉีติ สุตเมตํ มยา ‘‘มยฺหํ ปิตา สุนโข หุตฺวา นิพฺพโตฺต’’ติ ตุเมฺหหิ วุตฺตํ, กิมิทํ สจฺจนฺติ ปุจฺฉิฯ ตเถว วตฺวาติ ยถา ปุเพฺพ สุนขสฺส วุตฺตํ, ตเถว วตฺวาฯ อวิสํวาทนตฺถนฺติ สจฺจาปนตฺถํ ‘‘โตเทยฺยพฺราหฺมโณ สุนโข หุตฺวา นิพฺพโตฺต’’ติ อตฺตโน วจนสฺส อวิสํวาทนตฺถํ อวิสํวาทภาวสฺส ทสฺสนตฺถนฺติ อโตฺถฯ สพฺพํ ทเสฺสสีติ พุทฺธานุภาเวน โส สุนโข ตํ สพฺพํ เนตฺวา ทเสฺสสิ, น ชาติสฺสรตายฯ ภควนฺตํ ทิสฺวา ภุกฺกรณํ ปน ปุริมชาติสิทฺธวาสนาวเสนฯ จุทฺทส ปเญฺห ปุจฺฉิตฺวาติ ‘‘ทิสฺสนฺติ หิ โภ โคตม มนุสฺสา อปฺปายุกา, ทิสฺสนฺติ ทีฆายุกาฯ ทิสฺสนฺติ พวฺหาพาธา, ทิสฺสนฺติ อปฺปาพาธาฯ ทิสฺสนฺติ ทุพฺพณฺณา, ทิสฺสนฺติ วณฺณวโนฺตฯ ทิสฺสนฺติ อเปฺปสกฺขา, ทิสฺสนฺติ มเหสกฺขาฯ ทิสฺสนฺติ อปฺปโภคา, ทิสฺสนฺติ มหาโภคาฯ ทิสฺสนฺติ นีจกุลีนา, ทิสฺสนฺติ อุจฺจากุลีนาฯ ทิสฺสนฺติ ทุปฺปญฺญา, ทิสฺสนฺติ ปญฺญาวโนฺต’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๘๙)ฯ อิเม จุทฺทส ปเญฺห ปุจฺฉิตฺวา, องฺคสุภตาย กิเรส ‘‘สุโภ’’ติ นามํ ลภิฯ
Brāhmaṇacārittassa bhāvitataṃ sandhāya, tathā pitaraṃ ukkaṃsento ca ‘‘brahmaloke nibbatto’’ti āha. Taṃ pavattiṃ pucchīti sutametaṃ mayā ‘‘mayhaṃ pitā sunakho hutvā nibbatto’’ti tumhehi vuttaṃ, kimidaṃ saccanti pucchi. Tathevavatvāti yathā pubbe sunakhassa vuttaṃ, tatheva vatvā. Avisaṃvādanatthanti saccāpanatthaṃ ‘‘todeyyabrāhmaṇo sunakho hutvā nibbatto’’ti attano vacanassa avisaṃvādanatthaṃ avisaṃvādabhāvassa dassanatthanti attho. Sabbaṃ dassesīti buddhānubhāvena so sunakho taṃ sabbaṃ netvā dassesi, na jātissaratāya. Bhagavantaṃ disvā bhukkaraṇaṃ pana purimajātisiddhavāsanāvasena. Cuddasa pañhe pucchitvāti ‘‘dissanti hi bho gotama manussā appāyukā, dissanti dīghāyukā. Dissanti bavhābādhā, dissanti appābādhā. Dissanti dubbaṇṇā, dissanti vaṇṇavanto. Dissanti appesakkhā, dissanti mahesakkhā. Dissanti appabhogā, dissanti mahābhogā. Dissanti nīcakulīnā, dissanti uccākulīnā. Dissanti duppaññā, dissanti paññāvanto’’ti (ma. ni. 3.289). Ime cuddasa pañhe pucchitvā, aṅgasubhatāya kiresa ‘‘subho’’ti nāmaṃ labhi.
๔๔๕. ‘‘เอกา จ เม กงฺขา อตฺถี’’ติ อิมินา อุปริ ปุจฺฉิยมานสฺส ปญฺหสฺส ปเคว เตน อภิสงฺขตภาวํ ทเสฺสติฯ วิสภาคเวทนาติ ทุกฺขเวทนาฯ สา หิ กุสลกมฺมนิพฺพเตฺต อตฺตภาเว อุปฺปชฺชนกสุขเวทนาปฎิปกฺขภาวโต ‘‘วิสภาคเวทนา’’ติฯ กายํ คาฬฺหา หุตฺวา พาธติ ปีเฬตีติ ‘‘อาพาโธ’’ติ จ วุจฺจติฯ เอกเทเส อุปฺปชฺชิตฺวาติ สรีรสฺส เอกเทเส อุฎฺฐิตาปิ อยปเฎฺฎน อาพนฺธิตฺวา วิย คณฺหาติ อปริวตฺตภาวกรณโต, เอเตน พลวโรโค อาพาโธ นามาติ ทเสฺสติฯ กิจฺฉชีวิตกโรติ อสุขชีวิตาวโห, เอเตน ทุพฺพโล อปฺปมตฺตโก โรโค อาตโงฺกติ ทเสฺสติฯ อุฎฺฐานนฺติ สยนนิสชฺชาทิโต อุฎฺฐหนํ, เตน ยถา ตถา อปราปรํ สรีรสฺส ปริวตฺตนํ วทติฯ ครุกนฺติ ภาริยํ กิจฺฉสิทฺธิกํ ฯ กาเย พลํ น โหตีติ เอตฺถาปิ ‘‘คิลานเสฺสวา’’ติ ปทํ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ เหฎฺฐา จตูหิ ปเทหิ อผาสุวิหาราภาวํ ปุจฺฉิตฺวา อิทานิ ผาสุวิหารสพฺภาวํ ปุจฺฉติ, เตน สวิเสโส ผาสุวิหาโร ปุจฺฉิโตติ ทฎฺฐโพฺพ, อสติปิ อติสยตฺถโชตเน สเทฺท อติสยตฺถสฺส ลพฺภนโต ยถา ‘‘อภิรูปาย เทยฺยํ ทาตพฺพ’’นฺติฯ
445.‘‘Ekā ca me kaṅkhā atthī’’ti iminā upari pucchiyamānassa pañhassa pageva tena abhisaṅkhatabhāvaṃ dasseti. Visabhāgavedanāti dukkhavedanā. Sā hi kusalakammanibbatte attabhāve uppajjanakasukhavedanāpaṭipakkhabhāvato ‘‘visabhāgavedanā’’ti. Kāyaṃ gāḷhā hutvā bādhati pīḷetīti ‘‘ābādho’’ti ca vuccati. Ekadese uppajjitvāti sarīrassa ekadese uṭṭhitāpi ayapaṭṭena ābandhitvā viya gaṇhāti aparivattabhāvakaraṇato, etena balavarogo ābādho nāmāti dasseti. Kicchajīvitakaroti asukhajīvitāvaho, etena dubbalo appamattako rogo ātaṅkoti dasseti. Uṭṭhānanti sayananisajjādito uṭṭhahanaṃ, tena yathā tathā aparāparaṃ sarīrassa parivattanaṃ vadati. Garukanti bhāriyaṃ kicchasiddhikaṃ . Kāye balaṃ na hotīti etthāpi ‘‘gilānassevā’’ti padaṃ ānetvā sambandhitabbaṃ. Heṭṭhā catūhi padehi aphāsuvihārābhāvaṃ pucchitvā idāni phāsuvihārasabbhāvaṃ pucchati, tena saviseso phāsuvihāro pucchitoti daṭṭhabbo, asatipi atisayatthajotane sadde atisayatthassa labbhanato yathā ‘‘abhirūpāya deyyaṃ dātabba’’nti.
๔๔๗. กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายาติฯ เอตฺถ กาโล นาม อุปสงฺกมนสฺส ยุตฺตปตฺตกาโลฯ สมโย นาม ตเสฺสว ปจฺจยสามคฺคี, อตฺถโต ตชฺชํ สรีรพลเญฺจว ตปฺปจฺจยปริสฺสยาภาโว จฯ อุปาทานํ นาม ญาเณน เตสํ คหณํ สลฺลกฺขณนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘กาลญฺจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ผริสฺสตีติ วฑฺฒิสฺสติฯ
447.Kālañca samayañca upādāyāti. Ettha kālo nāma upasaṅkamanassa yuttapattakālo. Samayo nāma tasseva paccayasāmaggī, atthato tajjaṃ sarīrabalañceva tappaccayaparissayābhāvo ca. Upādānaṃ nāma ñāṇena tesaṃ gahaṇaṃ sallakkhaṇanti dassetuṃ ‘‘kālañcā’’tiādi vuttaṃ. Pharissatīti vaḍḍhissati.
๔๔๘. เจติยรเฎฺฐติ เจติรเฎฺฐฯ ย-กาเรน หิ ปทํ วเฑฺฒตฺวา วุตฺตํฯ เจติรฎฺฐโต อญฺญํ วิสุํเยเวกํ รฎฺฐนฺติ จ วทนฺติฯ มรณปฎิสํยุตฺตนฺติ มรณํ นาม ตาทิสานํ โรค วเสเนว โหตีติ เยน โรเคน ตํ ชาตํ, ตสฺส สรูปปุจฺฉา, การณปุจฺฉา, มรณเหตุกจิตฺตสนฺตาปปุจฺฉา, ตสฺส จ สนฺตาปสฺส สพฺพโลกสาธารณตา, ตถา มรณสฺส จ อปฺปติการตาติ เอวํ อาทินา มรณปฎิสํยุตฺตํ สโมฺมทนียํ กถํ กเถสีติ ทเสฺสตุํ ‘‘โภ อานนฺทา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ น รนฺธคเวสี มาโร วิย, น วีมํสนาธิปฺปาโย อุตฺตรมาณโว วิยาติ อธิปฺปาโยฯ เยสุ ธเมฺมสูติ วิโมกฺขุปาเยสุ นิยฺยานธเมฺมสุฯ ธรนฺตีติ ติฎฺฐนฺติ, ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ
448.Cetiyaraṭṭheti cetiraṭṭhe. Ya-kārena hi padaṃ vaḍḍhetvā vuttaṃ. Cetiraṭṭhato aññaṃ visuṃyevekaṃ raṭṭhanti ca vadanti. Maraṇapaṭisaṃyuttanti maraṇaṃ nāma tādisānaṃ roga vaseneva hotīti yena rogena taṃ jātaṃ, tassa sarūpapucchā, kāraṇapucchā, maraṇahetukacittasantāpapucchā, tassa ca santāpassa sabbalokasādhāraṇatā, tathā maraṇassa ca appatikāratāti evaṃ ādinā maraṇapaṭisaṃyuttaṃ sammodanīyaṃ kathaṃ kathesīti dassetuṃ ‘‘bho ānandā’’tiādi vuttaṃ. Na randhagavesī māro viya, na vīmaṃsanādhippāyo uttaramāṇavo viyāti adhippāyo. Yesu dhammesūti vimokkhupāyesu niyyānadhammesu. Dharantīti tiṭṭhanti, pavattantīti attho.
๔๔๙. อตฺถปฺปยุตฺตตาย สทฺทปโยคสฺส สทฺทปฺปพนฺธลกฺขณานิ ตีณิ ปิฎกานิ ตทตฺถภูเตหิ สีลาทีหิ ธมฺมกฺขเนฺธหิ สงฺคยฺหนฺตีติ วุตฺตํ ‘‘ตีณิ ปิฎกานิ ตีหิ ขเนฺธหิ สงฺคเหตฺวา’’ติฯ สงฺขิเตฺตน กถิตนฺติ ‘‘ติณฺณํ ขนฺธาน’’นฺติ เอวํ คหณโต สามญฺญโต จาติ สเงฺขเปเนว กถิตํฯ ‘‘กตเมสํ ติณฺณ’’นฺติ อยํ อทิฎฺฐโชตนา ปุจฺฉา, น กเถตุกมฺยตา ปุจฺฉาติ วุตฺตํ ‘‘วิตฺถารโต ปุจฺฉิสฺสามี ‘ติ จิเนฺตตฺวา ‘กตเมสํ ติณฺณ’นฺติ อาหา’’ติฯ กเถตุกมฺยตาภาเว ปนสฺส เถรสฺส วจนตา สิยาฯ
449. Atthappayuttatāya saddapayogassa saddappabandhalakkhaṇāni tīṇi piṭakāni tadatthabhūtehi sīlādīhi dhammakkhandhehi saṅgayhantīti vuttaṃ ‘‘tīṇi piṭakāni tīhi khandhehi saṅgahetvā’’ti. Saṅkhittena kathitanti ‘‘tiṇṇaṃ khandhāna’’nti evaṃ gahaṇato sāmaññato cāti saṅkhepeneva kathitaṃ. ‘‘Katamesaṃ tiṇṇa’’nti ayaṃ adiṭṭhajotanā pucchā, na kathetukamyatā pucchāti vuttaṃ ‘‘vitthārato pucchissāmī ‘ti cintetvā ‘katamesaṃ tiṇṇa’nti āhā’’ti. Kathetukamyatābhāve panassa therassa vacanatā siyā.
สีลกฺขนฺธวณฺณนา
Sīlakkhandhavaṇṇanā
๔๕๐-๔๕๓. สีลกฺขนฺธสฺสาติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท อาทิอโตฺถ, ปการโตฺถ วา, เตน ‘‘อริยสฺส สมาธิกฺขนฺธสฺส…เป.… ปติฎฺฐาเปสี’’ติ อยํ เอตฺตโก ปาโฐ ทสฺสิโตติ ทฎฺฐพฺพํ เตนาห ‘‘เตสุ ทสฺสิเตสู’’ติ, อุเทฺทสวเสนาติ อธิปฺปาโยฯ ภควตา วุตฺตนเยเนวาติ สามญฺญผลเทสนาทีสุ ภควตา เทสิตนเยเนว, เตนสฺส สุตฺตสฺส สตฺถุภาสิตภาวํ ชินวจนภาวํ ทเสฺสติฯ สาสเน น สีลเมว สาโรติ อริยมคฺคสาเร ภควโต สาสเน ยถา ทสฺสิตํ สีลํ สาโร เอว น โหติ สารวโต มหโต รุกฺขสฺส ปปฎิกฎฺฐานิยตฺตาฯ ยทิ เอวํ กสฺมา อิธ คหิตนฺติ อาห ‘‘เกวลเญฺหตํ ปติฎฺฐามตฺตกเมวา’’ติฯ ฌานาทิอุตฺตริมนุสฺสธเมฺม อธิคนฺตุกามสฺส อธิฎฺฐานมตฺตํ ตตฺถ อปฺปติฎฺฐิตสฺส เตสํ อสมฺภวโตฯ อถ วา น สีลเมว สาโรติ กามเญฺจตฺถ สาสเน ‘‘มคฺคสีลํ, ผลสีล’’นฺติ อิทํ โลกุตฺตรสีลมฺปิ สารเมว, ตถาปิ น สีลกฺขโนฺธ เอว สาโร อถ โข สมาธิกฺขโนฺธปิ ปญฺญากฺขโนฺธปิ สาโร เอวาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ปุริโม เอว สาโร, เตนาห ‘‘อิโต อุตฺตรี’’ติอาทิฯ
450-453.Sīlakkhandhassāti ettha iti-saddo ādiattho, pakārattho vā, tena ‘‘ariyassa samādhikkhandhassa…pe… patiṭṭhāpesī’’ti ayaṃ ettako pāṭho dassitoti daṭṭhabbaṃ tenāha ‘‘tesu dassitesū’’ti, uddesavasenāti adhippāyo. Bhagavatā vuttanayenevāti sāmaññaphaladesanādīsu bhagavatā desitanayeneva, tenassa suttassa satthubhāsitabhāvaṃ jinavacanabhāvaṃ dasseti. Sāsane na sīlameva sāroti ariyamaggasāre bhagavato sāsane yathā dassitaṃ sīlaṃ sāro eva na hoti sāravato mahato rukkhassa papaṭikaṭṭhāniyattā. Yadi evaṃ kasmā idha gahitanti āha ‘‘kevalañhetaṃ patiṭṭhāmattakamevā’’ti. Jhānādiuttarimanussadhamme adhigantukāmassa adhiṭṭhānamattaṃ tattha appatiṭṭhitassa tesaṃ asambhavato. Atha vā na sīlameva sāroti kāmañcettha sāsane ‘‘maggasīlaṃ, phalasīla’’nti idaṃ lokuttarasīlampi sārameva, tathāpi na sīlakkhandho eva sāro atha kho samādhikkhandhopi paññākkhandhopi sāro evāti evamettha attho daṭṭhabbo. Purimo eva sāro, tenāha ‘‘ito uttarī’’tiādi.
สมาธิกฺขนฺธวณฺณนา
Samādhikkhandhavaṇṇanā
๔๕๔. กสฺมา ปเนตฺถ เถโร สมาธิกฺขนฺธํ ปุโฎฺฐ อินฺทฺริยสํวราทิเก วิสฺสเชฺชสิ, นนุ เอวํ สเนฺต อญฺญํ ปุโฎฺฐ อญฺญํ พฺยากโรโนฺต อมฺพํ ปุโฎฺฐ ลพุชํ พฺยากโรโนฺต วิย โหตีติ อีทิสี โจทนา อิธ อโนกาสาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘กถญฺจ มาณว ภิกฺขุ…เป.… สมาธิกฺขนฺธํ ทเสฺสตุกาโม อารภี’’ติ อาห, เตเนตฺถ อินฺทฺริยสํวราทโยปิ สมาธิอุปการตํ อุปาทาย สมาธิกฺขนฺธปกฺขิกานิ อุทฺทิฎฺฐานีติ ทเสฺสติ รูปชฺฌานาเนว อาคตานิ, น อรูปชฺฌานานิ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานเทสนานนฺตรํ อภิญฺญาเทสนาย อวสโรติ กตฺวาฯ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานปาทิกา หิ สปริภณฺฑา ฉปิ อภิญฺญาโยฯ โลกิยา อภิญฺญา ปน สิชฺฌมานา ยสฺมา อฎฺฐสุ สมาปตฺตีสุ จุทฺทสวิเธน จิตฺตปริทมเนน วินา น อิชฺฌนฺติ, ตสฺมา อภิญฺญาสุ เทสิยมานาสุ อรูปชฺฌานานิปิ เทสิตาเนว โหนฺติ นานนฺตริยภาวโต, เตนาห ‘‘อาเนตฺวา ปน ทีเปตพฺพานี’’ติฯ วุตฺตนเยน เทสิตาเนว กตฺวา สํวณฺณเกหิ ปกาเสตพฺพานีติ อโตฺถฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘จตุตฺถชฺฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรตี’’ติ อิมินาว อรูปชฺฌานมฺปิ สงฺคหิตนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘จตุตฺถชฺฌาเนน หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ จตุตฺถชฺฌานญฺหิ รูปวิราคภาวนาวเสน ปวตฺตํ ‘‘อรูปชฺฌาน’’นฺติ วุจฺจตีติฯ
454. Kasmā panettha thero samādhikkhandhaṃ puṭṭho indriyasaṃvarādike vissajjesi, nanu evaṃ sante aññaṃ puṭṭho aññaṃ byākaronto ambaṃ puṭṭho labujaṃ byākaronto viya hotīti īdisī codanā idha anokāsāti dassento ‘‘kathañca māṇava bhikkhu…pe… samādhikkhandhaṃ dassetukāmoārabhī’’ti āha, tenettha indriyasaṃvarādayopi samādhiupakārataṃ upādāya samādhikkhandhapakkhikāni uddiṭṭhānīti dasseti rūpajjhānāneva āgatāni, na arūpajjhānāni rūpāvacaracatutthajjhānadesanānantaraṃ abhiññādesanāya avasaroti katvā. Rūpāvacaracatutthajjhānapādikā hi saparibhaṇḍā chapi abhiññāyo. Lokiyā abhiññā pana sijjhamānā yasmā aṭṭhasu samāpattīsu cuddasavidhena cittaparidamanena vinā na ijjhanti, tasmā abhiññāsu desiyamānāsu arūpajjhānānipi desitāneva honti nānantariyabhāvato, tenāha ‘‘ānetvā pana dīpetabbānī’’ti. Vuttanayena desitāneva katvā saṃvaṇṇakehi pakāsetabbānīti attho. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘catutthajjhānaṃ upasampajja viharatī’’ti imināva arūpajjhānampi saṅgahitanti dassetuṃ ‘‘catutthajjhānena hī’’tiādi vuttaṃ. Catutthajjhānañhi rūpavirāgabhāvanāvasena pavattaṃ ‘‘arūpajjhāna’’nti vuccatīti.
๔๗๑-๔๘๐. น จิเตฺตกคฺคตามตฺตเกเนวาติ เอตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตนยานุสาเรน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ โลกิยสฺส สมาธิกฺขนฺธสฺส อธิเปฺปตตฺตา ‘‘น จิเตฺต…เป.… อตฺถี’’ติ วุตฺตํฯ อริย-สโทฺท เจตฺถ สุทฺธปริยาโย, น โลกุตฺตรปริยาโยฯ ตถา เหฎฺฐาปิ โลกิยาภิญฺญาปฎิสมฺภิทาหิ วินาว อรหเตฺต อธิคเต นเตฺถว อุตฺตริํกรณียนฺติ สกฺกา วตฺตุํ ยทตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ, ตสฺส สิทฺธตฺตาฯ อิธ ปน โลกิยาภิญฺญาปิ อาคตา เอวฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
471-480.Na cittekaggatāmattakenevāti ettha heṭṭhā vuttanayānusārena attho veditabbo. Lokiyassa samādhikkhandhassa adhippetattā ‘‘na citte…pe… atthī’’ti vuttaṃ. Ariya-saddo cettha suddhapariyāyo, na lokuttarapariyāyo. Tathā heṭṭhāpi lokiyābhiññāpaṭisambhidāhi vināva arahatte adhigate nattheva uttariṃkaraṇīyanti sakkā vattuṃ yadatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussati, tassa siddhattā. Idha pana lokiyābhiññāpi āgatā eva. Sesaṃ suviññeyyameva.
สุภสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนาฯ
Subhasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๑๐. สุภสุตฺตํ • 10. Subhasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. สุภสุตฺตวณฺณนา • 10. Subhasuttavaṇṇanā