Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๙. สุภสุตฺตวณฺณนา
9. Subhasuttavaṇṇanā
๔๖๒. ตุทิสญฺญาโต คาโม นิคโม เอตสฺสาติ โตเทโยฺย, ตสฺส อตฺตโช โตเทยฺยปุโตฺตติ อาห ‘‘ตุทิคามา’’ติอาทิฯ อาราธโกติ สํราธโกฯ ธมฺมนิสนฺติ ยสฺมา สมฺปาทเนน ปริปูรเณน อิจฺฉิตา, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘สมฺปาทโก ปริปูรโก’’ติฯ ญายติ นิจฺฉเยน คเมติ นิพฺพานํ, ตํ วา ญายติ ปฎิวิชฺฌียติ เอเตนาติ ญาโย, ตโต เอตสฺส สมฺปาทกเหตุภาวโต ญาโย ธโมฺม อริยมโคฺค ตํ ญายํ ธมฺมํฯ เตนาห ‘‘การณธมฺม’’นฺติฯ อนวชฺชนฺติ อวชฺชปฎิปกฺขํฯ
462. Tudisaññāto gāmo nigamo etassāti todeyyo, tassa attajo todeyyaputtoti āha ‘‘tudigāmā’’tiādi. Ārādhakoti saṃrādhako. Dhammanisanti yasmā sampādanena paripūraṇena icchitā, tasmā vuttaṃ ‘‘sampādako paripūrako’’ti. Ñāyati nicchayena gameti nibbānaṃ, taṃ vā ñāyati paṭivijjhīyati etenāti ñāyo, tato etassa sampādakahetubhāvato ñāyo dhammo ariyamaggo taṃ ñāyaṃ dhammaṃ. Tenāha ‘‘kāraṇadhamma’’nti. Anavajjanti avajjapaṭipakkhaṃ.
๔๖๓. วฎฺฎจารกโต นิยฺยาตีติ นิยฺยานิกํ อีการสฺส รสฺสตฺตํ ย-การสฺส จ ก-การํ กตฺวาฯ นิยฺยาเน วา นิยุตฺตํ, นิยฺยานํ สีลนฺติ วา นิยฺยานิกํ, ตปฺปฎิปกฺขโต อนิยฺยานิกํฯ สา ปน อตฺถโต อกุสลกิริยาติ อาห ‘‘อกุสลปฎิปท’’นฺติฯ
463. Vaṭṭacārakato niyyātīti niyyānikaṃ īkārassa rassattaṃ ya-kārassa ca ka-kāraṃ katvā. Niyyāne vā niyuttaṃ, niyyānaṃ sīlanti vā niyyānikaṃ, tappaṭipakkhato aniyyānikaṃ. Sā pana atthato akusalakiriyāti āha ‘‘akusalapaṭipada’’nti.
พหุภาววาจโก อิธ มหาสโทฺท ‘‘มหาชโน’’ติอาทีสุวิยาติ อาห ‘‘มหเนฺตหิ พหูหี’’ติฯ อโตฺถติ ปโยชนํฯ มหนฺตานีติ พหุลานิฯ กิจฺจานีติ กาตพฺพานิฯ อธิกรณานีติ อธิการชีวิการูปานิฯ ฆราวาสกมฺมเมว ปญฺจพลิกรณทสอตฺถฎฺฐานภาวโต โลกยาตฺราย จ สมฺปวตฺติฎฺฐานภาวโต ชีวิตวุตฺติยา วา เหตุภาวโต ฆราวาสกมฺมฎฺฐานํฯ
Bahubhāvavācako idha mahāsaddo ‘‘mahājano’’tiādīsuviyāti āha ‘‘mahantehi bahūhī’’ti. Atthoti payojanaṃ. Mahantānīti bahulāni. Kiccānīti kātabbāni. Adhikaraṇānīti adhikārajīvikārūpāni. Gharāvāsakammameva pañcabalikaraṇadasaatthaṭṭhānabhāvato lokayātrāya ca sampavattiṭṭhānabhāvato jīvitavuttiyā vā hetubhāvato gharāvāsakammaṭṭhānaṃ.
‘‘อปฺปเกนปิ เมธาวี, ปาภเตน วิจกฺขโณ;
‘‘Appakenapi medhāvī, pābhatena vicakkhaṇo;
สมุฎฺฐาเปติ อตฺตานํ, อณุํ อคฺคิํว สนฺธม’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑.๔);
Samuṭṭhāpeti attānaṃ, aṇuṃ aggiṃva sandhama’’nti. (jā. 1.1.4);
คาถาย วุตฺตนเยน จูฬเนฺตวาสิกสฺส วิยฯ
Gāthāya vuttanayena cūḷantevāsikassa viya.
๔๖๔. อโยนิโส ปวตฺติตํ วาณิชฺชกมฺมํ วิย อปายภูตํ กสิกมฺมํ นิทสฺสนภาเว ฐเปตฺวา อโยนิโสมนสิกรณวเสน ปวตฺตํ ฆราวาสกิจฺจํ สนฺธายาห – ‘‘ยถา กสิ…เป.… เอวํ ฆราวาสกมฺมฎฺฐานมฺปี’’ติฯ พฺราหฺมณภโตฺต อโหสีติ โส กิร พหู พฺราหฺมเณ ธนํ ทตฺวา ยญฺญํ กาเรสิฯ อุปรีติ ‘‘อุปริ อุปฎฺฐาตีติ วเทหี’’ติ พฺราหฺมเณหิ อตฺตโน สมเยน อาจิกฺขาปิโตปิ ยถา อุปฎฺฐิตเมว กเถตฺวา กาลํ กตฺวา นิรเย นิพฺพโตฺต, อถ พฺราหฺมณา – ‘‘อิมินา อมฺหากํ ยเญฺญ โทโส ทิโนฺน’’ติ กุชฺฌิตฺวา ตสฺส กเฬวรํ สุสานํ เนตุํ นาทํสุฯ อถสฺส ญาตเกหิ สหเสฺส ทิเนฺน ตํ สหสฺสํ คเหตฺวา เคหโต นีหริตุํ อทํสุฯ กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล ฉตฺติํส อิตฺถิโย ‘‘เอกา วตฺถํ อทาสิ, เอกา คนฺธํ, เอกา สุมนมาล’’นฺติอาทินา ตํ ตํ ทานมยํ ปุญฺญํ กตฺวา อายุปริโยสาเน ตาวติํสภวเน สกฺกสฺส เทวรโญฺญ ปริจาริกา หุตฺวา นิพฺพตฺติํสุ สหสฺสอจฺฉราปริวาริกา, สกฺกสฺส เทวรโญฺญ เวชยนฺตรถํ เปเสตฺวา ปโกฺกสาปิเตน คุตฺติลาจริยภูเตน มหาโพธิสเตฺตน ปุจฺฉิตา ตํ ตํ อตฺตนา กตํ ปุญฺญํ พฺยากริํสุฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘สกลาย คุตฺติลวิมานกถาย ทีเปตพฺพ’’นฺติฯ วณิชฺชกมฺมฎฺฐานํ วิปชฺชมานนฺติ เอตฺถ ตสฺส วิปชฺชมานากาโร เหฎฺฐา วุโตฺตฯ เอวํ ปพฺพชฺชกมฺมฎฺฐานมฺปิ วิปชฺชมานํ อปฺปผลํ โหตีติ อาเนตฺวา สมฺพโนฺธฯ สีเลสุ อปริปูรการิโนติอาทิ ตสฺส วิปชฺชนาการทสฺสนํฯ ฌานาทิสุขนฺติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อภิญฺญาวิปสฺสนาทิสุขสฺส วิย สพฺรหฺมจารีหิ สทฺธิํ สีลสมฺปทาทิสุขสฺส สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ อรหตฺตมฺปิ ปาปุณาติ ปเคว เสกฺขปุถุชฺชนสมฺปตฺติโยติ อธิปฺปาโยฯ
464. Ayoniso pavattitaṃ vāṇijjakammaṃ viya apāyabhūtaṃ kasikammaṃ nidassanabhāve ṭhapetvā ayonisomanasikaraṇavasena pavattaṃ gharāvāsakiccaṃ sandhāyāha – ‘‘yathā kasi…pe… evaṃ gharāvāsakammaṭṭhānampī’’ti. Brāhmaṇabhatto ahosīti so kira bahū brāhmaṇe dhanaṃ datvā yaññaṃ kāresi. Uparīti ‘‘upari upaṭṭhātīti vadehī’’ti brāhmaṇehi attano samayena ācikkhāpitopi yathā upaṭṭhitameva kathetvā kālaṃ katvā niraye nibbatto, atha brāhmaṇā – ‘‘iminā amhākaṃ yaññe doso dinno’’ti kujjhitvā tassa kaḷevaraṃ susānaṃ netuṃ nādaṃsu. Athassa ñātakehi sahasse dinne taṃ sahassaṃ gahetvā gehato nīharituṃ adaṃsu. Kassapasammāsambuddhakāle chattiṃsa itthiyo ‘‘ekā vatthaṃ adāsi, ekā gandhaṃ, ekā sumanamāla’’ntiādinā taṃ taṃ dānamayaṃ puññaṃ katvā āyupariyosāne tāvatiṃsabhavane sakkassa devarañño paricārikā hutvā nibbattiṃsu sahassaaccharāparivārikā, sakkassa devarañño vejayantarathaṃ pesetvā pakkosāpitena guttilācariyabhūtena mahābodhisattena pucchitā taṃ taṃ attanā kataṃ puññaṃ byākariṃsu. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘sakalāya guttilavimānakathāya dīpetabba’’nti. Vaṇijjakammaṭṭhānaṃ vipajjamānanti ettha tassa vipajjamānākāro heṭṭhā vutto. Evaṃ pabbajjakammaṭṭhānampi vipajjamānaṃ appaphalaṃ hotīti ānetvā sambandho. Sīlesu aparipūrakārinotiādi tassa vipajjanākāradassanaṃ. Jhānādisukhanti ettha ādi-saddena abhiññāvipassanādisukhassa viya sabrahmacārīhi saddhiṃ sīlasampadādisukhassa saṅgaho daṭṭhabbo. Arahattampi pāpuṇāti pageva sekkhaputhujjanasampattiyoti adhippāyo.
จาคสีเสนาติ ปธานภูเตน จาเคน ทาเนน ตํ อวสฺสยํ กตฺวาฯ เอตฺถ เต น โกจิ อผาสุกภาโวติฯ อุชุกํ กตฺวา อวิรุทฺธํ กตฺวา, สมฺปโยเชตฺวาติ อโตฺถฯ ตปจริยนฺติ อคฺคิปริจรณํ, ตปจริยญฺจ พฺรหฺมจริยคฺคหณา ทุฎฺฐุลฺลภาวโตฯ
Cāgasīsenāti padhānabhūtena cāgena dānena taṃ avassayaṃ katvā. Ettha te na koci aphāsukabhāvoti. Ujukaṃ katvā aviruddhaṃ katvā, sampayojetvāti attho. Tapacariyanti aggiparicaraṇaṃ, tapacariyañca brahmacariyaggahaṇā duṭṭhullabhāvato.
๔๖๖. อชานนภาวนฺติ อสพฺพญฺญุภาวํฯ ภควโต ปน สพฺพญฺญุภาโว สเทวเก โลเก ชลตเล ปกฺขิตฺตเตลํ วิย ปตฺถริตฺวา ฐิโต, น เม อิทํ ปติรูปํ, ตโต ปริวตฺติสฺสามีติ ‘‘พฺราหฺมโณ, โภ, โคตมา’’ติอาทิมาหฯ ปจฺจาหริตุํ ปฎิปเกฺขน อปหริตุํฯ เสตโปกฺขรสทิโสติ ปุณฺฑรีกปตฺตสทิสวโณฺณฯ สุวฎฺฎิตาติ วฎฺฎภาวยุตฺตฎฺฐาเน สุวฎฺฎาฯ นามกํเยวาติ นามมตฺตเมว วจนมตฺตเมวฯ ตถาภูตานํ ภาวสฺสปิ อภาเวน นิหีนํ นาม โหติ, นาม-สโทฺท นิหีนปริยาโยฯ เตนาห – ‘‘ลามกํเยวา’’ติฯ
466.Ajānanabhāvanti asabbaññubhāvaṃ. Bhagavato pana sabbaññubhāvo sadevake loke jalatale pakkhittatelaṃ viya pattharitvā ṭhito, na me idaṃ patirūpaṃ, tato parivattissāmīti ‘‘brāhmaṇo, bho, gotamā’’tiādimāha. Paccāharituṃ paṭipakkhena apaharituṃ. Setapokkharasadisoti puṇḍarīkapattasadisavaṇṇo. Suvaṭṭitāti vaṭṭabhāvayuttaṭṭhāne suvaṭṭā. Nāmakaṃyevāti nāmamattameva vacanamattameva. Tathābhūtānaṃ bhāvassapi abhāvena nihīnaṃ nāma hoti, nāma-saddo nihīnapariyāyo. Tenāha – ‘‘lāmakaṃyevā’’ti.
๔๖๗. กตมา วาจา เตสํ เสโยฺยติ เตสํ จงฺกิยาทีนํ พฺราหฺมณมหาสาลานํ วุจฺจมานวิภาคาสุ วาจาสุ กตมา วาจา เสโยฺยติฯ ‘‘เสยฺยา’’ติ ลิงฺควิปลฺลาเสน วุตฺตํฯ สมฺมุติยาติ อวิลงฺฆิตสาธุมริยาทาย โลกสมฺมุติยาฯ เตนาห ‘‘โลกโวหาเรนา’’ติฯ มนฺตาติ มนฺตาสงฺขาตาย ปญฺญาย มเนฺตตฺวา ชานิตฺวาฯ เตนาห ‘‘ตุลยิตฺวา’’ติฯ อตฺถสํหิตนฺติ เหตุสญฺหิตํฯ ตํ ปน เอกํสโต ยุตฺติยุตฺตํ โหตีติ อาห – ‘‘การณนิสฺสิต’’นฺติฯ อาวุโตติอาทีสุ อาทิโต อภิมุขํ ญาณคติยา วิพนฺธเนน อาวุโต, อาวริเยน วิเสสโต ญาณคติยา นิพนฺธเนน นิวุโต, เอวํ โอผุโฎ ปลิคุณฺฐิโตฯ ปริโยนโทฺธติ สมนฺตโต โอนโทฺธ ฉาทิโตฯ เตนาห ‘‘ปลิเวฐิโต’’ติฯ
467.Katamā vācā tesaṃ seyyoti tesaṃ caṅkiyādīnaṃ brāhmaṇamahāsālānaṃ vuccamānavibhāgāsu vācāsu katamā vācā seyyoti. ‘‘Seyyā’’ti liṅgavipallāsena vuttaṃ. Sammutiyāti avilaṅghitasādhumariyādāya lokasammutiyā. Tenāha ‘‘lokavohārenā’’ti. Mantāti mantāsaṅkhātāya paññāya mantetvā jānitvā. Tenāha ‘‘tulayitvā’’ti. Atthasaṃhitanti hetusañhitaṃ. Taṃ pana ekaṃsato yuttiyuttaṃ hotīti āha – ‘‘kāraṇanissita’’nti. Āvutotiādīsu ādito abhimukhaṃ ñāṇagatiyā vibandhanena āvuto, āvariyena visesato ñāṇagatiyā nibandhanena nivuto, evaṃ ophuṭo paliguṇṭhito. Pariyonaddhoti samantato onaddho chādito. Tenāha ‘‘paliveṭhito’’ti.
๔๖๘. สเจ เอตํ การณมตฺถีติ ‘‘นิสฺสฎฺฐติณกฎฺฐุปาทาโน อคฺคิ ชลตี’’ติ เอตํ การณํ สเจ อตฺถิ ยทิ สิยา, โส อปโร ติณกฎฺฐุปาทาโน อคฺคิ ยทิ ภเวยฺยฯ สโทโส สาทีนโว สปริกฺกิเลโสฯ ปริสุโทฺธติ อุปกฺกิเลสาภาเวน สพฺพโส สุโทฺธฯ ชาติ อาทีนํ อภาเวนาติ ชาติปจฺจยานํ กมฺมกิเลสานํ นิคฺคเมนฯ
468.Sace etaṃ kāraṇamatthīti ‘‘nissaṭṭhatiṇakaṭṭhupādāno aggi jalatī’’ti etaṃ kāraṇaṃ sace atthi yadi siyā, so aparo tiṇakaṭṭhupādāno aggi yadi bhaveyya. Sadoso sādīnavo saparikkileso. Parisuddhoti upakkilesābhāvena sabbaso suddho. Jāti ādīnaṃ abhāvenāti jātipaccayānaṃ kammakilesānaṃ niggamena.
๔๖๙. น นิจฺจลา ติฎฺฐนฺตีติ ตตฺถ ปกฺขิปิตพฺพสฺส ลพฺภมานตฺตา ยถาปญฺญตฺตํ หุตฺวา นิจฺจลา อกมฺปิยา น ติฎฺฐนฺติฯ ตํ โทสํ ตํ อูนตาโทสํฯ
469.Naniccalā tiṭṭhantīti tattha pakkhipitabbassa labbhamānattā yathāpaññattaṃ hutvā niccalā akampiyā na tiṭṭhanti. Taṃ dosaṃ taṃ ūnatādosaṃ.
อญฺญสฺมิํ อสตีติ อตฺถภญฺชกมุสาวาเท อสติฯ โส หิ อตฺตโน สนฺตกสฺส อทาตุกามตาทิวเสน ปวตฺตสฺส อกมฺมปถปฺปตฺตสฺส มุสาวาทภาวสฺส วิปรีโต อโญฺญ อิธ อธิเปฺปโตฯ ตถา หิ อิตโร เยภุเยฺยน วฬญฺชิตพฺพโต โวหริตพฺพโต วฬญฺชกมุสาวาโทติ อาหฯ น กทาจิ มุสาวาทีติ เทฺว กถา น กเถนฺติฯ พาหิรกานํ อนวชฺชตปสมฺมตายปิ นิสฺสิโตติ วตฺตุํ อาห ‘‘สีลวา ตปนิสฺสิตโก โหติ’’ติฯ วิวฎมุขา มนฺตเชฺฌนมณฺฑิตา สพฺพโส สชฺฌายา โหนฺติ, น อิตเรติ อาห ‘‘ปพฺพชิตา นิจฺจํ สชฺฌายนฺตี’’ติฯ
Aññasmiṃ asatīti atthabhañjakamusāvāde asati. So hi attano santakassa adātukāmatādivasena pavattassa akammapathappattassa musāvādabhāvassa viparīto añño idha adhippeto. Tathā hi itaro yebhuyyena vaḷañjitabbato voharitabbato vaḷañjakamusāvādoti āha. Na kadāci musāvādīti dve kathā na kathenti. Bāhirakānaṃ anavajjatapasammatāyapi nissitoti vattuṃ āha ‘‘sīlavā tapanissitako hoti’’ti. Vivaṭamukhā mantajjhenamaṇḍitā sabbaso sajjhāyā honti, na itareti āha ‘‘pabbajitā niccaṃ sajjhāyantī’’ti.
๔๗๐. จิรํ นิกฺขโนฺตติ นิคฺคโต หุตฺวา จิรกาเลฯ น สพฺพโส ปจฺจกฺขา โหนฺติ สติสโมฺมหโต มคฺคานญฺจ อญฺญถา กรณโตฯ จิรายิตตฺตนฺติ ‘‘อยํ มโคฺค’’ติ กถนสฺส จิรายนํฯ วิตฺถายิตตฺตนฺติ อสปฺปฎิภานํฯ ตํ ปน สอุปมาห ทเสฺสตุํ ‘‘ยถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
470.Ciraṃ nikkhantoti niggato hutvā cirakāle. Na sabbaso paccakkhā honti satisammohato maggānañca aññathā karaṇato. Cirāyitattanti ‘‘ayaṃ maggo’’ti kathanassa cirāyanaṃ. Vitthāyitattanti asappaṭibhānaṃ. Taṃ pana saupamāha dassetuṃ ‘‘yathā’’tiādi vuttaṃ.
พลสมฺปโนฺนติ กายพเลน สมนฺนาคโตฯ ปมาณกตํ กมฺมํ นาม ปมาณกรานํ ราคาทิกิเลสานํ อวิกฺขมฺภิตตฺตา ‘‘ปมาณกตํ กมฺมํ นาม กามาวจร’’นฺติ อาห, เตสํ ปน วิกฺขมฺภิตตฺตา วุตฺตํ ‘‘อปฺปมาณกตํ กมฺมํ นาม รูปารูปาวจร’’นฺติฯ ตตฺถาปิ วิเสสโต อปฺปมญฺญาภาวนา สมฺภวตีติ อาห ‘‘เตสุปี’’ติอาทิฯ นิรีหกตฺตา ยถา อปฺปมาณสมญฺญา ลพฺภติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปมาณํ…เป.… วุจฺจตี’’ติ อาหฯ น โอหียติ น ติฎฺฐตีติ กตูปจิตมฺปิ กามาวจรกมฺมํ ยถาธิคเต มหคฺคตชฺฌาเน อปริหีเน ตํ อภิภวิตฺวา อาสีเทตฺวา ปเสฺส โอหียกํ กตฺวา ปฎิสนฺธิํ ทาตุํ สมตฺถภาเวน น ติฎฺฐติฯ ลคฺคิตุนฺติ อาวริตุํ ฯ ฐาตุนฺติ ปติฎฺฐาตุํฯ ผริตฺวาติ ปฎิปฺผริตฺวาฯ ปริยาทิยิตฺวาติ ตสฺส สามตฺถิยํ เขเปตฺวาฯ กมฺมสฺส ปริยาทิยนํ นาม วิปากุปฺปาทพนฺธนเมวาติ อาห – ‘‘ตสฺส วิปากํ ปฎิพาหิตฺวา’’ติฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Balasampannoti kāyabalena samannāgato. Pamāṇakataṃ kammaṃ nāma pamāṇakarānaṃ rāgādikilesānaṃ avikkhambhitattā ‘‘pamāṇakataṃ kammaṃ nāma kāmāvacara’’nti āha, tesaṃ pana vikkhambhitattā vuttaṃ ‘‘appamāṇakataṃ kammaṃ nāma rūpārūpāvacara’’nti. Tatthāpi visesato appamaññābhāvanā sambhavatīti āha ‘‘tesupī’’tiādi. Nirīhakattā yathā appamāṇasamaññā labbhati, taṃ dassetuṃ ‘‘pamāṇaṃ…pe… vuccatī’’ti āha. Na ohīyati na tiṭṭhatīti katūpacitampi kāmāvacarakammaṃ yathādhigate mahaggatajjhāne aparihīne taṃ abhibhavitvā āsīdetvā passe ohīyakaṃ katvā paṭisandhiṃ dātuṃ samatthabhāvena na tiṭṭhati. Laggitunti āvarituṃ . Ṭhātunti patiṭṭhātuṃ. Pharitvāti paṭippharitvā. Pariyādiyitvāti tassa sāmatthiyaṃ khepetvā. Kammassa pariyādiyanaṃ nāma vipākuppādabandhanamevāti āha – ‘‘tassa vipākaṃ paṭibāhitvā’’ti. Sesaṃ suviññeyyameva.
สุภสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Subhasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๙. สุภสุตฺตํ • 9. Subhasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๙. สุภสุตฺตวณฺณนา • 9. Subhasuttavaṇṇanā