Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อปทาน-อฎฺฐกถา • Apadāna-aṭṭhakathā |
๓. สุภูติวโคฺค
3. Subhūtivaggo
๑. สุภูติเตฺถรอปทานวณฺณนา
1. Subhūtittheraapadānavaṇṇanā
หิมวนฺตสฺสาวิทูเรติอาทิกํ อายสฺมโต สุภูติเตฺถรสฺส อปทานํฯ อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยานิ ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต อิโต กปฺปสตสหสฺสมตฺถเก อนุปฺปเนฺนเยว ปทุมุตฺตเร ภควติ โลกนาเถ หํสวตีนคเร อญฺญตรสฺส พฺราหฺมณมหาสาลสฺส เอกปุตฺตโก หุตฺวา นิพฺพตฺติ, ตสฺส นนฺทมาณโวติ นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตโย เวเท อุคฺคณฺหิตฺวา ตตฺถ สารํ อปสฺสโนฺต อตฺตโน ปริวารภูเตหิ จตุจตฺตาลีสาย มาณวสหเสฺสหิ สทฺธิํ ปพฺพตปาเท อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปญฺจาภิญฺญาโย จ นิพฺพเตฺตสิฯ อเนฺตวาสิกานมฺปิ กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิฯ เตปิ นจิรเสฺสว ฌานลาภิโน อเหสุํฯ
Himavantassāvidūretiādikaṃ āyasmato subhūtittherassa apadānaṃ. Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayāni puññāni upacinanto ito kappasatasahassamatthake anuppanneyeva padumuttare bhagavati lokanāthe haṃsavatīnagare aññatarassa brāhmaṇamahāsālassa ekaputtako hutvā nibbatti, tassa nandamāṇavoti nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto tayo vede uggaṇhitvā tattha sāraṃ apassanto attano parivārabhūtehi catucattālīsāya māṇavasahassehi saddhiṃ pabbatapāde isipabbajjaṃ pabbajitvā aṭṭha samāpattiyo pañcābhiññāyo ca nibbattesi. Antevāsikānampi kammaṭṭhānaṃ ācikkhi. Tepi nacirasseva jhānalābhino ahesuṃ.
เตน จ สมเยน ปทุมุตฺตโร ภควา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา หํสวตีนครํ อุปนิสฺสาย วิหรโนฺต เอกทิวสํ ปจฺจูสสมเย โลกํ โวโลเกโนฺต นนฺทตาปสสฺส อเนฺตวาสิกชฎิลานํ อรหตฺตูปนิสฺสยํ, นนฺทตาปสสฺส จ ทฺวีหเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺส สาวกฎฺฐานนฺตรสฺส ปตฺถนํ ทิสฺวา ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา ปุพฺพณฺหสมเย ปตฺตจีวรมาทาย อญฺญํ กญฺจิ อนามเนฺตตฺวา สีโห วิย เอกจโร นนฺทตาปสสฺส อเนฺตวาสิเกสุ ผลาผลตฺถาย คเตสุ ‘‘พุทฺธภาวํ เม ชานาตู’’ติ ปสฺสนฺตเสฺสว นนฺทตาปสสฺส อากาสโต โอตริตฺวา ปถวิยํ ปติฎฺฐาสิฯ นนฺทตาปโส พุทฺธานุภาวเญฺจว ลกฺขณปาริปูริญฺจ ทิสฺวา ลกฺขณมเนฺต สมฺมสิตฺวา ‘‘อิเมหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต นาม อคารํ อชฺฌาวสโนฺต ราชา โหติ จกฺกวตฺตี, ปพฺพชโนฺต โลเก วิวฎเจฺฉโท สพฺพญฺญู พุโทฺธ โหติ, อยํ ปุริสาชานีโย นิสฺสํสยํ พุโทฺธ’’ติ ญตฺวา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา อทาสิฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเนฯ นนฺทตาปโสปิ อตฺตโน อนุจฺฉวิกํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ตสฺมิํ สมเย จตุจตฺตาลีสสหสฺสชฎิลา ปณีตปณีตานิ โอชวนฺตานิ ผลาผลานิ คเหตฺวา อาจริยสฺส สนฺติกํ สมฺปตฺตา พุทฺธานเญฺจว อาจริยสฺส จ นิสินฺนาการํ โอโลเกตฺวา อาหํสุ – ‘‘อาจริย, มยํ ‘อิมสฺมิํ โลเก ตุเมฺหหิ มหนฺตตโร นตฺถี’ติ วิจราม, อยํ ปน ปุริโส ตุเมฺหหิ มหนฺตตโร มเญฺญ’’ติฯ นนฺทตาปโส – ‘‘ตาตา , กิํ วเทถ, ตุเมฺห สาสเปน สทฺธิํ อฎฺฐสฎฺฐิโยชนสตสหสฺสุเพฺพธํ สิเนรุํ อุปเมตุํ อิจฺฉถ, สพฺพญฺญุพุเทฺธน สทฺธิํ มา มํ อุปมิตฺถา’’ติ อาหฯ อถ เต ตาปสา – ‘‘สเจ อยํ โอรโก อภวิสฺส, น อมฺหากํ อาจริโย เอวํ อุปมํ อาหเรยฺยฯ ยาว มหาวตายํ ปุริสาชานีโย’’ติ ปาเทสุ นิปติตฺวา สิรสา วนฺทิํสุฯ อถ เต อาจริโย อาห – ‘‘ตาตา, อมฺหากํ พุทฺธานํ อนุจฺฉวิโก เทยฺยธโมฺม นตฺถิ, ภควา จ ภิกฺขาจารเวลายํ อิธาคโต, ตสฺมา มยํ ยถาพลํ เทยฺยธมฺมํ ทสฺสาม, ตุเมฺหหิ ยํ ยํ ปณีตํ ผลาผลํ อาภตํ, ตํ ตํ อาหรถา’’ติ อาหราเปตฺวา สหเตฺถเนว โธวิตฺวา สยํ ตถาคตสฺส ปเตฺต ปติฎฺฐาเปสิฯ สตฺถารา ผลาผเล ปฎิคฺคหิตมเตฺต เทวตา ทิโพฺพชํ ปกฺขิปิํสุฯ ตาปโส อุทกมฺปิ สยเมว ปริสฺสาเวตฺวา อทาสิฯ ตโต โภชนกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา นิสิเนฺน สตฺถริ สเพฺพ อเนฺตวาสิเก ปโกฺกสิตฺวา สตฺถุ สนฺติเก สารณียํ กถํ กเถโนฺต นิสีทิฯ สตฺถา ‘‘ภิกฺขุสโงฺฆ อาคจฺฉตู’’ติ จิเนฺตสิฯ สตฺถุ จิตฺตํ ญตฺวา สตสหสฺสมตฺตา ขีณาสวา อาคนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐํสุฯ
Tena ca samayena padumuttaro bhagavā loke uppajjitvā haṃsavatīnagaraṃ upanissāya viharanto ekadivasaṃ paccūsasamaye lokaṃ volokento nandatāpasassa antevāsikajaṭilānaṃ arahattūpanissayaṃ, nandatāpasassa ca dvīhaṅgehi samannāgatassa sāvakaṭṭhānantarassa patthanaṃ disvā pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā pubbaṇhasamaye pattacīvaramādāya aññaṃ kañci anāmantetvā sīho viya ekacaro nandatāpasassa antevāsikesu phalāphalatthāya gatesu ‘‘buddhabhāvaṃ me jānātū’’ti passantasseva nandatāpasassa ākāsato otaritvā pathaviyaṃ patiṭṭhāsi. Nandatāpaso buddhānubhāvañceva lakkhaṇapāripūriñca disvā lakkhaṇamante sammasitvā ‘‘imehi lakkhaṇehi samannāgato nāma agāraṃ ajjhāvasanto rājā hoti cakkavattī, pabbajanto loke vivaṭacchedo sabbaññū buddho hoti, ayaṃ purisājānīyo nissaṃsayaṃ buddho’’ti ñatvā paccuggamanaṃ katvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā āsanaṃ paññāpetvā adāsi. Nisīdi bhagavā paññatte āsane. Nandatāpasopi attano anucchavikaṃ āsanaṃ gahetvā ekamantaṃ nisīdi. Tasmiṃ samaye catucattālīsasahassajaṭilā paṇītapaṇītāni ojavantāni phalāphalāni gahetvā ācariyassa santikaṃ sampattā buddhānañceva ācariyassa ca nisinnākāraṃ oloketvā āhaṃsu – ‘‘ācariya, mayaṃ ‘imasmiṃ loke tumhehi mahantataro natthī’ti vicarāma, ayaṃ pana puriso tumhehi mahantataro maññe’’ti. Nandatāpaso – ‘‘tātā , kiṃ vadetha, tumhe sāsapena saddhiṃ aṭṭhasaṭṭhiyojanasatasahassubbedhaṃ sineruṃ upametuṃ icchatha, sabbaññubuddhena saddhiṃ mā maṃ upamitthā’’ti āha. Atha te tāpasā – ‘‘sace ayaṃ orako abhavissa, na amhākaṃ ācariyo evaṃ upamaṃ āhareyya. Yāva mahāvatāyaṃ purisājānīyo’’ti pādesu nipatitvā sirasā vandiṃsu. Atha te ācariyo āha – ‘‘tātā, amhākaṃ buddhānaṃ anucchaviko deyyadhammo natthi, bhagavā ca bhikkhācāravelāyaṃ idhāgato, tasmā mayaṃ yathābalaṃ deyyadhammaṃ dassāma, tumhehi yaṃ yaṃ paṇītaṃ phalāphalaṃ ābhataṃ, taṃ taṃ āharathā’’ti āharāpetvā sahattheneva dhovitvā sayaṃ tathāgatassa patte patiṭṭhāpesi. Satthārā phalāphale paṭiggahitamatte devatā dibbojaṃ pakkhipiṃsu. Tāpaso udakampi sayameva parissāvetvā adāsi. Tato bhojanakiccaṃ niṭṭhāpetvā nisinne satthari sabbe antevāsike pakkositvā satthu santike sāraṇīyaṃ kathaṃ kathento nisīdi. Satthā ‘‘bhikkhusaṅgho āgacchatū’’ti cintesi. Satthu cittaṃ ñatvā satasahassamattā khīṇāsavā āgantvā satthāraṃ vanditvā aṭṭhaṃsu.
อถ นนฺทตาปโส อเนฺตวาสิเก อามเนฺตสิ – ‘‘ตาตา, พุทฺธานํ นิสินฺนาสนมฺปิ นีจํ, สมณสตสหสฺสสฺสปิ อาสนํ นตฺถิฯ ตุเมฺหหิ อชฺช อุฬารํ ภควโต ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ สกฺการํ กาตุํ วฎฺฎติ, ปพฺพตปาทโต วณฺณคนฺธสมฺปนฺนานิ ปุปฺผานิ อาหรถา’’ติ อาหฯ อจิเนฺตยฺยตฺตา อิทฺธิวิสยสฺส เต มุหุเตฺตเนว วณฺณคนฺธรสสมฺปนฺนานิ ปุปฺผานิ อาหริตฺวา พุทฺธานํ โยชนปฺปมาณํ ปุปฺผาสนํ ปญฺญาเปสุํฯ อคฺคสาวกานํ ติคาวุตํ, เสสภิกฺขูนํ อฑฺฒโยชนาทิเภทํ, สงฺฆนวกสฺส อุสภมตฺตํ ปญฺญาเปสุํฯ เอวํ ปญฺญเตฺตสุ อาสเนสุ นนฺทตาปโส ตถาคตสฺส ปุรโต อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ฐิโต, ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย อิมํ ปุปฺผาสนํ อารุยฺห นิสีทถา’’ติ อาหฯ นิสีทิ ภควา ปุปฺผาสเนฯ เอวํ นิสิเนฺน สตฺถริ สตฺถุ อาการํ ญตฺวา ภิกฺขู อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตาสเน นิสีทิํสุฯ นนฺทตาปโส มหนฺตํ ปุปฺผจฺฉตฺตํ คเหตฺวา ตถาคตสฺส มตฺถเก ธาเรโนฺต อฎฺฐาสิฯ สตฺถา ‘‘ตาปสานํ อยํ สกฺกาโร มหปฺผโล โหตู’’ติ นิโรธสมาปตฺติํ สมาปชฺชิฯ สตฺถุ สมาปนฺนภาวํ ญตฺวา ภิกฺขูปิ สมาปตฺติํ สมาปชฺชิํสุฯ ตถาคเต สตฺตาหํ นิโรธํ สมาปชฺชิตฺวา นิสิเนฺน อเนฺตวาสิกา ภิกฺขาจารกาเล สมฺปเตฺต วนมูลผลาผลํ ปริภุญฺชิตฺวา เสสกาเล พุทฺธานํ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห อฎฺฐํสุฯ นนฺทตาปโส ปน ภิกฺขาจารมฺปิ อคนฺตฺวา ปุปฺผจฺฉตฺตํ ธาเรโนฺตเยว สตฺตาหํ ปีติสุเขเนว วีตินาเมสิฯ
Atha nandatāpaso antevāsike āmantesi – ‘‘tātā, buddhānaṃ nisinnāsanampi nīcaṃ, samaṇasatasahassassapi āsanaṃ natthi. Tumhehi ajja uḷāraṃ bhagavato bhikkhusaṅghassa ca sakkāraṃ kātuṃ vaṭṭati, pabbatapādato vaṇṇagandhasampannāni pupphāni āharathā’’ti āha. Acinteyyattā iddhivisayassa te muhutteneva vaṇṇagandharasasampannāni pupphāni āharitvā buddhānaṃ yojanappamāṇaṃ pupphāsanaṃ paññāpesuṃ. Aggasāvakānaṃ tigāvutaṃ, sesabhikkhūnaṃ aḍḍhayojanādibhedaṃ, saṅghanavakassa usabhamattaṃ paññāpesuṃ. Evaṃ paññattesu āsanesu nandatāpaso tathāgatassa purato añjaliṃ paggayha ṭhito, ‘‘bhante, amhākaṃ dīgharattaṃ hitāya sukhāya imaṃ pupphāsanaṃ āruyha nisīdathā’’ti āha. Nisīdi bhagavā pupphāsane. Evaṃ nisinne satthari satthu ākāraṃ ñatvā bhikkhū attano attano pattāsane nisīdiṃsu. Nandatāpaso mahantaṃ pupphacchattaṃ gahetvā tathāgatassa matthake dhārento aṭṭhāsi. Satthā ‘‘tāpasānaṃ ayaṃ sakkāro mahapphalo hotū’’ti nirodhasamāpattiṃ samāpajji. Satthu samāpannabhāvaṃ ñatvā bhikkhūpi samāpattiṃ samāpajjiṃsu. Tathāgate sattāhaṃ nirodhaṃ samāpajjitvā nisinne antevāsikā bhikkhācārakāle sampatte vanamūlaphalāphalaṃ paribhuñjitvā sesakāle buddhānaṃ añjaliṃ paggayha aṭṭhaṃsu. Nandatāpaso pana bhikkhācārampi agantvā pupphacchattaṃ dhārentoyeva sattāhaṃ pītisukheneva vītināmesi.
สตฺถา นิโรธโต วุฎฺฐาย อรณวิหาริอเงฺคน ทกฺขิเณยฺยเงฺคน จาติ ทฺวีหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตํ เอกํ สาวกํ ‘‘อิสิคณสฺส ปุปฺผาสนานุโมทนํ กโรหี’’ติ อาณาเปสิฯ โส จกฺกวตฺติรโญฺญ สนฺติกา ปฎิลทฺธมหาลาโภ มหาโยโธ วิย ตุฎฺฐมานโส อตฺตโน วิสเย ฐตฺวา เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ สมฺมสิตฺวา อนุโมทนมกาสิฯ ตสฺส เทสนาวสาเน สตฺถา สยํ ธมฺมํ เทเสสิฯ สตฺถุ เทสนาวสาเน สเพฺพปิ จตุจตฺตาลีสสหสฺสตาปสา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ สตฺถา – ‘‘เอถ ภิกฺขโว’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิฯ เตสํ ตาวเทว เกสมสฺสู อนฺตรธายิํสุ ฯ อฎฺฐ ปริกฺขารา สรีเร ปฎิมุกฺกาว อเหสุํฯ เต สฎฺฐิวสฺสิกเตฺถรา วิย สตฺถารํ ปริวารยิํสุฯ นนฺทตาปโส ปน วิกฺขิตฺตจิตฺตตาย วิเสสํ นาธิคญฺฉิฯ ตสฺส กิร อรณวิหาริเตฺถรสฺส ธมฺมํ โสตุํ อารทฺธกาลโต ปฎฺฐาย – ‘‘อโห วตาหมฺปิ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อิมินา สาวเกน ลทฺธคุณํ ลเภยฺย’’นฺติ จิตฺตํ อุทปาทิฯ โส เตน วิตเกฺกน มคฺคผลปฎิเวธํ กาตุํ นาสกฺขิฯ ตถาคตํ ปน วนฺทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห สมฺมุเข ฐิโต เอวมาห – ‘‘ภเนฺต, เยน ภิกฺขุนา อิสิคณสฺส ปุปฺผาสนานุโมทนา กตา, โก นามายํ ตุมฺหากํ สาสเน’’ติ? ‘‘อรณวิหาริอเงฺคน จ ทกฺขิเณยฺยเงฺคน จ เอตทคฺคฎฺฐานํ ปโตฺต เอโส ภิกฺขู’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, ยฺวายํ มยา สตฺตาหํ ปุปฺผจฺฉตฺตํ ธาเรเนฺตน สกฺกาโร กโต, เตน อธิกาเรน อญฺญํ สมฺปตฺติํ น ปเตฺถมิ, อนาคเต ปน เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อยํ เถโร วิย ทฺวีหเงฺคหิ สมนฺนาคโต สาวโก ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ
Satthā nirodhato vuṭṭhāya araṇavihāriaṅgena dakkhiṇeyyaṅgena cāti dvīhi aṅgehi samannāgataṃ ekaṃ sāvakaṃ ‘‘isigaṇassa pupphāsanānumodanaṃ karohī’’ti āṇāpesi. So cakkavattirañño santikā paṭiladdhamahālābho mahāyodho viya tuṭṭhamānaso attano visaye ṭhatvā tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ sammasitvā anumodanamakāsi. Tassa desanāvasāne satthā sayaṃ dhammaṃ desesi. Satthu desanāvasāne sabbepi catucattālīsasahassatāpasā arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Satthā – ‘‘etha bhikkhavo’’ti hatthaṃ pasāresi. Tesaṃ tāvadeva kesamassū antaradhāyiṃsu . Aṭṭha parikkhārā sarīre paṭimukkāva ahesuṃ. Te saṭṭhivassikattherā viya satthāraṃ parivārayiṃsu. Nandatāpaso pana vikkhittacittatāya visesaṃ nādhigañchi. Tassa kira araṇavihārittherassa dhammaṃ sotuṃ āraddhakālato paṭṭhāya – ‘‘aho vatāhampi anāgate ekassa buddhassa sāsane iminā sāvakena laddhaguṇaṃ labheyya’’nti cittaṃ udapādi. So tena vitakkena maggaphalapaṭivedhaṃ kātuṃ nāsakkhi. Tathāgataṃ pana vanditvā añjaliṃ paggayha sammukhe ṭhito evamāha – ‘‘bhante, yena bhikkhunā isigaṇassa pupphāsanānumodanā katā, ko nāmāyaṃ tumhākaṃ sāsane’’ti? ‘‘Araṇavihāriaṅgena ca dakkhiṇeyyaṅgena ca etadaggaṭṭhānaṃ patto eso bhikkhū’’ti. ‘‘Bhante, yvāyaṃ mayā sattāhaṃ pupphacchattaṃ dhārentena sakkāro kato, tena adhikārena aññaṃ sampattiṃ na patthemi, anāgate pana ekassa buddhassa sāsane ayaṃ thero viya dvīhaṅgehi samannāgato sāvako bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi.
สตฺถา ‘‘สมิชฺฌิสฺสติ นุ โข อิมสฺส ตาปสสฺส ปตฺถนา’’ติ อนาคตํสญาณํ เปเสตฺวา โอโลเกโนฺต กปฺปสตสหสฺสํ อติกฺกมิตฺวา สมิชฺฌนกภาวํ ทิสฺวา, ‘‘ตาปส, น เต อยํ ปตฺถนา โมฆํ ภวิสฺสติ, อนาคเต กปฺปสตสหสฺสํ อติกฺกมิตฺวา โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺส สนฺติเก สมิชฺฌิสฺสตี’’ติ ธมฺมกถํ กเถตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ นนฺทตาปโส ยาว จกฺขุปถํ น สมติกฺกมติ, ตาว สตฺถุ ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา อฎฺฐาสิฯ โส อปรภาเค กาเลน กาลํ สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ สุณิตฺวา อปริหีนชฺฌาโนว กาลํ กตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺตฯ ตโต ปน จุโต อปรานิปิ ปญฺจ ชาติสตานิ ปพฺพชิตฺวา อารญฺญโกว อโหสิ, กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเลปิ ปพฺพชิตฺวา อารญฺญโก หุตฺวา คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรสิฯ เอตํ กิร วตฺตํ อปริปูเรตฺวา มหาสาวกภาวํ ปาปุณนฺตา นาม นตฺถิ, คตปจฺจาคตวตฺตํ ปน อาคมฎฺฐกถาสุ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ โส วีสติวสฺสสหสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา กาลํ กตฺวา ตาวติํสเทวโลเก นิพฺพตฺติฯ
Satthā ‘‘samijjhissati nu kho imassa tāpasassa patthanā’’ti anāgataṃsañāṇaṃ pesetvā olokento kappasatasahassaṃ atikkamitvā samijjhanakabhāvaṃ disvā, ‘‘tāpasa, na te ayaṃ patthanā moghaṃ bhavissati, anāgate kappasatasahassaṃ atikkamitvā gotamo nāma buddho uppajjissati, tassa santike samijjhissatī’’ti dhammakathaṃ kathetvā bhikkhusaṅghaparivuto ākāsaṃ pakkhandi. Nandatāpaso yāva cakkhupathaṃ na samatikkamati, tāva satthu bhikkhusaṅghassa ca añjaliṃ paggahetvā aṭṭhāsi. So aparabhāge kālena kālaṃ satthāraṃ upasaṅkamitvā dhammaṃ suṇitvā aparihīnajjhānova kālaṃ katvā brahmaloke nibbatto. Tato pana cuto aparānipi pañca jātisatāni pabbajitvā āraññakova ahosi, kassapasammāsambuddhakālepi pabbajitvā āraññako hutvā gatapaccāgatavattaṃ pūresi. Etaṃ kira vattaṃ aparipūretvā mahāsāvakabhāvaṃ pāpuṇantā nāma natthi, gatapaccāgatavattaṃ pana āgamaṭṭhakathāsu vuttanayeneva veditabbaṃ. So vīsativassasahassāni gatapaccāgatavattaṃ pūretvā kālaṃ katvā tāvatiṃsadevaloke nibbatti.
เอวํ โส ตาวติํสภวเน อปราปรํ อุปฺปชฺชนวเสน ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา ตโต จุโต มนุสฺสโลเก อเนกสตกฺขตฺตุํ จกฺกวตฺติราชา ปเทสราชา จ หุตฺวา อุฬารํ มนุสฺสสมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา อมฺหากํ ภควโต อุปฺปนฺนกาเล สาวตฺถิยํ สุมนเสฎฺฐิสฺส เคเห อนาถปิณฺฑิกสฺส กนิโฎฺฐ หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ สุภูตีติสฺส นามํ อโหสิฯ
Evaṃ so tāvatiṃsabhavane aparāparaṃ uppajjanavasena dibbasampattiṃ anubhavitvā tato cuto manussaloke anekasatakkhattuṃ cakkavattirājā padesarājā ca hutvā uḷāraṃ manussasampattiṃ anubhavitvā amhākaṃ bhagavato uppannakāle sāvatthiyaṃ sumanaseṭṭhissa gehe anāthapiṇḍikassa kaniṭṭho hutvā nibbatti. Subhūtītissa nāmaṃ ahosi.
เตน จ สมเยน อมฺหากํ ภควา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อนุปุเพฺพน ราชคหํ คนฺตฺวา ตตฺถ เวฬุวนปฎิคฺคหณาทินา โลกานุคฺคหํ กโรโนฺต ราชคหํ อุปนิสฺสาย สีตวเน วิหาสิฯ ตทา อนาถปิณฺฑิโก เสฎฺฐิ สาวตฺถิยํ อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา อตฺตโน สหายสฺส ราชคหเสฎฺฐิโน เคหํ คนฺตฺวา พุทฺธุปฺปาทํ สุตฺวา สตฺถารํ สีตวเน วิหรนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปฐมทสฺสเนเนว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย สตฺถารํ สาวตฺถิํ อาคมนตฺถาย ยาจิตฺวา ตโต ปญฺจจตฺตาลีสโยชเน มเคฺค โยชเน โยชเน สตสหสฺสปริจฺจาเคน วิหาเร ปติฎฺฐาเปตฺวา สาวตฺถิยํ อฎฺฐกรีสปฺปมาณํ เชตสฺส กุมารสฺส อุยฺยานภูมิํ โกฎิสนฺถาเรน กิณิตฺวา ตตฺถ ภควโต วิหารํ กาเรตฺวา อทาสิฯ วิหารมหทิวเส อยํ สุภูติกุฎุมฺพิโก อนาถปิณฺฑิกเสฎฺฐินา สทฺธิํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณโนฺต สทฺธํ ปฎิลภิตฺวา ปพฺพชิฯ โส อุปสมฺปโนฺน เทฺว มาติกา ปคุณา กตฺวา กมฺมฎฺฐานํ กถาเปตฺวา อรเญฺญ สมณธมฺมํ กโรโนฺต เมตฺตาฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตํ ปาทกํ กตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ
Tena ca samayena amhākaṃ bhagavā loke uppajjitvā pavattitavaradhammacakko anupubbena rājagahaṃ gantvā tattha veḷuvanapaṭiggahaṇādinā lokānuggahaṃ karonto rājagahaṃ upanissāya sītavane vihāsi. Tadā anāthapiṇḍiko seṭṭhi sāvatthiyaṃ uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā attano sahāyassa rājagahaseṭṭhino gehaṃ gantvā buddhuppādaṃ sutvā satthāraṃ sītavane viharantaṃ upasaṅkamitvā paṭhamadassaneneva sotāpattiphale patiṭṭhāya satthāraṃ sāvatthiṃ āgamanatthāya yācitvā tato pañcacattālīsayojane magge yojane yojane satasahassapariccāgena vihāre patiṭṭhāpetvā sāvatthiyaṃ aṭṭhakarīsappamāṇaṃ jetassa kumārassa uyyānabhūmiṃ koṭisanthārena kiṇitvā tattha bhagavato vihāraṃ kāretvā adāsi. Vihāramahadivase ayaṃ subhūtikuṭumbiko anāthapiṇḍikaseṭṭhinā saddhiṃ gantvā dhammaṃ suṇanto saddhaṃ paṭilabhitvā pabbaji. So upasampanno dve mātikā paguṇā katvā kammaṭṭhānaṃ kathāpetvā araññe samaṇadhammaṃ karonto mettājhānaṃ nibbattetvā taṃ pādakaṃ katvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi.
โส ธมฺมํ เทเสโนฺต ยสฺมา สตฺถารา เทสิตนิยาเมน อโนทิสฺสกํ กตฺวา เทเสติ, ตสฺมา อรณวิหารีนํ อโคฺค นาม ชาโตฯ ยสฺมา จ ปิณฺฑาย จรโนฺต ฆเร ฆเร เมตฺตาฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ภิกฺขํ ปฎิคฺคณฺหาติ ‘‘เอวํ ทายกานํ มหปฺผลํ ภวิสฺสตี’’ติ, ตสฺมา ทกฺขิเณยฺยานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ เตน นํ ภควา ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ อรณวิหารีนํ ทกฺขิเณยฺยานญฺจ ยทิทํ สุภูตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๙๘, ๒๐๑) ทฺวยงฺคสมนฺนาคเต อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ เอวมยํ มหาเถโร อตฺตนา ปูริตปารมีนํ ผลสฺส มตฺถกํ อรหตฺตํ ปตฺวา โลเก อภิญฺญาโต อภิลกฺขิโต หุตฺวา พหุชนหิตาย ชนปทจาริกํ จรโนฺต อนุปุเพฺพน ราชคหํ อคมาสิฯ
So dhammaṃ desento yasmā satthārā desitaniyāmena anodissakaṃ katvā deseti, tasmā araṇavihārīnaṃ aggo nāma jāto. Yasmā ca piṇḍāya caranto ghare ghare mettājhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya bhikkhaṃ paṭiggaṇhāti ‘‘evaṃ dāyakānaṃ mahapphalaṃ bhavissatī’’ti, tasmā dakkhiṇeyyānaṃ aggo nāma jāto. Tena naṃ bhagavā ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ araṇavihārīnaṃ dakkhiṇeyyānañca yadidaṃ subhūtī’’ti (a. ni. 1.198, 201) dvayaṅgasamannāgate aggaṭṭhāne ṭhapesi. Evamayaṃ mahāthero attanā pūritapāramīnaṃ phalassa matthakaṃ arahattaṃ patvā loke abhiññāto abhilakkhito hutvā bahujanahitāya janapadacārikaṃ caranto anupubbena rājagahaṃ agamāsi.
ราชา พิมฺพิสาโร เถรสฺส อาคมนํ สุตฺวา อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘อิเธว, ภเนฺต, วสถ, วสนฎฺฐานํ โว กริสฺสามี’’ติ วตฺวา ปกฺกโนฺต วิสฺสริฯ เถโร เสนาสนํ อลภโนฺต อโพฺภกาเส วีตินาเมสิฯ เถรสฺสานุภาเวน เทโว น วสฺสติฯ มนุสฺสา อวุฎฺฐิตาย อุปทฺทุตา รโญฺญ นิเวสนทฺวาเร อุกฺกุฎฺฐิํ อกํสุฯ ราชา ‘‘เกน นุ โข การเณน เทโว น วสฺสตี’’ติ วีมํสโนฺต ‘‘เถรสฺส อโพฺภกาสวาเสน มเญฺญ น วสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตสฺส ปณฺณกุฎิํ การาเปตฺวา ‘‘อิมิสฺสํ, ภเนฺต, ปณฺณกุฎิยํ วสถา’’ติ วตฺวา วนฺทิตฺวา ปกฺกามิฯ เถโร กุฎิํ ปวิสิตฺวา ติณสนฺถารเก ปลฺลเงฺกน นิสีทิฯ ตทา เทโว โถกํ โถกํ ผุสายติ, น สมฺมาธารํ อนุปเวจฺฉติฯ อถ เถโร โลกสฺส อวุฎฺฐิกภยํ วิธมิตุกาโม อตฺตโน อชฺฌตฺติกพาหิรวตฺถุกสฺส ปริสฺสยสฺส อภาวํ ปเวเทโนฺต ‘‘ฉนฺนา เม กุฎิกา’’ติ (เถรคา. ๑) คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ เถรคาถายํ วุโตฺตเยวฯ
Rājā bimbisāro therassa āgamanaṃ sutvā upasaṅkamitvā vanditvā ‘‘idheva, bhante, vasatha, vasanaṭṭhānaṃ vo karissāmī’’ti vatvā pakkanto vissari. Thero senāsanaṃ alabhanto abbhokāse vītināmesi. Therassānubhāvena devo na vassati. Manussā avuṭṭhitāya upaddutā rañño nivesanadvāre ukkuṭṭhiṃ akaṃsu. Rājā ‘‘kena nu kho kāraṇena devo na vassatī’’ti vīmaṃsanto ‘‘therassa abbhokāsavāsena maññe na vassatī’’ti cintetvā tassa paṇṇakuṭiṃ kārāpetvā ‘‘imissaṃ, bhante, paṇṇakuṭiyaṃ vasathā’’ti vatvā vanditvā pakkāmi. Thero kuṭiṃ pavisitvā tiṇasanthārake pallaṅkena nisīdi. Tadā devo thokaṃ thokaṃ phusāyati, na sammādhāraṃ anupavecchati. Atha thero lokassa avuṭṭhikabhayaṃ vidhamitukāmo attano ajjhattikabāhiravatthukassa parissayassa abhāvaṃ pavedento ‘‘channā me kuṭikā’’ti (theragā. 1) gāthamāha. Tassattho theragāthāyaṃ vuttoyeva.
กสฺมา ปเนเต มหาเถรา อตฺตโน คุเณ ปกาเสนฺตีติ? อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา อนธิคตปุพฺพํ ปรมคมฺภีรํ อติวิย สนฺตํ ปณีตํ อตฺตนา อธิคตโลกุตฺตรธมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปีติเวคสมุสฺสาหิตอุทานทีปนตฺถํ สาสนสฺส นิยฺยานิกภาววิภาวนตฺถญฺจ ปรมปฺปิจฺฉา อริยา อตฺตโน คุเณ ปกาเสนฺติฯ ยถา ตํ โลกนาโถ โพธเนยฺยานํ อชฺฌาสยวเสน ‘‘ทสพลสมนฺนาคโต, ภิกฺขเว, ตถาคโต จตุเวสารชฺชวิสารโท’’ติอาทินา (อ. นิ. ๑๐.๒๑; ม. นิ. ๑. ๑๔๘ อตฺถโต สมานํ) อตฺตโน คุเณ ปกาเสติฯ เอวมยํ เถรสฺส อญฺญาพฺยากรณคาถาปิ อโหสีติฯ
Kasmā panete mahātherā attano guṇe pakāsentīti? Iminā dīghena addhunā anadhigatapubbaṃ paramagambhīraṃ ativiya santaṃ paṇītaṃ attanā adhigatalokuttaradhammaṃ paccavekkhitvā pītivegasamussāhitaudānadīpanatthaṃ sāsanassa niyyānikabhāvavibhāvanatthañca paramappicchā ariyā attano guṇe pakāsenti. Yathā taṃ lokanātho bodhaneyyānaṃ ajjhāsayavasena ‘‘dasabalasamannāgato, bhikkhave, tathāgato catuvesārajjavisārado’’tiādinā (a. ni. 10.21; ma. ni. 1. 148 atthato samānaṃ) attano guṇe pakāseti. Evamayaṃ therassa aññābyākaraṇagāthāpi ahosīti.
๑. เอวํ โส ปตฺตอรหตฺตผโล ปตฺตเอตทคฺคฎฺฐาโน จ อตฺตโน ปุพฺพกมฺมํ สริตฺวา โสมนสฺสชาโต ปุพฺพจริตาปทานํ ปกาเสโนฺต หิมวนฺตสฺสาวิทูเรติอาทิมาหฯ ตตฺถ หิมวนฺตสฺสาติ หิมาลยปพฺพตสฺส อวิทูเร อาสเนฺน สมีเป ปพฺพตปาเท มนุสฺสานํ คมนาคมนสมฺปเนฺน สญฺจรณฎฺฐาเนติ อโตฺถฯ นิสโภ นาม ปพฺพโตติ ปพฺพตานํ เชฎฺฐตฺตา นาเมน นิสโภ นาม เสลมยปพฺพโต อโหสีติ สมฺพโนฺธฯ อสฺสโม สุกโต มยฺหนฺติ ตตฺถ ปพฺพเต มยฺหํ วสนตฺถาย อสฺสโม อรญฺญาวาโส สุฎฺฐุ กโตฯ กุฎิรตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานวติปริเกฺขปาทิวเสน สุนฺทรากาเรน กโตติ อโตฺถฯ ปณฺณสาลา สุมาปิตาติ ปเณฺณหิ ฉาทิตา สาลา มยฺหํ นิวาสนตฺถาย สุฎฺฐุ มาปิตา นิฎฺฐาปิตาติ อโตฺถฯ
1. Evaṃ so pattaarahattaphalo pattaetadaggaṭṭhāno ca attano pubbakammaṃ saritvā somanassajāto pubbacaritāpadānaṃ pakāsento himavantassāvidūretiādimāha. Tattha himavantassāti himālayapabbatassa avidūre āsanne samīpe pabbatapāde manussānaṃ gamanāgamanasampanne sañcaraṇaṭṭhāneti attho. Nisabho nāma pabbatoti pabbatānaṃ jeṭṭhattā nāmena nisabho nāma selamayapabbato ahosīti sambandho. Assamo sukato mayhanti tattha pabbate mayhaṃ vasanatthāya assamo araññāvāso suṭṭhu kato. Kuṭirattiṭṭhānadivāṭṭhānavatiparikkhepādivasena sundarākārena katoti attho. Paṇṇasālā sumāpitāti paṇṇehi chāditā sālā mayhaṃ nivāsanatthāya suṭṭhu māpitā niṭṭhāpitāti attho.
๒. โกสิโย นาม นาเมนาติ มาตาปิตูหิ กตนามเธเยฺยน โกสิโย นามฯ อุคฺคตาปโน ปากฎตโป โฆรตโปฯ เอกากิโย อเญฺญสํ อภาวา อหํ เอว เอโกฯ อทุติโย ทุติยตาปสรหิโต ชฎิโล ชฎาธารี ตาปโส ตทา ตสฺมิํ กาเล นิสเภ ปพฺพเต วสามิ วิหรามีติ สมฺพโนฺธฯ
2.Kosiyo nāma nāmenāti mātāpitūhi katanāmadheyyena kosiyo nāma. Uggatāpano pākaṭatapo ghoratapo. Ekākiyo aññesaṃ abhāvā ahaṃ eva eko. Adutiyo dutiyatāpasarahito jaṭilo jaṭādhārī tāpaso tadā tasmiṃ kāle nisabhe pabbate vasāmi viharāmīti sambandho.
๓. ผลํ มูลญฺจ ปณฺณญฺจ, น ภุญฺชามิ อหํ ตทาติ ตทา ตสฺมิํ นิสภปพฺพเต วสนกาเล ติณฺฑุกาทิผลํ มุฬาลาทิมูลํ, การปณฺณาทิปณฺณญฺจ รุกฺขโต โอจินิตฺวา น ภุญฺชามีติ อโตฺถฯ เอวํ สติ กถํ ชีวตีติ ตํ ทเสฺสโนฺต ปวตฺตํว สุปาตาหนฺติ อาหฯ ตตฺถ ปวตฺตํ สยเมว ชาตํ สุปาตํ อตฺตโน ธมฺมตาย ปติตํ ปณฺณาทิกํ นิสฺสาย อาหารํ กตฺวา อหํ ตาวเท ตสฺมิํ กาเล ชีวามิ ชีวิกํ กเปฺปมีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘ปวตฺตปณฺฑุปณฺณานี’’ติ วา ปาโฐ, ตสฺส สยเมว ปติตานิ ปณฺฑุปณฺณานิ รุกฺขปตฺตานิ อุปนิสฺสาย ชีวามีติ อโตฺถฯ
3.Phalaṃ mūlañca paṇṇañca, na bhuñjāmi ahaṃ tadāti tadā tasmiṃ nisabhapabbate vasanakāle tiṇḍukādiphalaṃ muḷālādimūlaṃ, kārapaṇṇādipaṇṇañca rukkhato ocinitvā na bhuñjāmīti attho. Evaṃ sati kathaṃ jīvatīti taṃ dassento pavattaṃva supātāhanti āha. Tattha pavattaṃ sayameva jātaṃ supātaṃ attano dhammatāya patitaṃ paṇṇādikaṃ nissāya āhāraṃ katvā ahaṃ tāvade tasmiṃ kāle jīvāmi jīvikaṃ kappemīti sambandho. ‘‘Pavattapaṇḍupaṇṇānī’’ti vā pāṭho, tassa sayameva patitāni paṇḍupaṇṇāni rukkhapattāni upanissāya jīvāmīti attho.
๔. นาหํ โกเปมิ อาชีวนฺติ อหํ ชีวิตํ จชมาโนปิ ปริจฺจาคํ กุรุมาโนปิ ตณฺหาวเสน ผลมูลาทิอาหารปริเยสนาย สมฺมา อาชีวํ น โกเปมิ น นาเสมีติ สมฺพโนฺธฯ อาราเธมิ สกํ จิตฺตนฺติ สกํ จิตฺตํ อตฺตโน มนํ อปฺปิจฺฉตาย สนฺตุฎฺฐิยา จ อาราเธมิ ปสาเทมิฯ วิวเชฺชมิ อเนสนนฺติ เวชฺชกมฺมทูตกมฺมาทิวเสน อเนสนํ อยุตฺตปริเยสนํ วิวเชฺชมิ ทูรํ กโรมิฯ
4.Nāhaṃ kopemi ājīvanti ahaṃ jīvitaṃ cajamānopi pariccāgaṃ kurumānopi taṇhāvasena phalamūlādiāhārapariyesanāya sammā ājīvaṃ na kopemi na nāsemīti sambandho. Ārādhemi sakaṃ cittanti sakaṃ cittaṃ attano manaṃ appicchatāya santuṭṭhiyā ca ārādhemi pasādemi. Vivajjemi anesananti vejjakammadūtakammādivasena anesanaṃ ayuttapariyesanaṃ vivajjemi dūraṃ karomi.
๕. ราคูปสํหิตํ จิตฺตนฺติ ยทา ยสฺมิํ กาเล มม ราเคน สมฺปยุตฺตํ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตทา สยเมว อตฺตนาเยว ปจฺจเวกฺขามิ ญาเณน ปฎิเวกฺขิตฺวา วิโนเทมิฯ เอกโคฺค ตํ ทเมมหนฺติ อหํ เอกสฺมิํ กมฺมฎฺฐานารมฺมเณ อโคฺค สมาหิโต ตํ ราคจิตฺตํ ทเมมิ ทมนํ กโรมิฯ
5.Rāgūpasaṃhitaṃ cittanti yadā yasmiṃ kāle mama rāgena sampayuttaṃ cittaṃ uppajjati, tadā sayameva attanāyeva paccavekkhāmi ñāṇena paṭivekkhitvā vinodemi. Ekaggo taṃ damemahanti ahaṃ ekasmiṃ kammaṭṭhānārammaṇe aggo samāhito taṃ rāgacittaṃ damemi damanaṃ karomi.
๖. รชฺชเส รชฺชนีเย จาติ รชฺชนีเย อลฺลียิตเพฺพ รูปารมฺมณาทิวตฺถุสฺมิํ รชฺชเส อลฺลีโน อสิ ภวสิฯ ทุสฺสนีเย จ ทุสฺสเสติ ทูสิตเพฺพ โทสกรณวตฺถุสฺมิํ ทูสโก อสิฯ มุยฺหเส โมหนีเย จาติ โมหิตเพฺพ โมหกรณวตฺถุสฺมิํ โมยฺหสิ มูโฬฺห อสิ ภวสิฯ ตสฺมา ตุวํ วนา วนโต อรญฺญวาสโต นิกฺขมสฺสุ อปคจฺฉาหีติ เอวํ อตฺตานํ ทเมมีติ สมฺพโนฺธฯ
6.Rajjase rajjanīye cāti rajjanīye allīyitabbe rūpārammaṇādivatthusmiṃ rajjase allīno asi bhavasi. Dussanīye ca dussaseti dūsitabbe dosakaraṇavatthusmiṃ dūsako asi. Muyhase mohanīye cāti mohitabbe mohakaraṇavatthusmiṃ moyhasi mūḷho asi bhavasi. Tasmā tuvaṃ vanā vanato araññavāsato nikkhamassu apagacchāhīti evaṃ attānaṃ damemīti sambandho.
๒๔. ติมฺพรูสกวณฺณาโภติ สุวณฺณติมฺพรูสกวณฺณาโภ, ชโมฺพนทสุวณฺณวโณฺณติ อโตฺถฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวาติฯ
24.Timbarūsakavaṇṇābhoti suvaṇṇatimbarūsakavaṇṇābho, jambonadasuvaṇṇavaṇṇoti attho. Sesaṃ suviññeyyamevāti.
สุภูติเตฺถรอปทานวณฺณนา สมตฺตาฯ
Subhūtittheraapadānavaṇṇanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อปทานปาฬิ • Apadānapāḷi / ๑. สุภูติเตฺถรอปทานํ • 1. Subhūtittheraapadānaṃ