Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๕. สูจิโลมสุตฺตวณฺณนา
5. Sūcilomasuttavaṇṇanā
เอวํ เม สุตนฺติ สูจิโลมสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? อตฺถวณฺณนานเยเนวสฺส อุปฺปตฺติ อาวิ ภวิสฺสติฯ อตฺถวณฺณนายญฺจ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิ วุตฺตตฺถเมวฯ คยายํ วิหรติ ฎงฺกิตมเญฺจ สูจิโลมสฺส ยกฺขสฺส ภวเนติ เอตฺถ ปน กา คยา, โก ฎงฺกิตมโญฺจ, กสฺมา จ ภควา ตสฺส ยกฺขสฺส ภวเน วิหรตีติ? วุจฺจเต – คยาติ คาโมปิ ติตฺถมฺปิ วุจฺจติ, ตทุภยมฺปิ อิธ วฎฺฎติฯ คยาคามสฺส หิ อวิทูเร เทเส วิหรโนฺตปิ ‘‘คยายํ วิหรตี’’ติ วุจฺจติ, ตสฺส จ คามสฺส สมีเป อวิทูเร ทฺวารสนฺติเก โส ฎงฺกิตมโญฺจฯ คยาติเตฺถ วิหรโนฺตปิ ‘‘คยายํ วิหรตี’’ติ วุจฺจติ, คยาติเตฺถ จ โส ฎงฺกิตมโญฺจฯ ฎงฺกิตมโญฺจติ จตุนฺนํ ปาสาณานํ อุปริ วิตฺถตํ ปาสาณํ อาโรเปตฺวา กโต ปาสาณมโญฺจ ฯ ตํ นิสฺสาย ยกฺขสฺส ภวนํ อาฬวกสฺส ภวนํ วิยฯ ยสฺมา วา ปน ภควา ตํ ทิวสํ ปจฺจูสสมเย มหากรุณาสมาปตฺติโต วุฎฺฐาย พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต สูจิโลมสฺส จ ขรโลมสฺส จาติ ทฺวินฺนมฺปิ ยกฺขานํ โสตาปตฺติผลูปนิสฺสยํ อทฺทส, ตสฺมา ปตฺตจีวรํ อาทาย อโนฺตอรุเณเยว นานาทิสาหิ สนฺนิปติตสฺส ชนสฺส เขฬสิงฺฆาณิกาทินานปฺปการาสุจินิสฺสนฺทกิลินฺนภูมิภาคมฺปิ ตํ ติตฺถปฺปเทสํ อาคนฺตฺวา ตสฺมิํ ฎงฺกิตมเญฺจ นิสีทิ สูจิโลมสฺส ยกฺขสฺส ภวเนฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เอกํ สมยํ ภควา คยายํ วิหรติ ฎงฺกิตมเญฺจ สูจิโลมสฺส ยกฺขสฺส ภวเน’’ติฯ
Evaṃme sutanti sūcilomasuttaṃ. Kā uppatti? Atthavaṇṇanānayenevassa uppatti āvi bhavissati. Atthavaṇṇanāyañca ‘‘evaṃ me suta’’ntiādi vuttatthameva. Gayāyaṃ viharati ṭaṅkitamañce sūcilomassa yakkhassa bhavaneti ettha pana kā gayā, ko ṭaṅkitamañco, kasmā ca bhagavā tassa yakkhassa bhavane viharatīti? Vuccate – gayāti gāmopi titthampi vuccati, tadubhayampi idha vaṭṭati. Gayāgāmassa hi avidūre dese viharantopi ‘‘gayāyaṃ viharatī’’ti vuccati, tassa ca gāmassa samīpe avidūre dvārasantike so ṭaṅkitamañco. Gayātitthe viharantopi ‘‘gayāyaṃ viharatī’’ti vuccati, gayātitthe ca so ṭaṅkitamañco. Ṭaṅkitamañcoti catunnaṃ pāsāṇānaṃ upari vitthataṃ pāsāṇaṃ āropetvā kato pāsāṇamañco . Taṃ nissāya yakkhassa bhavanaṃ āḷavakassa bhavanaṃ viya. Yasmā vā pana bhagavā taṃ divasaṃ paccūsasamaye mahākaruṇāsamāpattito vuṭṭhāya buddhacakkhunā lokaṃ volokento sūcilomassa ca kharalomassa cāti dvinnampi yakkhānaṃ sotāpattiphalūpanissayaṃ addasa, tasmā pattacīvaraṃ ādāya antoaruṇeyeva nānādisāhi sannipatitassa janassa kheḷasiṅghāṇikādinānappakārāsucinissandakilinnabhūmibhāgampi taṃ titthappadesaṃ āgantvā tasmiṃ ṭaṅkitamañce nisīdi sūcilomassa yakkhassa bhavane. Tena vuttaṃ ‘‘ekaṃ samayaṃ bhagavā gayāyaṃ viharati ṭaṅkitamañce sūcilomassa yakkhassa bhavane’’ti.
เตน โข ปน สมเยนาติ ยํ สมยํ ภควา ตตฺถ วิหรติ, เตน สมเยนฯ ขโร จ ยโกฺข สูจิโลโม จ ยโกฺข ภควโต อวิทูเร อติกฺกมนฺตีติฯ เก เต ยกฺขา, กสฺมา จ อติกฺกมนฺตีติ? วุจฺจเต – เตสุ ตาว เอโก อตีเต สงฺฆสฺส เตลํ อนาปุจฺฉา คเหตฺวา อตฺตโน สรีรํ มเกฺขสิฯ โส เตน กเมฺมน นิรเย ปจฺจิตฺวา คยาโปกฺขรณิตีเร ยกฺขโยนิยํ นิพฺพโตฺตฯ ตเสฺสว จสฺส กมฺมสฺส วิปากาวเสเสน วิรูปานิ องฺคปจฺจงฺคานิ อเหสุํ , อิฎฺฐกจฺฉทนสทิสญฺจ ขรสมฺผสฺสํ จมฺมํฯ โส กิร ยทา ปรํ ภิํสาเปตุกาโม โหติ, ตทา ฉทนิฎฺฐกสทิสานิ จมฺมกปาลานิ อุกฺขิปิตฺวา ภิํสาเปติฯ เอวํ โส ขรสมฺผสฺสตฺตา ขโร ยโกฺขเตฺวว นามํ ลภิฯ
Tena kho pana samayenāti yaṃ samayaṃ bhagavā tattha viharati, tena samayena. Kharo ca yakkho sūcilomo ca yakkho bhagavato avidūre atikkamantīti. Ke te yakkhā, kasmā ca atikkamantīti? Vuccate – tesu tāva eko atīte saṅghassa telaṃ anāpucchā gahetvā attano sarīraṃ makkhesi. So tena kammena niraye paccitvā gayāpokkharaṇitīre yakkhayoniyaṃ nibbatto. Tasseva cassa kammassa vipākāvasesena virūpāni aṅgapaccaṅgāni ahesuṃ , iṭṭhakacchadanasadisañca kharasamphassaṃ cammaṃ. So kira yadā paraṃ bhiṃsāpetukāmo hoti, tadā chadaniṭṭhakasadisāni cammakapālāni ukkhipitvā bhiṃsāpeti. Evaṃ so kharasamphassattā kharo yakkhotveva nāmaṃ labhi.
อิตโร กสฺสปสฺส ภควโต กาเล อุปาสโก หุตฺวา มาสสฺส อฎฺฐ ทิวเส วิหารํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณาติฯ โส เอกทิวสํ ธมฺมสฺสวเน โฆสิเต สงฺฆารามทฺวาเร อตฺตโน เขตฺตํ เกลายโนฺต อุโคฺฆสนํ สุตฺวา ‘‘สเจ นฺหายามิ, จิรํ ภวิสฺสตี’’ติ กิลิฎฺฐคโตฺตว อุโปสถาคารํ ปวิสิตฺวา มหเคฺฆ ภุมฺมตฺถรเณ อนาทเรน นิปชฺชิตฺวา สุปิฯ ภิกฺขุ เอวายํ, น อุปาสโกติ สํยุตฺตภาณกาฯ โส เตน จ อเญฺญน กเมฺมน จ นิรเย ปจฺจิตฺวา คยาโปกฺขรณิยา ตีเร ยกฺขโยนิยํ นิพฺพโตฺตฯ โส ตสฺส กมฺมสฺส วิปากาวเสเสน ทุทฺทสิโก อโหสิ, สรีเร จสฺส สูจิสทิสานิ โลมานิ อเหสุํฯ โส หิ ภิํสาเปตพฺพเก สเตฺต สูจีหิ วิชฺฌโนฺต วิย ภิํสาเปติฯ เอวํ โส สูจิสทิสโลมตฺตา สูจิโลโม ยโกฺขเตฺวว นามํ ลภิฯ เต อตฺตโน โคจรตฺถาย ภวนโต นิกฺขมิตฺวา มุหุตฺตํ คนฺตฺวา คตมเคฺคเนว นิวตฺติตฺวา อิตรํ ทิสาภาคํ คจฺฉนฺตา ภควโต อวิทูเร อติกฺกมนฺติฯ
Itaro kassapassa bhagavato kāle upāsako hutvā māsassa aṭṭha divase vihāraṃ gantvā dhammaṃ suṇāti. So ekadivasaṃ dhammassavane ghosite saṅghārāmadvāre attano khettaṃ kelāyanto ugghosanaṃ sutvā ‘‘sace nhāyāmi, ciraṃ bhavissatī’’ti kiliṭṭhagattova uposathāgāraṃ pavisitvā mahagghe bhummattharaṇe anādarena nipajjitvā supi. Bhikkhu evāyaṃ, na upāsakoti saṃyuttabhāṇakā. So tena ca aññena kammena ca niraye paccitvā gayāpokkharaṇiyā tīre yakkhayoniyaṃ nibbatto. So tassa kammassa vipākāvasesena duddasiko ahosi, sarīre cassa sūcisadisāni lomāni ahesuṃ. So hi bhiṃsāpetabbake satte sūcīhi vijjhanto viya bhiṃsāpeti. Evaṃ so sūcisadisalomattā sūcilomo yakkhotveva nāmaṃ labhi. Te attano gocaratthāya bhavanato nikkhamitvā muhuttaṃ gantvā gatamaggeneva nivattitvā itaraṃ disābhāgaṃ gacchantā bhagavato avidūre atikkamanti.
อถ โข ขโรติ กสฺมา เต เอวมาหํสุ? ขโร สมณกปฺปํ ทิสฺวา อาหฯ สูจิโลโม ปน ‘‘โย ภายติ น โส สมโณ, สมณปฎิรูปกตฺตา ปน สมณโก โหตี’’ติ เอวํลทฺธิโกฯ ตสฺมา ตาทิสํ ภควนฺตํ มญฺญมาโน ‘‘เนโส สมโณ, สมณโก เอโส’’ติ สหสาว วตฺวาปิ ปุน วีมํสิตุกาโม อาห – ‘‘ยาวาหํ ชานามี’’ติฯ ‘‘อถ โข’’ติ เอวํ วตฺวา ตโตฯ สูจิโลโม ยโกฺขติ อิโต ปภุติ ยาว อปิจ โข เต สมฺผโสฺส ปาปโกติ, ตาว อุตฺตานตฺถเมว เกวลเญฺจตฺถ ภควโต กายนฺติ อตฺตโน กายํ ภควโต อุปนาเมสีติ เอวํ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ
Atha kho kharoti kasmā te evamāhaṃsu? Kharo samaṇakappaṃ disvā āha. Sūcilomo pana ‘‘yo bhāyati na so samaṇo, samaṇapaṭirūpakattā pana samaṇako hotī’’ti evaṃladdhiko. Tasmā tādisaṃ bhagavantaṃ maññamāno ‘‘neso samaṇo, samaṇako eso’’ti sahasāva vatvāpi puna vīmaṃsitukāmo āha – ‘‘yāvāhaṃ jānāmī’’ti. ‘‘Atha kho’’ti evaṃ vatvā tato. Sūcilomo yakkhoti ito pabhuti yāva apica kho te samphasso pāpakoti, tāva uttānatthameva kevalañcettha bhagavato kāyanti attano kāyaṃ bhagavato upanāmesīti evaṃ sambandho veditabbo.
ตโต อภายนฺตํ ภควนฺตํ ทิสฺวา ‘‘ปญฺหํ ตํ สมณา’’ติอาทิมาหฯ กิํ การณา? โส หิ จิเนฺตสิ – ‘‘อิมินาปิ นาม เม เอวํ ขเรน อมนุสฺสสมฺผเสฺสน มนุโสฺส สมาโน อยํ น ภายติ, หนฺทาหํ เอตํ พุทฺธวิสเย ปญฺหํ ปุจฺฉามิ, อทฺธา อยํ ตตฺถ น สมฺปายิสฺสติ, ตโต นํ เอวํ วิเหเฐสฺสามี’’ติฯ ภควา ตํ สุตฺวา ‘‘น ขฺวาหํ ตํ อาวุโส’’ติอาทิมาหฯ ตํ สพฺพํ อาฬวกสุเตฺต วุตฺตนเยเนว สพฺพากาเรหิ เวทิตพฺพํฯ
Tato abhāyantaṃ bhagavantaṃ disvā ‘‘pañhaṃ taṃ samaṇā’’tiādimāha. Kiṃ kāraṇā? So hi cintesi – ‘‘imināpi nāma me evaṃ kharena amanussasamphassena manusso samāno ayaṃ na bhāyati, handāhaṃ etaṃ buddhavisaye pañhaṃ pucchāmi, addhā ayaṃ tattha na sampāyissati, tato naṃ evaṃ viheṭhessāmī’’ti. Bhagavā taṃ sutvā ‘‘na khvāhaṃ taṃ āvuso’’tiādimāha. Taṃ sabbaṃ āḷavakasutte vuttanayeneva sabbākārehi veditabbaṃ.
๒๗๓. อถ โข สูจิโลโม ยโกฺข ภควนฺตํ คาถาย อชฺฌภาสิ ‘‘ราโค จ โทโส จา’’ติฯ ตตฺถ ราคโทสา วุตฺตนยา เอวฯ กุโตนิทานาติ กิํนิทานา กิํเหตุกาฯ กุโตติ ปจฺจตฺตวจนสฺส โต-อาเทโส เวทิตโพฺพ, สมาเส จสฺส โลปาภาโวฯ อถ วา นิทานาติ ชาตา อุปฺปนฺนาติ อโตฺถ, ตสฺมา กุโตนิทานา, กุโตชาตา, กุโตอุปฺปนฺนาติ วุตฺตํ โหติฯ อรตี รตี โลมหํโส กุโตชาติ ยายํ ‘‘ปเนฺตสุ วา เสนาสเนสุ อญฺญตรญฺญตเรสุ วา อธิกุสเลสุ ธเมฺมสุ อรติ อรติตา อนภิรติ อนภิรมณา อุกฺกณฺฐิตา ปริตสฺสิตา’’ติ (วิภ. ๘๕๖) เอวํ วิภตฺตา อรติ, ยา จ ปญฺจสุ กามคุเณสุ รติ, โย จ โลมหํสสมุฎฺฐาปนโต ‘‘โลมหํโส’’เตฺวว สงฺขฺยํ คโต จิตฺตุตฺราโสฯ อิเม ตโย ธมฺมา กุโตชา กุโตชาตาติ ปุจฺฉติ ฯ กุโต สมุฎฺฐายาติ กุโต อุปฺปชฺชิตฺวาฯ มโนติ กุสลจิตฺตํ, วิตกฺกาติ อุรคสุเตฺต วุตฺตา นว กามวิตกฺกาทโยฯ กุมารกา ธงฺกมิโวสฺสชนฺตีติ ยถา คามทารกา กีฬนฺตา กากํ สุเตฺตน ปาเท พนฺธิตฺวา โอสฺสชนฺติ ขิปนฺติ, เอวํ กุสลมนํ อกุสลวิตกฺกา กุโต สมุฎฺฐาย โอสฺสชนฺตีติ ปุจฺฉติฯ
273.Atha kho sūcilomo yakkho bhagavantaṃ gāthāya ajjhabhāsi ‘‘rāgo ca doso cā’’ti. Tattha rāgadosā vuttanayā eva. Kutonidānāti kiṃnidānā kiṃhetukā. Kutoti paccattavacanassa to-ādeso veditabbo, samāse cassa lopābhāvo. Atha vā nidānāti jātā uppannāti attho, tasmā kutonidānā, kutojātā, kutouppannāti vuttaṃ hoti. Aratī ratī lomahaṃso kutojāti yāyaṃ ‘‘pantesu vā senāsanesu aññataraññataresu vā adhikusalesu dhammesu arati aratitā anabhirati anabhiramaṇā ukkaṇṭhitā paritassitā’’ti (vibha. 856) evaṃ vibhattā arati, yā ca pañcasu kāmaguṇesu rati, yo ca lomahaṃsasamuṭṭhāpanato ‘‘lomahaṃso’’tveva saṅkhyaṃ gato cittutrāso. Ime tayo dhammā kutojā kutojātāti pucchati . Kuto samuṭṭhāyāti kuto uppajjitvā. Manoti kusalacittaṃ, vitakkāti uragasutte vuttā nava kāmavitakkādayo. Kumārakā dhaṅkamivossajantīti yathā gāmadārakā kīḷantā kākaṃ suttena pāde bandhitvā ossajanti khipanti, evaṃ kusalamanaṃ akusalavitakkā kuto samuṭṭhāya ossajantīti pucchati.
๒๗๔. อถสฺส ภควา เต ปเญฺห วิสฺสเชฺชโนฺต ‘‘ราโค จา’’ติ ทุติยคาถมภาสิฯ ตตฺถ อิโตติ อตฺตภาวํ สนฺธายาหฯ อตฺตภาวนิทานา หิ ราคโทสาฯ อรติรติโลมหํสา จ อตฺตภาวโต ชาตา, กามวิตกฺกาทิอกุสลวิตกฺกา จ อตฺตภาวโตเยว สมุฎฺฐาย กุสลมโน โอสฺสชนฺติ, เตน ตทญฺญํ ปกติอาทิการณํ ปฎิกฺขิปโนฺต อาห – ‘‘อิโตนิทานา อิโตชา อิโต สมุฎฺฐายา’’ติฯ สทฺทสิทฺธิ เจตฺถ ปุริมคาถาย วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ
274. Athassa bhagavā te pañhe vissajjento ‘‘rāgo cā’’ti dutiyagāthamabhāsi. Tattha itoti attabhāvaṃ sandhāyāha. Attabhāvanidānā hi rāgadosā. Aratiratilomahaṃsā ca attabhāvato jātā, kāmavitakkādiakusalavitakkā ca attabhāvatoyeva samuṭṭhāya kusalamano ossajanti, tena tadaññaṃ pakatiādikāraṇaṃ paṭikkhipanto āha – ‘‘itonidānā itojā ito samuṭṭhāyā’’ti. Saddasiddhi cettha purimagāthāya vuttanayeneva veditabbā.
๒๗๕-๖. เอวํ เต ปเญฺห วิสฺสเชฺชตฺวา อิทานิ ยฺวายํ ‘‘อิโตนิทานา’’ติอาทีสุ ‘‘อตฺตภาวนิทานา อตฺตภาวโต ชาตา อตฺตภาวโต สมุฎฺฐายา’’ติ อโตฺถ วุโตฺต, ตํ สาเธโนฺต อาห – ‘‘เสฺนหชา อตฺตสมฺภูตา’’ติฯ เอเต หิ สเพฺพปิ ราคาทโย วิตกฺกปริโยสานา ตณฺหาเสฺนเหน ชาตา, ตถา ชายนฺตา จ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธเภเท อตฺตภาวปริยาเย อตฺตนิ สมฺภูตาฯ เตนาห – ‘‘เสฺนหชา อตฺตสมฺภูตา’’ติฯ อิทานิ ตทตฺถโชติกํ อุปมํ กโรติ ‘‘นิโคฺรธเสฺสว ขนฺธชา’’ติฯ ตตฺถ ขเนฺธสุ ชาตา ขนฺธชา, ปาโรหานเมตํ อธิวจนํฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถา นิโคฺรธสฺส ขนฺธชา นาม ปาโรหา อาโปรสสิเนเห สติ ชายนฺติ, ชายนฺตา จ ตสฺมิํเยว นิโคฺรเธ เตสุ เตสุ สาขปฺปเภเทสุ สมฺภวนฺติ, เอวเมเตปิ ราคาทโย อชฺฌตฺตตณฺหาเสฺนเห สติ ชายนฺติ, ชายนฺตา จ ตสฺมิํเยว อตฺตภาเว เตสุ เตสุ จกฺขาทิเภเทสุ ทฺวารารมฺมณวตฺถูสุ สมฺภวนฺติฯ ตสฺมา เวทิตพฺพเมตํ ‘‘อตฺตภาวนิทานา อตฺตภาวชา อตฺตภาวสมุฎฺฐานา จ เอเต’’ติฯ
275-6. Evaṃ te pañhe vissajjetvā idāni yvāyaṃ ‘‘itonidānā’’tiādīsu ‘‘attabhāvanidānā attabhāvato jātā attabhāvato samuṭṭhāyā’’ti attho vutto, taṃ sādhento āha – ‘‘snehajā attasambhūtā’’ti. Ete hi sabbepi rāgādayo vitakkapariyosānā taṇhāsnehena jātā, tathā jāyantā ca pañcupādānakkhandhabhede attabhāvapariyāye attani sambhūtā. Tenāha – ‘‘snehajā attasambhūtā’’ti. Idāni tadatthajotikaṃ upamaṃ karoti ‘‘nigrodhasseva khandhajā’’ti. Tattha khandhesu jātā khandhajā, pārohānametaṃ adhivacanaṃ. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathā nigrodhassa khandhajā nāma pārohā āporasasinehe sati jāyanti, jāyantā ca tasmiṃyeva nigrodhe tesu tesu sākhappabhedesu sambhavanti, evametepi rāgādayo ajjhattataṇhāsnehe sati jāyanti, jāyantā ca tasmiṃyeva attabhāve tesu tesu cakkhādibhedesu dvārārammaṇavatthūsu sambhavanti. Tasmā veditabbametaṃ ‘‘attabhāvanidānā attabhāvajā attabhāvasamuṭṭhānā ca ete’’ti.
อวเสสทิยฑฺฒคาถาย ปน อยํ สพฺพสงฺคาหิกา อตฺถวณฺณนา – เอวํ อตฺตสมฺภูตา จ เอเต ปุถู วิสตฺตา กาเมสุฯ ราโคปิ หิ ปญฺจกามคุณิกาทิวเสน, โทโสปิ อาฆาตวตฺถาทิวเสน, อรติอาทโยปิ ตสฺส ตเสฺสว เภทสฺส วเสนาติ สพฺพถา สเพฺพปิเม กิเลสา ปุถู อเนกปฺปการา หุตฺวา วตฺถุทฺวารารมฺมณาทิวเสน เตสุ เตสุ วตฺถุกาเมสุ ตถา ตถา วิสตฺตา ลคฺคา ลคฺคิตา สํสิพฺพิตฺวา ฐิตาฯ กิมิว? มาลุวาว วิตตา วเน, ยถา วเน วิตตา มาลุวา เตสุ เตสุ รุกฺขสฺส สาขปสาขาทิเภเทสุ วิสตฺตา โหติ ลคฺคา ลคฺคิตา สํสิพฺพิตฺวา ฐิตา, เอวํ ปุถุปฺปเภเทสุ วตฺถุกาเมสุ วิสตฺตํ กิเลสคณํ เย นํ ปชานนฺติ ยโตนิทานํ, เต นํ วิโนเทนฺติ สุโณหิ ยกฺข ฯ
Avasesadiyaḍḍhagāthāya pana ayaṃ sabbasaṅgāhikā atthavaṇṇanā – evaṃ attasambhūtā ca ete puthū visattā kāmesu. Rāgopi hi pañcakāmaguṇikādivasena, dosopi āghātavatthādivasena, aratiādayopi tassa tasseva bhedassa vasenāti sabbathā sabbepime kilesā puthū anekappakārā hutvā vatthudvārārammaṇādivasena tesu tesu vatthukāmesu tathā tathā visattā laggā laggitā saṃsibbitvā ṭhitā. Kimiva? Māluvāva vitatā vane, yathā vane vitatā māluvā tesu tesu rukkhassa sākhapasākhādibhedesu visattā hoti laggā laggitā saṃsibbitvā ṭhitā, evaṃ puthuppabhedesu vatthukāmesu visattaṃ kilesagaṇaṃ ye naṃ pajānanti yatonidānaṃ, te naṃ vinodenti suṇohi yakkha.
ตตฺถ ยโตนิทานนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส, เตน กิํ ทีเปติ? เย สตฺตา นํ กิเลสคณํ ‘‘ยโตนิทานํ อุปฺปชฺชตี’’ติ เอวํ ชานนฺติ, เต นํ ‘‘ตณฺหาเสฺนหเสฺนหิเต อตฺตภาเว อุปฺปชฺชตี’’ติ ญตฺวา ตํ ตณฺหาเสฺนหํ อาทีนวานุปสฺสนาทิภาวนาญาณคฺคินา วิโสเสนฺตา วิโนเทนฺติ ปชหนฺติ พฺยนฺตีกโรนฺติ จ, เอตํ อมฺหากํ สุภาสิตํ สุโณหิ ยกฺขาติฯ เอวเมตฺถ อตฺตภาวชานเนน ทุกฺขปริญฺญํ ตณฺหาเสฺนหราคาทิกิเลสคณวิโนทเนน สมุทยปฺปหานญฺจ ทีเปติฯ
Tattha yatonidānanti bhāvanapuṃsakaniddeso, tena kiṃ dīpeti? Ye sattā naṃ kilesagaṇaṃ ‘‘yatonidānaṃ uppajjatī’’ti evaṃ jānanti, te naṃ ‘‘taṇhāsnehasnehite attabhāve uppajjatī’’ti ñatvā taṃ taṇhāsnehaṃ ādīnavānupassanādibhāvanāñāṇagginā visosentā vinodenti pajahanti byantīkaronti ca, etaṃ amhākaṃ subhāsitaṃ suṇohi yakkhāti. Evamettha attabhāvajānanena dukkhapariññaṃ taṇhāsneharāgādikilesagaṇavinodanena samudayappahānañca dīpeti.
เย จ นํ วิโนเทนฺติ, เต ทุตฺตรํ โอฆมิมํ ตรนฺติ อติณฺณปุพฺพํ อปุนพฺภวายฯ เอเตน มคฺคภาวนํ นิโรธสจฺฉิกิริยญฺจ ทีเปติฯ เย หิ นํ กิเลสคณํ วิโนเทนฺติ, เต อวสฺสํ มคฺคํ ภาเวนฺติฯ น หิ มคฺคภาวนํ วินา กิเลสวิโนทนํ อตฺถิฯ เย จ มคฺคํ ภาเวนฺติ, เต ทุตฺตรํ ปกติญาเณน กาโมฆาทิํ จตุพฺพิธมฺปิ โอฆมิมํ ตรนฺติฯ มคฺคภาวนา หิ โอฆตรณํฯ อติณฺณปุพฺพนฺติ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา สุปินเนฺตนปิ อวีติกฺกนฺตปุพฺพํฯ อปุนพฺภวายาติ นิพฺพานายฯ เอวมิมํ จตุสจฺจทีปิกํ คาถํ สุณนฺตา ‘‘สุตฺวา ธมฺมํ ธาเรนฺติ, ธตานํ ธมฺมานํ อตฺถมุปปริกฺขนฺตี’’ติอาทิกํ กถํ สุภาวินิยา ปญฺญาย อนุกฺกมมานา เต เทฺวปิ สหายกา ยกฺขา คาถาปริโยสาเนเยว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุ, ปาสาทิกา จ อเหสุํ สุวณฺณวณฺณา ทิพฺพาลงฺการวิภูสิตาติฯ
Ye ca naṃ vinodenti, te duttaraṃ oghamimaṃ taranti atiṇṇapubbaṃ apunabbhavāya. Etena maggabhāvanaṃ nirodhasacchikiriyañca dīpeti. Ye hi naṃ kilesagaṇaṃ vinodenti, te avassaṃ maggaṃ bhāventi. Na hi maggabhāvanaṃ vinā kilesavinodanaṃ atthi. Ye ca maggaṃ bhāventi, te duttaraṃ pakatiñāṇena kāmoghādiṃ catubbidhampi oghamimaṃ taranti. Maggabhāvanā hi oghataraṇaṃ. Atiṇṇapubbanti iminā dīghena addhunā supinantenapi avītikkantapubbaṃ. Apunabbhavāyāti nibbānāya. Evamimaṃ catusaccadīpikaṃ gāthaṃ suṇantā ‘‘sutvā dhammaṃ dhārenti, dhatānaṃ dhammānaṃ atthamupaparikkhantī’’tiādikaṃ kathaṃ subhāviniyā paññāya anukkamamānā te dvepi sahāyakā yakkhā gāthāpariyosāneyeva sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu, pāsādikā ca ahesuṃ suvaṇṇavaṇṇā dibbālaṅkāravibhūsitāti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย สูจิโลมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya sūcilomasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๕. สูจิโลมสุตฺตํ • 5. Sūcilomasuttaṃ