Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๘. สุทตฺตสุตฺตวณฺณนา
8. Sudattasuttavaṇṇanā
๒๔๒. อฎฺฐเม เกนจิเทว กรณีเยนาติ วาณิชฺชกมฺมํ อธิเปฺปตํฯ อนาถปิณฺฑิโก จ ราชคหเสฎฺฐิ จ อญฺญมญฺญํ ภคินิปติกา โหนฺติฯ ยทา ราชคเห อุฎฺฐานกภณฺฑกํ มหคฺฆํ โหติ, ตทา ราชคหเสฎฺฐิ ตํ คเหตฺวา ปญฺจสกฎสเตหิ สาวตฺถิํ คนฺตฺวา โยชนมเตฺต ฐิโต อตฺตโน อาคตภาวํ ชานาเปติฯ อนาถปิณฺฑิโก ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ตสฺส มหาสกฺการํ กตฺวา เอกยานํ อาโรเปตฺวา สาวตฺถิํ ปวิสติฯ โส สเจ ภณฺฑํ ลหุกํ วิกฺกียติ, วิกฺกิณาติฯ โน เจ, ภคินิฆเร ฐเปตฺวา ปกฺกมติฯ อนาถปิณฺฑิโกปิ ตเถว กโรติฯ สฺวายํ ตทาปิ เตเนว กรณีเยน อคมาสิฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ
242. Aṭṭhame kenacideva karaṇīyenāti vāṇijjakammaṃ adhippetaṃ. Anāthapiṇḍiko ca rājagahaseṭṭhi ca aññamaññaṃ bhaginipatikā honti. Yadā rājagahe uṭṭhānakabhaṇḍakaṃ mahagghaṃ hoti, tadā rājagahaseṭṭhi taṃ gahetvā pañcasakaṭasatehi sāvatthiṃ gantvā yojanamatte ṭhito attano āgatabhāvaṃ jānāpeti. Anāthapiṇḍiko paccuggantvā tassa mahāsakkāraṃ katvā ekayānaṃ āropetvā sāvatthiṃ pavisati. So sace bhaṇḍaṃ lahukaṃ vikkīyati, vikkiṇāti. No ce, bhaginighare ṭhapetvā pakkamati. Anāthapiṇḍikopi tatheva karoti. Svāyaṃ tadāpi teneva karaṇīyena agamāsi. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.
ตํ ทิวสํ ปน ราชคหเสฎฺฐิ โยชนมเตฺต ฐิเตน อนาถปิณฺฑิเกน อาคตภาวชานนตฺถํ เปสิตํ ปณฺณํ น สุณิ, ธมฺมสฺสวนตฺถาย วิหารํ อคมาสิฯ โส ธมฺมกถํ สุตฺวา สฺวาตนาย พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา อตฺตโน ฆเร อุทฺธนขณาปนทารุผาลนาทีนิ กาเรสิฯ อนาถปิณฺฑิโกปิ ‘‘อิทานิ มยฺหํ ปจฺจุคฺคมนํ กริสฺสติ, อิทานิ กริสฺสตี’’ติ ฆรทฺวาเรปิ ปจฺจุคฺคมนํ อลภิตฺวา อโนฺตฆรํ ปวิโฎฺฐ ปฎิสนฺถารมฺปิ น พหุํ อลตฺถฯ ‘‘กิํ, มหาเสฎฺฐิ, กุสลํ ทารกรูปานํ? นสิ มเคฺค กิลโนฺต’’ติ? เอตฺตโกว ปฎิสนฺถาโร อโหสิฯ โส ตสฺส มหาพฺยาปารํ ทิสฺวา, ‘‘กิํ นุ เต, คหปติ, อาวาโห วา ภวิสฺสตี’’ติ? ขนฺธเก (จูฬว. ๓๐๔) อาคตนเยเนว กถํ ปวเตฺตตฺวา ตสฺส มุขโต พุทฺธสทฺทํ สุตฺวา ปญฺจวณฺณํ ปีติํ ปฎิลภิฯ สา ตสฺส สีเสน อุฎฺฐาย ยาว ปาทปิฎฺฐิยา, ปาทปิฎฺฐิยา อุฎฺฐาย ยาว สีสา คจฺฉติ, อุภโต อุฎฺฐาย มเชฺฌ โอสรติ, มเชฺฌ อุฎฺฐาย อุภโต คจฺฉติฯ โส ปีติยา นิรนฺตรํ ผุโฎฺฐ, ‘‘พุโทฺธติ ตฺวํ, คหปติ, วเทสิ? พุโทฺธ ตาหํ, คหปติ, วทามี’’ติ เอวํ ติกฺขตฺตุํ ปุจฺฉิตฺวา, ‘‘โฆโสปิ โข เอโส ทุลฺลโภ โลกสฺมิํ ยทิทํ พุโทฺธ’’ติ อาหฯ อิทํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อโสฺสสิ โข อนาถปิณฺฑิโก, คหปติ, พุโทฺธ กิร โลเก อุปฺปโนฺน’’ติฯ
Taṃ divasaṃ pana rājagahaseṭṭhi yojanamatte ṭhitena anāthapiṇḍikena āgatabhāvajānanatthaṃ pesitaṃ paṇṇaṃ na suṇi, dhammassavanatthāya vihāraṃ agamāsi. So dhammakathaṃ sutvā svātanāya buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nimantetvā attano ghare uddhanakhaṇāpanadāruphālanādīni kāresi. Anāthapiṇḍikopi ‘‘idāni mayhaṃ paccuggamanaṃ karissati, idāni karissatī’’ti gharadvārepi paccuggamanaṃ alabhitvā antogharaṃ paviṭṭho paṭisanthārampi na bahuṃ alattha. ‘‘Kiṃ, mahāseṭṭhi, kusalaṃ dārakarūpānaṃ? Nasi magge kilanto’’ti? Ettakova paṭisanthāro ahosi. So tassa mahābyāpāraṃ disvā, ‘‘kiṃ nu te, gahapati, āvāho vā bhavissatī’’ti? Khandhake (cūḷava. 304) āgatanayeneva kathaṃ pavattetvā tassa mukhato buddhasaddaṃ sutvā pañcavaṇṇaṃ pītiṃ paṭilabhi. Sā tassa sīsena uṭṭhāya yāva pādapiṭṭhiyā, pādapiṭṭhiyā uṭṭhāya yāva sīsā gacchati, ubhato uṭṭhāya majjhe osarati, majjhe uṭṭhāya ubhato gacchati. So pītiyā nirantaraṃ phuṭṭho, ‘‘buddhoti tvaṃ, gahapati, vadesi? Buddho tāhaṃ, gahapati, vadāmī’’ti evaṃ tikkhattuṃ pucchitvā, ‘‘ghosopi kho eso dullabho lokasmiṃ yadidaṃ buddho’’ti āha. Idaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘assosi kho anāthapiṇḍiko, gahapati, buddho kira loke uppanno’’ti.
เอตทโหสิ อกาโล โข อชฺชาติ โส กิร ตํ เสฎฺฐิํ ปุจฺฉิ, ‘‘กุหิํ คหปติ สตฺถา วิหรตี’’ติ? อถสฺส โส – ‘‘พุทฺธา นาม ทุราสทา อาสีวิสสทิสา โหนฺติ, สตฺถา สิวถิกาย วสติ, น สกฺกา ตตฺถ ตุมฺหาทิเสหิ อิมาย เวลาย คนฺตุ’’นฺติ อาจิกฺขิฯ อถสฺส เอตทโหสิฯ พุทฺธคตาย สติยา นิปชฺชีติ ตํทิวสํ กิรสฺส ภณฺฑสกเฎสุ วา อุปฎฺฐาเกสุ วา จิตฺตมฺปิ น อุปฺปชฺชิ, สายมาสมฺปิ น อกาสิ, สตฺตภูมิกํ ปน ปาสาทํ อารุยฺห สุปญฺญตฺตาลงฺกตวรสยเน ‘‘พุโทฺธ พุโทฺธ’’ติ สชฺฌายํ กโรโนฺตว นิปชฺชิตฺวา นิทฺทํ โอกฺกมิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘พุทฺธคตาย สติยา นิปชฺชี’’ติฯ
Etadahosi akālo kho ajjāti so kira taṃ seṭṭhiṃ pucchi, ‘‘kuhiṃ gahapati satthā viharatī’’ti? Athassa so – ‘‘buddhā nāma durāsadā āsīvisasadisā honti, satthā sivathikāya vasati, na sakkā tattha tumhādisehi imāya velāya gantu’’nti ācikkhi. Athassa etadahosi. Buddhagatāya satiyā nipajjīti taṃdivasaṃ kirassa bhaṇḍasakaṭesu vā upaṭṭhākesu vā cittampi na uppajji, sāyamāsampi na akāsi, sattabhūmikaṃ pana pāsādaṃ āruyha supaññattālaṅkatavarasayane ‘‘buddho buddho’’ti sajjhāyaṃ karontova nipajjitvā niddaṃ okkami. Tena vuttaṃ ‘‘buddhagatāya satiyā nipajjī’’ti.
รตฺติยา สุทํ ติกฺขตฺตุํ อุฎฺฐาสิ ปภาตนฺติ มญฺญมาโนติ ปฐมยาเม ตาว วีติวเตฺต อุฎฺฐาย พุทฺธํ อนุสฺสริ, อถสฺส พลวปฺปสาโท อุทปาทิ, ปีติอาโลโก อโหสิ, สพฺพตมํ วิคจฺฉิ, ทีปสหสฺสุชฺชลํ วิย จนฺทุฎฺฐานํ สูริยุฎฺฐานํ วิย จ ชาตํฯ โส ‘‘ปปาทํ อาปโนฺน วตมฺหิ, สูริโย อุคฺคโต’’ติ อุฎฺฐาย อากาสตเล ฐิตํ จนฺทํ อุโลฺลเกตฺวา ‘‘เอโกว ยาโม คโต, อเญฺญ เทฺว อตฺถี’’ติ ปุน ปวิสิตฺวา นิปชฺชิฯ เอเตนุปาเยน มชฺฌิมยามาวสาเนปิ ปจฺฉิมยามาวสาเนปีติ ติกฺขตฺตุํ อุฎฺฐาสิฯ ปจฺฉิมยามาวสาเน ปน พลวปจฺจูเสเยว อุฎฺฐาย อากาสตลํ อาคนฺตฺวา มหาทฺวาราภิมุโขว อโหสิ, สตฺตภูมิกทฺวารํ สยเมว วิวฎํ อโหสิฯ โส ปาสาทา โอรุยฺห อนฺตรวีถิํ ปฎิปชฺชิฯ
Rattiyā sudaṃ tikkhattuṃ uṭṭhāsi pabhātanti maññamānoti paṭhamayāme tāva vītivatte uṭṭhāya buddhaṃ anussari, athassa balavappasādo udapādi, pītiāloko ahosi, sabbatamaṃ vigacchi, dīpasahassujjalaṃ viya canduṭṭhānaṃ sūriyuṭṭhānaṃ viya ca jātaṃ. So ‘‘papādaṃ āpanno vatamhi, sūriyo uggato’’ti uṭṭhāya ākāsatale ṭhitaṃ candaṃ ulloketvā ‘‘ekova yāmo gato, aññe dve atthī’’ti puna pavisitvā nipajji. Etenupāyena majjhimayāmāvasānepi pacchimayāmāvasānepīti tikkhattuṃ uṭṭhāsi. Pacchimayāmāvasāne pana balavapaccūseyeva uṭṭhāya ākāsatalaṃ āgantvā mahādvārābhimukhova ahosi, sattabhūmikadvāraṃ sayameva vivaṭaṃ ahosi. So pāsādā oruyha antaravīthiṃ paṭipajji.
วิวริํสูติ ‘‘อยํ มหาเสฎฺฐิ ‘พุทฺธุปฎฺฐานํ คมิสฺสามี’ติ นิกฺขโนฺต, ปฐมทสฺสเนเนว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย ติณฺณํ รตนานํ อคฺคุปฎฺฐาโก หุตฺวา อสทิสํ สงฺฆารามํ กตฺวา จาตุทฺทิสสฺส อริยคณสฺส อนาวฎทฺวาโร ภวิสฺสติ, น ยุตฺตมสฺส ทฺวารํ ปิทหิตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา วิวริํสุฯ อนฺตรธายีติ ราชคหํ กิร อากิณฺณมนุสฺสํ อโนฺตนคเร นว โกฎิโย, พหินคเร นวาติ ตํ อุปนิสฺสาย อฎฺฐารส มนุสฺสโกฎิโย วสนฺติฯ อเวลาย มตมนุเสฺส พหิ นีหริตุํ อสโกฺกนฺตา อฎฺฎาลเก ฐตฺวา พหิทฺวาเร ขิปนฺติฯ มหาเสฎฺฐิ นครโต พหินิกฺขนฺตมโตฺตว อลฺลสรีรํ ปาเทน อกฺกมิ, อปรมฺปิ ปิฎฺฐิปาเทน ปหริฯ มกฺขิกา อุปฺปติตฺวา ปริกิริํสุฯ ทุคฺคโนฺธ นาสปุฎํ อภิหนิฯ พุทฺธปฺปสาโท ตนุตฺตํ คโตฯ เตนสฺส อาโลโก อนฺตรธายิ, อนฺธกาโร ปาตุรโหสิฯ สทฺทมนุสฺสาเวสีติ ‘‘เสฎฺฐิสฺส อุสฺสาหํ ชเนสฺสามี’’ติ สุวณฺณกิงฺกิณิกํ ฆเฎฺฎโนฺต วิย มธุรสฺสเรน สทฺทํ อนุสฺสาเวสิฯ
Vivariṃsūti ‘‘ayaṃ mahāseṭṭhi ‘buddhupaṭṭhānaṃ gamissāmī’ti nikkhanto, paṭhamadassaneneva sotāpattiphale patiṭṭhāya tiṇṇaṃ ratanānaṃ aggupaṭṭhāko hutvā asadisaṃ saṅghārāmaṃ katvā cātuddisassa ariyagaṇassa anāvaṭadvāro bhavissati, na yuttamassa dvāraṃ pidahitu’’nti cintetvā vivariṃsu. Antaradhāyīti rājagahaṃ kira ākiṇṇamanussaṃ antonagare nava koṭiyo, bahinagare navāti taṃ upanissāya aṭṭhārasa manussakoṭiyo vasanti. Avelāya matamanusse bahi nīharituṃ asakkontā aṭṭālake ṭhatvā bahidvāre khipanti. Mahāseṭṭhi nagarato bahinikkhantamattova allasarīraṃ pādena akkami, aparampi piṭṭhipādena pahari. Makkhikā uppatitvā parikiriṃsu. Duggandho nāsapuṭaṃ abhihani. Buddhappasādo tanuttaṃ gato. Tenassa āloko antaradhāyi, andhakāro pāturahosi. Saddamanussāvesīti ‘‘seṭṭhissa ussāhaṃ janessāmī’’ti suvaṇṇakiṅkiṇikaṃ ghaṭṭento viya madhurassarena saddaṃ anussāvesi.
สตํ กญฺญาสหสฺสานีติ ปุริมปทานิปิ อิมินาว สหสฺสปเทน สทฺธิํ สมฺพนฺธนียานิฯ ยเถว หิ สตํ กญฺญาสหสฺสานิ, สตํ สหสฺสานิ หตฺถี, สตํ สหสฺสานิ อสฺสา, สตํ สหสฺสานิ รถาติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ อิติ เอเกกสตสหสฺสเมว ทีปิตํฯ ปทวีติหารสฺสาติ ปทวีติหาโร นาม สมคมเน ทฺวินฺนํ ปทานํ อนฺตเร มุฎฺฐิรตนมตฺตํฯ กลํ นาคฺฆนฺติ โสฬสินฺติ ตํ เอกํ ปทวีติหารํ โสฬสภาเค กตฺวา ตโต เอโก โกฎฺฐาโส ปุน โสฬสธา, ตโต เอโก โสฬสธาติ เอวํ โสฬส วาเร โสฬสธา ภินฺนสฺส เอโก โกฎฺฐาโส โสฬสิกลา นาม, ตํ โสฬสิกลํ เอตานิ จตฺตาริ สตสหสฺสานิ น อคฺฆนฺติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สตํ หตฺถิสหสฺสานิ สตํ อสฺสสหสฺสานิ สตํ รถสหสฺสานิ สตํ กญฺญาสหสฺสานิ, ตา จ โข อามุกฺกมณิกุณฺฑลา สกลชมฺพุทีปราชธีตโร วาติ อิมสฺมา เอตฺตกา ลาภา วิหารํ คจฺฉนฺตสฺส ตสฺมิํ โสฬสิกลสงฺขาเต ปเทเส ปวตฺตเจตนาว อุตฺตริตราติฯ อิทํ ปน วิหารคมนํ กสฺส วเสน คหิตนฺติ? วิหารํ คนฺตฺวา อนนฺตราเยน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหนฺตสฺสฯ ‘‘คนฺธมาลาทีหิ ปูชํ กริสฺสามิ , เจติยํ วนฺทิสฺสามิ, ธมฺมํ โสสฺสามิ, ทีปปูชํ กริสฺสามิ, สงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา ทานํ ทสฺสามิ, สิกฺขาปเทสุ วา สรเณสุ วา ปติฎฺฐหิสฺสามี’’ติ คจฺฉโตปิ วเสน วฎฺฎติเยวฯ
Sataṃ kaññāsahassānīti purimapadānipi imināva sahassapadena saddhiṃ sambandhanīyāni. Yatheva hi sataṃ kaññāsahassāni, sataṃ sahassāni hatthī, sataṃ sahassāni assā, sataṃ sahassāni rathāti ayamettha attho. Iti ekekasatasahassameva dīpitaṃ. Padavītihārassāti padavītihāro nāma samagamane dvinnaṃ padānaṃ antare muṭṭhiratanamattaṃ. Kalaṃ nāgghanti soḷasinti taṃ ekaṃ padavītihāraṃ soḷasabhāge katvā tato eko koṭṭhāso puna soḷasadhā, tato eko soḷasadhāti evaṃ soḷasa vāre soḷasadhā bhinnassa eko koṭṭhāso soḷasikalā nāma, taṃ soḷasikalaṃ etāni cattāri satasahassāni na agghanti. Idaṃ vuttaṃ hoti – sataṃ hatthisahassāni sataṃ assasahassāni sataṃ rathasahassāni sataṃ kaññāsahassāni, tā ca kho āmukkamaṇikuṇḍalā sakalajambudīparājadhītaro vāti imasmā ettakā lābhā vihāraṃ gacchantassa tasmiṃ soḷasikalasaṅkhāte padese pavattacetanāva uttaritarāti. Idaṃ pana vihāragamanaṃ kassa vasena gahitanti? Vihāraṃ gantvā anantarāyena sotāpattiphale patiṭṭhahantassa. ‘‘Gandhamālādīhi pūjaṃ karissāmi , cetiyaṃ vandissāmi, dhammaṃ sossāmi, dīpapūjaṃ karissāmi, saṅghaṃ nimantetvā dānaṃ dassāmi, sikkhāpadesu vā saraṇesu vā patiṭṭhahissāmī’’ti gacchatopi vasena vaṭṭatiyeva.
อนฺธกาโร อนฺตรธายีติ โส กิร จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ เอกโกติ สญฺญํ กโรมิ, อนุยุตฺตาปิ เม อตฺถิ, กสฺมา ภายามี’’ติ สูโร อโหสิฯ อถสฺส พลวา พุทฺธปฺปสาโท อุทปาทิฯ ตสฺมา อนฺธกาโร อนฺตรธายีติฯ เสสวาเรสุปิ เอเสว นโยฯ อปิจ ปุรโต ปุรโต คจฺฉโนฺต ภิํสนเก สุสานมเคฺค อฎฺฐิกสงฺขลิกสมํสโลหิตนฺติอาทีนิ อเนกวิธานิ กุณปานิ อทฺทส ฯ โสณสิงฺคาลาทีนํ สทฺทํ อโสฺสสิฯ ตํ สพฺพํ ปริสฺสยํ ปุนปฺปุนํ พุทฺธคตํ ปสาทํ วเฑฺฒตฺวา มทฺทโนฺต อคมาสิเยวฯ
Andhakāro antaradhāyīti so kira cintesi – ‘‘ahaṃ ekakoti saññaṃ karomi, anuyuttāpi me atthi, kasmā bhāyāmī’’ti sūro ahosi. Athassa balavā buddhappasādo udapādi. Tasmā andhakāro antaradhāyīti. Sesavāresupi eseva nayo. Apica purato purato gacchanto bhiṃsanake susānamagge aṭṭhikasaṅkhalikasamaṃsalohitantiādīni anekavidhāni kuṇapāni addasa . Soṇasiṅgālādīnaṃ saddaṃ assosi. Taṃ sabbaṃ parissayaṃ punappunaṃ buddhagataṃ pasādaṃ vaḍḍhetvā maddanto agamāsiyeva.
เอหิ สุทตฺตาติ โส กิร เสฎฺฐิ คจฺฉมาโนว จิเนฺตสิ – ‘‘อิมสฺมิํ โลเก พหู ปูรณกสฺสปาทโย ติตฺถิยา ‘มยํ พุทฺธา มยํ พุทฺธา’ติ วทนฺติ, กถํ นุ โข อหํ สตฺถุ พุทฺธภาวํ ชาเนยฺย’’นฺติ? อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘มยฺหํ คุณวเสน อุปฺปนฺนํ นามํ มหาชโน ชานาติ, กุลทตฺติยํ ปน เม นามํ อญฺญตฺร มยา น โกจิ ชานาติฯ สเจ พุโทฺธ ภวิสฺสติ, กุลทตฺติกนาเมน มํ อาลปิสฺสตี’’ติฯ สตฺถา ตสฺส จิตฺตํ ญตฺวา เอวมาหฯ
Ehi sudattāti so kira seṭṭhi gacchamānova cintesi – ‘‘imasmiṃ loke bahū pūraṇakassapādayo titthiyā ‘mayaṃ buddhā mayaṃ buddhā’ti vadanti, kathaṃ nu kho ahaṃ satthu buddhabhāvaṃ jāneyya’’nti? Athassa etadahosi – ‘‘mayhaṃ guṇavasena uppannaṃ nāmaṃ mahājano jānāti, kuladattiyaṃ pana me nāmaṃ aññatra mayā na koci jānāti. Sace buddho bhavissati, kuladattikanāmena maṃ ālapissatī’’ti. Satthā tassa cittaṃ ñatvā evamāha.
ปรินิพฺพุโตติ กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพุโตฯ อาสตฺติโยติ ตณฺหาโยฯ สนฺตินฺติ กิเลสวูปสมํฯ ปปฺปุยฺยาติ ปตฺวาฯ อิทญฺจ ปน วตฺวา สตฺถา ตสฺส อนุปุพฺพิกถํ กเถตฺวา มตฺถเก จตฺตาริ สจฺจานิ ปกาเสสิฯ เสฎฺฐิ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวสโต ปฎฺฐาย มหาทานํ ทาตุํ อารภิฯ พิมฺพิสาราทโย เสฎฺฐิสฺส สาสนํ เปเสนฺติ – ‘‘ตฺวํ อาคนฺตุโก, ยํ นปฺปโหติ, ตํ อิโต อาหราเปหี’’ติฯ โส ‘‘อลํ ตุเมฺห พหุกิจฺจา’’ติ สเพฺพ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปญฺจหิ สกฎสเตหิ อานีตวิภเวน สตฺตาหํ มหาทานํ อทาสิฯ ทานปริโยสาเน จ ภควนฺตํ สาวตฺถิยํ วสฺสาวาสํ ปฎิชานาเปตฺวา ราชคหสฺส จ สาวตฺถิยา จ อนฺตเร โยชเน โยชเน สตสหสฺสํ ทตฺวา ปญฺจจตฺตาลีส วิหาเร กาเรโนฺต สาวตฺถิํ คนฺตฺวา เชตวนมหาวิหารํ กาเรตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส นิยฺยาเทสีติฯ อฎฺฐมํฯ
Parinibbutoti kilesaparinibbānena parinibbuto. Āsattiyoti taṇhāyo. Santinti kilesavūpasamaṃ. Pappuyyāti patvā. Idañca pana vatvā satthā tassa anupubbikathaṃ kathetvā matthake cattāri saccāni pakāsesi. Seṭṭhi dhammadesanaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhāya buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nimantetvā punadivasato paṭṭhāya mahādānaṃ dātuṃ ārabhi. Bimbisārādayo seṭṭhissa sāsanaṃ pesenti – ‘‘tvaṃ āgantuko, yaṃ nappahoti, taṃ ito āharāpehī’’ti. So ‘‘alaṃ tumhe bahukiccā’’ti sabbe paṭikkhipitvā pañcahi sakaṭasatehi ānītavibhavena sattāhaṃ mahādānaṃ adāsi. Dānapariyosāne ca bhagavantaṃ sāvatthiyaṃ vassāvāsaṃ paṭijānāpetvā rājagahassa ca sāvatthiyā ca antare yojane yojane satasahassaṃ datvā pañcacattālīsa vihāre kārento sāvatthiṃ gantvā jetavanamahāvihāraṃ kāretvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa niyyādesīti. Aṭṭhamaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๘. สุทตฺตสุตฺตํ • 8. Sudattasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๘. สุทตฺตสุตฺตวณฺณนา • 8. Sudattasuttavaṇṇanā