Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๔. สุทฺธฎฺฐกสุตฺตวณฺณนา

    4. Suddhaṭṭhakasuttavaṇṇanā

    ๗๙๕. ปสฺสามิ สุทฺธนฺติ สุทฺธฎฺฐกสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? อตีเต กิร กสฺสปสฺส ภควโต กาเล พาราณสิวาสี อญฺญตโร กุฎุมฺพิโก ปญฺจหิ สกฎสเตหิ ปจฺจนฺตชนปทํ อคมาสิ ภณฺฑคฺคหณตฺถํฯ ตตฺถ วนจรเกน สทฺธิํ มิตฺตํ กตฺวา ตสฺส ปณฺณาการํ ทตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘กจฺจิ, เต สมฺม, จนฺทนสารํ ทิฎฺฐปุพฺพ’’นฺติ? ‘‘อาม สามี’’ติ จ วุเตฺต เตเนว สทฺธิํ จนฺทนวนํ ปวิสิตฺวา สพฺพสกฎานิ จนฺทนสารสฺส ปูเรตฺวา ตมฺปิ วนจรกํ ‘‘ยทา, สมฺม, พาราณสิํ อาคจฺฉสิ, ตทา จนฺทนสารํ คเหตฺวา อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ วตฺวา พาราณสิํเยว อคมาสิฯ อถาปเรน สมเยน โสปิ วนจรโก จนฺทนสารํ คเหตฺวา ตสฺส ฆรํ อคมาสิฯ โส ตํ ทิสฺวา สพฺพํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา สายนฺหสมเย จนฺทนสารํ ปิสาเปตฺวา สมุคฺคํ ปูเรตฺวา ‘‘คจฺฉ, สมฺม, นฺหายิตฺวา อาคจฺฉา’’ติ อตฺตโน ปุริเสน สทฺธิํ นฺหานติตฺถํ เปเสสิฯ เตน จ สมเยน พาราณสิยํ อุสฺสโว โหติฯ อถ พาราณสิวาสิโน ปาโตว ทานํ ทตฺวา สายํ สุทฺธวตฺถนิวตฺถา มาลาคนฺธาทีนิ คเหตฺวา กสฺสปสฺส ภควโต มหาเจติยํ วนฺทิตุํ คจฺฉนฺติฯ โส วนจรโก เต ทิสฺวา ‘‘มหาชโน กุหิํ คจฺฉตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘วิหารํ เจติยวนฺทนตฺถายา’’ติ จ สุตฺวา สยมฺปิ อคมาสิฯ ตตฺถ มนุเสฺส หริตาลมโนสิลาทีหิ นานปฺปกาเรหิ เจติเย ปูชํ กโรเนฺต ทิสฺวา กิญฺจิ จิตฺรํ กาตุํ อชานโนฺต ตํ จนฺทนํ คเหตฺวา มหาเจติเย สุวณฺณิฎฺฐกานํฯ อุปริ กํสปาติมตฺตํ มณฺฑลํ อกาสิฯ อถ ตตฺถ สูริยุคฺคมนเวลายํ สูริยรสฺมิโย อุฎฺฐหิํสุฯ โส ตํ ทิสฺวา ปสีทิ, ปตฺถนญฺจ อกาสิ ‘‘ยตฺถ ยตฺถ นิพฺพตฺตามิ, อีทิสา เม รสฺมิโย อุเร อุฎฺฐหนฺตู’’ติฯ โส กาลํ กตฺวา ตาวติํเสสุ นิพฺพตฺติฯ ตสฺส อุเร รสฺมิโย อุฎฺฐหิํสุ, จนฺทมณฺฑลํ วิยสฺส อุรมณฺฑลํ วิโรจติ, ‘‘จนฺทาโภ เทวปุโตฺต’’เตฺวว จ นํ สญฺชานิํสุฯ

    795.Passāmisuddhanti suddhaṭṭhakasuttaṃ. Kā uppatti? Atīte kira kassapassa bhagavato kāle bārāṇasivāsī aññataro kuṭumbiko pañcahi sakaṭasatehi paccantajanapadaṃ agamāsi bhaṇḍaggahaṇatthaṃ. Tattha vanacarakena saddhiṃ mittaṃ katvā tassa paṇṇākāraṃ datvā pucchi – ‘‘kacci, te samma, candanasāraṃ diṭṭhapubba’’nti? ‘‘Āma sāmī’’ti ca vutte teneva saddhiṃ candanavanaṃ pavisitvā sabbasakaṭāni candanasārassa pūretvā tampi vanacarakaṃ ‘‘yadā, samma, bārāṇasiṃ āgacchasi, tadā candanasāraṃ gahetvā āgaccheyyāsī’’ti vatvā bārāṇasiṃyeva agamāsi. Athāparena samayena sopi vanacarako candanasāraṃ gahetvā tassa gharaṃ agamāsi. So taṃ disvā sabbaṃ paṭisanthāraṃ katvā sāyanhasamaye candanasāraṃ pisāpetvā samuggaṃ pūretvā ‘‘gaccha, samma, nhāyitvā āgacchā’’ti attano purisena saddhiṃ nhānatitthaṃ pesesi. Tena ca samayena bārāṇasiyaṃ ussavo hoti. Atha bārāṇasivāsino pātova dānaṃ datvā sāyaṃ suddhavatthanivatthā mālāgandhādīni gahetvā kassapassa bhagavato mahācetiyaṃ vandituṃ gacchanti. So vanacarako te disvā ‘‘mahājano kuhiṃ gacchatī’’ti pucchi. ‘‘Vihāraṃ cetiyavandanatthāyā’’ti ca sutvā sayampi agamāsi. Tattha manusse haritālamanosilādīhi nānappakārehi cetiye pūjaṃ karonte disvā kiñci citraṃ kātuṃ ajānanto taṃ candanaṃ gahetvā mahācetiye suvaṇṇiṭṭhakānaṃ. Upari kaṃsapātimattaṃ maṇḍalaṃ akāsi. Atha tattha sūriyuggamanavelāyaṃ sūriyarasmiyo uṭṭhahiṃsu. So taṃ disvā pasīdi, patthanañca akāsi ‘‘yattha yattha nibbattāmi, īdisā me rasmiyo ure uṭṭhahantū’’ti. So kālaṃ katvā tāvatiṃsesu nibbatti. Tassa ure rasmiyo uṭṭhahiṃsu, candamaṇḍalaṃ viyassa uramaṇḍalaṃ virocati, ‘‘candābho devaputto’’tveva ca naṃ sañjāniṃsu.

    โส ตาย สมฺปตฺติยา ฉสุ เทวโลเกสุ อนุโลมปฎิโลมโต เอกํ พุทฺธนฺตรํ เขเปตฺวา อมฺหากํ ภควติ อุปฺปเนฺน สาวตฺถิยํ พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติ, ตเถวสฺส อุเร จนฺทมณฺฑลสทิสํ รสฺมิมณฺฑลํ อโหสิฯ นามกรณทิวเส จสฺส มงฺคลํ กตฺวา พฺราหฺมณา ตํ มณฺฑลํ ทิสฺวา ‘‘ธญฺญปุญฺญลกฺขโณ อยํ กุมาโร’’ติ วิมฺหิตา ‘‘จนฺทาโภ’’ เตฺวว นามํ อกํสุฯ ตํ วยปฺปตฺตํ พฺราหฺมณา คเหตฺวา อลงฺกริตฺวา รตฺตกญฺจุกํ ปารุปาเปตฺวา รเถ อาโรเปตฺวา ‘‘มหาพฺรหฺมา อย’’นฺติ ปูเชตฺวา ‘‘โย จนฺทาภํ ปสฺสติ, โส ยสธนาทีนิ ลภติ, สมฺปรายญฺจ สคฺคํ คจฺฉตี’’ติ อุโคฺฆเสนฺตา คามนิคมราชธานีสุ อาหิณฺฑนฺติฯ คตคตฎฺฐาเน มนุสฺสา ‘‘เอส กิร โภ จนฺทาโภ นาม, โย เอตํ ปสฺสติ, โส ยสธนสคฺคาทีนิ ลภตี’’ติ อุปรูปริ อาคจฺฉนฺติ, สกลชมฺพุทีโป จลิฯ พฺราหฺมณา ตุจฺฉหตฺถกานํ อาคตานํ น ทเสฺสนฺติ, สตํ วา สหสฺสํ วา คเหตฺวา อาคตานเมว ทเสฺสนฺติฯ เอวํ จนฺทาภํ คเหตฺวา อนุวิจรนฺตา พฺราหฺมณา กเมน สาวตฺถิํ อนุปฺปตฺตาฯ

    So tāya sampattiyā chasu devalokesu anulomapaṭilomato ekaṃ buddhantaraṃ khepetvā amhākaṃ bhagavati uppanne sāvatthiyaṃ brāhmaṇamahāsālakule nibbatti, tathevassa ure candamaṇḍalasadisaṃ rasmimaṇḍalaṃ ahosi. Nāmakaraṇadivase cassa maṅgalaṃ katvā brāhmaṇā taṃ maṇḍalaṃ disvā ‘‘dhaññapuññalakkhaṇo ayaṃ kumāro’’ti vimhitā ‘‘candābho’’ tveva nāmaṃ akaṃsu. Taṃ vayappattaṃ brāhmaṇā gahetvā alaṅkaritvā rattakañcukaṃ pārupāpetvā rathe āropetvā ‘‘mahābrahmā aya’’nti pūjetvā ‘‘yo candābhaṃ passati, so yasadhanādīni labhati, samparāyañca saggaṃ gacchatī’’ti ugghosentā gāmanigamarājadhānīsu āhiṇḍanti. Gatagataṭṭhāne manussā ‘‘esa kira bho candābho nāma, yo etaṃ passati, so yasadhanasaggādīni labhatī’’ti uparūpari āgacchanti, sakalajambudīpo cali. Brāhmaṇā tucchahatthakānaṃ āgatānaṃ na dassenti, sataṃ vā sahassaṃ vā gahetvā āgatānameva dassenti. Evaṃ candābhaṃ gahetvā anuvicarantā brāhmaṇā kamena sāvatthiṃ anuppattā.

    เตน จ สมเยน ภควา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ อาคนฺตฺวา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน พหุชนหิตาย ธมฺมํ เทเสโนฺตฯ อถ จนฺทาโภ สาวตฺถิํ ปตฺวา สมุทฺทปกฺขนฺตกุนฺนที วิย อปากโฎ อโหสิ, จนฺทาโภติ ภณโนฺตปิ นตฺถิฯ โส สายนฺหสมเย มหาชนกายํ มาลาคนฺธาทีนิ อาทาย เชตวนาภิมุขํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘กุหิํ คจฺฉถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน, โส พหุชนหิตาย ธมฺมํ เทเสติ, ตํ โสตุํ เชตวนํ คจฺฉามา’’ติ จ เตสํ วจนํ สุตฺวา โสปิ พฺราหฺมณคณปริวุโต ตเตฺถว อคมาสิฯ ภควา จ ตสฺมิํ สมเย ธมฺมสภายํ วรพุทฺธาสเน นิสิโนฺนว โหติฯ จนฺทาโภ ภควนฺตํ อุปสงฺกมฺม มธุรปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ, ตาวเทว จสฺส โส อาโลโก อนฺตรหิโตฯ พุทฺธาโลกสฺส หิ สมีเป อสีติหตฺถพฺภนฺตเร อโญฺญ อาโลโก นาภิโภติฯ โส ‘‘อาโลโก เม นโฎฺฐ’’ติ นิสีทิตฺวาว อุฎฺฐาสิ, อุฎฺฐหิตฺวา จ คนฺตุมารโทฺธฯ อถ นํ อญฺญตโร ปุริโส อาห – ‘‘กิํ โภ จนฺทาภ, สมณสฺส โคตมสฺส ภีโต คจฺฉสี’’ติฯ นาหํ ภีโต คจฺฉามิ, อปิจ เม อิมสฺส เตเชน อาโลโก น สมฺปชฺชตีติ ปุนเทว ภควโต ปุรโต นิสีทิตฺวา ปาทตลา ปฎฺฐาย ยาว เกสคฺคา รูปรํสิลกฺขณาทิสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘มเหสโกฺข สมโณ โคตโม, มม อุเร อปฺปมตฺตโก อาโลโก อุฎฺฐิโต, ตาวตเกนปิ มํ คเหตฺวา พฺราหฺมณา สกลชมฺพุทีปํ วิจรนฺติฯ เอวํ วรลกฺขณสมฺปตฺติสมนฺนาคตสฺส สมณสฺส โคตมสฺส เนว มาโน อุปฺปโนฺน, อทฺธา อยํ อโนมคุณสมนฺนาคโต ภวิสฺสติ สตฺถา เทวมนุสฺสาน’’นฺติ อติวิย ปสนฺนจิโตฺต ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ ภควา อญฺญตรํ เถรํ อาณาเปสิ – ‘‘ปพฺพาเชหิ น’’นฺติฯ โส ตํ ปพฺพาเชตฺวา ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิฯ โส วิปสฺสนํ อารภิตฺวา น จิเรเนว อรหตฺตํ ปตฺวา ‘‘จนฺทาภเตฺถโร’’ติ วิสฺสุโต อโหสิฯ ตํ อารพฺภ ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, เย จนฺทาภํ อทฺทสํสุฯ เต ยสํ วา ธนํ วา ลภิํสุ, สคฺคํ วา คจฺฉิํสุ, วิสุทฺธิํ วา ปาปุณิํสุ เตน จกฺขุทฺวาริกรูปทสฺสเนนา’’ติฯ ภควา ตสฺสํ อฎฺฐุปฺปตฺติยํ อิมํ สุตฺตมภาสิฯ

    Tena ca samayena bhagavā pavattitavaradhammacakko anupubbena sāvatthiṃ āgantvā sāvatthiyaṃ viharati jetavane bahujanahitāya dhammaṃ desento. Atha candābho sāvatthiṃ patvā samuddapakkhantakunnadī viya apākaṭo ahosi, candābhoti bhaṇantopi natthi. So sāyanhasamaye mahājanakāyaṃ mālāgandhādīni ādāya jetavanābhimukhaṃ gacchantaṃ disvā ‘‘kuhiṃ gacchathā’’ti pucchi. ‘‘Buddho loke uppanno, so bahujanahitāya dhammaṃ deseti, taṃ sotuṃ jetavanaṃ gacchāmā’’ti ca tesaṃ vacanaṃ sutvā sopi brāhmaṇagaṇaparivuto tattheva agamāsi. Bhagavā ca tasmiṃ samaye dhammasabhāyaṃ varabuddhāsane nisinnova hoti. Candābho bhagavantaṃ upasaṅkamma madhurapaṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ nisīdi, tāvadeva cassa so āloko antarahito. Buddhālokassa hi samīpe asītihatthabbhantare añño āloko nābhibhoti. So ‘‘āloko me naṭṭho’’ti nisīditvāva uṭṭhāsi, uṭṭhahitvā ca gantumāraddho. Atha naṃ aññataro puriso āha – ‘‘kiṃ bho candābha, samaṇassa gotamassa bhīto gacchasī’’ti. Nāhaṃ bhīto gacchāmi, apica me imassa tejena āloko na sampajjatīti punadeva bhagavato purato nisīditvā pādatalā paṭṭhāya yāva kesaggā rūparaṃsilakkhaṇādisampattiṃ disvā ‘‘mahesakkho samaṇo gotamo, mama ure appamattako āloko uṭṭhito, tāvatakenapi maṃ gahetvā brāhmaṇā sakalajambudīpaṃ vicaranti. Evaṃ varalakkhaṇasampattisamannāgatassa samaṇassa gotamassa neva māno uppanno, addhā ayaṃ anomaguṇasamannāgato bhavissati satthā devamanussāna’’nti ativiya pasannacitto bhagavantaṃ vanditvā pabbajjaṃ yāci. Bhagavā aññataraṃ theraṃ āṇāpesi – ‘‘pabbājehi na’’nti. So taṃ pabbājetvā tacapañcakakammaṭṭhānaṃ ācikkhi. So vipassanaṃ ārabhitvā na cireneva arahattaṃ patvā ‘‘candābhatthero’’ti vissuto ahosi. Taṃ ārabbha bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘kiṃ nu kho, āvuso, ye candābhaṃ addasaṃsu. Te yasaṃ vā dhanaṃ vā labhiṃsu, saggaṃ vā gacchiṃsu, visuddhiṃ vā pāpuṇiṃsu tena cakkhudvārikarūpadassanenā’’ti. Bhagavā tassaṃ aṭṭhuppattiyaṃ imaṃ suttamabhāsi.

    ตตฺถ ปฐมคาถาย ตาวโตฺถ – น, ภิกฺขเว, เอวรูเปน ทสฺสเนน สุทฺธิ โหติฯ อปิจ โข กิเลสมลินตฺตา อสุทฺธํ, กิเลสโรคานํ อวิคมา สโรคเมว จนฺทาภํ พฺราหฺมณํ อญฺญํ วา เอวรูปํ ทิสฺวา ทิฎฺฐิคติโก พาโล อภิชานาติ ‘‘ปสฺสามิ สุทฺธํ ปรมํ อโรคํ, เตน จ ทิฎฺฐิสงฺขาเตน ทสฺสเนน สํสุทฺธิ นรสฺส โหตี’’ติ, โส เอวํ อภิชานโนฺต ตํ ทสฺสนํ ‘‘ปรม’’นฺติ ญตฺวา ตสฺมิํ ทสฺสเน สุทฺธานุปสฺสี สมาโน ตํ ทสฺสนํ ‘‘มคฺคญาณ’’นฺติ ปเจฺจติฯ ตํ ปน มคฺคญาณํ น โหติฯ เตนาห – ‘‘ทิเฎฺฐน เจ สุทฺธี’’ติ ทุติยคาถํฯ

    Tattha paṭhamagāthāya tāvattho – na, bhikkhave, evarūpena dassanena suddhi hoti. Apica kho kilesamalinattā asuddhaṃ, kilesarogānaṃ avigamā sarogameva candābhaṃ brāhmaṇaṃ aññaṃ vā evarūpaṃ disvā diṭṭhigatiko bālo abhijānāti ‘‘passāmi suddhaṃ paramaṃ arogaṃ, tena ca diṭṭhisaṅkhātena dassanena saṃsuddhi narassa hotī’’ti, so evaṃ abhijānanto taṃ dassanaṃ ‘‘parama’’nti ñatvā tasmiṃ dassane suddhānupassī samāno taṃ dassanaṃ ‘‘maggañāṇa’’nti pacceti. Taṃ pana maggañāṇaṃ na hoti. Tenāha – ‘‘diṭṭhena ce suddhī’’ti dutiyagāthaṃ.

    ๗๙๖. ตสฺสโตฺถ – เตน รูปทสฺสนสงฺขาเตน ทิเฎฺฐน ยทิ กิเลสสุทฺธิ นรสฺส โหติฯ เตน วา ญาเณน โส ยทิ ชาติอาทิทุกฺขํ ปชหาติฯ เอวํ สเนฺต อริยมคฺคโต อเญฺญน อสุทฺธิมเคฺคเนว โส สุชฺฌติ, ราคาทีหิ อุปธีหิ สอุปธิโก เอว สมาโน สุชฺฌตีติ อาปนฺนํ โหติ, น จ เอวํวิโธ สุชฺฌติฯ ตสฺมา ทิฎฺฐี หิ นํ ปาว ตถา วทานํ, สา นํ ทิฎฺฐิเยว ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิโก อย’’นฺติ กเถติ ทิฎฺฐิอนุรูปํ ‘‘สสฺสโต โลโก’’ติอาทินา นเยน ตถา ตถา วทนฺติฯ

    796. Tassattho – tena rūpadassanasaṅkhātena diṭṭhena yadi kilesasuddhi narassa hoti. Tena vā ñāṇena so yadi jātiādidukkhaṃ pajahāti. Evaṃ sante ariyamaggato aññena asuddhimaggeneva so sujjhati, rāgādīhi upadhīhi saupadhiko eva samāno sujjhatīti āpannaṃ hoti, na ca evaṃvidho sujjhati. Tasmā diṭṭhī hi naṃ pāva tathā vadānaṃ, sā naṃ diṭṭhiyeva ‘‘micchādiṭṭhiko aya’’nti katheti diṭṭhianurūpaṃ ‘‘sassato loko’’tiādinā nayena tathā tathā vadanti.

    ๗๙๗. น พฺราหฺมโณติ ตติยคาถาฯ ตสฺสโตฺถ – โย ปน พาหิตปาปตฺตา พฺราหฺมโณ โหติ, โส มเคฺคน อธิคตาสวกฺขโย ขีณาสวพฺราหฺมโณ อริยมคฺคญาณโต อเญฺญน อภิมงฺคลสมฺมตรูปสงฺขาเต ทิเฎฺฐ ตถาวิธสทฺทสงฺขาเต สุเต อวีติกฺกมสงฺขาเต สีเล หตฺถิวตาทิเภเท วเต ปถวิอาทิเภเท มุเต จ อุปฺปเนฺนน มิจฺฉาญาเณน สุทฺธิํ น อาหฯ เสสมสฺส พฺราหฺมณสฺส วณฺณภณนตฺถํ วุตฺตํฯ โส หิ เตธาตุกปุเญฺญ สพฺพสฺมิญฺจ ปาเป อนูปลิโตฺต, ตสฺส ปหีนตฺตา อตฺตทิฎฺฐิยา ยสฺส กสฺสจิ วา คหณสฺส ปหีนตฺตา อตฺตญฺชโห, ปุญฺญาภิสงฺขาราทีนํ อกรณโต นยิธ ปกุพฺพมาโนติ วุจฺจติฯ ตสฺมา นํ เอวํ ปสํสโนฺต อาหฯ สพฺพเสฺสว จสฺส ปุริมปาเทน สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพ – ปุเญฺญ จ ปาเป จ อนูปลิโตฺต, อตฺตญฺชโห นยิธ ปกุพฺพมาโน, น พฺราหฺมโณ อญฺญโต สุทฺธิมาหาติฯ

    797.Na brāhmaṇoti tatiyagāthā. Tassattho – yo pana bāhitapāpattā brāhmaṇo hoti, so maggena adhigatāsavakkhayo khīṇāsavabrāhmaṇo ariyamaggañāṇato aññena abhimaṅgalasammatarūpasaṅkhāte diṭṭhe tathāvidhasaddasaṅkhāte sute avītikkamasaṅkhāte sīle hatthivatādibhede vate pathaviādibhede mute ca uppannena micchāñāṇena suddhiṃ na āha. Sesamassa brāhmaṇassa vaṇṇabhaṇanatthaṃ vuttaṃ. So hi tedhātukapuññe sabbasmiñca pāpe anūpalitto, tassa pahīnattā attadiṭṭhiyā yassa kassaci vā gahaṇassa pahīnattā attañjaho, puññābhisaṅkhārādīnaṃ akaraṇato nayidha pakubbamānoti vuccati. Tasmā naṃ evaṃ pasaṃsanto āha. Sabbasseva cassa purimapādena sambandho veditabbo – puññe ca pāpe ca anūpalitto, attañjaho nayidha pakubbamāno, na brāhmaṇo aññato suddhimāhāti.

    ๗๙๘. เอวํ น พฺราหฺมโณ อญฺญโต สุทฺธิมาหาติ วตฺวา อิทานิ เย ทิฎฺฐิคติกา อญฺญโต สุทฺธิํ พฺรุวนฺติ, เตสํ ตสฺสา ทิฎฺฐิยา อนิพฺพาหกภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปุริมํ ปหายา’’ติ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – เต หิ อญฺญโต สุทฺธิวาทา สมานาปิ ยสฺสา ทิฎฺฐิยา อปฺปหีนตฺตา คหณมุญฺจนํ โหติฯ ตาย ปุริมํ สตฺถาราทิํ ปหาย อปรํ นิสฺสิตา เอชาสงฺขาตาย ตณฺหาย อนุคตา อภิภูตา ราคาทิเภทํ น ตรนฺติ สงฺคํ, ตญฺจ อตรนฺตา ตํ ตํ ธมฺมํ อุคฺคณฺหนฺติ จ นิรสฺสชนฺติ จ มกฺกโฎว สาขนฺติฯ

    798. Evaṃ na brāhmaṇo aññato suddhimāhāti vatvā idāni ye diṭṭhigatikā aññato suddhiṃ bruvanti, tesaṃ tassā diṭṭhiyā anibbāhakabhāvaṃ dassento ‘‘purimaṃ pahāyā’’ti gāthamāha. Tassattho – te hi aññato suddhivādā samānāpi yassā diṭṭhiyā appahīnattā gahaṇamuñcanaṃ hoti. Tāya purimaṃ satthārādiṃ pahāya aparaṃ nissitā ejāsaṅkhātāya taṇhāya anugatā abhibhūtā rāgādibhedaṃ na taranti saṅgaṃ, tañca atarantā taṃ taṃ dhammaṃ uggaṇhanti ca nirassajanti ca makkaṭova sākhanti.

    ๗๙๙. ปญฺจมคาถาย สมฺพโนฺธ – โย จ โส ‘‘ทิฎฺฐี หิ นํ ปาว ตถา วทาน’’นฺติ วุโตฺต, โส สยํ สมาทายาติฯ ตตฺถ สยนฺติ สามํฯ สมาทายาติ คเหตฺวาฯ วตานีติ หตฺถิวตาทีนิฯ อุจฺจาวจนฺติ อปราปรํ หีนปณีตํ วา สตฺถารโต สตฺถาราทิํฯ สญฺญสโตฺตติ กามสญฺญาทีสุ ลโคฺคฯ วิทฺวา จ เวเทหิ สเมจฺจ ธมฺมนฺติ ปรมตฺถวิทฺวา จ อรหา จตูหิ มคฺคญาณเวเทหิ จตุสจฺจธมฺมํ อภิสเมจฺจาติฯ เสสํ ปากฎเมวฯ

    799. Pañcamagāthāya sambandho – yo ca so ‘‘diṭṭhī hi naṃ pāva tathā vadāna’’nti vutto, so sayaṃ samādāyāti. Tattha sayanti sāmaṃ. Samādāyāti gahetvā. Vatānīti hatthivatādīni. Uccāvacanti aparāparaṃ hīnapaṇītaṃ vā satthārato satthārādiṃ. Saññasattoti kāmasaññādīsu laggo. Vidvā ca vedehi samecca dhammanti paramatthavidvā ca arahā catūhi maggañāṇavedehi catusaccadhammaṃ abhisameccāti. Sesaṃ pākaṭameva.

    ๘๐๐. ส สพฺพธเมฺมสุ วิเสนิภูโต, ยํ กิญฺจิ ทิฎฺฐํว สุตํ มุตํ วาติ โสภูริปโญฺญ ขีณาสโว ยํ กิญฺจิ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา มุตํ วา เตสุ สพฺพธเมฺมสุ มารเสนํ วินาเสตฺวา ฐิตภาเวน วิเสนิภูโตฯ ตเมวทสฺสินฺติ ตํ เอวํ วิสุทฺธทสฺสิํฯ วิวฎํ จรนฺตนฺติ ตณฺหจฺฉทนาทิวิคเมน วิวฎํ หุตฺวา จรนฺตํฯ เกนีธ โลกสฺมิํ วิกปฺปเยยฺยาติ เกน อิธ โลเก ตณฺหากเปฺปน วา ทิฎฺฐิกเปฺปน วา โกจิ วิกเปฺปยฺย, เตสํ วา ปหีนตฺตา ราคาทินา ปุเพฺพ วุเตฺตนาติฯ

    800.Sa sabbadhammesu visenibhūto, yaṃkiñci diṭṭhaṃva sutaṃ mutaṃ vāti sobhūripañño khīṇāsavo yaṃ kiñci diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā mutaṃ vā tesu sabbadhammesu mārasenaṃ vināsetvā ṭhitabhāvena visenibhūto. Tamevadassinti taṃ evaṃ visuddhadassiṃ. Vivaṭaṃ carantantitaṇhacchadanādivigamena vivaṭaṃ hutvā carantaṃ. Kenīdha lokasmiṃ vikappayeyyāti kena idha loke taṇhākappena vā diṭṭhikappena vā koci vikappeyya, tesaṃ vā pahīnattā rāgādinā pubbe vuttenāti.

    ๘๐๑. น กปฺปยนฺตีติ คาถาย สมฺพโนฺธ อโตฺถ จ – กิญฺจ ภิโยฺย? เต หิ ตาทิสา สโนฺต ทฺวินฺนํ กปฺปานํ ปุเรกฺขารานญฺจ เกนจิ น กปฺปยนฺติ น ปุเรกฺขโรนฺติ, ปรมตฺถอจฺจนฺตสุทฺธิอธิคตตฺตา อนจฺจนฺตสุทฺธิํเยว อกิริยสสฺสตทิฎฺฐิํ อจฺจนฺต สุทฺธีติ น เต วทนฺติฯ อาทานคนฺถํ คถิตํ วิสชฺชาติ จตุพฺพิธมฺปิ รูปาทีนํ อาทายกตฺตา อาทานคนฺถํ อตฺตโน จิตฺตสนฺตาเน คถิตํ พทฺธํ อริยมคฺคสเตฺถน วิสชฺช ฉินฺทิตฺวาฯ เสสํ ปากฎเมวฯ

    801.Na kappayantīti gāthāya sambandho attho ca – kiñca bhiyyo? Te hi tādisā santo dvinnaṃ kappānaṃ purekkhārānañca kenaci na kappayanti na purekkharonti, paramatthaaccantasuddhiadhigatattā anaccantasuddhiṃyeva akiriyasassatadiṭṭhiṃ accanta suddhīti na te vadanti. Ādānaganthaṃ gathitaṃ visajjāti catubbidhampi rūpādīnaṃ ādāyakattā ādānaganthaṃ attano cittasantāne gathitaṃ baddhaṃ ariyamaggasatthena visajja chinditvā. Sesaṃ pākaṭameva.

    ๘๐๒. สีมาติโคติ คาถา เอกปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย วุตฺตาฯ ปุพฺพสทิโส เอว ปนสฺสา สมฺพโนฺธ, โส เอวํ อตฺถวณฺณนาย สทฺธิํ เวทิตโพฺพ – กิญฺจ ภิโยฺย โส อีทิโส ภูริปโญฺญ จตุนฺนํ กิเลสสีมานํ อตีตตฺตา สีมาติโค พาหิตปาปตฺตา จ พฺราหฺมโณ, อิตฺถมฺภูตสฺส จ ตสฺส นตฺถิ ปรจิตฺตปุเพฺพนิวาสญาเณหิ ญตฺวา วา มํสจกฺขุทิพฺพจกฺขูหิ ทิสฺวา วา กิญฺจิ สมุคฺคหีตํ, อภินิวิฎฺฐนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โส จ กามราคาภาวโต น ราคราคี, รูปารูปราคาภาวโต น วิราครโตฺต ฯ ยโต เอวํวิธสฺส ‘‘อิทํ ปร’’นฺติ กิญฺจิ อิธ อุคฺคหิตํ นตฺถีติ อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ

    802.Sīmātigoti gāthā ekapuggalādhiṭṭhānāya desanāya vuttā. Pubbasadiso eva panassā sambandho, so evaṃ atthavaṇṇanāya saddhiṃ veditabbo – kiñca bhiyyo so īdiso bhūripañño catunnaṃ kilesasīmānaṃ atītattā sīmātigo bāhitapāpattā ca brāhmaṇo, itthambhūtassa ca tassa natthi paracittapubbenivāsañāṇehi ñatvā vā maṃsacakkhudibbacakkhūhi disvā vā kiñci samuggahītaṃ, abhiniviṭṭhanti vuttaṃ hoti. So ca kāmarāgābhāvato na rāgarāgī, rūpārūparāgābhāvato na virāgaratto. Yato evaṃvidhassa ‘‘idaṃ para’’nti kiñci idha uggahitaṃ natthīti arahattanikūṭena desanaṃ niṭṭhāpesi.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย สุทฺธฎฺฐกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya suddhaṭṭhakasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๔. สุทฺธฎฺฐกสุตฺตํ • 4. Suddhaṭṭhakasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact