Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๓๕] ๓. สุธาโภชนชาตกวณฺณนา

    [535] 3. Sudhābhojanajātakavaṇṇanā

    เนว กิณามิ นปิ วิกฺกิณามีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ ทานชฺฌาสยํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร สาวตฺถิยํ เอโก กุลปุโตฺต หุตฺวา สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา ปสนฺนจิโตฺต ปพฺพชิตฺวา สีเลสุ ปริปูรการี ธุตงฺคคุณสมนฺนาคโต สพฺรหฺมจารีสุ ปวตฺตเมตฺตจิโตฺต ทิวสสฺส ติกฺขตฺตุํ พุทฺธธมฺมสงฺฆุปฎฺฐาเน อปฺปมโตฺต อาจารสมฺปโนฺน ทานชฺฌาสโย อโหสิฯ สารณียธมฺมปูรโก อตฺตนา ลทฺธํ ปฎิคฺคาหเกสุ วิชฺชมาเนสุ ฉินฺนภโตฺต หุตฺวาปิ เทติเยว, ตสฺมา ตสฺส ทานชฺฌาสยทานาภิรตภาโว ภิกฺขุสเงฺฆ ปากโฎ อโหสิฯ อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ, ‘‘อาวุโส, อสุโก นาม ภิกฺขุ ทานชฺฌาสโย ทานาภิรโต อตฺตนา ลทฺธํ ปสตมตฺตปานียมฺปิ โลภํ ฉินฺทิตฺวา สพฺรหฺมจารีนํ เทติ, โพธิสตฺตเสฺสวสฺส อชฺฌาสโย’’ติฯ สตฺถา ตํ กถํ ทิพฺพาย โสตธาตุยา สุตฺวา คนฺธกุฎิโต นิกฺขมิตฺวา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘อยํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปุเพฺพ อทานสีโล มจฺฉรี ติณเคฺคน เตลพินฺทุมฺปิ อทาตา อโหสิ, อถ นํ อหํ ทเมตฺวา นิพฺพิเสวนํ กตฺวา ทานผลํ วเณฺณตฺวา ทาเน ปติฎฺฐาเปสิํ, โส ‘ปสตมตฺตํ อุทกมฺปิ ลภิตฺวา อทตฺวา น ปิวิสฺสามี’ติ มม สนฺติเก วรํ อคฺคเหสิ, ตสฺส ผเลน ทานชฺฌาสโย ทานาภิรโต ชาโต’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Neva kiṇāmi napi vikkiṇāmīti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ dānajjhāsayaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. So kira sāvatthiyaṃ eko kulaputto hutvā satthu dhammakathaṃ sutvā pasannacitto pabbajitvā sīlesu paripūrakārī dhutaṅgaguṇasamannāgato sabrahmacārīsu pavattamettacitto divasassa tikkhattuṃ buddhadhammasaṅghupaṭṭhāne appamatto ācārasampanno dānajjhāsayo ahosi. Sāraṇīyadhammapūrako attanā laddhaṃ paṭiggāhakesu vijjamānesu chinnabhatto hutvāpi detiyeva, tasmā tassa dānajjhāsayadānābhiratabhāvo bhikkhusaṅghe pākaṭo ahosi. Athekadivasaṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ, ‘‘āvuso, asuko nāma bhikkhu dānajjhāsayo dānābhirato attanā laddhaṃ pasatamattapānīyampi lobhaṃ chinditvā sabrahmacārīnaṃ deti, bodhisattassevassa ajjhāsayo’’ti. Satthā taṃ kathaṃ dibbāya sotadhātuyā sutvā gandhakuṭito nikkhamitvā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘ayaṃ, bhikkhave, bhikkhu pubbe adānasīlo maccharī tiṇaggena telabindumpi adātā ahosi, atha naṃ ahaṃ dametvā nibbisevanaṃ katvā dānaphalaṃ vaṇṇetvā dāne patiṭṭhāpesiṃ, so ‘pasatamattaṃ udakampi labhitvā adatvā na pivissāmī’ti mama santike varaṃ aggahesi, tassa phalena dānajjhāsayo dānābhirato jāto’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต เอโก คหปติ อโฑฺฒ อโหสิ อสีติโกฎิวิภโวฯ อถสฺส ราชา เสฎฺฐิฎฺฐานํ อทาสิ ฯ โส ราชปูชิโต นาครชานปทปูชิโต หุตฺวา เอกทิวสํ อตฺตโน สมฺปตฺติํ โอโลเกตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ยโส มยา อตีตภเว เนว นิทฺทายเนฺตน, น กายทุจฺจริตาทีนิ กโรเนฺตน ลโทฺธ, สุจริตานิ ปน ปูเรตฺวา ลโทฺธ, อนาคเตปิ มยา มม ปติฎฺฐํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เทว, มม ฆเร อสีติโกฎิธนํ อตฺถิ, ตํ คณฺหาหี’’ติ วตฺวา ‘‘น มยฺหํ ตว ธเนนโตฺถ, พหุํ เม ธนํ, อิโตปิ ยทิจฺฉสิ, ตํ คณฺหาหี’’ติ วุเตฺต ‘‘กิํ นุ, เทว, มม ธนํ ทาตุํ ลภามี’’ติ อาหฯ อถ รญฺญา ‘‘ยถารุจิ กโรหี’’ติ วุเตฺต จตูสุ นครทฺวาเรสุ นครมเชฺฌ นิเวสนทฺวาเร จาติ ฉ ทานสาลาโย กาเรตฺวา เทวสิกํ ฉสตสหสฺสปริจฺจาคํ กโรโนฺต มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ โส ยาวชีวํ ทานํ ทตฺวา ‘‘อิมํ มม ทานวํสํ มา อุปจฺฉินฺทถา’’ติ ปุเตฺต อนุสาสิตฺวา ชีวิตปริโยสาเน สโกฺก หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ปุโตฺตปิสฺส ตเถว ทานํ ทตฺวา จโนฺท หุตฺวา นิพฺพตฺติ, ตสฺส ปุโตฺต สูริโย หุตฺวา นิพฺพตฺติ, ตสฺส ปุโตฺต มาตลิ หุตฺวา นิพฺพตฺติ, ตสฺส ปุโตฺต ปญฺจสิโข หุตฺวา นิพฺพตฺติ, ตสฺส ปน ปุโตฺต ฉโฎฺฐ เสฎฺฐิฎฺฐานํ ลทฺธา มจฺฉริยโกสิโย นาม อโหสิ อสีติโกฎิวิภโวเยวฯ โส ‘‘มม ปิตุปิตามหา พาลา อเหสุํ, ทุเกฺขน สมฺภตํ ธนํ ฉเฑฺฑสุํ, อหํ ปน ธนํ รกฺขิสฺสามิ, กสฺสจิ กิญฺจิ น ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทานสาลา วิทฺธํเสตฺวา อคฺคินา ฌาเปตฺวา ถทฺธมจฺฉรี อโหสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente eko gahapati aḍḍho ahosi asītikoṭivibhavo. Athassa rājā seṭṭhiṭṭhānaṃ adāsi . So rājapūjito nāgarajānapadapūjito hutvā ekadivasaṃ attano sampattiṃ oloketvā cintesi – ‘‘ayaṃ yaso mayā atītabhave neva niddāyantena, na kāyaduccaritādīni karontena laddho, sucaritāni pana pūretvā laddho, anāgatepi mayā mama patiṭṭhaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti. So rañño santikaṃ gantvā ‘‘deva, mama ghare asītikoṭidhanaṃ atthi, taṃ gaṇhāhī’’ti vatvā ‘‘na mayhaṃ tava dhanenattho, bahuṃ me dhanaṃ, itopi yadicchasi, taṃ gaṇhāhī’’ti vutte ‘‘kiṃ nu, deva, mama dhanaṃ dātuṃ labhāmī’’ti āha. Atha raññā ‘‘yathāruci karohī’’ti vutte catūsu nagaradvāresu nagaramajjhe nivesanadvāre cāti cha dānasālāyo kāretvā devasikaṃ chasatasahassapariccāgaṃ karonto mahādānaṃ pavattesi. So yāvajīvaṃ dānaṃ datvā ‘‘imaṃ mama dānavaṃsaṃ mā upacchindathā’’ti putte anusāsitvā jīvitapariyosāne sakko hutvā nibbatti. Puttopissa tatheva dānaṃ datvā cando hutvā nibbatti, tassa putto sūriyo hutvā nibbatti, tassa putto mātali hutvā nibbatti, tassa putto pañcasikho hutvā nibbatti, tassa pana putto chaṭṭho seṭṭhiṭṭhānaṃ laddhā macchariyakosiyo nāma ahosi asītikoṭivibhavoyeva. So ‘‘mama pitupitāmahā bālā ahesuṃ, dukkhena sambhataṃ dhanaṃ chaḍḍesuṃ, ahaṃ pana dhanaṃ rakkhissāmi, kassaci kiñci na dassāmī’’ti cintetvā dānasālā viddhaṃsetvā agginā jhāpetvā thaddhamaccharī ahosi.

    อถสฺส เคหทฺวาเร ยาจกา สนฺนิปติตฺวา พาหา ปคฺคยฺห, ‘‘มหาเสฎฺฐิ, มา อตฺตโน ปิตุปิตามหานํ ทานวํสํ นาสยิ, ทานํ เทหี’’ติ มหาสเทฺทน ปริเทวิํสุฯ ตํ สุตฺวา มหาชโน ‘‘มจฺฉริยโกสิเยน อตฺตโน ทานวํโส อุปจฺฉิโนฺน’’ติ ตํ ครหิฯ โส ลชฺชิโต นิเวสนทฺวาเร ยาจกานํ อาคตาคตฎฺฐานํ นิวาเรตุํ อารกฺขํ ฐเปสิฯ เต นิปฺปจฺจยา หุตฺวา ปุน ตสฺส เคหทฺวารํ น โอโลเกสุํฯ โส ตโต ปฎฺฐาย ธนเมว สํหรติ, เนว อตฺตนา ปริภุญฺชติ, น ปุตฺตทาราทีนํ เทติ, กญฺชิกพิลงฺคทุติยํ สกุณฺฑกภตฺตํ ภุญฺชติ, มูลผลมตฺตตนฺตานิ ถูลวตฺถานิ นิวาเสติ, ปณฺณฉตฺตํ มตฺถเก ธาเรตฺวา ชรโคฺคณยุเตฺตน ชชฺชรรถเกน ยาติฯ อิติ ตสฺส อสปฺปุริสสฺส ตตฺตกํ ธนํ สุนเขน ลทฺธํ นาฬิเกรํ วิย อโหสิฯ

    Athassa gehadvāre yācakā sannipatitvā bāhā paggayha, ‘‘mahāseṭṭhi, mā attano pitupitāmahānaṃ dānavaṃsaṃ nāsayi, dānaṃ dehī’’ti mahāsaddena parideviṃsu. Taṃ sutvā mahājano ‘‘macchariyakosiyena attano dānavaṃso upacchinno’’ti taṃ garahi. So lajjito nivesanadvāre yācakānaṃ āgatāgataṭṭhānaṃ nivāretuṃ ārakkhaṃ ṭhapesi. Te nippaccayā hutvā puna tassa gehadvāraṃ na olokesuṃ. So tato paṭṭhāya dhanameva saṃharati, neva attanā paribhuñjati, na puttadārādīnaṃ deti, kañjikabilaṅgadutiyaṃ sakuṇḍakabhattaṃ bhuñjati, mūlaphalamattatantāni thūlavatthāni nivāseti, paṇṇachattaṃ matthake dhāretvā jaraggoṇayuttena jajjararathakena yāti. Iti tassa asappurisassa tattakaṃ dhanaṃ sunakhena laddhaṃ nāḷikeraṃ viya ahosi.

    โส เอกทิวสํ ราชูปฎฺฐานํ คจฺฉโนฺต ‘‘อนุเสฎฺฐิํ อาทาย คมิสฺสามี’’ติ ตสฺส เคหํ อคมาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ อนุเสฎฺฐิ ปุตฺตธีตาทีหิ ปริวุโต นวสปฺปิปกฺกมธุสกฺขรจุเณฺณหิ สงฺขตํ ปายาสํ ภุญฺชมาโน นิสิโนฺน โหติฯ โส มจฺฉริยโกสิยํ ทิสฺวา อาสนา วุฎฺฐาย ‘‘เอหิ, มหาเสฎฺฐิ, อิมสฺมิํ ปลฺลเงฺก นิสีท, ปายาสํ ภุญฺชิสฺสามา’’ติ อาหฯ ตสฺส ปายาสํ ทิสฺวาว มุเข เขฬา อุปฺปชฺชิ, ภุญฺชิตุกาโม อโหสิ, เอวํ ปน จิเนฺตสิ – ‘‘สจาหํ ภุญฺชิสฺสามิ, อนุเสฎฺฐิโน มม เคหํ อาคตกาเล ปฎิสกฺกาโร กาตโพฺพ ภวิสฺสติ, เอวํ เม ธนํ นสฺสิสฺสติ, น ภุญฺชิสฺสามี’’ติฯ อถ ปุนปฺปุนํ ยาจิยมาโนปิ ‘‘อิทานิ เม ภุตฺตํ, สุหิโตสฺมี’’ติ น อิจฺฉิฯ อนุเสฎฺฐิมฺหิ ภุญฺชเนฺต ปน โอโลเกโนฺต มุเข สญฺชายมาเนน เขเฬน นิสีทิตฺวา ตสฺส ภตฺตกิจฺจาวสาเน เตน สทฺธิํ ราชนิเวสนํ คนฺตฺวา ราชานํ ปสฺสิตฺวา ราชนิเวสนโต โอตริตฺวา อตฺตโน เคหํ อนุปฺปโตฺต ปายาสตณฺหาย ปีฬิยมาโน จิเนฺตสิ – ‘‘สจาหํ ‘ปายาสํ ภุญฺชิตุกาโมมฺหี’ติ วกฺขามิ, มหาชโน ภุญฺชิตุกาโม ภวิสฺสติ, พหู ตณฺฑุลาทโย นสฺสิสฺสนฺติ, น กสฺสจิ กเถสฺสามี’’ติฯ โส รตฺตินฺทิวํ ปายาสเมว จิเนฺตโนฺต วีตินาเมตฺวาปิ ธนนาสนภเยน กสฺสจิ อกเถตฺวาว ปิปาสํ อธิวาเสสิ, อนุกฺกเมน อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต อโหสิฯ เอวํ สเนฺตปิ ธนนาสนภเยน อกเถโนฺต อปรภาเค ทุพฺพโล หุตฺวา สยนํ อุปคูหิตฺวา นิปชฺชิฯ

    So ekadivasaṃ rājūpaṭṭhānaṃ gacchanto ‘‘anuseṭṭhiṃ ādāya gamissāmī’’ti tassa gehaṃ agamāsi. Tasmiṃ khaṇe anuseṭṭhi puttadhītādīhi parivuto navasappipakkamadhusakkharacuṇṇehi saṅkhataṃ pāyāsaṃ bhuñjamāno nisinno hoti. So macchariyakosiyaṃ disvā āsanā vuṭṭhāya ‘‘ehi, mahāseṭṭhi, imasmiṃ pallaṅke nisīda, pāyāsaṃ bhuñjissāmā’’ti āha. Tassa pāyāsaṃ disvāva mukhe kheḷā uppajji, bhuñjitukāmo ahosi, evaṃ pana cintesi – ‘‘sacāhaṃ bhuñjissāmi, anuseṭṭhino mama gehaṃ āgatakāle paṭisakkāro kātabbo bhavissati, evaṃ me dhanaṃ nassissati, na bhuñjissāmī’’ti. Atha punappunaṃ yāciyamānopi ‘‘idāni me bhuttaṃ, suhitosmī’’ti na icchi. Anuseṭṭhimhi bhuñjante pana olokento mukhe sañjāyamānena kheḷena nisīditvā tassa bhattakiccāvasāne tena saddhiṃ rājanivesanaṃ gantvā rājānaṃ passitvā rājanivesanato otaritvā attano gehaṃ anuppatto pāyāsataṇhāya pīḷiyamāno cintesi – ‘‘sacāhaṃ ‘pāyāsaṃ bhuñjitukāmomhī’ti vakkhāmi, mahājano bhuñjitukāmo bhavissati, bahū taṇḍulādayo nassissanti, na kassaci kathessāmī’’ti. So rattindivaṃ pāyāsameva cintento vītināmetvāpi dhananāsanabhayena kassaci akathetvāva pipāsaṃ adhivāsesi, anukkamena adhivāsetuṃ asakkonto uppaṇḍuppaṇḍukajāto ahosi. Evaṃ santepi dhananāsanabhayena akathento aparabhāge dubbalo hutvā sayanaṃ upagūhitvā nipajji.

    อถ นํ ภริยา อุปคนฺตฺวา หเตฺถน ปิฎฺฐิํ ปริมชฺชมานา ‘‘กิํ เต, สามิ, อผาสุก’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ตเวว สรีเร อผาสุกํ กโรหิ, มม อผาสุกํ นตฺถี’’ติฯ ‘‘สามิ, อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโตสิ, กิํ นุ เต กาจิ จินฺตา อตฺถิ, อุทาหุ ราชา เต กุปิโต, อทุ ปุเตฺตหิ อวมาโน กโต, อถ วา ปน กาจิ ตณฺหา อุปฺปนฺนา’’ติ? ‘‘อาม, ตณฺหา เม อุปฺปนฺนา’’ติฯ ‘‘กเถหิ, สามี’’ติ? ‘‘กเถสฺสามิ, สกฺขิสฺสสิ นํ รกฺขิตุ’’นฺติฯ ‘‘รกฺขิตพฺพยุตฺตกา เจ, รกฺขิสฺสามี’’ติฯ เอวมฺปิ ธนนาสนภเยน กเถตุํ น อุสฺสหิฯ ตาย ปุนปฺปุนํ ปีฬิยมาโน กเถสิ – ‘‘ภเทฺท, อหํ เอกทิวสํ อนุเสฎฺฐิํ นวสปฺปิมธุสกฺขรจุเณฺณหิ สงฺขตํ ปายาสํ ภุญฺชนฺตํ ทิสฺวา ตโต ปฎฺฐาย ตาทิสํ ปายาสํ ภุญฺชิตุกาโม ชาโต’’ติฯ ‘‘อสปฺปุริส, กิํ ตฺวํ ทุคฺคโต, สกลมาราณสิวาสีนํ ปโหนกํ ปายาสํ ปจิสฺสามี’’ติฯ อถสฺส สีเส ทเณฺฑน ปหรณกาโล วิย อโหสิฯ โส ตสฺสา กุชฺฌิตฺวา ‘‘ชานามหํ ตว มหทฺธนภาวํ, สเจ เต กุลฆรา อาภตํ อตฺถิ, ปายาสํ ปจิตฺวา นาครานํ เทหี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ เอกวีถิวาสีนํ ปโหนกํ กตฺวา ปจามี’’ติฯ ‘‘กิํ เต เอเตหิ, อตฺตโน ปน สนฺตกํ ขาทนฺตู’’ติ? ‘‘เตน หิ อิโต จิโต จ สตฺตสตฺตฆรวาสีนํ ปโหนกํ กตฺวา ปจามี’’ติฯ ‘‘กิํ เต เอเตหี’’ติฯ ‘‘เตน หิ อิมสฺมิํ เคเห ปริชนสฺสา’’ติฯ ‘‘กิํ เต เอเตนา’’ติ? ‘‘เตน หิ พนฺธุชนเสฺสว ปโหนกํ กตฺวา ปจามี’’ติฯ ‘‘กิํ เต เอเตนา’’ติ? ‘‘เตน หิ ตุยฺหญฺจ มยฺหญฺจ ปจามิ สามี’’ติฯ ‘‘กาสิ ตฺวํ, น ตุยฺหํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘เตน หิ เอกเสฺสว เต ปโหนกํ กตฺวา ปจามี’’ติฯ ‘‘มยฺหญฺจ ตฺวํ มา ปจิ, เคเห ปน ปจเนฺต พหู ปจฺจาสีสนฺติ, มยฺหํ ปน ปตฺถํ ตณฺฑุลานํ จตุภาคํ ขีรสฺส อจฺฉรํ สกฺขราย กรณฺฑกํ สปฺปิสฺส กรณฺฑกํ มธุสฺส เอกญฺจ ปจนภาชนํ เทหิ, อหํ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ตตฺถ ปจิตฺวา ภุญฺชามี’’ติฯ สา ตถา อกาสิฯ โส ตํ สพฺพํ เจฎเกน คาหาเปตฺวา ‘‘คจฺฉ อสุกฎฺฐาเน ติฎฺฐาหี’’ติ ตํ ปุรโต เปเสตฺวา เอกโกว โอคุณฺฐิกํ กตฺวา อญฺญาตกเวเสน ตตฺถ คนฺตฺวา นทีตีเร เอกสฺมิํ คจฺฉมูเล อุทฺธนํ กาเรตฺวา ทารุทกํ อาหราเปตฺวา ‘‘ตฺวํ คนฺตฺวา เอกสฺมิํ มเคฺค ฐตฺวา กญฺจิเทว ทิสฺวา มม สญฺญํ ทเทยฺยาสิ, มยา ปโกฺกสิตกาเลว อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ ตํ เปเสตฺวา อคฺคิํ กตฺวา ปายาสํ ปจิฯ

    Atha naṃ bhariyā upagantvā hatthena piṭṭhiṃ parimajjamānā ‘‘kiṃ te, sāmi, aphāsuka’’nti pucchi. ‘‘Taveva sarīre aphāsukaṃ karohi, mama aphāsukaṃ natthī’’ti. ‘‘Sāmi, uppaṇḍuppaṇḍukajātosi, kiṃ nu te kāci cintā atthi, udāhu rājā te kupito, adu puttehi avamāno kato, atha vā pana kāci taṇhā uppannā’’ti? ‘‘Āma, taṇhā me uppannā’’ti. ‘‘Kathehi, sāmī’’ti? ‘‘Kathessāmi, sakkhissasi naṃ rakkhitu’’nti. ‘‘Rakkhitabbayuttakā ce, rakkhissāmī’’ti. Evampi dhananāsanabhayena kathetuṃ na ussahi. Tāya punappunaṃ pīḷiyamāno kathesi – ‘‘bhadde, ahaṃ ekadivasaṃ anuseṭṭhiṃ navasappimadhusakkharacuṇṇehi saṅkhataṃ pāyāsaṃ bhuñjantaṃ disvā tato paṭṭhāya tādisaṃ pāyāsaṃ bhuñjitukāmo jāto’’ti. ‘‘Asappurisa, kiṃ tvaṃ duggato, sakalamārāṇasivāsīnaṃ pahonakaṃ pāyāsaṃ pacissāmī’’ti. Athassa sīse daṇḍena paharaṇakālo viya ahosi. So tassā kujjhitvā ‘‘jānāmahaṃ tava mahaddhanabhāvaṃ, sace te kulagharā ābhataṃ atthi, pāyāsaṃ pacitvā nāgarānaṃ dehī’’ti āha. ‘‘Tena hi ekavīthivāsīnaṃ pahonakaṃ katvā pacāmī’’ti. ‘‘Kiṃ te etehi, attano pana santakaṃ khādantū’’ti? ‘‘Tena hi ito cito ca sattasattagharavāsīnaṃ pahonakaṃ katvā pacāmī’’ti. ‘‘Kiṃ te etehī’’ti. ‘‘Tena hi imasmiṃ gehe parijanassā’’ti. ‘‘Kiṃ te etenā’’ti? ‘‘Tena hi bandhujanasseva pahonakaṃ katvā pacāmī’’ti. ‘‘Kiṃ te etenā’’ti? ‘‘Tena hi tuyhañca mayhañca pacāmi sāmī’’ti. ‘‘Kāsi tvaṃ, na tuyhaṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Tena hi ekasseva te pahonakaṃ katvā pacāmī’’ti. ‘‘Mayhañca tvaṃ mā paci, gehe pana pacante bahū paccāsīsanti, mayhaṃ pana patthaṃ taṇḍulānaṃ catubhāgaṃ khīrassa accharaṃ sakkharāya karaṇḍakaṃ sappissa karaṇḍakaṃ madhussa ekañca pacanabhājanaṃ dehi, ahaṃ araññaṃ pavisitvā tattha pacitvā bhuñjāmī’’ti. Sā tathā akāsi. So taṃ sabbaṃ ceṭakena gāhāpetvā ‘‘gaccha asukaṭṭhāne tiṭṭhāhī’’ti taṃ purato pesetvā ekakova oguṇṭhikaṃ katvā aññātakavesena tattha gantvā nadītīre ekasmiṃ gacchamūle uddhanaṃ kāretvā dārudakaṃ āharāpetvā ‘‘tvaṃ gantvā ekasmiṃ magge ṭhatvā kañcideva disvā mama saññaṃ dadeyyāsi, mayā pakkositakāleva āgaccheyyāsī’’ti taṃ pesetvā aggiṃ katvā pāyāsaṃ paci.

    ตสฺมิํ ขเณ สโกฺก เทวราชา ทสสหสฺสโยชนํ อลงฺกตเทวนครํ, สฎฺฐิโยชนํ สุวณฺณวีถิํ, โยชนสหสฺสุเพฺพธํ เวชยนฺตํ, ปญฺจโยชนสติกํ สุธมฺมสภํ, สฎฺฐิโยชนํ ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนํ, ปญฺจโยชนาวฎฺฎํ กญฺจนมาลเสตจฺฉตฺตํ, อฑฺฒเตยฺยโกฎิสงฺขา เทวจฺฉรา, อลงฺกตปฎิยตฺตํ อตฺตภาวนฺติ อิมํ อตฺตโน สิริํ โอโลเกตฺวา ‘‘กิํ นุ โข กตฺวา มยา อยํ ยโส ลโทฺธ’’ติ จิเนฺตตฺวา พาราณสิยํ เสฎฺฐิภูเตน ปวตฺติตํ ทานํ อทฺทสฯ ตโต ‘‘มม ปุตฺตาทโย กุหิํ นิพฺพตฺตา’’ติ โอโลเกโนฺต ‘‘ปุโตฺต เม จโนฺท เทวปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, ตสฺส ปุโตฺต สูริโย, ตสฺส ปุโตฺต, มาตลิ, ตสฺส ปุโตฺต, ปญฺจสิโข’’ติ สเพฺพสํ นิพฺพตฺติํ ทิสฺวา ‘‘ปญฺจสิขสฺส ปุโตฺต กีทิโส’’ติ โอโลเกโนฺต อตฺตโน วํสสฺส อุปจฺฉินฺนภาวํ ปสฺสิฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อยํ อสปฺปุริโส มจฺฉรี หุตฺวา เนว อตฺตนา ปริภุญฺชติ , น ปเรสํ เทติ, มม วํโส เตน อุปจฺฉิโนฺน, กาลํ กตฺวา นิรเย นิพฺพตฺติสฺสติ, โอวาทมสฺส ทตฺวา มม วํสํ ปติฎฺฐาเปตฺวา เอตสฺส อิมสฺมิํ เทวนคเร นิพฺพตฺตนาการํ กริสฺสามี’’ติฯ โส จนฺทาทโย ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เอถ มนุสฺสปถํ คมิสฺสาม, มจฺฉริยโกสิเยน อมฺหากํ วํโส อุปจฺฉิโนฺน , ทานสาลา ฌาปิตา, เนว อตฺตนา ปริภุญฺชติ, น ปเรสํ เทติ, อิทานิ ปน ปายาสํ ภุญฺชิตุกาโม หุตฺวา ‘ฆเร ปจฺจเนฺต อญฺญสฺสปิ ปายาโส ทาตโพฺพ ภวิสฺสตี’ติ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา เอกโกว ปจติ, เอตํ ทเมตฺวา ทานผลํ ชานาเปตฺวา อาคมิสฺสาม, อปิจ โข ปน อเมฺหหิ สเพฺพหิ เอกโต ยาจิยมาโน ตเตฺถว มเรยฺยฯ มม ปฐมํ คนฺตฺวา ปายาสํ ยาจิตฺวา นิสินฺนกาเล ตุเมฺห พฺราหฺมณวเณฺณน ปฎิปาฎิยา อาคนฺตฺวา ยาเจยฺยาถา’’ติ วตฺวา สยํ ตาว พฺราหฺมณวเณฺณน ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘โภ, กตโร พาราณสิคมนมโคฺค’’ติ ปุจฺฉิฯ อถ นํ มจฺฉริยโกสิโย ‘‘กิํ อุมฺมตฺตโกสิ, พาราณสิมคฺคมฺปิ น ชานาสิ, กิํ อิโต เอสิ, เอโตฺต ยาหี’’ติ อาหฯ

    Tasmiṃ khaṇe sakko devarājā dasasahassayojanaṃ alaṅkatadevanagaraṃ, saṭṭhiyojanaṃ suvaṇṇavīthiṃ, yojanasahassubbedhaṃ vejayantaṃ, pañcayojanasatikaṃ sudhammasabhaṃ, saṭṭhiyojanaṃ paṇḍukambalasilāsanaṃ, pañcayojanāvaṭṭaṃ kañcanamālasetacchattaṃ, aḍḍhateyyakoṭisaṅkhā devaccharā, alaṅkatapaṭiyattaṃ attabhāvanti imaṃ attano siriṃ oloketvā ‘‘kiṃ nu kho katvā mayā ayaṃ yaso laddho’’ti cintetvā bārāṇasiyaṃ seṭṭhibhūtena pavattitaṃ dānaṃ addasa. Tato ‘‘mama puttādayo kuhiṃ nibbattā’’ti olokento ‘‘putto me cando devaputto hutvā nibbatti, tassa putto sūriyo, tassa putto, mātali, tassa putto, pañcasikho’’ti sabbesaṃ nibbattiṃ disvā ‘‘pañcasikhassa putto kīdiso’’ti olokento attano vaṃsassa upacchinnabhāvaṃ passi. Athassa etadahosi – ‘‘ayaṃ asappuriso maccharī hutvā neva attanā paribhuñjati , na paresaṃ deti, mama vaṃso tena upacchinno, kālaṃ katvā niraye nibbattissati, ovādamassa datvā mama vaṃsaṃ patiṭṭhāpetvā etassa imasmiṃ devanagare nibbattanākāraṃ karissāmī’’ti. So candādayo pakkosāpetvā ‘‘etha manussapathaṃ gamissāma, macchariyakosiyena amhākaṃ vaṃso upacchinno , dānasālā jhāpitā, neva attanā paribhuñjati, na paresaṃ deti, idāni pana pāyāsaṃ bhuñjitukāmo hutvā ‘ghare paccante aññassapi pāyāso dātabbo bhavissatī’ti araññaṃ pavisitvā ekakova pacati, etaṃ dametvā dānaphalaṃ jānāpetvā āgamissāma, apica kho pana amhehi sabbehi ekato yāciyamāno tattheva mareyya. Mama paṭhamaṃ gantvā pāyāsaṃ yācitvā nisinnakāle tumhe brāhmaṇavaṇṇena paṭipāṭiyā āgantvā yāceyyāthā’’ti vatvā sayaṃ tāva brāhmaṇavaṇṇena taṃ upasaṅkamitvā ‘‘bho, kataro bārāṇasigamanamaggo’’ti pucchi. Atha naṃ macchariyakosiyo ‘‘kiṃ ummattakosi, bārāṇasimaggampi na jānāsi, kiṃ ito esi, etto yāhī’’ti āha.

    สโกฺก ตสฺส วจนํ สุตฺวา อสุณโนฺต วิย ‘‘กิํ กเถสี’’ติ ตํ อุปคจฺฉเตวฯ โสปิ, ‘‘อเร , พธิร พฺราหฺมณ, กิํ อิโต เอสิ, ปุรโต ยาหี’’ติ วิรวิฯ อถ นํ สโกฺก, ‘‘โภ, กสฺมา วิรวสิ, ธูโม ปญฺญายติ, อคฺคิ ปญฺญายติ, ปายาโส ปจฺจติ, พฺราหฺมณานํ นิมนฺตนฎฺฐาเนน ภวิตพฺพํ, อหมฺปิ พฺราหฺมณานํ โภชนกาเล โถกํ ลภิสฺสามิ, กิํ มํ นิจฺฉุภสี’’ติ วตฺวา ‘‘นเตฺถตฺถ พฺราหฺมณานํ นิมนฺตนํ, ปุรโต ยาหี’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ กสฺมา กุชฺฌสิ, ตว โภชนกาเล โถกํ ลภิสฺสามี’’ติ อาหฯ อถ นํ โส ‘‘อหํ เต เอกสิตฺถมฺปิ น ทสฺสามิ, โถกํ อิทํ มม ยาปนมตฺตเมว, มยาปิ เจตํ ยาจิตฺวาว ลทฺธํ, ตฺวํ อญฺญโต อาหารํ ปริเยสาหี’’ติ วตฺวา ภริยํ ยาจิตฺวา ลทฺธภาวํ สนฺธาเยว วตฺวา คาถมาห –

    Sakko tassa vacanaṃ sutvā asuṇanto viya ‘‘kiṃ kathesī’’ti taṃ upagacchateva. Sopi, ‘‘are , badhira brāhmaṇa, kiṃ ito esi, purato yāhī’’ti viravi. Atha naṃ sakko, ‘‘bho, kasmā viravasi, dhūmo paññāyati, aggi paññāyati, pāyāso paccati, brāhmaṇānaṃ nimantanaṭṭhānena bhavitabbaṃ, ahampi brāhmaṇānaṃ bhojanakāle thokaṃ labhissāmi, kiṃ maṃ nicchubhasī’’ti vatvā ‘‘natthettha brāhmaṇānaṃ nimantanaṃ, purato yāhī’’ti vutte ‘‘tena hi kasmā kujjhasi, tava bhojanakāle thokaṃ labhissāmī’’ti āha. Atha naṃ so ‘‘ahaṃ te ekasitthampi na dassāmi, thokaṃ idaṃ mama yāpanamattameva, mayāpi cetaṃ yācitvāva laddhaṃ, tvaṃ aññato āhāraṃ pariyesāhī’’ti vatvā bhariyaṃ yācitvā laddhabhāvaṃ sandhāyeva vatvā gāthamāha –

    ๑๙๒.

    192.

    ‘‘เนว กิณามิ นปิ วิกฺกิณามิ, น จาปิ เม สนฺนิจโย จ อตฺถิ;

    ‘‘Neva kiṇāmi napi vikkiṇāmi, na cāpi me sannicayo ca atthi;

    สุกิจฺฉรูปํ วติทํ ปริตฺตํ, ปโตฺถทโน นาลมยํ ทุวินฺน’’นฺติฯ

    Sukiccharūpaṃ vatidaṃ parittaṃ, patthodano nālamayaṃ duvinna’’nti.

    ตํ สุตฺวา สโกฺก ‘‘อหมฺปิ เต มธุรสเทฺทน เอกํ สิโลกํ กเถสฺสามิ, ตํ สุณาหี’’ติ วตฺวา ‘‘น เม ตว สิโลเกน อโตฺถ’’ติ ตสฺส วาเรนฺตเสฺสว คาถาทฺวยมาห –

    Taṃ sutvā sakko ‘‘ahampi te madhurasaddena ekaṃ silokaṃ kathessāmi, taṃ suṇāhī’’ti vatvā ‘‘na me tava silokena attho’’ti tassa vārentasseva gāthādvayamāha –

    ๑๙๓.

    193.

    ‘‘อปฺปมฺหา อปฺปกํ ทชฺชา, อนุมชฺฌโต มชฺฌกํ;

    ‘‘Appamhā appakaṃ dajjā, anumajjhato majjhakaṃ;

    พหุมฺหา พหุกํ ทชฺชา, อทานํ นูปปชฺชติฯ

    Bahumhā bahukaṃ dajjā, adānaṃ nūpapajjati.

    ๑๙๔.

    194.

    ‘‘ตํ ตํ วทามิ โกสิย, เทหิ ทานานิ ภุญฺช จ;

    ‘‘Taṃ taṃ vadāmi kosiya, dehi dānāni bhuñja ca;

    อริยมคฺคํ สมารุห, เนกาสี ลภเต สุข’’นฺติฯ

    Ariyamaggaṃ samāruha, nekāsī labhate sukha’’nti.

    ตตฺถ อนุมชฺฌโต มชฺฌกนฺติ อปฺปมตฺตกมฺปิ มเชฺฌ เฉตฺวา เทฺว โกฎฺฐาเส กริตฺวา เอกํ โกฎฺฐาสํ ทตฺวา ตโต อวเสสโต อนุมชฺฌโตปิ ปุน มเชฺฌ เฉตฺวา เอโก โกฎฺฐาโส ทาตโพฺพเยวฯ อทานํ นูปปชฺชตีติ อปฺปํ วา พหุํ วา ทินฺนํ โหตุ, อทานํ นาม น โหติ, ตมฺปิ ทานเมว มหปฺผลเมวฯ

    Tattha anumajjhato majjhakanti appamattakampi majjhe chetvā dve koṭṭhāse karitvā ekaṃ koṭṭhāsaṃ datvā tato avasesato anumajjhatopi puna majjhe chetvā eko koṭṭhāso dātabboyeva. Adānaṃ nūpapajjatīti appaṃ vā bahuṃ vā dinnaṃ hotu, adānaṃ nāma na hoti, tampi dānameva mahapphalameva.

    โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘มนาปํ เต, พฺราหฺมณ, กถิตํ, ปายาเส ปเกฺก โถกํ ลภิสฺสสิ, นิสีทาหี’’ติ อาหฯ สโกฺก เอกมเนฺต นิสีทิฯ ตสฺมิํ นิสิเนฺน จโนฺท เตเนว นิยาเมน อุปสงฺกมิตฺวา ตเถว กถํ ปวเตฺตตฺวา ตสฺส วาเรนฺตเสฺสว คาถาทฺวยมาห –

    So tassa vacanaṃ sutvā ‘‘manāpaṃ te, brāhmaṇa, kathitaṃ, pāyāse pakke thokaṃ labhissasi, nisīdāhī’’ti āha. Sakko ekamante nisīdi. Tasmiṃ nisinne cando teneva niyāmena upasaṅkamitvā tatheva kathaṃ pavattetvā tassa vārentasseva gāthādvayamāha –

    ๑๙๕.

    195.

    ‘‘โมฆญฺจสฺส หุตํ โหติ, โมฆญฺจาปิ สมีหิตํ;

    ‘‘Moghañcassa hutaṃ hoti, moghañcāpi samīhitaṃ;

    อติถิสฺมิํ โย นิสินฺนสฺมิํ, เอโก ภุญฺชติ โภชนํฯ

    Atithismiṃ yo nisinnasmiṃ, eko bhuñjati bhojanaṃ.

    ๑๙๖.

    196.

    ตํ ตํ วทามิ โกสิย, เทหิ ทานานิ ภุญฺช จ;

    Taṃ taṃ vadāmi kosiya, dehi dānāni bhuñja ca;

    อริยมคฺคํ สมารุห, เนกาสี ลภเต สุข’’นฺติฯ

    Ariyamaggaṃ samāruha, nekāsī labhate sukha’’nti.

    ตตฺถ สมีหิตนฺติ ธนุปฺปาทนวีริยํฯ

    Tattha samīhitanti dhanuppādanavīriyaṃ.

    โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา กิเจฺฉน กสิเรน ‘‘เตน หิ นิสีท, โถกํ ลภิสฺสสี’’ติ อาหฯ โส คนฺตฺวา สกฺกสฺส สนฺติเก นิสีทิฯ ตโต สูริโย เตเนว นเยน อุปสงฺกมิตฺวา ตเถว กถํ ปวเตฺตตฺวา ตสฺส วาเรนฺตเสฺสว คาถาทฺวยมาห –

    So tassa vacanaṃ sutvā kicchena kasirena ‘‘tena hi nisīda, thokaṃ labhissasī’’ti āha. So gantvā sakkassa santike nisīdi. Tato sūriyo teneva nayena upasaṅkamitvā tatheva kathaṃ pavattetvā tassa vārentasseva gāthādvayamāha –

    ๑๙๗.

    197.

    ‘‘สจฺจญฺจสฺส หุตํ โหติ, สจฺจญฺจาปิ สมีหิตํ;

    ‘‘Saccañcassa hutaṃ hoti, saccañcāpi samīhitaṃ;

    อติถิสฺมิํ โย นิสินฺนสฺมิํ, เนโก ภุญฺชติ โภชนํฯ

    Atithismiṃ yo nisinnasmiṃ, neko bhuñjati bhojanaṃ.

    ๑๙๘.

    198.

    ‘‘ตํ ตํ วทามิ โกสิย, เทหิ ทานานิ ภุญฺช จ;

    ‘‘Taṃ taṃ vadāmi kosiya, dehi dānāni bhuñja ca;

    อริยมคฺคํ สมารุห, เนกาสี ลภเต สุข’’นฺติฯ

    Ariyamaggaṃ samāruha, nekāsī labhate sukha’’nti.

    ตสฺสปิ วจนํ สุตฺวา กิเจฺฉน กสิเรน ‘‘เตน หิ นิสีท, โถกํ ลภิสฺสสี’’ติ อาหฯ โส คนฺตฺวา จนฺทสฺส สนฺติเก นิสีทิฯ อถ นํ มาตลิ เตเนว นเยน อุปสงฺกมิตฺวา ตเถว กถํ ปวเตฺตตฺวา ตสฺส วาเรนฺตเสฺสว อิมา คาถา อภาสิ –

    Tassapi vacanaṃ sutvā kicchena kasirena ‘‘tena hi nisīda, thokaṃ labhissasī’’ti āha. So gantvā candassa santike nisīdi. Atha naṃ mātali teneva nayena upasaṅkamitvā tatheva kathaṃ pavattetvā tassa vārentasseva imā gāthā abhāsi –

    ๑๙๙.

    199.

    ‘‘สรญฺจ ชุหติ โปโส, พหุกาย คยาย จ;

    ‘‘Sarañca juhati poso, bahukāya gayāya ca;

    โทเณ ติมฺพรุติตฺถสฺมิํ, สีฆโสเต มหาวเหฯ

    Doṇe timbarutitthasmiṃ, sīghasote mahāvahe.

    ๒๐๐.

    200.

    ‘‘อตฺร จสฺส หุตํ โหติ, อตฺร จสฺส สมีหิตํ;

    ‘‘Atra cassa hutaṃ hoti, atra cassa samīhitaṃ;

    อติถิสฺมิํ โย นิสินฺนสฺมิํ, เนโก ภุญฺชติ โภชนํฯ

    Atithismiṃ yo nisinnasmiṃ, neko bhuñjati bhojanaṃ.

    ๒๐๑.

    201.

    ‘‘ตํ ตํ วทามิ โกสิย, เทหิ ทานานิ ภุญฺช จ;

    ‘‘Taṃ taṃ vadāmi kosiya, dehi dānāni bhuñja ca;

    อริยมคฺคํ สมารุห, เนกาสี ลภเต สุข’’นฺติฯ

    Ariyamaggaṃ samāruha, nekāsī labhate sukha’’nti.

    ตาสํ อโตฺถ – โย ปุริโส ‘‘นาคยกฺขาทีนํ พลิกมฺมํ กโรมี’’ติ สมุทฺทโสณฺฑิโปกฺขรณีอาทีสุ ยํ กิญฺจิ สรญฺจ อุปคนฺตฺวา ชุหติ, ตตฺถ พลิกมฺมํ กโรติ , ตถา พหุกาย นทิยา คยาย โปกฺขรณิยา โทณนามเก จ ติมฺพรุนามเก จ ติเตฺถ สีฆโสเต มหเนฺต วาริวเหฯ อตฺร จสฺสาติ ยทิ อตฺราปิ เอเตสุ สราทีสุ อสฺส ปุริสสฺส หุตเญฺจว สมีหิตญฺจ โหติ, สผลํ สุขุทฺรยํ สมฺปชฺชติฯ อติถิสฺมิํ โย นิสินฺนสฺมิํ เนโก ภุญฺชติ โภชนํ, เอตฺถ วตฺตพฺพเมว นตฺถิ, เตน ตํ วทามิ – โกสิย, ทานานิ จ เทหิ, สยญฺจ ภุญฺช, อริยานํ ทานาภิรตานํ พุทฺธาทีนํ มคฺคํ อภิรุหฯ น หิ เอกาสี เอโกว ภุญฺชมาโน สุขํ นาม ลภตีติฯ

    Tāsaṃ attho – yo puriso ‘‘nāgayakkhādīnaṃ balikammaṃ karomī’’ti samuddasoṇḍipokkharaṇīādīsu yaṃ kiñci sarañca upagantvā juhati, tattha balikammaṃ karoti , tathā bahukāya nadiyā gayāya pokkharaṇiyā doṇanāmake ca timbarunāmake ca titthe sīghasote mahante vārivahe. Atra cassāti yadi atrāpi etesu sarādīsu assa purisassa hutañceva samīhitañca hoti, saphalaṃ sukhudrayaṃ sampajjati. Atithismiṃ yo nisinnasmiṃ neko bhuñjati bhojanaṃ, ettha vattabbameva natthi, tena taṃ vadāmi – kosiya, dānāni ca dehi, sayañca bhuñja, ariyānaṃ dānābhiratānaṃ buddhādīnaṃ maggaṃ abhiruha. Na hi ekāsī ekova bhuñjamāno sukhaṃ nāma labhatīti.

    โส ตสฺสปิ วจนํ สุตฺวา ปพฺพตกูเฎน โอตฺถโฎ วิย กิเจฺฉน กสิเรน ‘‘เตน หิ นิสีท, โถกํ ลภิสฺสสี’’ติ อาหฯ มาตลิ คนฺตฺวา สูริยสฺส สนฺติเก นิสีทิฯ ตโต ปญฺจสิโข เตเนว นเยน อุปสงฺกมิตฺวา ตเถว กถํ ปวเตฺตตฺวา ตสฺส วาเรนฺตเสฺสว คาถาทฺวยมาห –

    So tassapi vacanaṃ sutvā pabbatakūṭena otthaṭo viya kicchena kasirena ‘‘tena hi nisīda, thokaṃ labhissasī’’ti āha. Mātali gantvā sūriyassa santike nisīdi. Tato pañcasikho teneva nayena upasaṅkamitvā tatheva kathaṃ pavattetvā tassa vārentasseva gāthādvayamāha –

    ๒๐๒.

    202.

    ‘‘พฬิสญฺหิ โส นิคิลติ, ทีฆสุตฺตํ สพนฺธนํ;

    ‘‘Baḷisañhi so nigilati, dīghasuttaṃ sabandhanaṃ;

    อติถิสฺมิํ โย นิสินฺนสฺมิํ, เอโก ภุญฺชติ โภชนํฯ

    Atithismiṃ yo nisinnasmiṃ, eko bhuñjati bhojanaṃ.

    ๒๐๓.

    203.

    ‘‘ตํ ตํ วทามิ โกสิย, เทหิ ทานานิ ภุญฺช จ;

    ‘‘Taṃ taṃ vadāmi kosiya, dehi dānāni bhuñja ca;

    อริยมคฺคํ สมารุห, เนกาสี ลภเต สุข’’นฺติฯ

    Ariyamaggaṃ samāruha, nekāsī labhate sukha’’nti.

    มจฺฉริยโกสิโย ตํ สุตฺวา ทุกฺขเวทโน นิตฺถุนโนฺต ‘‘เตน หิ นิสีท, โถกํ ลภิสฺสสี’’ติ อาหฯ ปญฺจสิโข คนฺตฺวา มาตลิสฺส สนฺติเก นิสีทิฯ อิติ เตสุ ปญฺจสุ พฺราหฺมเณสุ นิสินฺนมเตฺตเสฺวว ปายาโส ปจฺจิฯ อถ นํ โกสิโย อุทฺธนา โอตาเรตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ ปตฺตานิ อาหรถา’’ติ อาหฯ เต อนุฎฺฐาย ยถานิสินฺนาว หเตฺถ ปสาเรตฺวา หิมวนฺตโต มาลุวปตฺตานิ อาหริํสุฯ โกสิโย ตานิ ทิสฺวา ‘‘ตุมฺหากํ เอเตสุ ปเตฺตสุ ทาตพฺพปายาโส นตฺถิ, ขทิราทีนํ ปตฺตานิ อาหรถา’’ติ อาหฯ เต ตานิปิ อาหริํสุฯ เอเกกํ ปตฺตํ โยธผลกปฺปมาณํ อโหสิฯ โส สเพฺพสํ ทพฺพิยา ปายาสํ อทาสิ, สพฺพนฺติมสฺส ทานกาเลปิ อุกฺขลิยา อูนํ น ปญฺญายิ, ปญฺจนฺนมฺปิ ทตฺวา สยํ อุกฺขลิํ คเหตฺวา นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ ปญฺจสิโข อุฎฺฐาย อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา สุนโข หุตฺวา เตสํ ปุรโต ปสฺสาวํ กโรโนฺต อคมาสิฯ พฺราหฺมณา อตฺตโน ปายาสํ ปเตฺตน ปิทหิํสุฯ โกสิยสฺส หตฺถปิเฎฺฐ ปสฺสาวพินฺทุ ปติฯ พฺราหฺมณา กุณฺฑิกาหิ อุทกํ คเหตฺวา ปายาสํ อพฺภุกิริตฺวา ภุญฺชมานา วิย อเหสุํฯ โกสิโย ‘‘มยฺหมฺปิ อุทกํ เทถ, หตฺถํ โธวิตฺวา ภุญฺชิสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘ตว อุทกํ อาหริตฺวา หตฺถํ โธวา’’ติฯ ‘‘มยา ตุมฺหากํ ปายาโส ทิโนฺน, มยฺหํ โถกํ อุทกํ เทถา’’ติฯ ‘‘มยํ ปิณฺฑปฎิปิณฺฑกมฺมํ นาม น กโรมา’’ติฯ ‘‘เตน หิ อิมํ อุกฺขลิํ โอโลเกถ, หตฺถํ โธวิตฺวา อาคมิสฺสามี’’ติ นทิํ โอตริฯ ตสฺมิํ ขเณ สุนโข อุกฺขลิํ ปสฺสาวสฺส ปูเรสิฯ โส ตํ ปสฺสาวํ กโรนฺตํ ทิสฺวา มหนฺตํ ทณฺฑมาทาย ตํ ตเชฺชโนฺต อาคจฺฉิฯ โส อสฺสาชานียมโตฺต หุตฺวา ตํ อนุพนฺธโนฺต นานาวโณฺณ อโหสิ, กาโฬปิ โหติ เสโตปิ สุวณฺณวโณฺณปิ กพโรปิ อุโจฺจปิ นีโจปิ, เอวํ นานาวโณฺณ หุตฺวา มจฺฉริยโกสิยํ อนุพนฺธิฯ โส มรณภยภีโต พฺราหฺมเณ อุปสงฺกมิฯ เตปิ อุปฺปติตฺวา อากาเส ฐิตาฯ โส เตสํ ตํ อิทฺธิํ ทิสฺวา คาถมาห –

    Macchariyakosiyo taṃ sutvā dukkhavedano nitthunanto ‘‘tena hi nisīda, thokaṃ labhissasī’’ti āha. Pañcasikho gantvā mātalissa santike nisīdi. Iti tesu pañcasu brāhmaṇesu nisinnamattesveva pāyāso pacci. Atha naṃ kosiyo uddhanā otāretvā ‘‘tumhākaṃ pattāni āharathā’’ti āha. Te anuṭṭhāya yathānisinnāva hatthe pasāretvā himavantato māluvapattāni āhariṃsu. Kosiyo tāni disvā ‘‘tumhākaṃ etesu pattesu dātabbapāyāso natthi, khadirādīnaṃ pattāni āharathā’’ti āha. Te tānipi āhariṃsu. Ekekaṃ pattaṃ yodhaphalakappamāṇaṃ ahosi. So sabbesaṃ dabbiyā pāyāsaṃ adāsi, sabbantimassa dānakālepi ukkhaliyā ūnaṃ na paññāyi, pañcannampi datvā sayaṃ ukkhaliṃ gahetvā nisīdi. Tasmiṃ khaṇe pañcasikho uṭṭhāya attabhāvaṃ vijahitvā sunakho hutvā tesaṃ purato passāvaṃ karonto agamāsi. Brāhmaṇā attano pāyāsaṃ pattena pidahiṃsu. Kosiyassa hatthapiṭṭhe passāvabindu pati. Brāhmaṇā kuṇḍikāhi udakaṃ gahetvā pāyāsaṃ abbhukiritvā bhuñjamānā viya ahesuṃ. Kosiyo ‘‘mayhampi udakaṃ detha, hatthaṃ dhovitvā bhuñjissāmī’’ti āha. ‘‘Tava udakaṃ āharitvā hatthaṃ dhovā’’ti. ‘‘Mayā tumhākaṃ pāyāso dinno, mayhaṃ thokaṃ udakaṃ dethā’’ti. ‘‘Mayaṃ piṇḍapaṭipiṇḍakammaṃ nāma na karomā’’ti. ‘‘Tena hi imaṃ ukkhaliṃ oloketha, hatthaṃ dhovitvā āgamissāmī’’ti nadiṃ otari. Tasmiṃ khaṇe sunakho ukkhaliṃ passāvassa pūresi. So taṃ passāvaṃ karontaṃ disvā mahantaṃ daṇḍamādāya taṃ tajjento āgacchi. So assājānīyamatto hutvā taṃ anubandhanto nānāvaṇṇo ahosi, kāḷopi hoti setopi suvaṇṇavaṇṇopi kabaropi uccopi nīcopi, evaṃ nānāvaṇṇo hutvā macchariyakosiyaṃ anubandhi. So maraṇabhayabhīto brāhmaṇe upasaṅkami. Tepi uppatitvā ākāse ṭhitā. So tesaṃ taṃ iddhiṃ disvā gāthamāha –

    ๒๐๔.

    204.

    ‘‘อุฬารวณฺณา วต พฺราหฺมณา อิเม, อยญฺจ โว สุนโข กิสฺส เหตุ;

    ‘‘Uḷāravaṇṇā vata brāhmaṇā ime, ayañca vo sunakho kissa hetu;

    อุจฺจาวจํ วณฺณนิภํ วิกุพฺพติ, อกฺขาถ โน พฺราหฺมณา เก นุ ตุเมฺห’’ติฯ

    Uccāvacaṃ vaṇṇanibhaṃ vikubbati, akkhātha no brāhmaṇā ke nu tumhe’’ti.

    ตํ สุตฺวา สโกฺก เทวราชา –

    Taṃ sutvā sakko devarājā –

    ๒๐๕.

    205.

    ‘‘จโนฺท จ สูริโย จ อุโภ อิธาคตา, อยํ ปน มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Cando ca sūriyo ca ubho idhāgatā, ayaṃ pana mātali devasārathi;

    สโกฺกหมสฺมิ ติทสานมิโนฺท; เอโส จ โข ปญฺจสิโขติ วุจฺจตี’’ติฯ

    Sakkohamasmi tidasānamindo; Eso ca kho pañcasikhoti vuccatī’’ti.

    คาถํ วตฺวา ตสฺส ยสํ วเณฺณโนฺต คาถมาห –

    Gāthaṃ vatvā tassa yasaṃ vaṇṇento gāthamāha –

    ๒๐๖.

    206.

    ‘‘ปาณิสฺสรา มุทิงฺคา จ, มุรชาลมฺพรานิ จ;

    ‘‘Pāṇissarā mudiṅgā ca, murajālambarāni ca;

    สุตฺตเมนํ ปโพเธนฺติ, ปฎิพุโทฺธ จ นนฺทตี’’ติฯ

    Suttamenaṃ pabodhenti, paṭibuddho ca nandatī’’ti.

    โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘สกฺก, เอวรูปํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ กินฺติ กตฺวา ลภสี’’ติ ปุจฺฉิฯ สโกฺก ‘‘อทานสีลา ตาว ปาปธมฺมา มจฺฉริโน เทวโลกํ น คจฺฉนฺติ, นิรเย นิพฺพตฺตนฺตี’’ติ ทเสฺสโนฺต –

    So tassa vacanaṃ sutvā ‘‘sakka, evarūpaṃ dibbasampattiṃ kinti katvā labhasī’’ti pucchi. Sakko ‘‘adānasīlā tāva pāpadhammā maccharino devalokaṃ na gacchanti, niraye nibbattantī’’ti dassento –

    ๒๐๗.

    207.

    ‘‘เย เกจิเม มจฺฉริโน กทริยา, ปริภาสกา สมณพฺราหฺมณานํ;

    ‘‘Ye kecime maccharino kadariyā, paribhāsakā samaṇabrāhmaṇānaṃ;

    อิเธว นิกฺขิปฺป สรีรเทหํ, กายสฺส เภทา นิรยํ วชนฺตี’’ติฯ –

    Idheva nikkhippa sarīradehaṃ, kāyassa bhedā nirayaṃ vajantī’’ti. –

    อิมํ คาถํ วตฺวา ธเมฺม ฐิตานํ เทวโลกปฎิลาภํ ทเสฺสตุํ คาถมาห –

    Imaṃ gāthaṃ vatvā dhamme ṭhitānaṃ devalokapaṭilābhaṃ dassetuṃ gāthamāha –

    ๒๐๘.

    208.

    ‘‘เย เกจิเม สุคฺคติมาสมานา, ธเมฺม ฐิตา สํยเม สํวิภาเค;

    ‘‘Ye kecime suggatimāsamānā, dhamme ṭhitā saṃyame saṃvibhāge;

    อิเธว นิกฺขิปฺป สรีรเทหํ, กายสฺส เภทา สุคติํ วชนฺตี’’ติฯ

    Idheva nikkhippa sarīradehaṃ, kāyassa bhedā sugatiṃ vajantī’’ti.

    ตตฺถ อาสมานาติ อาสีสนฺตาฯ เย เกจิ สุคติํ อาสีสนฺติ, สเพฺพ เต สํยมสงฺขาเต ทสสีลธเมฺม สํวิภาคสงฺขาเต ทานธเมฺม จ ฐิตา หุตฺวา อิธ สรีรสงฺขาตํ เทหํ นิกฺขิปิตฺวา ตสฺส กายสฺส เภทา สุคติํ วชนฺตีติ อโตฺถฯ

    Tattha āsamānāti āsīsantā. Ye keci sugatiṃ āsīsanti, sabbe te saṃyamasaṅkhāte dasasīladhamme saṃvibhāgasaṅkhāte dānadhamme ca ṭhitā hutvā idha sarīrasaṅkhātaṃ dehaṃ nikkhipitvā tassa kāyassa bhedā sugatiṃ vajantīti attho.

    เอวํ วตฺวา จ ปน, ‘‘โกสิย, น มยํ ตว สนฺติเก ปายาสตฺถาย อาคตา, การุเญฺญน ปน ตํ อนุกมฺปมานา อาคตามฺหา’’ติ ตสฺส ปกาเสตุํ อาห –

    Evaṃ vatvā ca pana, ‘‘kosiya, na mayaṃ tava santike pāyāsatthāya āgatā, kāruññena pana taṃ anukampamānā āgatāmhā’’ti tassa pakāsetuṃ āha –

    ๒๐๙.

    209.

    ‘‘ตฺวํ โนสิ ญาติ ปุริมาสุ ชาติสุ, โส มจฺฉรี โรสโก ปาปธโมฺม;

    ‘‘Tvaṃ nosi ñāti purimāsu jātisu, so maccharī rosako pāpadhammo;

    ตเวว อตฺถาย อิธาคตมฺหา, มา ปาปธโมฺม นิรยํ คมิตฺถา’’ติฯ

    Taveva atthāya idhāgatamhā, mā pāpadhammo nirayaṃ gamitthā’’ti.

    ตตฺถ โสติ โส ตฺวํฯ มา ปาปธโมฺมติ อยํ อมฺหากํ ญาติ ปาปธโมฺม มา นิรยํ อคมาติ เอตทตฺถํ อาคตมฺหาติ อโตฺถฯ

    Tattha soti so tvaṃ. Mā pāpadhammoti ayaṃ amhākaṃ ñāti pāpadhammo mā nirayaṃ agamāti etadatthaṃ āgatamhāti attho.

    ตํ สุตฺวา โกสิโย ‘‘อตฺถกามา กิร เม, เอเต มํ นิรยา อุทฺธริตฺวา สเคฺค ปติฎฺฐาเปตุกามา’’ติ ตุฎฺฐจิโตฺต อาห –

    Taṃ sutvā kosiyo ‘‘atthakāmā kira me, ete maṃ nirayā uddharitvā sagge patiṭṭhāpetukāmā’’ti tuṭṭhacitto āha –

    ๒๑๐.

    210.

    ‘‘อทฺธา มํ โว หิตกามา, ยํ มํ สมนุสาสถ;

    ‘‘Addhā maṃ vo hitakāmā, yaṃ maṃ samanusāsatha;

    โสหํ ตถา กริสฺสามิ, สพฺพํ วุตฺตํ หิเตสิภิฯ

    Sohaṃ tathā karissāmi, sabbaṃ vuttaṃ hitesibhi.

    ๒๑๑.

    211.

    ‘‘เอสาหมเชฺชว อุปรมามิ, น จาหํ กิญฺจิ กเรยฺย ปาปํ;

    ‘‘Esāhamajjeva uparamāmi, na cāhaṃ kiñci kareyya pāpaṃ;

    น จาปิ เม กิญฺจิ อเทยฺยมตฺถิ, น จาปิทตฺวา อุทกํ ปิวามิฯ

    Na cāpi me kiñci adeyyamatthi, na cāpidatvā udakaṃ pivāmi.

    ๒๑๒.

    212.

    ‘‘เอวญฺจ เม ททโต สพฺพกาลํ, โภคา อิเม วาสว ขียิสฺสนฺติ;

    ‘‘Evañca me dadato sabbakālaṃ, bhogā ime vāsava khīyissanti;

    ตโต อหํ ปพฺพชิสฺสามิ สกฺก, หิตฺวาน กามานิ ยโถธิกานี’’ติฯ

    Tato ahaṃ pabbajissāmi sakka, hitvāna kāmāni yathodhikānī’’ti.

    ตตฺถ นฺติ มมฯ โวติ ตุเมฺหฯ ยํ มนฺติ เยน มํ สมนุสาสถ, เตน เม ตุเมฺห หิตกามาฯ ตถาติ ยถา วทถ, ตเถว กริสฺสามิฯ อุปรมามีติ มจฺฉริภาวโต อุปรมามิฯ อเทยฺยมตฺถีติ อิโต ปฎฺฐาย จ มม อาโลปโต อุปฑฺฒมฺปิ อเทยฺยํ นาม นตฺถิ, น จาปิทตฺวาติ อุทกปสตมฺปิ จาหํ ลภิตฺวา อทตฺวา น ปิวิสฺสามิฯ ขียิสฺสนฺตีติ วิกฺขียิสฺสนฺติฯ ยโถธิกานีติ วตฺถุกามกิเลสกามวเสน ยถาฐิตโกฎฺฐาสานิเยวฯ

    Tattha manti mama. Voti tumhe. Yaṃ manti yena maṃ samanusāsatha, tena me tumhe hitakāmā. Tathāti yathā vadatha, tatheva karissāmi. Uparamāmīti maccharibhāvato uparamāmi. Adeyyamatthīti ito paṭṭhāya ca mama ālopato upaḍḍhampi adeyyaṃ nāma natthi, na cāpidatvāti udakapasatampi cāhaṃ labhitvā adatvā na pivissāmi. Khīyissantīti vikkhīyissanti. Yathodhikānīti vatthukāmakilesakāmavasena yathāṭhitakoṭṭhāsāniyeva.

    สโกฺก มจฺฉริยโกสิยํ ทเมตฺวา นิพฺพิเสวนํ กตฺวา ทานผลํ ชานาเปตฺวา ธมฺมเทสนาย ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา สทฺธิํ เตหิ เทวนครเมว คโตฯ มจฺฉริยโกสิโยปิ นครํ ปวิสิตฺวา ราชานํ อนุชานาเปตฺวา ‘‘คหิตคหิตภาชนานิ ปูเรตฺวา คณฺหนฺตู’’ติ ยาจกานํ ธนํ ทตฺวา ตสฺมิํ ขีเณ นิกฺขมฺม หิมวนฺตโต ทกฺขิณปเสฺส คงฺคาย เจว เอกสฺส จ ชาตสฺสรสฺส อนฺตเร ปณฺณสาลํ กตฺวา ปพฺพชิตฺวา วนมูลผลาหาโร ตตฺถ จิรํ วิหาสิ, ชรํ ปาปุณิฯ ตทา สกฺกสฺส อาสา สทฺธา สิรี หิรีติ จตโสฺส ธีตโร โหนฺติฯ ตา พหุํ ทิพฺพคนฺธมาลํ อาทาย อุทกกีฬนตฺถาย อโนตตฺตทหํ คนฺตฺวา ตตฺถ กีฬิตฺวา มโนสิลาตเล นิสีทิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ นารโท นาม พฺราหฺมณตาปโส ตาวติํสภวนํ ทิวาวิหารตฺถาย คนฺตฺวา นนฺทนวนจิตฺตลตาวเนสุ ทิวาวิหารํ กตฺวา ปาริจฺฉตฺตกปุปฺผํ ฉตฺตํ วิย ฉายตฺถาย ธารยมาโน มโนสิลาตลมตฺถเกน อตฺตโน วสนฎฺฐานํ กญฺจนคุหํ คจฺฉติฯ อถ ตา ตสฺส หเตฺถ ตํ ปุปฺผํ ทิสฺวา ยาจิํสุฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Sakko macchariyakosiyaṃ dametvā nibbisevanaṃ katvā dānaphalaṃ jānāpetvā dhammadesanāya pañcasu sīlesu patiṭṭhāpetvā saddhiṃ tehi devanagarameva gato. Macchariyakosiyopi nagaraṃ pavisitvā rājānaṃ anujānāpetvā ‘‘gahitagahitabhājanāni pūretvā gaṇhantū’’ti yācakānaṃ dhanaṃ datvā tasmiṃ khīṇe nikkhamma himavantato dakkhiṇapasse gaṅgāya ceva ekassa ca jātassarassa antare paṇṇasālaṃ katvā pabbajitvā vanamūlaphalāhāro tattha ciraṃ vihāsi, jaraṃ pāpuṇi. Tadā sakkassa āsā saddhā sirī hirīti catasso dhītaro honti. Tā bahuṃ dibbagandhamālaṃ ādāya udakakīḷanatthāya anotattadahaṃ gantvā tattha kīḷitvā manosilātale nisīdiṃsu. Tasmiṃ khaṇe nārado nāma brāhmaṇatāpaso tāvatiṃsabhavanaṃ divāvihāratthāya gantvā nandanavanacittalatāvanesu divāvihāraṃ katvā pāricchattakapupphaṃ chattaṃ viya chāyatthāya dhārayamāno manosilātalamatthakena attano vasanaṭṭhānaṃ kañcanaguhaṃ gacchati. Atha tā tassa hatthe taṃ pupphaṃ disvā yāciṃsu. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๒๑๓.

    213.

    ‘‘นคุตฺตเม คิริวเร คนฺธมาทเน, โมทนฺติ ตา เทววราภิปาลิตา;

    ‘‘Naguttame girivare gandhamādane, modanti tā devavarābhipālitā;

    อถาคมา อิสิวโร สพฺพโลกคู, สุปุปฺผิตํ ทุมวรสาขมาทิยฯ

    Athāgamā isivaro sabbalokagū, supupphitaṃ dumavarasākhamādiya.

    ๒๑๔.

    214.

    ‘‘สุจิํ สุคนฺธํ ติทเสหิ สกฺกตํ, ปุปฺผุตฺตมํ อมรวเรหิ เสวิตํ;

    ‘‘Suciṃ sugandhaṃ tidasehi sakkataṃ, pupphuttamaṃ amaravarehi sevitaṃ;

    อลทฺธ มเจฺจหิว ทานเวหิ วา, อญฺญตฺร เทเวหิ ตทารหํ หิทํฯ

    Aladdha maccehiva dānavehi vā, aññatra devehi tadārahaṃ hidaṃ.

    ๒๑๕.

    215.

    ‘‘ตโต จตโสฺส กนกตฺตจูปมา, อุฎฺฐาย นาริโย ปมทาธิปา มุนิํ;

    ‘‘Tato catasso kanakattacūpamā, uṭṭhāya nāriyo pamadādhipā muniṃ;

    อาสา จ สทฺธา จ สิรี ตโต หิรี, อิจฺจพฺรวุํ นารทเทว พฺราหฺมณํฯ

    Āsā ca saddhā ca sirī tato hirī, iccabravuṃ nāradadeva brāhmaṇaṃ.

    ๒๑๖.

    216.

    ‘‘สเจ อนุทฺทิฎฺฐํ ตยา มหามุนิ, ปุปฺผํ อิมํ ปาริฉตฺตสฺส พฺรเมฺห;

    ‘‘Sace anuddiṭṭhaṃ tayā mahāmuni, pupphaṃ imaṃ pārichattassa bramhe;

    ททาหิ โน สพฺพา คติ เต อิชฺฌตุ, ตุวมฺปิ โน โหหิ ยเถว วาสโวฯ

    Dadāhi no sabbā gati te ijjhatu, tuvampi no hohi yatheva vāsavo.

    ๒๑๗.

    217.

    ‘‘ตํ ยาจมานาภิสเมกฺข นารโท, อิจฺจพฺรวี สํกลหํ อุทีรยิ;

    ‘‘Taṃ yācamānābhisamekkha nārado, iccabravī saṃkalahaṃ udīrayi;

    น มยฺหมตฺถตฺถิ อิเมหิ โกจิ นํ, ยาเยว โว เสยฺยสิ สา ปิฬนฺธถา’’ติฯ

    Na mayhamatthatthi imehi koci naṃ, yāyeva vo seyyasi sā piḷandhathā’’ti.

    ตตฺถ คิริวเรติ ปุริมสฺส เววจนํฯ เทววราภิปาลิตาติ สเกฺกน รกฺขิตาฯ สพฺพโลกคูติ เทวโลเก จ มนุสฺสโลเก จ สพฺพตฺถ คมนสมโตฺถฯ ทุมวรสาขมาทิยาติ สาขาย ชาตตฺตา ทุมวรสาขนฺติ ลทฺธนามํ ปุปฺผํ คเหตฺวาฯ สกฺกตนฺติ กตสกฺการํฯ อมรวเรหีติ สกฺกํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อญฺญตฺร เทเวหีติ ฐเปตฺวา เทเว จ อิทฺธิมเนฺต จ อเญฺญหิ มนุเสฺสหิ วา ยกฺขาทีหิ วา อลทฺธํฯ ตทารหํ หิทนฺติ เตสํเยว หิ ตํ อรหํ อนุจฺฉวิกํฯ กนกตฺตจูปมาติ กนกูปมา ตจาฯ อุฎฺฐายาติ อโยฺย มาลาคนฺธวิเลปนาทิปฎิวิรโต ปุปฺผํ น ปิฬนฺธิสฺสติ, เอกสฺมิํ ปเทเส ฉเฑฺฑสฺสติ, เอถ ตํ ยาจิตฺวา ปุปฺผํ ปิฬนฺธิสฺสามาติ หเตฺถ ปสาเรตฺวา ยาจมานา เอกปฺปหาเรเนว อุฎฺฐหิตฺวาฯ ปมทาธิปาติ ปมทานํ อุตฺตมาฯ มุนินฺติ อิสิํฯ

    Tattha girivareti purimassa vevacanaṃ. Devavarābhipālitāti sakkena rakkhitā. Sabbalokagūti devaloke ca manussaloke ca sabbattha gamanasamattho. Dumavarasākhamādiyāti sākhāya jātattā dumavarasākhanti laddhanāmaṃ pupphaṃ gahetvā. Sakkatanti katasakkāraṃ. Amaravarehīti sakkaṃ sandhāya vuttaṃ. Aññatra devehīti ṭhapetvā deve ca iddhimante ca aññehi manussehi vā yakkhādīhi vā aladdhaṃ. Tadārahaṃ hidanti tesaṃyeva hi taṃ arahaṃ anucchavikaṃ. Kanakattacūpamāti kanakūpamā tacā. Uṭṭhāyāti ayyo mālāgandhavilepanādipaṭivirato pupphaṃ na piḷandhissati, ekasmiṃ padese chaḍḍessati, etha taṃ yācitvā pupphaṃ piḷandhissāmāti hatthe pasāretvā yācamānā ekappahāreneva uṭṭhahitvā. Pamadādhipāti pamadānaṃ uttamā. Muninti isiṃ.

    อนุทฺทิฎฺฐนฺติ ‘‘อสุกสฺส นาม ทสฺสามี’’ติ น อุทฺทิฎฺฐํฯ สพฺพา คติ เต อิชฺฌตูติ สพฺพา เต จิตฺตคติ อิชฺฌตุ, ปตฺถิตปตฺถิตสฺส ลาภี โหหีติ ตสฺส ถุลิมงฺคลํ วทนฺติฯ ยเถว วาสโวติ ยถา อมฺหากํ ปิตา วาสโว อิจฺฉิติจฺฉิตํ เทติ, ตเถว โน ตฺวมฺปิ โหหีติฯ นฺติ ตํ ปุปฺผํฯ อภิสเมกฺขาติ ทิสฺวาฯ สํกลหนฺติ นานาคาหํ กลหวฑฺฒนํ กถํ อุทีรยิฯ อิเมหีติ อิเมหิ ปุเปฺผหิ นาม มยฺหํ อโตฺถ นตฺถิ, ปฎิวิรโต อหํ มาลาธารณโตติ ทีเปติฯ ยาเยว โว เสยฺยสีติ ยา ตุมฺหากํ อนฺตเร เชฎฺฐิกาฯ สา ปิฬนฺธถาติ สา เอตํ ปิฬนฺธตูติ อโตฺถฯ

    Anuddiṭṭhanti ‘‘asukassa nāma dassāmī’’ti na uddiṭṭhaṃ. Sabbā gati te ijjhatūti sabbā te cittagati ijjhatu, patthitapatthitassa lābhī hohīti tassa thulimaṅgalaṃ vadanti. Yatheva vāsavoti yathā amhākaṃ pitā vāsavo icchiticchitaṃ deti, tatheva no tvampi hohīti. Tanti taṃ pupphaṃ. Abhisamekkhāti disvā. Saṃkalahanti nānāgāhaṃ kalahavaḍḍhanaṃ kathaṃ udīrayi. Imehīti imehi pupphehi nāma mayhaṃ attho natthi, paṭivirato ahaṃ mālādhāraṇatoti dīpeti. Yāyeva vo seyyasīti yā tumhākaṃ antare jeṭṭhikā. Sā piḷandhathāti sā etaṃ piḷandhatūti attho.

    ตา จตโสฺสปิ ตสฺส วจนํ สุตฺวา คาถมาหํสุ –

    Tā catassopi tassa vacanaṃ sutvā gāthamāhaṃsu –

    ๒๑๘.

    218.

    ‘‘ตฺวํ โนตฺตเมวาภิสเมกฺข นารท, ยสฺสิจฺฉสิ ตสฺสา อนุปฺปเวจฺฉสุ;

    ‘‘Tvaṃ nottamevābhisamekkha nārada, yassicchasi tassā anuppavecchasu;

    ยสฺสา หิ โน นารท ตฺวํ ปทสฺสสิ, สาเยว โน เหหิติ เสฎฺฐสมฺมตา’’ติฯ

    Yassā hi no nārada tvaṃ padassasi, sāyeva no hehiti seṭṭhasammatā’’ti.

    ตตฺถ ตฺวํ โนตฺตเมวาติ อุตฺตมมหามุนิ ตฺวเมว โน อุปธาเรหิฯ ตาสํ วจนํ สุตฺวา นารโท ตา อาลปโนฺต คาถมาห –

    Tattha tvaṃ nottamevāti uttamamahāmuni tvameva no upadhārehi. Tāsaṃ vacanaṃ sutvā nārado tā ālapanto gāthamāha –

    ๒๑๙.

    219.

    ‘‘อกลฺลเมตํ วจนํ สุคเตฺต, โก พฺราหฺมโณ สํกลหํ อุทีรเย;

    ‘‘Akallametaṃ vacanaṃ sugatte, ko brāhmaṇo saṃkalahaṃ udīraye;

    คนฺตฺวาน ภูตาธิปเมว ปุจฺฉถ, สเจ น ชานาถ อิธุตฺตมาธเม’’นฺติฯ

    Gantvāna bhūtādhipameva pucchatha, sace na jānātha idhuttamādhame’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – ภเทฺท สุคเตฺต, อิทํ ตุเมฺหหิ วุตฺตํ วจนํ มม อยุตฺตํ, เอวญฺหิ สติ มยา ตุเมฺหสุ เอกํ เสฎฺฐํ, เสสา หีนา กโรเนฺตน กลโห วฑฺฒิโต ภวิสฺสติ, โก พาหิตปาโป พฺราหฺมโณ กลหํ อุทีรเย วเฑฺฒยฺยฯ เอวรูปสฺส หิ กลหวฑฺฒนํ นาม อยุตฺตํ, ตสฺมา อิโต คตฺวา อตฺตโน ปิตรํ ภูตาธิปํ สกฺกเมว ปุจฺฉถ, สเจ อตฺตโน อุตฺตมํ อธมญฺจ น ชานาถาติฯ

    Tassattho – bhadde sugatte, idaṃ tumhehi vuttaṃ vacanaṃ mama ayuttaṃ, evañhi sati mayā tumhesu ekaṃ seṭṭhaṃ, sesā hīnā karontena kalaho vaḍḍhito bhavissati, ko bāhitapāpo brāhmaṇo kalahaṃ udīraye vaḍḍheyya. Evarūpassa hi kalahavaḍḍhanaṃ nāma ayuttaṃ, tasmā ito gatvā attano pitaraṃ bhūtādhipaṃ sakkameva pucchatha, sace attano uttamaṃ adhamañca na jānāthāti.

    ตโต สตฺถา คาถมาห –

    Tato satthā gāthamāha –

    ๒๒๐.

    220.

    ‘‘ตา นารเทน ปรมปฺปโกปิตา, อุทีริตา วณฺณมเทน มตฺตา;

    ‘‘Tā nāradena paramappakopitā, udīritā vaṇṇamadena mattā;

    สกาเส คนฺตฺวาน สหสฺสจกฺขุโน, ปุจฺฉิํสุ ภูตาธิปํ กา นุ เสยฺยสี’’ติฯ

    Sakāse gantvāna sahassacakkhuno, pucchiṃsu bhūtādhipaṃ kā nu seyyasī’’ti.

    ตตฺถ ปรมปฺปโกปิตาติ ปุปฺผํ อททเนฺตน อติวิย โกปิตา ตสฺส กุปิตา หุตฺวาฯ อุทีริตาติ ‘‘ภูตาธิปเมว ปุจฺฉถา’’ติ วุตฺตาฯ สหสฺสจกฺขุโนติ สกฺกสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวาฯ กา นูติ อมฺหากํ อนฺตเร กตมา อุตฺตมาติ ปุจฺฉิํสุฯ

    Tattha paramappakopitāti pupphaṃ adadantena ativiya kopitā tassa kupitā hutvā. Udīritāti ‘‘bhūtādhipameva pucchathā’’ti vuttā. Sahassacakkhunoti sakkassa santikaṃ gantvā. Kā nūti amhākaṃ antare katamā uttamāti pucchiṃsu.

    เอวํ ปุจฺฉิตฺวา ฐิตา –

    Evaṃ pucchitvā ṭhitā –

    ๒๒๑.

    221.

    ‘‘ตา ทิสฺวา อายตฺตมนา ปุรินฺทโท, อิจฺจพฺรวี เทววโร กตญฺชลี;

    ‘‘Tā disvā āyattamanā purindado, iccabravī devavaro katañjalī;

    สพฺพาว โว โหถ สุคเตฺต สาทิสี, โกเนว ภเทฺท กลหํ อุทีรยี’’ติฯ

    Sabbāva vo hotha sugatte sādisī, koneva bhadde kalahaṃ udīrayī’’ti.

    ตตฺถ ตา ทิสฺวาติ, ภิกฺขเว, จตโสฺสปิ อตฺตโน สนฺติกํ อาคตา ทิสฺวาฯ อายตฺตมนาติ อุสฺสุกฺกมนา พฺยาวฎจิตฺตาฯ กตญฺชลีติ นมสฺสมานาหิ เทวตาหิ ปคฺคหิตญฺชลีฯ สาทิสีติ สพฺพาว ตุเมฺห สาทิสิโยฯ โก เนวาติ โก นุ เอวํฯ กลหํ อุทีรยีติ อิทํ นานาคาหํ วิคฺคหํ กเถสิ วเฑฺฒสิฯ

    Tattha tā disvāti, bhikkhave, catassopi attano santikaṃ āgatā disvā. Āyattamanāti ussukkamanā byāvaṭacittā. Katañjalīti namassamānāhi devatāhi paggahitañjalī. Sādisīti sabbāva tumhe sādisiyo. Ko nevāti ko nu evaṃ. Kalahaṃ udīrayīti idaṃ nānāgāhaṃ viggahaṃ kathesi vaḍḍhesi.

    อถสฺส ตา กถยมานา คาถมาหํสุ –

    Athassa tā kathayamānā gāthamāhaṃsu –

    ๒๒๒.

    222.

    ‘‘โย สพฺพโลกจฺจริโต มหามุนิ, ธเมฺม ฐิโต นารโท สจฺจนิกฺกโม;

    ‘‘Yo sabbalokaccarito mahāmuni, dhamme ṭhito nārado saccanikkamo;

    โส โนพฺรวิ คิริวเร คนฺธมาทเน, คนฺตฺวาน ภูตาธิปเมว ปุจฺฉถ;

    So nobravi girivare gandhamādane, gantvāna bhūtādhipameva pucchatha;

    สเจ น ชานาถ อิธุตฺตมาธม’’นฺติฯ

    Sace na jānātha idhuttamādhama’’nti.

    ตตฺถ สจฺจนิกฺกโมติ ตถปรกฺกโมฯ

    Tattha saccanikkamoti tathaparakkamo.

    ตํ สุตฺวา สโกฺก ‘‘อิมา จตโสฺสปิ มยฺหํ ธีตโรว, สจาหํ ‘เอตาสุ เอกา คุณสมฺปนฺนา อุตฺตมา’ติ วกฺขามิ, เสสา กุชฺฌิสฺสนฺติ, น สกฺกา อยํ อโฑฺฑ วินิจฺฉินิตุํ, อิมา หิมวเนฺต โกสิยตาปสสฺส สนฺติกํ เปเสสามิ, โส เอตาสํ อฑฺฑํ วินิจฺฉินิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อหํ ตุมฺหากํ อฑฺฑํ น วินิจฺฉินิสฺสามิ, หิมวเนฺต โกสิโย นาม ตาปโส อตฺถิ, ตสฺสาหํ อตฺตโน สุธาโภชนํ เปเสสฺสามิ, โส ปรสฺส อทตฺวา น ภุญฺชติ, ททโนฺต จ วิจินิตฺวา คุณวนฺตานํ เทติ, ยา ตุเมฺหสุ ตสฺส หตฺถโต ภตฺตํ ลภิสฺสติ, สา อุตฺตมา ภวิสฺสตี’’ติ อาจิกฺขโนฺต คาถมาห –

    Taṃ sutvā sakko ‘‘imā catassopi mayhaṃ dhītarova, sacāhaṃ ‘etāsu ekā guṇasampannā uttamā’ti vakkhāmi, sesā kujjhissanti, na sakkā ayaṃ aḍḍo vinicchinituṃ, imā himavante kosiyatāpasassa santikaṃ pesesāmi, so etāsaṃ aḍḍaṃ vinicchinissatī’’ti cintetvā ‘‘ahaṃ tumhākaṃ aḍḍaṃ na vinicchinissāmi, himavante kosiyo nāma tāpaso atthi, tassāhaṃ attano sudhābhojanaṃ pesessāmi, so parassa adatvā na bhuñjati, dadanto ca vicinitvā guṇavantānaṃ deti, yā tumhesu tassa hatthato bhattaṃ labhissati, sā uttamā bhavissatī’’ti ācikkhanto gāthamāha –

    ๒๒๓.

    223.

    ‘‘อสุ พฺรหารญฺญจโร มหามุนิ, นาทตฺวา ภตฺตํ วรคเตฺต ภุญฺชติ;

    ‘‘Asu brahāraññacaro mahāmuni, nādatvā bhattaṃ varagatte bhuñjati;

    วิเจยฺย ทานานิ ททาติ โกสิโย,

    Viceyya dānāni dadāti kosiyo,

    ยสฺสา หิ โส ทสฺสติ สาว เสยฺยสี’’ติฯ

    Yassā hi so dassati sāva seyyasī’’ti.

    ตตฺถ พฺรหารญฺญธโรติ มหาอรญฺญวาสีฯ

    Tattha brahāraññadharoti mahāaraññavāsī.

    อิติ โส ตาปสสฺส สนฺติกํ เปเสตฺวา มาตลิํ ปโกฺกสาเปตฺวา ตสฺส สนฺติกํ เปเสโนฺต อนนฺตรํ คาถมาห –

    Iti so tāpasassa santikaṃ pesetvā mātaliṃ pakkosāpetvā tassa santikaṃ pesento anantaraṃ gāthamāha –

    ๒๒๔.

    224.

    ‘‘อสู หิ โย สมฺมติ ทกฺขิณํ ทิสํ, คงฺคาย ตีเร หิมวนฺตปสฺสนิ;

    ‘‘Asū hi yo sammati dakkhiṇaṃ disaṃ, gaṅgāya tīre himavantapassani;

    ส โกสิโย ทุลฺลภปานโภชโน, ตสฺส สุธํ ปาปย เทวสารถี’’ติฯ

    Sa kosiyo dullabhapānabhojano, tassa sudhaṃ pāpaya devasārathī’’ti.

    ตตฺถ สมฺมตีติ วสติฯ ทกฺขิณนฺติ หิมวนฺตสฺส ทกฺขิณาย ทิสายฯ ปสฺสนีติ ปเสฺสฯ

    Tattha sammatīti vasati. Dakkhiṇanti himavantassa dakkhiṇāya disāya. Passanīti passe.

    ตโต สตฺถา อาห –

    Tato satthā āha –

    ๒๒๕.

    225.

    ‘‘ส มาตลี เทววเรน เปสิโต, สหสฺสยุตฺตํ อภิรุยฺห สนฺทนํ;

    ‘‘Sa mātalī devavarena pesito, sahassayuttaṃ abhiruyha sandanaṃ;

    สุขิปฺปเมว อุปคมฺม อสฺสมํ, อทิสฺสมาโน มุนิโน สุธํ อทา’’ติฯ

    Sukhippameva upagamma assamaṃ, adissamāno munino sudhaṃ adā’’ti.

    ตตฺถ อทิสฺสมาโนติ, ภิกฺขเว, โส มาตลิ เทวราชสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตํ อสฺสมํ คนฺตฺวา อทิสฺสมานกาโย หุตฺวา ตสฺส สุธํ อทาสิ, ททมาโน จ รตฺติํ ปธานมนุยุญฺชิตฺวา ปจฺจูสสมเย อคฺคิํ ปริจริตฺวา วิภาตาย รตฺติยา อุเทนฺตํ สูริยํ นมสฺสมานสฺส ฐิตสฺส ตสฺส หเตฺถ สุธาโภชนปาติํ ฐเปสิฯ

    Tattha adissamānoti, bhikkhave, so mātali devarājassa vacanaṃ sampaṭicchitvā taṃ assamaṃ gantvā adissamānakāyo hutvā tassa sudhaṃ adāsi, dadamāno ca rattiṃ padhānamanuyuñjitvā paccūsasamaye aggiṃ paricaritvā vibhātāya rattiyā udentaṃ sūriyaṃ namassamānassa ṭhitassa tassa hatthe sudhābhojanapātiṃ ṭhapesi.

    โกสิโย ตํ คเหตฺวา ฐิตโกว คาถาทฺวยมาห –

    Kosiyo taṃ gahetvā ṭhitakova gāthādvayamāha –

    ๒๒๖.

    226.

    ‘‘อุทคฺคิหุตฺตํ อุปติฎฺฐโต หิ เม, ปภงฺกรํ โลกตโมนุทุตฺตมํ;

    ‘‘Udaggihuttaṃ upatiṭṭhato hi me, pabhaṅkaraṃ lokatamonuduttamaṃ;

    สพฺพานิ ภูตานิ อธิจฺจ วาสโว;

    Sabbāni bhūtāni adhicca vāsavo;

    โก เนว เม ปาณิสุ กิํ สุโธทหิฯ

    Ko neva me pāṇisu kiṃ sudhodahi.

    ๒๒๗.

    227.

    ‘‘สงฺขูปมํ เสตมตุลฺยทสฺสนํ, สุจิํ สุคนฺธํ ปิยรูปมพฺภุตํ;

    ‘‘Saṅkhūpamaṃ setamatulyadassanaṃ, suciṃ sugandhaṃ piyarūpamabbhutaṃ;

    อทิฎฺฐปุพฺพํ มม ชาตุ จกฺขุภิ, กา เทวตา ปาณิสุ กิํ สุโธทหี’’ติฯ

    Adiṭṭhapubbaṃ mama jātu cakkhubhi, kā devatā pāṇisu kiṃ sudhodahī’’ti.

    ตตฺถ อุทคฺคิหุตฺตนฺติ อุทกอคฺคิหุตฺตํ ปริจริตฺวา อคฺคิสาลโต นิกฺขมฺม ปณฺณสาลทฺวาเร ฐตฺวา ปภงฺกรํ โลกตโมนุทํ อุตฺตมํ อาทิจฺจํ อุปติฎฺฐโต มม สพฺพานิ ภูตานิ อธิจฺจ อติกฺกมิตฺวา วตฺตมาโน วาสโว นุ โข เอวํ มม ปาณีสุ กิํ สุธํ กิํ นาเมตํ โอทหิฯ ‘‘สงฺขูปม’’นฺติอาทีหิ ฐิตโกว สุธํ วเณฺณติฯ

    Tattha udaggihuttanti udakaaggihuttaṃ paricaritvā aggisālato nikkhamma paṇṇasāladvāre ṭhatvā pabhaṅkaraṃ lokatamonudaṃ uttamaṃ ādiccaṃ upatiṭṭhato mama sabbāni bhūtāni adhicca atikkamitvā vattamāno vāsavo nu kho evaṃ mama pāṇīsu kiṃ sudhaṃ kiṃ nāmetaṃ odahi. ‘‘Saṅkhūpama’’ntiādīhi ṭhitakova sudhaṃ vaṇṇeti.

    ตโต มาตลิ อาห –

    Tato mātali āha –

    ๒๒๘.

    228.

    ‘‘อหํ มหิเนฺทน มเหสิ เปสิโต, สุธาภิหาสิํ ตุริโต มหามุนิ;

    ‘‘Ahaṃ mahindena mahesi pesito, sudhābhihāsiṃ turito mahāmuni;

    ชานาสิ มํ มาตลิ เทวสารถิ, ภุญฺชสฺสุ ภตฺตุตฺตม มาภิวารยิฯ

    Jānāsi maṃ mātali devasārathi, bhuñjassu bhattuttama mābhivārayi.

    ๒๒๙.

    229.

    ‘‘ภุตฺตา จ สา ทฺวาทส หนฺติ ปาปเก, ขุทํ ปิปาสํ อรติํ ทรกฺลมํ;

    ‘‘Bhuttā ca sā dvādasa hanti pāpake, khudaṃ pipāsaṃ aratiṃ daraklamaṃ;

    โกธูปนาหญฺจ วิวาทเปสุณํ, สีตุณฺห ตนฺทิญฺจ รสุตฺตมํ อิท’’นฺติฯ

    Kodhūpanāhañca vivādapesuṇaṃ, sītuṇha tandiñca rasuttamaṃ ida’’nti.

    ตตฺถ สุธาภิหาสินฺติ อิมํ สุธาโภชนํ ตุยฺหํ อภิหริํฯ ชานาสีติ ชานาหิ มํ ตฺวํ, อหํ มาตลิ นาม เทวสารถีติ อโตฺถฯ มาภิวารยีติ น ภุญฺชามีติ อปฺปฎิกฺขิปิตฺวา ภุญฺช มา ปปญฺจ กริฯ ปาปเกติ อยญฺหิ สุธา ภุตฺตา ทฺวาทส ปาปธเมฺม หนติฯ ขุทนฺติ ปฐมํ ตาว ฉาตภาวํ หนติ, ทุติยํ ปานียปิปาสํ, ตติยํ อุกฺกณฺฐิตํ, จตุตฺถํ กายทรถํ, ปญฺจมํ กิลนฺตภาวํ, ฉฎฺฐํ โกธํ, สตฺตมํ อุปนาหํ, อฎฺฐมํ วิวาทํ, นวมํ เปสุณํ, ทสมํ สีตํ, เอกาทสมํ อุณฺหํ, ทฺวาทสมํ ตนฺทิํ อาลสิยภาวํ, อิทํ รสุตฺตมํ อุตฺตมรสํ สุธาโภชนํ อิเม ทฺวาทส ปาปธเมฺม หนติฯ

    Tattha sudhābhihāsinti imaṃ sudhābhojanaṃ tuyhaṃ abhihariṃ. Jānāsīti jānāhi maṃ tvaṃ, ahaṃ mātali nāma devasārathīti attho. Mābhivārayīti na bhuñjāmīti appaṭikkhipitvā bhuñja mā papañca kari. Pāpaketi ayañhi sudhā bhuttā dvādasa pāpadhamme hanati. Khudanti paṭhamaṃ tāva chātabhāvaṃ hanati, dutiyaṃ pānīyapipāsaṃ, tatiyaṃ ukkaṇṭhitaṃ, catutthaṃ kāyadarathaṃ, pañcamaṃ kilantabhāvaṃ, chaṭṭhaṃ kodhaṃ, sattamaṃ upanāhaṃ, aṭṭhamaṃ vivādaṃ, navamaṃ pesuṇaṃ, dasamaṃ sītaṃ, ekādasamaṃ uṇhaṃ, dvādasamaṃ tandiṃ ālasiyabhāvaṃ, idaṃ rasuttamaṃ uttamarasaṃ sudhābhojanaṃ ime dvādasa pāpadhamme hanati.

    ตํ สุตฺวา โกสิโย อตฺตโน วตสมาทานํ อาวิกโรโนฺต –

    Taṃ sutvā kosiyo attano vatasamādānaṃ āvikaronto –

    ๒๓๐.

    230.

    ‘‘น กปฺปตี มาตลิ มยฺห ภุญฺชิตุํ, ปุเพฺพ อทตฺวา อิติ เม วตุตฺตมํ;

    ‘‘Na kappatī mātali mayha bhuñjituṃ, pubbe adatvā iti me vatuttamaṃ;

    น จาปิ เอกาสฺนมริยปูชิตํ, อสํวิภาคี จ สุขํ น วินฺทตี’’ติฯ –

    Na cāpi ekāsnamariyapūjitaṃ, asaṃvibhāgī ca sukhaṃ na vindatī’’ti. –

    คาถํ วตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺหหิ ปรสฺส อทตฺวา โภชเน กํ โทสํ ทิสฺวา อิทํ วตํ สมาทินฺน’’นฺติ มาตลินา ปุโฎฺฐ อาห –

    Gāthaṃ vatvā, ‘‘bhante, tumhehi parassa adatvā bhojane kaṃ dosaṃ disvā idaṃ vataṃ samādinna’’nti mātalinā puṭṭho āha –

    ๒๓๑.

    231.

    ‘‘ถีฆาตกา เย จิเม ปารทาริกา, มิตฺตทฺทุโน เย จ สปนฺติ สุพฺพเต;

    ‘‘Thīghātakā ye cime pāradārikā, mittadduno ye ca sapanti subbate;

    สเพฺพ จ เต มจฺฉริปญฺจมาธมา, ตสฺมา อทตฺวา อุทกมฺปิ นาสฺนิเยฯ

    Sabbe ca te maccharipañcamādhamā, tasmā adatvā udakampi nāsniye.

    ๒๓๒.

    232.

    ‘‘โสหิตฺถิยา วา ปุริสสฺส วา ปน, ทสฺสามิ ทานํ วิทุสมฺปวณฺณิตํ;

    ‘‘Sohitthiyā vā purisassa vā pana, dassāmi dānaṃ vidusampavaṇṇitaṃ;

    สทฺธา วทญฺญู อิธ วีตมจฺฉรา, ภวนฺติ เหเต สุจิสจฺจสมฺมตา’’ติฯ

    Saddhā vadaññū idha vītamaccharā, bhavanti hete sucisaccasammatā’’ti.

    ตตฺถ ปุเพฺพติ ปฐมํ อทตฺวา, อถ วา อิติ เม ปุเพฺพ วตุตฺตมํ อิทํ ปุเพฺพว มยา วตํ สมาทินฺนนฺติ ทเสฺสติฯ น จาปิ เอกาสฺนมริยปูชิตนฺติ เอกกสฺส อสนํ น อริเยหิ พุทฺธาทีหิ ปูชิตํฯ สุขนฺติ ทิพฺพมานุสิกํ สุขํ น ลภติฯ ถีฆาตกาติ อิตฺถิฆาตกาฯ เย จิเมติ เย จ อิเมฯ สปนฺตีติ อโกฺกสนฺติฯ สุพฺพเตติ ธมฺมิกสมณพฺราหฺมเณฯ มจฺฉริปญฺจมาติ มจฺฉรี ปญฺจโม เอเตสนฺติ มจฺฉริปญฺจมาฯ อธมาติ อิเม ปญฺจ อธมา นามฯ ตสฺมาติ ยสฺมา อหํ ปญฺจมอธมภาวภเยน อทตฺวา อุทกมฺปิ นาสฺนิเย น ปริภุญฺชิสฺสามีติ อิมํ วตํ สมาทิยิํฯ โสหิตฺถิยา วาติ โส อหํ อิตฺถิยา วาฯ วิทุสมฺปวณฺณิตนฺติ วิทูหิ ปณฺฑิเตหิ พุทฺธาทีหิ วณฺณิตํฯ สุจิสจฺจสมฺมตาติ เอเต โอกปฺปนิยสทฺธาย สมนฺนาคตา วทญฺญู วีตมจฺฉรา ปุริสา สุจี เจว อุตฺตมสมฺมตา จ โหนฺตีติ อโตฺถฯ

    Tattha pubbeti paṭhamaṃ adatvā, atha vā iti me pubbe vatuttamaṃ idaṃ pubbeva mayā vataṃ samādinnanti dasseti. Na cāpi ekāsnamariyapūjitanti ekakassa asanaṃ na ariyehi buddhādīhi pūjitaṃ. Sukhanti dibbamānusikaṃ sukhaṃ na labhati. Thīghātakāti itthighātakā. Ye cimeti ye ca ime. Sapantīti akkosanti. Subbateti dhammikasamaṇabrāhmaṇe. Maccharipañcamāti maccharī pañcamo etesanti maccharipañcamā. Adhamāti ime pañca adhamā nāma. Tasmāti yasmā ahaṃ pañcamaadhamabhāvabhayena adatvā udakampi nāsniye na paribhuñjissāmīti imaṃ vataṃ samādiyiṃ. Sohitthiyā vāti so ahaṃ itthiyā vā. Vidusampavaṇṇitanti vidūhi paṇḍitehi buddhādīhi vaṇṇitaṃ. Sucisaccasammatāti ete okappaniyasaddhāya samannāgatā vadaññū vītamaccharā purisā sucī ceva uttamasammatā ca hontīti attho.

    ตํ สุตฺวา มาตลิ ทิสฺสมานกาเยน อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ ตา จตโสฺส เทวกญฺญาโย จตุทฺทิสํ อฎฺฐํสุ, สิรี ปาจีนทิสาย อฎฺฐาสิ, อาสา ทกฺขิณทิสาย, สทฺธา ปจฺฉิมทิสาย, หิรี อุตฺตรทิสายฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Taṃ sutvā mātali dissamānakāyena aṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe tā catasso devakaññāyo catuddisaṃ aṭṭhaṃsu, sirī pācīnadisāya aṭṭhāsi, āsā dakkhiṇadisāya, saddhā pacchimadisāya, hirī uttaradisāya. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๒๓๓.

    233.

    ‘‘อโต มตา เทววเรน เปสิตา, กญฺญา จตโสฺส กนกตฺตจูปมา;

    ‘‘Ato matā devavarena pesitā, kaññā catasso kanakattacūpamā;

    อาสา จ สทฺธา จ สิรี ตโต หิรี, ตํ อสฺสมํ อาคมุ ยตฺถ โกสิโยฯ

    Āsā ca saddhā ca sirī tato hirī, taṃ assamaṃ āgamu yattha kosiyo.

    ๒๓๔.

    234.

    ‘‘ตา ทิสฺวา สโพฺพ ปรมปฺปโมทิโต, สุเภน วเณฺณน สิขาริวคฺคิโน;

    ‘‘Tā disvā sabbo paramappamodito, subhena vaṇṇena sikhārivaggino;

    กญฺญา จตโสฺส จตุโร จตุทฺทิสา, อิจฺจพฺรวี มาตลิโน จ สมฺมุขาฯ

    Kaññā catasso caturo catuddisā, iccabravī mātalino ca sammukhā.

    ๒๓๕.

    235.

    ‘‘ปุริมํ ทิสํ กา ตฺวํ ปภาสิ เทวเต, อลงฺกตา ตารวราว โอสธี;

    ‘‘Purimaṃ disaṃ kā tvaṃ pabhāsi devate, alaṅkatā tāravarāva osadhī;

    ปุจฺฉามิ ตํ กญฺจนเวลฺลิวิคฺคเห, อาจิกฺข เม ตฺวํ กตมาสิ เทวตาฯ

    Pucchāmi taṃ kañcanavelliviggahe, ācikkha me tvaṃ katamāsi devatā.

    ๒๓๖.

    236.

    ‘‘สิราห เทวี มนุเชหิ ปูชิตา, อปาปสตฺตูปนิเสวินี สทา;

    ‘‘Sirāha devī manujehi pūjitā, apāpasattūpanisevinī sadā;

    สุธาวิวาเทน ตวนฺติมาคตา, ตํ มํ สุธาย วรปญฺญ ภาชยฯ

    Sudhāvivādena tavantimāgatā, taṃ maṃ sudhāya varapañña bhājaya.

    ๒๓๗.

    237.

    ‘‘ยสฺสาหมิจฺฉามิ สุธํ มหามุนิ, โส สพฺพกาเมหิ นโร ปโมทติ;

    ‘‘Yassāhamicchāmi sudhaṃ mahāmuni, so sabbakāmehi naro pamodati;

    สิรีติ มํ ชานหิ ชูหตุตฺตม, ตํ มํ สุธาย วรปญฺญ ภาชยา’’ติฯ

    Sirīti maṃ jānahi jūhatuttama, taṃ maṃ sudhāya varapañña bhājayā’’ti.

    ตตฺถ อโตติ ตโตฯ มตาติ อนุมตา, อถ เทววเรน อนุมตา เจว เปสิตา จาติ อโตฺถฯ สโพฺพ ปรมปฺปโมทิโตติ อนวเสโส หุตฺวา อติปโมทิโตฯ ‘‘สาม’’นฺติปิ ปาโฐ, ตา เทวตา สามํ ทิสฺวาติ อโตฺถฯ จตุโรติ จตุราฯ อยเมว วา ปาโฐ, จาตุริเยน สมนฺนาคตาติ อโตฺถฯ ตารวราติ ตารกานํ วราฯ กญฺจนเวลฺลิวิคฺคเหติ กญฺจนรูปสทิสสรีเรฯ สิราหาติ สิรี อหํฯ ตวนฺติมาคตาติ ตว สนฺติกํ อาคตาฯ ภาชยาติ ยถา มํ สุธา ภชติ, ตถา กโรหิ, สุธํ เม เทหีติ อโตฺถฯ ชานหีติ ชานฯ ชูหตุตฺตมาติ อคฺคิํ ชุหนฺตานํ อุตฺตมฯ

    Tattha atoti tato. Matāti anumatā, atha devavarena anumatā ceva pesitā cāti attho. Sabbo paramappamoditoti anavaseso hutvā atipamodito. ‘‘Sāma’’ntipi pāṭho, tā devatā sāmaṃ disvāti attho. Caturoti caturā. Ayameva vā pāṭho, cāturiyena samannāgatāti attho. Tāravarāti tārakānaṃ varā. Kañcanavelliviggaheti kañcanarūpasadisasarīre. Sirāhāti sirī ahaṃ. Tavantimāgatāti tava santikaṃ āgatā. Bhājayāti yathā maṃ sudhā bhajati, tathā karohi, sudhaṃ me dehīti attho. Jānahīti jāna. Jūhatuttamāti aggiṃ juhantānaṃ uttama.

    ตํ สุตฺวา โกสิโย อาห –

    Taṃ sutvā kosiyo āha –

    ๒๓๘.

    238.

    ‘‘สิเปฺปน วิชฺชาจรเณน พุทฺธิยา, นรา อุเปตา ปคุณา สกมฺมุนา;

    ‘‘Sippena vijjācaraṇena buddhiyā, narā upetā paguṇā sakammunā;

    ตยา วิหีนา น ลภนฺติ กิญฺจนํ, ตยิทํ น สาธุ ยทิทํ ตยา กตํฯ

    Tayā vihīnā na labhanti kiñcanaṃ, tayidaṃ na sādhu yadidaṃ tayā kataṃ.

    ๒๓๙.

    239.

    ‘‘ปสฺสามิ โปสํ อลสํ มหคฺฆสํ, สุทุกฺกุลีนมฺปิ อรูปิมํ นรํ;

    ‘‘Passāmi posaṃ alasaṃ mahagghasaṃ, sudukkulīnampi arūpimaṃ naraṃ;

    ตยานุคุโตฺต สิริ ชาติมามปิ, เปเสติ ทาสํ วิย โภควา สุขีฯ

    Tayānugutto siri jātimāmapi, peseti dāsaṃ viya bhogavā sukhī.

    ๒๔๐.

    240.

    ‘‘ตํ ตํ อสจฺจํ อวิภชฺชเสวินิํ, ชานามิ มูฬฺหํ วิทุรานุปาตินิํ;

    ‘‘Taṃ taṃ asaccaṃ avibhajjaseviniṃ, jānāmi mūḷhaṃ vidurānupātiniṃ;

    น ตาทิสี อรหติ อาสนูทกํ, กุโต สุธา คจฺฉ น มยฺห รุจฺจสี’’ติฯ

    Na tādisī arahati āsanūdakaṃ, kuto sudhā gaccha na mayha ruccasī’’ti.

    ตตฺถ สิเปฺปนาติ หตฺถิอสฺสรถธนุสิปฺปาทินาฯ วิชฺชาจรเณนาติ เวทตฺตยสงฺขาตาย วิชฺชาย เจว สีเลน จฯ ปคุณา สกมฺมุนาติ อตฺตโน ปุริสกาเรน ปธานคุณสมนฺนาคตาฯ กิญฺจนนฺติ กิญฺจิ อปฺปมตฺตกมฺปิ ยสํ วา สุขํ วา น ลภนฺติฯ ยทิทนฺติ ยํ เอตํ อิสฺสริยตฺถาย สิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา จรนฺตานํ ตยา เวกลฺลํ กตํ, ตํ เต น สาธุฯ อรูปิมนฺติ วิรูปํฯ ตยานุคุโตฺตติ ตยา อนุรกฺขิโตฯ ชาติมามปีติ ชาติสมฺปนฺนมฺปิ สิปฺปวิชฺชาจรณพุทฺธิกเมฺมหิ สมฺปนฺนมฺปิฯ เปเสตีติ เปสนการกํ กโรติฯ ตํ ตนฺติ ตสฺมา ตํฯ อสจฺจนฺติ สภาวสงฺขาเต สเจฺจ อวตฺตนตาย อสจฺจํ อุตฺตมภาวรหิตํฯ อวิภชฺชเสวินินฺติ อวิภชิตฺวา ยุตฺตายุตฺตํ อชานิตฺวา สิปฺปาทิสมฺปเนฺนปิ อิตเรปิ เสวมานํฯ วิทุรานุปาตินินฺติ ปณฺฑิตานุปาตินิํ ปณฺฑิเต ปาเตตฺวา โปเถตฺวา วิเหเฐตฺวา จรมานํฯ กุโต สุธาติ ตาทิสาย นิคฺคุณาย กุโต สุธาโภชนํ, น เม รุจฺจสิ, คจฺฉ มา อิธ ติฎฺฐาติฯ

    Tattha sippenāti hatthiassarathadhanusippādinā. Vijjācaraṇenāti vedattayasaṅkhātāya vijjāya ceva sīlena ca. Paguṇā sakammunāti attano purisakārena padhānaguṇasamannāgatā. Kiñcananti kiñci appamattakampi yasaṃ vā sukhaṃ vā na labhanti. Yadidanti yaṃ etaṃ issariyatthāya sippāni uggaṇhitvā carantānaṃ tayā vekallaṃ kataṃ, taṃ te na sādhu. Arūpimanti virūpaṃ. Tayānuguttoti tayā anurakkhito. Jātimāmapīti jātisampannampi sippavijjācaraṇabuddhikammehi sampannampi. Pesetīti pesanakārakaṃ karoti. Taṃ tanti tasmā taṃ. Asaccanti sabhāvasaṅkhāte sacce avattanatāya asaccaṃ uttamabhāvarahitaṃ. Avibhajjasevininti avibhajitvā yuttāyuttaṃ ajānitvā sippādisampannepi itarepi sevamānaṃ. Vidurānupātininti paṇḍitānupātiniṃ paṇḍite pātetvā pothetvā viheṭhetvā caramānaṃ. Kuto sudhāti tādisāya nigguṇāya kuto sudhābhojanaṃ, na me ruccasi, gaccha mā idha tiṭṭhāti.

    สา เตน ปฎิกฺขิตฺตา ตเตฺถวนฺตรธายิฯ ตโต โส อาสาย สทฺธิํ สลฺลปโนฺต อาห –

    Sā tena paṭikkhittā tatthevantaradhāyi. Tato so āsāya saddhiṃ sallapanto āha –

    ๒๔๑.

    241.

    ‘‘กา สุกฺกทาฐา ปฎิมุกฺกกุณฺฑลา, จิตฺตงฺคทา กมฺพุวิมฎฺฐธารินี;

    ‘‘Kā sukkadāṭhā paṭimukkakuṇḍalā, cittaṅgadā kambuvimaṭṭhadhārinī;

    โอสิตฺตวณฺณํ ปริทยฺห โสภสิ, กุสคฺคิรตฺตํ อปิฬยฺห มญฺชริํฯ

    Osittavaṇṇaṃ paridayha sobhasi, kusaggirattaṃ apiḷayha mañjariṃ.

    ๒๔๒.

    242.

    ‘‘มิคีว ภนฺตา สรจาปธารินา, วิราธิตา มนฺทมิว อุทิกฺขสิ;

    ‘‘Migīva bhantā saracāpadhārinā, virādhitā mandamiva udikkhasi;

    โก เต ทุตีโย อิท มนฺทโลจเน, น ภายสิ เอกิกา กานเน วเน’’ติฯ

    Ko te dutīyo ida mandalocane, na bhāyasi ekikā kānane vane’’ti.

    ตตฺถ จิตฺตงฺคทาติ จิเตฺรหิ องฺคเทหิ สมนฺนาคตาฯ กมฺพุวิมฎฺฐธารินีติ กรณปรินิฎฺฐิเตน วิมฎฺฐสุวณฺณาลงฺการธารินีฯ โอสิตฺตวณฺณนฺติ อวสิตฺตอุทกธารวณฺณํ ทิพฺพทุกูลํฯ ปริทยฺหาติ นิวาเสตฺวา เจว ปารุปิตฺวา จฯ กุสคฺคิรตฺตนฺติ กุสติณคฺคิสิขาวณฺณํฯ อปิฬยฺห มญฺชรินฺติ สปลฺลวํ อโสกกณฺณิกํ กเณฺณ ปิฬนฺธิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ สรจาปธารินาติ ลุเทฺทนฯ วิราธิตาติ วิรทฺธปหาราฯ มนฺทมิวาติ ยถา สา มิคี ภีตา วนนฺตเร ฐตฺวา ตํ มนฺทํ มนฺทํ โอโลเกติ, เอวํ โอโลเกสิฯ

    Tattha cittaṅgadāti citrehi aṅgadehi samannāgatā. Kambuvimaṭṭhadhārinīti karaṇapariniṭṭhitena vimaṭṭhasuvaṇṇālaṅkāradhārinī. Osittavaṇṇanti avasittaudakadhāravaṇṇaṃ dibbadukūlaṃ. Paridayhāti nivāsetvā ceva pārupitvā ca. Kusaggirattanti kusatiṇaggisikhāvaṇṇaṃ. Apiḷayha mañjarinti sapallavaṃ asokakaṇṇikaṃ kaṇṇe piḷandhitvāti vuttaṃ hoti. Saracāpadhārināti luddena. Virādhitāti viraddhapahārā. Mandamivāti yathā sā migī bhītā vanantare ṭhatvā taṃ mandaṃ mandaṃ oloketi, evaṃ olokesi.

    ตโต อาสา อาห –

    Tato āsā āha –

    ๒๔๓.

    243.

    ‘‘น เม ทุตีโย อิธ มตฺถิ โกสิย, มสกฺกสารปฺปภวมฺหิ เทวตา;

    ‘‘Na me dutīyo idha matthi kosiya, masakkasārappabhavamhi devatā;

    อาสา สุธาสาย ตวนฺติมาคตา, ตํ มํ สุธาย วรปญฺญ ภาชยา’’ติฯ

    Āsā sudhāsāya tavantimāgatā, taṃ maṃ sudhāya varapañña bhājayā’’ti.

    ตตฺถ มสกฺกสารปฺปภวาติ ตาวติํสภวเน สมฺภวาฯ

    Tattha masakkasārappabhavāti tāvatiṃsabhavane sambhavā.

    ตํ สุตฺวา โกสิโย ‘‘ตฺวํ กิร โย เต รุจฺจติ, ตสฺส อาสาผลนิปฺผาทเนน อาสํ เทสิ, โย เต น รุจฺจติ, ตสฺส น เทสิ, นตฺถิ ตยา สมา ปตฺถิตตฺถวินาสิกา’’ติ ทีเปโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā kosiyo ‘‘tvaṃ kira yo te ruccati, tassa āsāphalanipphādanena āsaṃ desi, yo te na ruccati, tassa na desi, natthi tayā samā patthitatthavināsikā’’ti dīpento āha –

    ๒๔๔.

    244.

    ‘‘อาสาย ยนฺติ วาณิชา ธเนสิโน, นาวํ สมารุยฺห ปเรนฺติ อณฺณเว;

    ‘‘Āsāya yanti vāṇijā dhanesino, nāvaṃ samāruyha parenti aṇṇave;

    เต ตตฺถ สีทนฺติ อโถปิ เอกทา, ชีนาธนา เอนฺติ วินฎฺฐปาภตาฯ

    Te tattha sīdanti athopi ekadā, jīnādhanā enti vinaṭṭhapābhatā.

    ๒๔๕.

    245.

    ‘‘อาสาย เขตฺตานิ กสนฺติ กสฺสกา, วปนฺติ พีชานิ กโรนฺตุปายโส;

    ‘‘Āsāya khettāni kasanti kassakā, vapanti bījāni karontupāyaso;

    อีตีนิปาเตน อวุฎฺฐิตาย วา, น กิญฺจิ วินฺทนฺติ ตโต ผลาคมํฯ

    Ītīnipātena avuṭṭhitāya vā, na kiñci vindanti tato phalāgamaṃ.

    ๒๔๖.

    246.

    ‘‘อถตฺตการานิ กโรนฺติ ภตฺตุสุ, อาสํ ปุรกฺขตฺวา นรา สุเขสิโน;

    ‘‘Athattakārāni karonti bhattusu, āsaṃ purakkhatvā narā sukhesino;

    เต ภตฺตุรตฺถา อติคาฬฺหิตา ปุน, ทิสา ปนสฺสนฺติ อลทฺธ กิญฺจนํฯ

    Te bhatturatthā atigāḷhitā puna, disā panassanti aladdha kiñcanaṃ.

    ๒๔๗.

    247.

    ‘‘หิตฺวาน ธญฺญญฺจ ธนญฺจ ญาตเก, อาสาย สคฺคาธิมนา สุเขสิโน;

    ‘‘Hitvāna dhaññañca dhanañca ñātake, āsāya saggādhimanā sukhesino;

    ตปนฺติ ลูขมฺปิ ตปํ จิรนฺตรํ, กุมคฺคมารุยฺห ปเรนฺติ ทุคฺคติํฯ

    Tapanti lūkhampi tapaṃ cirantaraṃ, kumaggamāruyha parenti duggatiṃ.

    ๒๔๘.

    248.

    ‘‘อาสา วิสํวาทิกสมฺมตา อิเม, อาเส สุธาสํ วินยสฺสุ อตฺตนิ;

    ‘‘Āsā visaṃvādikasammatā ime, āse sudhāsaṃ vinayassu attani;

    น ตาทิสี อรหติ อาสนูทกํ, กุโต สุธา คจฺฉ น มยฺห รุจฺจสี’’ติฯ

    Na tādisī arahati āsanūdakaṃ, kuto sudhā gaccha na mayha ruccasī’’ti.

    ตตฺถ ปเรนฺตีติ ปกฺขนฺทนฺติฯ ชีนาธนาติ ชีนธนาฯ อิติ ตว วเสน เอเก สมฺปชฺชนฺติ เอเก วิปชฺชนฺติ, นตฺถิ ตยา สทิสา ปาปธมฺมาติ วทติฯ กโรนฺตุปายโสติ ตํ ตํ กิจฺจํ อุปาเยน กโรนฺติฯ อีตีนิปาเตนาติ วิสมวาตมูสิกสลภสุกปาณกเสตฎฺฐิกโรคาทีนํ สสฺสุปทฺทวานํ อญฺญตรนิปาเตน วาฯ ตโตติ ตโต สสฺสโต เต กิญฺจิ ผลํ น วินฺทนฺติ, เตสมฺปิ อาสเจฺฉทนกมฺมํ ตฺวเมว กโรสีติ วทติฯ อถตฺตการานีติ ยุทฺธภูมีสุ ปุริสกาเรฯ อาสํ ปุรกฺขตฺวาติ อิสฺสริยาสํ ปุรโต กตฺวาฯ ภตฺตุรตฺถาติ สามิโน อตฺถายฯ อติคาฬิตาติ ปจฺจตฺถิเกหิ อติปีฬิตา วิลุตฺตสาปเตยฺยา ทฺธสฺตเสนวาหนา หุตฺวาฯ ปนสฺสนฺตีติ ปลายนฺติฯ อลทฺธ กิญฺจนนฺติ กิญฺจิ อิสฺสริยํ อลภิตฺวา ฯ อิติ เอเตสมฺปิ อิสฺสริยาลาภํ ตฺวเมว กโรสีติ วทติฯ สคฺคาธิมนาติ สคฺคํ อธิคนฺตุมนาฯ ลูขนฺติ นิโรชํ ปญฺจตปาทิกํ กายกิลมถํฯ จิรนฺตรนฺติ จิรกาลํฯ อาสา วิสํวาทิกสมฺมตา อิเมติ เอวํ อิเม สตฺตา สคฺคาสาย ทุคฺคติํ คจฺฉนฺติ, ตสฺมา ตฺวํ อาสา นาม วิสํวาทิกสมฺมตา วิสํวาทิกาติ สงฺขํ คตาฯ อาเสติ ตํ อาลปติฯ

    Tattha parentīti pakkhandanti. Jīnādhanāti jīnadhanā. Iti tava vasena eke sampajjanti eke vipajjanti, natthi tayā sadisā pāpadhammāti vadati. Karontupāyasoti taṃ taṃ kiccaṃ upāyena karonti. Ītīnipātenāti visamavātamūsikasalabhasukapāṇakasetaṭṭhikarogādīnaṃ sassupaddavānaṃ aññataranipātena vā. Tatoti tato sassato te kiñci phalaṃ na vindanti, tesampi āsacchedanakammaṃ tvameva karosīti vadati. Athattakārānīti yuddhabhūmīsu purisakāre. Āsaṃ purakkhatvāti issariyāsaṃ purato katvā. Bhatturatthāti sāmino atthāya. Atigāḷitāti paccatthikehi atipīḷitā viluttasāpateyyā ddhastasenavāhanā hutvā. Panassantīti palāyanti. Aladdha kiñcananti kiñci issariyaṃ alabhitvā . Iti etesampi issariyālābhaṃ tvameva karosīti vadati. Saggādhimanāti saggaṃ adhigantumanā. Lūkhanti nirojaṃ pañcatapādikaṃ kāyakilamathaṃ. Cirantaranti cirakālaṃ. Āsā visaṃvādikasammatā imeti evaṃ ime sattā saggāsāya duggatiṃ gacchanti, tasmā tvaṃ āsā nāma visaṃvādikasammatā visaṃvādikāti saṅkhaṃ gatā. Āseti taṃ ālapati.

    สาปิ เตน ปฎิกฺขิตฺตา อนฺตรธายิฯ ตโต สทฺธาย สทฺธิํ สลฺลปโนฺต คาถมาห –

    Sāpi tena paṭikkhittā antaradhāyi. Tato saddhāya saddhiṃ sallapanto gāthamāha –

    ๒๔๙.

    249.

    ‘‘ททฺทลฺลมานา ยสสา ยสสฺสินี, ชิฆญฺญนามวฺหยนํ ทิสํ ปติ;

    ‘‘Daddallamānā yasasā yasassinī, jighaññanāmavhayanaṃ disaṃ pati;

    ปุจฺฉามิ ตํ กญฺจนเวลฺลิวิคฺคเห, อาจิกฺข เม ตฺวํ กตมาสิ เทวเต’’ติฯ

    Pucchāmi taṃ kañcanavelliviggahe, ācikkha me tvaṃ katamāsi devate’’ti.

    ตตฺถ ททฺทลฺลมานาติ ชลมานาฯ ชิฆญฺญนามวฺหยนนฺติ อปราติ จ ปจฺฉิมาติ จ เอวํ ชิฆเญฺญน ลามเกน นาเมน วุจฺจมานํ ทิสํ ปติ ททฺทลฺลมานา ติฎฺฐสิฯ

    Tattha daddallamānāti jalamānā. Jighaññanāmavhayananti aparāti ca pacchimāti ca evaṃ jighaññena lāmakena nāmena vuccamānaṃ disaṃ pati daddallamānā tiṭṭhasi.

    ตโต สา คาถมาห –

    Tato sā gāthamāha –

    ๒๕๐.

    250.

    ‘‘สทฺธาห เทวี มนุเชหิ ปูชิตา, อปาปสตฺตูปนิเสวินี สทา;

    ‘‘Saddhāha devī manujehi pūjitā, apāpasattūpanisevinī sadā;

    สุธาวิวาเทน ตวนฺติ มาคตา, ตํ มํ สุธาย วรปญฺญ ภาชยา’’ติฯ

    Sudhāvivādena tavanti māgatā, taṃ maṃ sudhāya varapañña bhājayā’’ti.

    ตตฺถ สทฺธาติ ยสฺส กสฺสจิ วจนปตฺติยายนา สาวชฺชาปิ โหติ อนวชฺชาปิฯ ปูชิตาติ อนวชฺชโกฎฺฐาสวเสน ปูชิตาฯ อปาปสตฺตูปนิเสวินีติ อนวชฺชสทฺธาย จ เอกนฺตปตฺติยายนุสภาวาร ปเรสุปิ ปตฺติยายนวิทหนสมตฺถาย เทวตาเยตํ นามํฯ

    Tattha saddhāti yassa kassaci vacanapattiyāyanā sāvajjāpi hoti anavajjāpi. Pūjitāti anavajjakoṭṭhāsavasena pūjitā. Apāpasattūpanisevinīti anavajjasaddhāya ca ekantapattiyāyanusabhāvāra paresupi pattiyāyanavidahanasamatthāya devatāyetaṃ nāmaṃ.

    อถํ นํ โกสิโย ‘‘อิเม สตฺตา ยสฺส กสฺสจิ วจนํ สทฺทหิตฺวา ตํ ตํ กโรนฺตา กตฺตพฺพโต อกตฺตพฺพเมว พหุตรํ กโรนฺติ, ตํ สพฺพํ ตยา การิตํ นาม โหตี’’ติ วตฺวา เอวมาห –

    Athaṃ naṃ kosiyo ‘‘ime sattā yassa kassaci vacanaṃ saddahitvā taṃ taṃ karontā kattabbato akattabbameva bahutaraṃ karonti, taṃ sabbaṃ tayā kāritaṃ nāma hotī’’ti vatvā evamāha –

    ๒๕๑.

    251.

    ‘‘ทานํ ทมํ จาคมโถปิ สํยมํ, อาทาย สทฺธาย กโรนฺติ เหกทา;

    ‘‘Dānaṃ damaṃ cāgamathopi saṃyamaṃ, ādāya saddhāya karonti hekadā;

    เถยฺยํ มุสา กูฎมโถปิ เปสุณํ, กโรนฺติ เหเก ปุน วิจฺจุตา ตยาฯ

    Theyyaṃ musā kūṭamathopi pesuṇaṃ, karonti heke puna viccutā tayā.

    ๒๕๒.

    252.

    ‘‘ภริยาสุ โปโส สทิสีสุ เปกฺขวา, สีลูปปนฺนาสุ ปติพฺพตาสุปิ;

    ‘‘Bhariyāsu poso sadisīsu pekkhavā, sīlūpapannāsu patibbatāsupi;

    วิเนตฺวาน ฉนฺทํ กุลิตฺถิราสุปิ, กโรติ สทฺธํ ปุน กุมฺภทาสิยาฯ

    Vinetvāna chandaṃ kulitthirāsupi, karoti saddhaṃ puna kumbhadāsiyā.

    ๒๕๓.

    253.

    ‘‘ตฺวเมว สเทฺธ ปรทารเสวินี, ปาปํ กโรสิ กุสลมฺปิ ริญฺจสิ;

    ‘‘Tvameva saddhe paradārasevinī, pāpaṃ karosi kusalampi riñcasi;

    น ตาทิสี อรหติ อาสนูทกํ, กุโต สุธา คจฺฉ น มยฺห รุจฺจสี’’ติฯ

    Na tādisī arahati āsanūdakaṃ, kuto sudhā gaccha na mayha ruccasī’’ti.

    ตตฺถ ทานนฺติ ทสวตฺถุกํ ปุญฺญเจตนํฯ ทมนฺติ อินฺทฺริยทมนํฯ จาคนฺติ เทยฺยธมฺมปริจฺจาคํฯ สํยมนฺติ สีลํฯ อาทาย สทฺธายาติ ‘‘เอตานิ ทานาทีนิ มหานิสํสานิ กตฺตพฺพานี’’ติ วทตํ วจนํ สทฺธาย อาทิยิตฺวาปิ กโรนฺติ เอกทาฯ กูฎนฺติ ตุลากูฎาทิกํ วา คามกูฎาทิกํ กมฺมํ วาฯ กโรนฺติ เหเกติ เอเก มนุสฺสา เอวรูเปสุ นาม กาเลสุ อิเมสญฺจ อตฺถาย เถยฺยาทีนิ กตฺตพฺพานีติ เกสญฺจิ วจนํ สทฺทหิตฺวา เอตานิปิ กโรนฺติฯ ปุน วิจฺจุตา ตยาติ ปุน ตยา วิสุตฺตา สาวชฺชทุกฺขวิปากาเนตานิ น กตฺตพฺพานีติ วทตํ วจนํ อปตฺติยายิตฺวาปิ กโรนฺติฯ อิติ ตว วเสน สาวชฺชมฺปิ อนวชฺชมฺปิ กเรยฺยาสิ วทติฯ

    Tattha dānanti dasavatthukaṃ puññacetanaṃ. Damanti indriyadamanaṃ. Cāganti deyyadhammapariccāgaṃ. Saṃyamanti sīlaṃ. Ādāya saddhāyāti ‘‘etāni dānādīni mahānisaṃsāni kattabbānī’’ti vadataṃ vacanaṃ saddhāya ādiyitvāpi karonti ekadā. Kūṭanti tulākūṭādikaṃ vā gāmakūṭādikaṃ kammaṃ vā. Karonti heketi eke manussā evarūpesu nāma kālesu imesañca atthāya theyyādīni kattabbānīti kesañci vacanaṃ saddahitvā etānipi karonti. Puna viccutā tayāti puna tayā visuttā sāvajjadukkhavipākānetāni na kattabbānīti vadataṃ vacanaṃ apattiyāyitvāpi karonti. Iti tava vasena sāvajjampi anavajjampi kareyyāsi vadati.

    สทิสีสูติ ชาติโคตฺตสีลาทีหิ สทิสีสุฯ เปกฺขวาติ เปกฺขา วุจฺจติ ตณฺหา, สตโณฺหติ อโตฺถฯ ฉนฺทนฺติ ฉนฺทราคํฯ กโรติ สทฺธนฺติ กุมฺภทาสิยาปิ วจเน สทฺธํ กโรติ, ตสฺสา ‘‘อหํ ตุมฺหากํ อิทํ นาม อุปการํ กริสฺสามี’’ติ วทนฺติยา ปตฺติยายิตฺวา กุลิตฺถิโยปิ ฉเฑฺฑตฺวา ตเมว ปฎิเสวติ, อสุกา นาม ตุเมฺหสุ ปฎิพทฺธจิตฺตาติ กุมฺภทาสิยาปิ วจเน สทฺธํ กตฺวาว ปรทารํ เสวติฯ ตฺวเมว สเทฺธ ปรทารเสวินีติ ยสฺมา ตํ ตํ ปตฺติยายิตฺวา ตว วเสน ปรทารํ เสวนฺติ ปาปํ กโรนฺติ กุสลํ ชหนฺติ, ตสฺมา ตฺวเมว ปรทารเสวินี ตฺวํ ปาปานิ กโรสิ, กุสลมฺปิ ริญฺจสิ, นตฺถิ ตยา สมา โลกวินาสิกา ปาปธมฺมา, คจฺฉ น เม รุจฺจสีติฯ

    Sadisīsūti jātigottasīlādīhi sadisīsu. Pekkhavāti pekkhā vuccati taṇhā, sataṇhoti attho. Chandanti chandarāgaṃ. Karoti saddhanti kumbhadāsiyāpi vacane saddhaṃ karoti, tassā ‘‘ahaṃ tumhākaṃ idaṃ nāma upakāraṃ karissāmī’’ti vadantiyā pattiyāyitvā kulitthiyopi chaḍḍetvā tameva paṭisevati, asukā nāma tumhesu paṭibaddhacittāti kumbhadāsiyāpi vacane saddhaṃ katvāva paradāraṃ sevati. Tvameva saddhe paradārasevinīti yasmā taṃ taṃ pattiyāyitvā tava vasena paradāraṃ sevanti pāpaṃ karonti kusalaṃ jahanti, tasmā tvameva paradārasevinī tvaṃ pāpāni karosi, kusalampi riñcasi, natthi tayā samā lokavināsikā pāpadhammā, gaccha na me ruccasīti.

    สา ตเตฺถว อนฺตรธายิฯ โกสิโยปิ อุตฺตรโต ฐิตาย หิริยา สทฺธิํ สลฺลปโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Sā tattheva antaradhāyi. Kosiyopi uttarato ṭhitāya hiriyā saddhiṃ sallapanto gāthādvayamāha –

    ๒๕๔.

    254.

    ‘‘ชิฆญฺญรตฺติํ อรุณสฺมิมูหเต, ยา ทิสฺสติ อุตฺตมรูปวณฺณินี;

    ‘‘Jighaññarattiṃ aruṇasmimūhate, yā dissati uttamarūpavaṇṇinī;

    ตถูปมา มํ ปฎิภาสิ เทวเต, อาจิกฺข เม ตฺวํ กตมาสิ อจฺฉราฯ

    Tathūpamā maṃ paṭibhāsi devate, ācikkha me tvaṃ katamāsi accharā.

    ๒๕๕.

    255.

    ‘‘กาฬา นิทาเฆริว อคฺคิชาริว, อนิเลริตา โลหิตปตฺตมาลินี;

    ‘‘Kāḷā nidāgheriva aggijāriva, anileritā lohitapattamālinī;

    กา ติฎฺฐสิ มนฺทมิคาวโลกยํ, ภาเสสมานาว คิรํ น มุญฺจสี’’ติฯ

    Kā tiṭṭhasi mandamigāvalokayaṃ, bhāsesamānāva giraṃ na muñcasī’’ti.

    ตตฺถ ชิฆญฺญรตฺตินฺติ ปจฺฉิมรตฺติํ, รตฺติปริโยสาเนติ อโตฺถฯ อูหเตติ อรุเณ อุคฺคเตฯ ยาติ ยา ปุรตฺถิมา ทิสา รตฺตสุวณฺณตาย อุปฺปมรูปธรา หุตฺวา ทิสฺสติฯ กาฬา นิทาเฆริวาติ นิทาฆสมเย กาฬวลฺลิ วิยฯ อคฺคิชาริวาติ อคฺคิชาลา อิว, สาปิ นิชฺฌามเขเตฺตสุ ตรุณอุฎฺฐิตกาฬวลฺลิ วิยาติ อโตฺถฯ โลหิตปตฺตมาลินีติ โลหิตวเณฺณหิ ปเตฺตหิ ปริวุตาฯ กา ติฎฺฐสีติ ยถา สา ตรุณกาฬวลฺลิ วาเตริตา วิลาสมานา โสภมานา ติฎฺฐติ, เอวํ กา นาม ตฺวํ ติฎฺฐสิฯ ภาเสสมานาวาติ มยา สทฺธิํ ภาสิตุกามา วิย โหสิ, น จ คิรํ มุญฺจสิฯ

    Tattha jighaññarattinti pacchimarattiṃ, rattipariyosāneti attho. Ūhateti aruṇe uggate. ti yā puratthimā disā rattasuvaṇṇatāya uppamarūpadharā hutvā dissati. Kāḷā nidāgherivāti nidāghasamaye kāḷavalli viya. Aggijārivāti aggijālā iva, sāpi nijjhāmakhettesu taruṇauṭṭhitakāḷavalli viyāti attho. Lohitapattamālinīti lohitavaṇṇehi pattehi parivutā. Kā tiṭṭhasīti yathā sā taruṇakāḷavalli vāteritā vilāsamānā sobhamānā tiṭṭhati, evaṃ kā nāma tvaṃ tiṭṭhasi. Bhāsesamānāvāti mayā saddhiṃ bhāsitukāmā viya hosi, na ca giraṃ muñcasi.

    ตโต สา คาถมาห –

    Tato sā gāthamāha –

    ๒๕๖.

    256.

    ‘‘หิราห เทวี มนุเชหิ ปูชิตา, อปาปสตฺตูปนิเสวินี สทา;

    ‘‘Hirāha devī manujehi pūjitā, apāpasattūpanisevinī sadā;

    สุธาวิวาเทน ตวนฺติมาคตา, สาหํ น สโกฺกมิ สุธมฺปิ ยาจิตุํ;

    Sudhāvivādena tavantimāgatā, sāhaṃ na sakkomi sudhampi yācituṃ;

    โกปีนรูปา วิย ยาจนิตฺถิยา’’ติฯ

    Kopīnarūpā viya yācanitthiyā’’ti.

    ตตฺถ หิราหนฺติ หิรี อหํฯ สุธมฺปีติ สา อหํ สุธาโภชนํ ตํ ยาจิตุมฺปิ น สโกฺกมิฯ กิํการณา? โกปีนรูปา วิย ยาจนิตฺถิยา, ยสฺมา อิตฺถิยา ยาจนา นาม โกปีนรูปา วิย รหสฺสงฺควิวรณสทิสา โหติ, นิลฺลชฺชา วิย โหตีติ อโตฺถฯ

    Tattha hirāhanti hirī ahaṃ. Sudhampīti sā ahaṃ sudhābhojanaṃ taṃ yācitumpi na sakkomi. Kiṃkāraṇā? Kopīnarūpā viya yācanitthiyā, yasmā itthiyā yācanā nāma kopīnarūpā viya rahassaṅgavivaraṇasadisā hoti, nillajjā viya hotīti attho.

    ตํ สุตฺวา ตาปโส เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā tāpaso dve gāthā abhāsi –

    ๒๕๗.

    257.

    ‘‘ธเมฺมน ญาเยน สุคเตฺต ลจฺฉสิ, เอโส หิ ธโมฺม น หิ ยาจนา สุธาฯ

    ‘‘Dhammena ñāyena sugatte lacchasi, eso hi dhammo na hi yācanā sudhā.

    ตํ ตํ อยาจนฺติมหํ นิมนฺตเย, สุธาย ยญฺจิจฺฉสิ ตมฺปิ ทมฺมิ เตฯ

    Taṃ taṃ ayācantimahaṃ nimantaye, sudhāya yañcicchasi tampi dammi te.

    ๒๕๘.

    258.

    ‘‘สา ตฺวํ มยา อชฺช สกมฺหิ อสฺสเม, นิมนฺติตา กญฺจนเวลฺลิวิคฺคเห;

    ‘‘Sā tvaṃ mayā ajja sakamhi assame, nimantitā kañcanavelliviggahe;

    ตุวญฺหิ เม สพฺพรเสหิ ปูชิยา, ตํ ปูชยิตฺวาน สุธมฺปิ อสฺนิเย’’ติฯ

    Tuvañhi me sabbarasehi pūjiyā, taṃ pūjayitvāna sudhampi asniye’’ti.

    ตตฺถ ธเมฺมนาติ สภาเวนฯ ญาเยนาติ การเณนฯ น หิ ยาจนา สุธาติ น หิ ยาจนาย สุธา ลพฺภติ, เตเนว การเณน อิตรา ติโสฺส นลภิํสุฯ ตํ ตนฺติ ตสฺมา ตํฯ ยญฺจิจฺฉสีติ น เกวลํ นิมเนฺตมิเยว, ยญฺจ สุธํ อิจฺฉสิ, ตมฺปิ ทมฺมิ เตฯ กญฺจนเวลฺลิวิคฺคเหติ กญฺจนราสิสสฺสิริกสรีเรฯ ปูชิยาติ น เกวลํ สุธาย, อเญฺญหิปิ สพฺพรเสหิ ตฺวํ มยา ปูเชตพฺพยุตฺตกาวฯ อสฺนิเยติ ตํ ปูเชตฺวา สเจ สุธาย อวเสสํ ภวิสฺสติ, อหมฺปิ ภุญฺชิสฺสามิฯ

    Tattha dhammenāti sabhāvena. Ñāyenāti kāraṇena. Na hi yācanā sudhāti na hi yācanāya sudhā labbhati, teneva kāraṇena itarā tisso nalabhiṃsu. Taṃ tanti tasmā taṃ. Yañcicchasīti na kevalaṃ nimantemiyeva, yañca sudhaṃ icchasi, tampi dammi te. Kañcanavelliviggaheti kañcanarāsisassirikasarīre. Pūjiyāti na kevalaṃ sudhāya, aññehipi sabbarasehi tvaṃ mayā pūjetabbayuttakāva. Asniyeti taṃ pūjetvā sace sudhāya avasesaṃ bhavissati, ahampi bhuñjissāmi.

    ตโต อปรา อภิสมฺพุทฺธคาถา –

    Tato aparā abhisambuddhagāthā –

    ๒๕๙.

    259.

    ‘‘สา โกสิเยนานุมตา ชุตีมตา, อทฺธา หิริ รมฺมํ ปาวิสิ ยสฺสมํ;

    ‘‘Sā kosiyenānumatā jutīmatā, addhā hiri rammaṃ pāvisi yassamaṃ;

    อุทกวนฺตํ ผลมริยปูชิตํ, อปาปสตฺตูปนิเสวิตํ สทาฯ

    Udakavantaṃ phalamariyapūjitaṃ, apāpasattūpanisevitaṃ sadā.

    ๒๖๐.

    260.

    ‘‘รุกฺขคฺคหานา พหุเกตฺถ ปุปฺผิตา, อมฺพา ปิยาลา ปนสา จ กิํสุกา;

    ‘‘Rukkhaggahānā bahukettha pupphitā, ambā piyālā panasā ca kiṃsukā;

    โสภญฺชนา โลทฺทมโถปิ ปทฺธกา, เกกา จ ภงฺคา ติลกา สุปุปฺผิตาฯ

    Sobhañjanā loddamathopi paddhakā, kekā ca bhaṅgā tilakā supupphitā.

    ๒๖๑.

    261.

    ‘‘สาลา กเรรี พหุเกตฺถ ชมฺพุโย, อสฺสตฺถนิโคฺรธมธุกเวตสา;

    ‘‘Sālā karerī bahukettha jambuyo, assatthanigrodhamadhukavetasā;

    อุทฺทาลกา ปาฎลิ สินฺทุวารกา, มนุญฺญคนฺธา มุจลินฺทเกตกาฯ

    Uddālakā pāṭali sinduvārakā, manuññagandhā mucalindaketakā.

    ๒๖๒.

    262.

    ‘‘หเรณุกา เวฬุกา เกณุ ตินฺทุกา, สามากนีวารมโถปิ จีนกา;

    ‘‘Hareṇukā veḷukā keṇu tindukā, sāmākanīvāramathopi cīnakā;

    โมจา กทลี พหุเกตฺถ สาลิโย, ปวีหโย อาภูชิโน จ ตณฺฑุลาฯ

    Mocā kadalī bahukettha sāliyo, pavīhayo ābhūjino ca taṇḍulā.

    ๒๖๓.

    263.

    ‘‘ตเสฺสวุตฺตรปเสฺสน, ชาตา โปกฺขรณี สิวา;

    ‘‘Tassevuttarapassena, jātā pokkharaṇī sivā;

    อกกฺกสา อปพฺภารา, สาธุ อปฺปฎิคนฺธิกาฯ

    Akakkasā apabbhārā, sādhu appaṭigandhikā.

    ๒๖๔.

    264.

    ‘‘ตตฺถ มจฺฉา สนฺนิรตา, เขมิโน พหุโภชนา;

    ‘‘Tattha macchā sanniratā, khemino bahubhojanā;

    สิงฺคู สวงฺกา สํกุลา, สตวงฺกา จ โรหิตา;

    Siṅgū savaṅkā saṃkulā, satavaṅkā ca rohitā;

    อาฬิคคฺครกากิณฺณา, ปาฐีนา กากมจฺฉกาฯ

    Āḷigaggarakākiṇṇā, pāṭhīnā kākamacchakā.

    ๒๖๕.

    265.

    ‘‘ตตฺถ ปกฺขี สนฺนิรตา, เขมิโน พหุโภชนา;

    ‘‘Tattha pakkhī sanniratā, khemino bahubhojanā;

    หํสา โกญฺจา มยูรา จ, จกฺกวากา จ กุกฺกุหา;

    Haṃsā koñcā mayūrā ca, cakkavākā ca kukkuhā;

    กุณาลกา พหู จิตฺรา, สิขณฺฑี ชีวชีวกาฯ

    Kuṇālakā bahū citrā, sikhaṇḍī jīvajīvakā.

    ๒๖๖.

    266.

    ‘‘ตตฺถ ปานาย มายนฺติ, นานา มิคคณา พหู;

    ‘‘Tattha pānāya māyanti, nānā migagaṇā bahū;

    สีหา พฺยคฺฆา วราหา จ, อจฺฉโกกตรจฺฉโยฯ

    Sīhā byagghā varāhā ca, acchakokataracchayo.

    ๒๖๗.

    267.

    ‘‘ปลาสาทา ควชา จ, มหิํสา โรหิตา รุรู;

    ‘‘Palāsādā gavajā ca, mahiṃsā rohitā rurū;

    เอเณยฺยา จ วราหา จ, คณิโน นีกสูกรา;

    Eṇeyyā ca varāhā ca, gaṇino nīkasūkarā;

    กทลิมิคา พหุเกตฺถ, พิฬารา สสกณฺณิกาฯ

    Kadalimigā bahukettha, biḷārā sasakaṇṇikā.

    ๒๖๘.

    268.

    ‘‘ฉมาคิรี ปุปฺผวิจิตฺรสนฺถตา, ทิชาภิฆุฎฺฐา ทิชสงฺฆเสวิตา’’ติฯ

    ‘‘Chamāgirī pupphavicitrasanthatā, dijābhighuṭṭhā dijasaṅghasevitā’’ti.

    ตตฺถ ชุตีมตาติ อานุภาวสมฺปเนฺนนฯ ปาวิสิ ยสฺสมนฺติ ปาวิสิ อสฺสมํ, -กาโร พฺยญฺชนสนฺธิกโรฯ อุทกวนฺตนฺติ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ อุทกสมฺปนฺนํฯ ผลนฺติ อเนกผลสมฺปนฺนํฯ อริยปูชิตนฺติ นีวรณโทสรหิเตหิ ฌานลาภีหิ อริเยหิ ปูชิตํ ปสตฺถํฯ รุกฺขคฺคหานาติ ปุปฺผูปคผลูปครุกฺขคหนาฯ โสภญฺชนาติ สิคฺคุรุกฺขาฯ โลทฺทมโถปิ ปทฺธกาติ โลทฺทรุกฺขา จ ปทุมรุกฺขา จฯ เกกา จ ภงฺคาติ เอวํนามกา รุกฺขา เอวฯ กเรรีติ กเรริรุกฺขาฯ อุทฺทาลกาติ วาตฆาตกาฯ มุจลินฺทเกตกาติ มุจลินฺทา จ ปญฺจวิธเกตกา จฯ หเรณุกาติ อปรณฺณชาติฯ เวฬุกาติ วํสเภทกาฯ เกณูติ อรญฺญมาสาฯ ตินฺทุกาติ ติมฺพรุรุกฺขาฯ จีนกาติ ขุทฺทกราชมาสาฯ โมจาติ อฎฺฐิกกทลิโยฯ สาลิโยติ นานปฺปการา ชาตสฺสรํ อุปนิสฺสาย ชาตา สาลิโยฯ ปวีหโยติ นานปฺปการา วีหโยฯ อาภูชิโนติ ภุชปตฺตาฯ ตณฺฑุลาติ นิกฺกุณฺฑกถุสานิ สยํชาตตณฺฑุลสีสานิฯ

    Tattha jutīmatāti ānubhāvasampannena. Pāvisi yassamanti pāvisi assamaṃ, ya-kāro byañjanasandhikaro. Udakavantanti tesu tesu ṭhānesu udakasampannaṃ. Phalanti anekaphalasampannaṃ. Ariyapūjitanti nīvaraṇadosarahitehi jhānalābhīhi ariyehi pūjitaṃ pasatthaṃ. Rukkhaggahānāti pupphūpagaphalūpagarukkhagahanā. Sobhañjanāti siggurukkhā. Loddamathopi paddhakāti loddarukkhā ca padumarukkhā ca. Kekā ca bhaṅgāti evaṃnāmakā rukkhā eva. Karerīti karerirukkhā. Uddālakāti vātaghātakā. Mucalindaketakāti mucalindā ca pañcavidhaketakā ca. Hareṇukāti aparaṇṇajāti. Veḷukāti vaṃsabhedakā. Keṇūti araññamāsā. Tindukāti timbarurukkhā. Cīnakāti khuddakarājamāsā. Mocāti aṭṭhikakadaliyo. Sāliyoti nānappakārā jātassaraṃ upanissāya jātā sāliyo. Pavīhayoti nānappakārā vīhayo. Ābhūjinoti bhujapattā. Taṇḍulāti nikkuṇḍakathusāni sayaṃjātataṇḍulasīsāni.

    ตเสฺสวาติ, ภิกฺขเว, ตเสฺสว อสฺสมสฺส อุตฺตรทิสาภาเคฯ โปกฺขรณีติ ปญฺจวิธปทุมสญฺฉนฺนา ชาตสฺสรโปกฺขรณีฯ อกกฺกสาติ มจฺฉสิปฺปิกเสวาลาทิกกฺกสรหิตาฯ อปพฺภาราติ อจฺฉินฺนตฎา สมติตฺถาฯ อปฺปฎิคนฺธิกาติ อปฎิกฺกูลคเนฺธน อุทเกน สมนฺนาคตาฯ ตตฺถาติ ตสฺสา โปกฺขรณิยาฯ เขมิโนติ อภยาฯ ‘‘สิงฺคู’’ติอาทีนิ เตสํ มจฺฉานํ นามานิฯ กุณาลกาติ โกกิลาฯ จิตฺราติ จิตฺรปตฺตาฯ สิขณฺฑีติ อุฎฺฐิตสิขา โมรา, อเญฺญปิ วา มตฺถเก ชาตสิขา ปกฺขิโนฯ ปานาย มายนฺตีติ ปานาย อายนฺติฯ ปลาสาทาติ ขคฺคาฯ ควชาติ ควยาฯ คณิโนติ โคกณฺณาฯ กณฺณิกาติ กณฺณิกมิคาฯ ฉมาคิรีติ ภูมิสมปตฺถฎา ปิฎฺฐิปาสาณาฯ ปุปฺผวิจิตฺรสนฺถตาติ วิจิตฺรปุปฺผสนฺถตาฯ ทิชาภิฆุฎฺฐาติ มธุรสฺสเรหิ ทิเชหิ อภิฆุฎฺฐาฯ เอวรูปา ตตฺถ ภูมิปพฺพตาติ เอวํ ภควา โกสิยสฺส อสฺสมํ วเณฺณติฯ

    Tassevāti, bhikkhave, tasseva assamassa uttaradisābhāge. Pokkharaṇīti pañcavidhapadumasañchannā jātassarapokkharaṇī. Akakkasāti macchasippikasevālādikakkasarahitā. Apabbhārāti acchinnataṭā samatitthā. Appaṭigandhikāti apaṭikkūlagandhena udakena samannāgatā. Tatthāti tassā pokkharaṇiyā. Kheminoti abhayā. ‘‘Siṅgū’’tiādīni tesaṃ macchānaṃ nāmāni. Kuṇālakāti kokilā. Citrāti citrapattā. Sikhaṇḍīti uṭṭhitasikhā morā, aññepi vā matthake jātasikhā pakkhino. Pānāya māyantīti pānāya āyanti. Palāsādāti khaggā. Gavajāti gavayā. Gaṇinoti gokaṇṇā. Kaṇṇikāti kaṇṇikamigā. Chamāgirīti bhūmisamapatthaṭā piṭṭhipāsāṇā. Pupphavicitrasanthatāti vicitrapupphasanthatā. Dijābhighuṭṭhāti madhurassarehi dijehi abhighuṭṭhā. Evarūpā tattha bhūmipabbatāti evaṃ bhagavā kosiyassa assamaṃ vaṇṇeti.

    อิทานิ หิริเทวิยา ตตฺถ ปวิสนาทีนิ ทเสฺสตุํ อาห –

    Idāni hirideviyā tattha pavisanādīni dassetuṃ āha –

    ๒๖๙.

    269.

    ‘‘สา สุตฺตจา นีลทุมาภิลมฺพิตา, วิชฺชู มหาเมฆริวานุปชฺชถ;

    ‘‘Sā suttacā nīladumābhilambitā, vijjū mahāmegharivānupajjatha;

    ตสฺสา สุสมฺพนฺธสิรํ กุสามยํ, สุจิํ สุคนฺธํ อชินูปเสวิตํ;

    Tassā susambandhasiraṃ kusāmayaṃ, suciṃ sugandhaṃ ajinūpasevitaṃ;

    อตฺริจฺจ โกจฺฉํ หิริเมตทพฺรวิ, นิสีท กลฺยาณิ สุขยิทมาสนํฯ

    Atricca kocchaṃ hirimetadabravi, nisīda kalyāṇi sukhayidamāsanaṃ.

    ๒๗๐.

    270.

    ‘‘ตสฺสา ตทา โกจฺฉคตาย โกสิโย, ยทิจฺฉมานาย ชฎาชินนฺธโร;

    ‘‘Tassā tadā kocchagatāya kosiyo, yadicchamānāya jaṭājinandharo;

    นเวหิ ปเตฺตหิ สยํ สหูทกํ, สุธาภิหาสี ตุริโต มหามุนิฯ

    Navehi pattehi sayaṃ sahūdakaṃ, sudhābhihāsī turito mahāmuni.

    ๒๗๑.

    271.

    ‘‘สา ตํ ปฎิคฺคยฺห อุโภหิ ปาณิภิ, อิจฺจพฺรวิ อตฺตมนา ชฎาธรํ;

    ‘‘Sā taṃ paṭiggayha ubhohi pāṇibhi, iccabravi attamanā jaṭādharaṃ;

    หนฺทาหํ เอตรหิ ปูชิตา ตยา, คเจฺฉยฺยํ พฺรเหฺม ติทิวํ ชิตาวินีฯ

    Handāhaṃ etarahi pūjitā tayā, gaccheyyaṃ brahme tidivaṃ jitāvinī.

    ๒๗๒.

    272.

    ‘‘สา โกสิเยนานุมตา ชุตีมตา, อุทีริตา วณฺณมเทน มตฺตา;

    ‘‘Sā kosiyenānumatā jutīmatā, udīritā vaṇṇamadena mattā;

    สกาเส คนฺตฺวาน สหสฺสจกฺขุโน, อยํ สุธา วาสว เทหิ เม ชยํฯ

    Sakāse gantvāna sahassacakkhuno, ayaṃ sudhā vāsava dehi me jayaṃ.

    ๒๗๓.

    273.

    ‘‘ตเมน สโกฺกปิ ตทา อปูชยิ, สหินฺทเทวา สุรกญฺญมุตฺตมํ;

    ‘‘Tamena sakkopi tadā apūjayi, sahindadevā surakaññamuttamaṃ;

    สา ปญฺชลี เทวมนุสฺสปูชิตา, นวมฺหิ โกจฺฉมฺหิ ยทา อุปาวิสี’’ติฯ

    Sā pañjalī devamanussapūjitā, navamhi kocchamhi yadā upāvisī’’ti.

    ตตฺถ สุตฺตจาติ สุจฺฉวีฯ นีลทุมาภิลมฺพิตาติ นีเลสุ ทุเมสุ อภิลมฺพิตา หุตฺวา, ตํ ตํ นีลทุมสาขํ ปรามสนฺตีติ อโตฺถฯ มหาเมฆริวาติ เตน นิมนฺติตา มหาเมฆวิชฺชุ วิย ตสฺส ตํ อสฺสมํ ปาวิสิฯ ตสฺสาติ ตสฺสา หิริยาฯ สุสมฺพนฺธสิรนฺติ สุฎฺฐุ สมฺพนฺธสีสํฯ กุสามยนฺติ อุสีราทิมิสฺสกกุสติณมยํฯ สุคนฺธนฺติ อุสีเรน เจว อเญฺญน สุคนฺธติเณน จ มิสฺสกตฺตา สุคนฺธํฯ อชินูปเสวิตนฺติ อุปริอตฺถเตน อชินจเมฺมน อุปเสวิตํฯ อตฺริจฺจ โกจฺฉนฺติ เอวรูปํ โกจฺฉาสนํ ปณฺณสาลทฺวาเร อตฺถริตฺวาฯ สุขยิทมาสนนฺติ สุขํ นิสีท อิทมาสนํฯ

    Tattha suttacāti succhavī. Nīladumābhilambitāti nīlesu dumesu abhilambitā hutvā, taṃ taṃ nīladumasākhaṃ parāmasantīti attho. Mahāmegharivāti tena nimantitā mahāmeghavijju viya tassa taṃ assamaṃ pāvisi. Tassāti tassā hiriyā. Susambandhasiranti suṭṭhu sambandhasīsaṃ. Kusāmayanti usīrādimissakakusatiṇamayaṃ. Sugandhanti usīrena ceva aññena sugandhatiṇena ca missakattā sugandhaṃ. Ajinūpasevitanti upariatthatena ajinacammena upasevitaṃ. Atricca kocchanti evarūpaṃ kocchāsanaṃ paṇṇasāladvāre attharitvā. Sukhayidamāsananti sukhaṃ nisīda idamāsanaṃ.

    นฺติ ยาวทตฺถํฯ อิจฺฉมานายาติ สุธํ อิจฺฉนฺติยาฯ นเวหิ ปเตฺตหีติ ตงฺขณเญฺญว โปกฺขรณิโต อาภเตหิ อลฺลปทุมินิปเตฺตหิฯ สยนฺติ สหเตฺถนฯ สหูทกนฺติ ทกฺขิโณทกสหิตํฯ สุธาภิหาสีติ สุธํ อภิหริฯ ตุริโตติ โสมนสฺสเวเคน ตุริโตฯ หนฺทาติ ววสฺสคฺคเตฺถ นิปาโตฯ ชิตาวินีติ วิชยปฺปตฺตา หุตฺวาฯ

    Yanti yāvadatthaṃ. Icchamānāyāti sudhaṃ icchantiyā. Navehi pattehīti taṅkhaṇaññeva pokkharaṇito ābhatehi allapaduminipattehi. Sayanti sahatthena. Sahūdakanti dakkhiṇodakasahitaṃ. Sudhābhihāsīti sudhaṃ abhihari. Turitoti somanassavegena turito. Handāti vavassaggatthe nipāto. Jitāvinīti vijayappattā hutvā.

    อนุมตาติ อิทานิ ยถารุจิํ คจฺฉาติ อนุญฺญาตาฯ อุทีริตาติ ติทสปุรํ คนฺตฺวา สกฺกสฺส สนฺติเก อยํ สุธาติ อุทีรยิฯ สุรกญฺญนฺติ เทวธีตรํฯ อุตฺตมนฺติ ปวรํฯ สา ปญฺชลี เทวมนุสฺสปูชิตาติ ปญฺชลี เทเวหิ จ มนุเสฺสหิ จ ปูชิตาฯ ยทาติ ยทา นิสีทนตฺถาย สเกฺกน ทาปิเต นเว กญฺจนปีฐสงฺขาเต โกเจฺฉ สา อุปาวิสิ, ตทา นํ ตตฺถ นิสินฺนํ สโกฺก จ เสสเทวตา จ ปาริจฺฉตฺตกปุปฺผาทีหิ ปูชยิํสุฯ

    Anumatāti idāni yathāruciṃ gacchāti anuññātā. Udīritāti tidasapuraṃ gantvā sakkassa santike ayaṃ sudhāti udīrayi. Surakaññanti devadhītaraṃ. Uttamanti pavaraṃ. Sā pañjalī devamanussapūjitāti pañjalī devehi ca manussehi ca pūjitā. Yadāti yadā nisīdanatthāya sakkena dāpite nave kañcanapīṭhasaṅkhāte kocche sā upāvisi, tadā naṃ tattha nisinnaṃ sakko ca sesadevatā ca pāricchattakapupphādīhi pūjayiṃsu.

    เอวํ สโกฺก ตํ ปูเชตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘เกน นุ โข การเณน โกสิโย เสสานํ อทตฺวา อิมิสฺสาว สุธํ อทาสี’’ติฯ โส ตสฺส การณสฺส ชานนตฺถาย ปุน มาตลิํ เปเสสิฯ ตมตฺถํ อาวิ กโรโนฺต สตฺถา อาห –

    Evaṃ sakko taṃ pūjetvā cintesi – ‘‘kena nu kho kāraṇena kosiyo sesānaṃ adatvā imissāva sudhaṃ adāsī’’ti. So tassa kāraṇassa jānanatthāya puna mātaliṃ pesesi. Tamatthaṃ āvi karonto satthā āha –

    ๒๗๔.

    274.

    ‘‘ตเมว สํสี ปุนเทว มาตลิํ, สหสฺสเนโตฺต ติทสานมิโนฺท;

    ‘‘Tameva saṃsī punadeva mātaliṃ, sahassanetto tidasānamindo;

    คนฺตฺวาน วากฺยํ มม พฺรูหิ โกสิยํ, อาสาย สทฺธา สิริยา จ โกสิย;

    Gantvāna vākyaṃ mama brūhi kosiyaṃ, āsāya saddhā siriyā ca kosiya;

    หิรี สุธํ เกน มลตฺถ เหตุนา’’ติฯ

    Hirī sudhaṃ kena malattha hetunā’’ti.

    ตตฺถ สํสีติ อภาสิฯ วากฺยํ มมาติ มม วากฺยํ โกสิยํ พฺรูหิฯ อาสาย สทฺธา สิริยา จาติ อาสาโต จ สทฺธาโต จ สิริโต จ หิรีเยว เกน เหตุนา สุธมลตฺถาติฯ

    Tattha saṃsīti abhāsi. Vākyaṃ mamāti mama vākyaṃ kosiyaṃ brūhi. Āsāya saddhā siriyā cāti āsāto ca saddhāto ca sirito ca hirīyeva kena hetunā sudhamalatthāti.

    โส ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เวชยนฺตรถมารุยฺห อคมาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    So tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā vejayantarathamāruyha agamāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๒๗๕.

    275.

    ‘‘ตํ สุปฺลวตฺถํ อุทตารยี รถํ, ททฺทลฺลมานํ อุปการิยสาทิสํ;

    ‘‘Taṃ suplavatthaṃ udatārayī rathaṃ, daddallamānaṃ upakāriyasādisaṃ;

    ชโมฺพนทีสํ ตปเนยฺยสนฺนิภํ, อลงฺกตํ กญฺจนจิตฺตสนฺนิภํฯ

    Jambonadīsaṃ tapaneyyasannibhaṃ, alaṅkataṃ kañcanacittasannibhaṃ.

    ๒๗๖.

    276.

    ‘‘สุวณฺณจเนฺทตฺถ พหู นิปาติตา, หตฺถี ควาสฺสา กิกิพฺยคฺฆทีปิโย;

    ‘‘Suvaṇṇacandettha bahū nipātitā, hatthī gavāssā kikibyagghadīpiyo;

    เอเณยฺยกา ลงฺฆมเยตฺถ ปกฺขิโน, มิเคตฺถ เวฬุริยมยา ยุธา ยุตาฯ

    Eṇeyyakā laṅghamayettha pakkhino, migettha veḷuriyamayā yudhā yutā.

    ๒๗๗.

    277.

    ‘‘ตตฺถสฺสราชหรโย อโยชยุํ, ทสสตานิ สุสุนาคสาทิเส;

    ‘‘Tatthassarājaharayo ayojayuṃ, dasasatāni susunāgasādise;

    อลงฺกเต กญฺจนชาลุรจฺฉเท, อาเวฬิเน สทฺทคเม อสงฺคิเตฯ

    Alaṅkate kañcanajāluracchade, āveḷine saddagame asaṅgite.

    ๒๗๘.

    278.

    ‘‘ตํ ยานเสฎฺฐํ อภิรุยฺห มาตลิ, ทิสา อิมาโย อภินาทยิตฺถ;

    ‘‘Taṃ yānaseṭṭhaṃ abhiruyha mātali, disā imāyo abhinādayittha;

    นภญฺจ เสลญฺจ วนปฺปตินิญฺจ, สสาครํ ปพฺยถยิตฺถ เมทินิํฯ

    Nabhañca selañca vanappatiniñca, sasāgaraṃ pabyathayittha mediniṃ.

    ๒๗๙.

    279.

    ‘‘ส ขิปฺปเมว อุปคมฺม อสฺสมํ, ปาวารเมกํสกโต กตญฺชลี;

    ‘‘Sa khippameva upagamma assamaṃ, pāvāramekaṃsakato katañjalī;

    พหุสฺสุตํ วุทฺธํ วินีตวนฺตํ, อิจฺจพฺรวิ มาตลิ เทวพฺราหฺมณํฯ

    Bahussutaṃ vuddhaṃ vinītavantaṃ, iccabravi mātali devabrāhmaṇaṃ.

    ๒๘๐.

    280.

    ‘‘อินฺทสฺส วากฺยํ นิสาเมหิ โกสิย, ทูโต อหํ ปุจฺฉติ ตํ ปุรินฺทโท;

    ‘‘Indassa vākyaṃ nisāmehi kosiya, dūto ahaṃ pucchati taṃ purindado;

    อาสาย สทฺธา สิริยา จ โกสิย, หิรี สุธํ เกน มลตฺถ เหตุนา’’ติฯ

    Āsāya saddhā siriyā ca kosiya, hirī sudhaṃ kena malattha hetunā’’ti.

    ตตฺถ ตํ สุปฺลวตฺถนฺติ ตํ เวชยนฺตรถํ สุเขน ปฺลวนตฺถํฯ อุทตารยีติ อุตฺตาเรสิ อุกฺขิปิตฺวา คมนสชฺชมกาสิฯ อุปการิยสาทิสนฺติ อุปกรณภเณฺฑหิ สทิสํ, ยถา ตสฺส อคฺคิสิขาย สมานวณฺณานิ อุปกรณานิ ชลนฺติ, ตเถว ชลิตนฺติ อโตฺถฯ ชโมฺพนทีสนฺติ ชมฺพุนทสงฺขาตํ รตฺตสุวณฺณมยํ อีสํฯ กญฺจนจิตฺตสนฺนิภนฺติ, กญฺจนมเยน สตฺตรตนวิจิเตฺตน อฎฺฐมงฺคเลน สมนฺนาคตํฯ สุวณฺณจเนฺทตฺถาติ สุวณฺณมยา จนฺทกา เอตฺถ รเถฯ หตฺถีติ สุวณฺณรชตมณิมยา หตฺถีฯ ควาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ลงฺฆมเยตฺถ ปกฺขิโนติ เอตฺถ รเถ ลงฺฆมยา นานารตนมยา ปกฺขิคณาปิ ปฎิปาฎิยา ฐิตาฯ ยุธา ยุตาติ อตฺตโน อตฺตโน ยุเธน สทฺธิํ ยุตฺตา หุตฺวา ทสฺสิตาฯ

    Tattha taṃ suplavatthanti taṃ vejayantarathaṃ sukhena plavanatthaṃ. Udatārayīti uttāresi ukkhipitvā gamanasajjamakāsi. Upakāriyasādisanti upakaraṇabhaṇḍehi sadisaṃ, yathā tassa aggisikhāya samānavaṇṇāni upakaraṇāni jalanti, tatheva jalitanti attho. Jambonadīsanti jambunadasaṅkhātaṃ rattasuvaṇṇamayaṃ īsaṃ. Kañcanacittasannibhanti, kañcanamayena sattaratanavicittena aṭṭhamaṅgalena samannāgataṃ. Suvaṇṇacandetthāti suvaṇṇamayā candakā ettha rathe. Hatthīti suvaṇṇarajatamaṇimayā hatthī. Gavādīsupi eseva nayo. Laṅghamayettha pakkhinoti ettha rathe laṅghamayā nānāratanamayā pakkhigaṇāpi paṭipāṭiyā ṭhitā. Yudhā yutāti attano attano yudhena saddhiṃ yuttā hutvā dassitā.

    อสฺสราชหรโยติ หริวณฺณมโนมยอสฺสราชาโนฯ สุสุนาคสาทิเสติ พลสมฺปตฺติยา ตรุณนาคสทิเสฯ กญฺจนชาลุรจฺฉเทติ กญฺจนชาลมเยน อุรจฺฉทาลงฺกาเรน สมนฺนาคเตฯ อาเวฬิเนติ อาเวฬสงฺขาเตหิ กณฺณาลงฺกาเรหิ ยุเตฺตฯ สทฺทคเมติ ปโตทปฺปหารํ วินา สทฺทมเตฺตเนว คมนสีเลฯ อสงฺคีเตติ นิสฺสเงฺค สีฆชเว เอวรูเป อสฺสราเช ตตฺถ โยเชสุนฺติ อโตฺถฯ

    Assarājaharayoti harivaṇṇamanomayaassarājāno. Susunāgasādiseti balasampattiyā taruṇanāgasadise. Kañcanajāluracchadeti kañcanajālamayena uracchadālaṅkārena samannāgate. Āveḷineti āveḷasaṅkhātehi kaṇṇālaṅkārehi yutte. Saddagameti patodappahāraṃ vinā saddamatteneva gamanasīle. Asaṅgīteti nissaṅge sīghajave evarūpe assarāje tattha yojesunti attho.

    อภินาทยิตฺถาติ ยานสเทฺทน เอกนินฺนาทํ อกาสิฯ วนปฺปตินิญฺจาติ วนปฺปตินี จ วนสเณฺฑ จาติ อโตฺถฯ ปพฺยถยิตฺถาติ กมฺปยิตฺถฯ ตตฺถ อากาสฎฺฐกวิมานกมฺปเนน นภกมฺปนํ เวทิตพฺพํฯ ปาวารเมกํสกโตติ เอกํสกตปาวารทิพฺพวโตฺถฯ วุทฺธนฺติ คุณวุทฺธํฯ วินีตวนฺตนฺติ วินีเตน อาจารวเตฺตน สมนฺนาคตํฯ อิจฺจพฺรวีติ รถํ อากาเส ฐเปตฺวา โอตริตฺวา เอวํ อพฺรวิฯ เทวพฺราหฺมณนฺติ เทวสมํ พฺราหฺมณํฯ

    Abhinādayitthāti yānasaddena ekaninnādaṃ akāsi. Vanappatiniñcāti vanappatinī ca vanasaṇḍe cāti attho. Pabyathayitthāti kampayittha. Tattha ākāsaṭṭhakavimānakampanena nabhakampanaṃ veditabbaṃ. Pāvāramekaṃsakatoti ekaṃsakatapāvāradibbavattho. Vuddhanti guṇavuddhaṃ. Vinītavantanti vinītena ācāravattena samannāgataṃ. Iccabravīti rathaṃ ākāse ṭhapetvā otaritvā evaṃ abravi. Devabrāhmaṇanti devasamaṃ brāhmaṇaṃ.

    โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา คาถมาห –

    So tassa vacanaṃ sutvā gāthamāha –

    ๒๘๑.

    281.

    ‘‘อนฺธา สิรี มํ ปฎิภาติ มาตลิ, สทฺธา อนิจฺจา ปน เทวสารถิฯ

    ‘‘Andhā sirī maṃ paṭibhāti mātali, saddhā aniccā pana devasārathi.

    อาสา วิสํวาทิกสมฺมตา หิ เม, หิรี จ อริยมฺหิ คุเณ ปติฎฺฐิตา’’ติฯ

    Āsā visaṃvādikasammatā hi me, hirī ca ariyamhi guṇe patiṭṭhitā’’ti.

    ตตฺถ อนฺธาติ สิปฺปาทิสมฺปเนฺนปิ อสมฺปเนฺนปิ ภชนโต ‘‘อนฺธา’’ติ มํ ปฎิภาติฯ อนิจฺจาติ สทฺธา ปน ตํ ตํ วตฺถุํ ปหาย อญฺญสฺมิํ อญฺญสฺมิํ อุปฺปชฺชนโต หุตฺวา อภาวากาเรน ‘‘อนิจฺจา’’ติ มํ ปฎิภาติฯ วิสํวาทิกสมฺมตาติ อาสา ปน ยสฺมา ธนตฺถิกา นาวาย สมุทฺทํ ปกฺขนฺทิตฺวา วินฎฺฐปาภตา เอนฺติ, ตสฺมา ‘‘วิสํวาทิกา’’ติ มํ ปฎิภาติฯ อริยมฺหิ คุเณติ หิรี ปน หิโรตฺตปฺปสภาวสงฺขาเต ปริสุเทฺธ อริยคุเณ ปติฎฺฐิตาติฯ

    Tattha andhāti sippādisampannepi asampannepi bhajanato ‘‘andhā’’ti maṃ paṭibhāti. Aniccāti saddhā pana taṃ taṃ vatthuṃ pahāya aññasmiṃ aññasmiṃ uppajjanato hutvā abhāvākārena ‘‘aniccā’’ti maṃ paṭibhāti. Visaṃvādikasammatāti āsā pana yasmā dhanatthikā nāvāya samuddaṃ pakkhanditvā vinaṭṭhapābhatā enti, tasmā ‘‘visaṃvādikā’’ti maṃ paṭibhāti. Ariyamhi guṇeti hirī pana hirottappasabhāvasaṅkhāte parisuddhe ariyaguṇe patiṭṭhitāti.

    อิทานิ ตสฺสา คุณํ วเณฺณโนฺต อาห –

    Idāni tassā guṇaṃ vaṇṇento āha –

    ๒๘๒.

    282.

    ‘‘กุมาริโย ยาจิมา โคตฺตรกฺขิตา, ชิณฺณา จ ยา ยา จ สภตฺตุอิตฺถิโย;

    ‘‘Kumāriyo yācimā gottarakkhitā, jiṇṇā ca yā yā ca sabhattuitthiyo;

    ตา ฉนฺทราคํ ปุริเสสุ อุคฺคตํ, หิริยา นิวาเรนฺติ สจิตฺตมตฺตโนฯ

    Tā chandarāgaṃ purisesu uggataṃ, hiriyā nivārenti sacittamattano.

    ๒๘๓.

    283.

    ‘‘สงฺคามสีเส สรสตฺติสํยุเต, ปราชิตานํ ปตตํ ปลายินํ;

    ‘‘Saṅgāmasīse sarasattisaṃyute, parājitānaṃ patataṃ palāyinaṃ;

    หิริยา นิวตฺตนฺติ ชหิตฺว ชีวิตํ, เต สมฺปฎิจฺฉนฺติ ปุนา หิรีมนาฯ

    Hiriyā nivattanti jahitva jīvitaṃ, te sampaṭicchanti punā hirīmanā.

    ๒๘๔.

    284.

    ‘‘เวลา ยถา สาครเวควารินี, หิราย หิ ปาปชนํ นิวารินี;

    ‘‘Velā yathā sāgaravegavārinī, hirāya hi pāpajanaṃ nivārinī;

    ตํ สพฺพโลเก หิริมริยปูชิตํ, อินฺทสฺส ตํ เวทย เทวสารถี’’ติฯ

    Taṃ sabbaloke hirimariyapūjitaṃ, indassa taṃ vedaya devasārathī’’ti.

    ตตฺถ ชิณฺณาติ วิธวาฯ สภตฺตูติ สสามิกา ตรุณิตฺถิโยฯ อตฺตโนติ ตา สพฺพาปิ ปรปุริเสสุ อตฺตโน ฉนฺทราคํ อุคฺคตํ วิทิตฺวา ‘‘อยุตฺตเมตํ อมฺหาก’’นฺติ หิริยา สจิตฺตํ นิวาเรนฺติ, ปาปกมฺมํ น กโรนฺติฯ ปตตํ ปลายินนฺติ ปตนฺตานญฺจ ปลายนฺตานญฺจ อนฺตเรฯ ชหิตฺว ชีวิตนฺติ เย หิริมโนฺต โหนฺติ, เต อตฺตโน ชีวิตํ จชิตฺวา หิริยา นิวตฺตนฺติ, เอวํ นิวตฺตา จ ปน เต หิรีมนา ปุน อตฺตโน สามิกํ สมฺปฎิจฺฉนฺติ, อมิตฺตหตฺถโต โมเจตฺวา คณฺหนฺติฯ ปาปชนํ นิวารินีติ ปาปโต ชนํ นิวารินี, อยเมว วา ปาโฐ ฯ นฺติ ตํ หิริํฯ อริยปูชิตนฺติ อริเยหิ พุทฺธาทีหิ ปูชิตํฯ อินฺทสฺส ตํ เวทยาติ ยสฺมา เอวํ มหาคุณา อริยปูชิตาเวสา, ตสฺมา ตํ เอวํ อุตฺตมา นาเมสาติ อินฺทสฺส กเถหีติฯ

    Tattha jiṇṇāti vidhavā. Sabhattūti sasāmikā taruṇitthiyo. Attanoti tā sabbāpi parapurisesu attano chandarāgaṃ uggataṃ viditvā ‘‘ayuttametaṃ amhāka’’nti hiriyā sacittaṃ nivārenti, pāpakammaṃ na karonti. Patataṃ palāyinanti patantānañca palāyantānañca antare. Jahitva jīvitanti ye hirimanto honti, te attano jīvitaṃ cajitvā hiriyā nivattanti, evaṃ nivattā ca pana te hirīmanā puna attano sāmikaṃ sampaṭicchanti, amittahatthato mocetvā gaṇhanti. Pāpajanaṃ nivārinīti pāpato janaṃ nivārinī, ayameva vā pāṭho . Tanti taṃ hiriṃ. Ariyapūjitanti ariyehi buddhādīhi pūjitaṃ. Indassa taṃ vedayāti yasmā evaṃ mahāguṇā ariyapūjitāvesā, tasmā taṃ evaṃ uttamā nāmesāti indassa kathehīti.

    ตํ สุตฺวา มาตลิ คาถมาห –

    Taṃ sutvā mātali gāthamāha –

    ๒๘๕.

    285.

    ‘‘โก เต อิมํ โกสิย ทิฎฺฐิโมทหิ, พฺรหฺมา มหิโนฺท อถ วา ปชาปติ;

    ‘‘Ko te imaṃ kosiya diṭṭhimodahi, brahmā mahindo atha vā pajāpati;

    หิราย เทเวสุ หิ เสฎฺฐสมฺมตา, ธีตา มหินฺทสฺส มเหสิ ชายถา’’ติฯ

    Hirāya devesu hi seṭṭhasammatā, dhītā mahindassa mahesi jāyathā’’ti.

    ตตฺถ ทิฎฺฐินฺติ ‘‘หิรี นาม มหาคุณา อริยปูชิตา’’ติ ลทฺธิํฯ โอทหีติ หทเย ปเวเสสิฯ เสฎฺฐสมฺมตาติ ตว สนฺติเก สุธาย ลทฺธกาลโต ปฎฺฐาย อินฺทสฺส สนฺติเก กญฺจนาสนํ ลภิตฺวา สพฺพเทวตาหิ ปูชิยมานา อุตฺตมสมฺมตา ชายถฯ

    Tattha diṭṭhinti ‘‘hirī nāma mahāguṇā ariyapūjitā’’ti laddhiṃ. Odahīti hadaye pavesesi. Seṭṭhasammatāti tava santike sudhāya laddhakālato paṭṭhāya indassa santike kañcanāsanaṃ labhitvā sabbadevatāhi pūjiyamānā uttamasammatā jāyatha.

    เอวํ ตสฺมิํ กเถเนฺตเยว โกสิยสฺส ตงฺขณเญฺญว จวนธโมฺม ชาโตฯ อถ นํ, มาตลิ, ‘‘โกสิย อายุสงฺขาโร เต โอสฺสโฎฺฐ, จวนธโมฺมปิ เต สมฺปโตฺต, กิํ เต มนุสฺสโลเกน, เทวโลกํ คจฺฉามา’’ติ ตตฺถ เนตุกาโม หุตฺวา คาถมาห –

    Evaṃ tasmiṃ kathenteyeva kosiyassa taṅkhaṇaññeva cavanadhammo jāto. Atha naṃ, mātali, ‘‘kosiya āyusaṅkhāro te ossaṭṭho, cavanadhammopi te sampatto, kiṃ te manussalokena, devalokaṃ gacchāmā’’ti tattha netukāmo hutvā gāthamāha –

    ๒๘๖.

    286.

    ‘‘หเนฺทหิ ทานิ ติทิวํ อปกฺกม, รถํ สมารุยฺห มมายิตํ อิมํ;

    ‘‘Handehi dāni tidivaṃ apakkama, rathaṃ samāruyha mamāyitaṃ imaṃ;

    อิโนฺท จ ตํ อินฺทสโคตฺต กงฺขติ, อเชฺชว ตฺวํ อินฺทสหพฺยตํ วชา’’ติฯ

    Indo ca taṃ indasagotta kaṅkhati, ajjeva tvaṃ indasahabyataṃ vajā’’ti.

    ตตฺถ มมายิตนฺติ ปิยํ มนาปํฯ อินฺทสโคตฺตาติ ปุริมภเว อิเนฺทน สมานโคตฺตฯ กงฺขตีติ ตวาคมนํ อิจฺฉโนฺต กงฺขติฯ

    Tattha mamāyitanti piyaṃ manāpaṃ. Indasagottāti purimabhave indena samānagotta. Kaṅkhatīti tavāgamanaṃ icchanto kaṅkhati.

    อิติ ตสฺมิํ โกสิเยน สทฺธิํ กเถเนฺตเยว โกสิโย จวิตฺวา โอปปาติโก เทวปุโตฺต หุตฺวา อารุยฺห ทิพฺพรเถ อฎฺฐาสิฯ อถ นํ, มาตลิ, สกฺกสฺส สนฺติกํ เนสิฯ สโกฺก ตํ ทิสฺวาว ตุฎฺฐมานโส อตฺตโน ธีตรํ หิริเทวิํ ตสฺส อคฺคมเหสิํ กตฺวา อทาสิ, อปริมาณมสฺส อิสฺสริยํ อโหสิฯ ตมตฺถํ วิทิตฺวา ‘‘อโนมสตฺตานํ กมฺมํ นาม เอวํ วิสุชฺฌตี’’ติ สตฺถา โอสานคาถมาห –

    Iti tasmiṃ kosiyena saddhiṃ kathenteyeva kosiyo cavitvā opapātiko devaputto hutvā āruyha dibbarathe aṭṭhāsi. Atha naṃ, mātali, sakkassa santikaṃ nesi. Sakko taṃ disvāva tuṭṭhamānaso attano dhītaraṃ hirideviṃ tassa aggamahesiṃ katvā adāsi, aparimāṇamassa issariyaṃ ahosi. Tamatthaṃ viditvā ‘‘anomasattānaṃ kammaṃ nāma evaṃ visujjhatī’’ti satthā osānagāthamāha –

    ๒๘๗.

    287.

    ‘‘เอวํ วิสุชฺฌนฺติ อปาปกมฺมิโน, อโถ สุจิณฺณสฺส ผลํ น นสฺสติ;

    ‘‘Evaṃ visujjhanti apāpakammino, atho suciṇṇassa phalaṃ na nassati;

    เย เกจิ มทฺทกฺขุ สุธาย โภชนํ, สเพฺพว เต อินฺทสหพฺยตํ คตา’’ติฯ

    Ye keci maddakkhu sudhāya bhojanaṃ, sabbeva te indasahabyataṃ gatā’’ti.

    ตตฺถ อปาปกมฺมิโนติ อปาปกมฺมา สตฺตา เอวํ วิสุชฺฌนฺติ เย เกจิ มทฺทกฺขูติ เย เกจิ สตฺตา ตสฺมิํ หิมวนฺตปเทเส ตทา โกสิเยน หิริยา ทียมานํ สุธาโภชนํ อทฺทสํสุฯ สเพฺพว เตติ เต สเพฺพปิ ตํ ทานํ อนุโมทิตฺวา จิตฺตํ ปสาเทตฺวา อินฺทสหพฺยตํ คตาติฯ

    Tattha apāpakamminoti apāpakammā sattā evaṃ visujjhanti ye keci maddakkhūti ye keci sattā tasmiṃ himavantapadese tadā kosiyena hiriyā dīyamānaṃ sudhābhojanaṃ addasaṃsu. Sabbeva teti te sabbepi taṃ dānaṃ anumoditvā cittaṃ pasādetvā indasahabyataṃ gatāti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปตํ อทานาภิรตํ ถทฺธมจฺฉริยํ สมานํ อหํ ทเมสิํเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา หิรี เทวตา อุปฺปลวณฺณา อโหสิ, โกสิโย ทานปติ ภิกฺขุ, ปญฺจสิโข อนุรุโทฺธ, มาตลิ อานโนฺท, สูริโย กสฺสโป, จโนฺท โมคฺคลฺลาโน, นารโท สาริปุโตฺต, สโกฺก อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepetaṃ adānābhirataṃ thaddhamacchariyaṃ samānaṃ ahaṃ damesiṃyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā hirī devatā uppalavaṇṇā ahosi, kosiyo dānapati bhikkhu, pañcasikho anuruddho, mātali ānando, sūriyo kassapo, cando moggallāno, nārado sāriputto, sakko ahameva ahosi’’nti.

    สุธาโภชนชาตกวณฺณนา ตติยาฯ

    Sudhābhojanajātakavaṇṇanā tatiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๓๕. สุธาโภชนชาตกํ • 535. Sudhābhojanajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact