Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    วินยปิฎเก

    Vinayapiṭake

    สารตฺถทีปนี-ฎีกา (ทุติโย ภาโค)

    Sāratthadīpanī-ṭīkā (dutiyo bhāgo)

    ๑. ปาราชิกกณฺฑํ

    1. Pārājikakaṇḍaṃ

    ๑. ปฐมปาราชิกํ

    1. Paṭhamapārājikaṃ

    สุทินฺนภาณวารวณฺณนา

    Sudinnabhāṇavāravaṇṇanā

    ๒๔. อนุปทวณฺณนนฺติ ปทํ ปทํ ปฎิวณฺณนํ, ปทานุกฺกเมน วณฺณนํ วาฯ ภณฺฑปฺปโยชนอุทฺธารสารณาทินา กิเจฺจนาติ เอตฺถ วิกฺกายิกภณฺฑสฺส วิกฺกิณนํ ภณฺฑปฺปโยชนํ, ทาตุํ สเงฺกติเต ทิวเส คนฺตฺวา คหณํ อุทฺธาโร, ‘‘อสุกสฺมิํ ทิวเส ทาตพฺพ’’นฺติ สตุปฺปาทนํ สารณํจตุพฺพิธายาติ ขตฺติยพฺราหฺมณคหปติสมณานํ วเสน จตุพฺพิธาย, ภิกฺขุภิกฺขุนีอุปาสกอุปาสิกานํ วเสน วาฯ ทิสฺวานสฺส เอตทโหสีติ เหตุอโตฺถ อยํ ทิสฺวาน-สโทฺท อสมานกตฺตุโก ยถา ‘‘ฆตํ ปิวิตฺวา พลํ โหติ, สีหํ ทิสฺวา ภยํ โหตี’’ติฯ ทสฺสนการณา หิ เอวํ ปริวิตกฺกนํ อโหสิฯ กิญฺจาปิ เอตฺถ ‘‘ภพฺพกุลปุตฺตสฺสา’’ติ วุตฺตํ, ตถาปิ อุปนิสฺสยสมฺปนฺนสฺสปิ อชาตสตฺตุโน วิย อนฺตราโย ภวิสฺสตีติ อิมสฺส เถรสฺสปิ กตปาปกมฺมมูลวิปฺปฎิสารวเสน อธิคมนฺตราโย อโหสีติ วทนฺติฯ

    24.Anupadavaṇṇananti padaṃ padaṃ paṭivaṇṇanaṃ, padānukkamena vaṇṇanaṃ vā. Bhaṇḍappayojanauddhārasāraṇādinā kiccenāti ettha vikkāyikabhaṇḍassa vikkiṇanaṃ bhaṇḍappayojanaṃ, dātuṃ saṅketite divase gantvā gahaṇaṃ uddhāro, ‘‘asukasmiṃ divase dātabba’’nti satuppādanaṃ sāraṇaṃ. Catubbidhāyāti khattiyabrāhmaṇagahapatisamaṇānaṃ vasena catubbidhāya, bhikkhubhikkhunīupāsakaupāsikānaṃ vasena vā. Disvānassa etadahosīti hetuattho ayaṃ disvāna-saddo asamānakattuko yathā ‘‘ghataṃ pivitvā balaṃ hoti, sīhaṃ disvā bhayaṃ hotī’’ti. Dassanakāraṇā hi evaṃ parivitakkanaṃ ahosi. Kiñcāpi ettha ‘‘bhabbakulaputtassā’’ti vuttaṃ, tathāpi upanissayasampannassapi ajātasattuno viya antarāyo bhavissatīti imassa therassapi katapāpakammamūlavippaṭisāravasena adhigamantarāyo ahosīti vadanti.

    กิํ ปน เยสํ มคฺคผลานํ อุปนิสฺสโย อตฺถิ, พุทฺธานํ สมฺมุขีภาเวปิ เตสํ อนฺตราโย โหตีติ? อาม โหติ, น ปน พุเทฺธ ปฎิจฺจฯ พุทฺธา หิ ปเรสํ มคฺคผลาธิคมาย อุสฺสาหชาตา ตตฺถ นิรนฺตรํ ยุตฺตปยุตฺตา เอว โหนฺติ, ตสฺมา เต ปฎิจฺจ เตสํ อนฺตราโย น โหติ, อถ โข กิริยาปริหานิยา วา ปาปมิตฺตตาย วา โหติ, กิริยาปริหานิ จ เทสกสฺส ตเสฺสว วา ปุคฺคลสฺส ตชฺชปโยคาภาวโต เวทิตพฺพา, เทสกวเสน ปเนตฺถ ปริหานิ สาวกานํ วเสเนว เวทิตพฺพา, น พุทฺธานํ วเสนฯ ตถา หิ สเจ ธมฺมเสนาปติ ธนญฺชานิยสฺส พฺราหฺมณสฺส อาสยํ ญตฺวา ธมฺมํ เทสยิสฺส, พฺราหฺมโณ โสตาปโนฺน อภวิสฺสฯ เอวํ ตาว เทสกสฺส วเสน กิริยาปริหานิยา อนฺตราโย โหติฯ สเจ เปโสฺส หตฺถาโรหปุโตฺต ภควโต สมฺมุขา ธมฺมํ สุณโนฺต มุหุตฺตํ นิสีเทยฺย, ยาว ตสฺส ภควา อตฺตนฺตปาทิเก จตฺตาโร ปุคฺคเล วิตฺถาเรน วิภชิตฺวา เทเสติ, โสตาปตฺติผเลน สํยุโตฺต อภวิสฺสฯ เอวํ ปุคฺคลสฺส วเสน กิริยาปริหานิยา อนฺตราโย โหติ นามฯ อิมสฺส หิ อุปาสกสฺส กิริยาปริหานิ ชาตา อปรินิฎฺฐิตาย เทสนาย อุฎฺฐหิตฺวา ปกฺกนฺตตฺตาฯ สเจ อชาตสตฺตุ เทวทตฺตสฺส วจนํ คเหตฺวา ปิตุฆาตกมฺมํ นากริสฺส, สามญฺญผลสุตฺตกถิตทิวเส โสตาปโนฺน อภวิสฺส, ตสฺส วจนํ คเหตฺวา ปิตุฆาตกมฺมสฺส กตตฺตา ปน นาโหสิฯ เอวํ ปาปมิตฺตตาย อนฺตราโย โหติฯ สุทินฺนสฺสปิ ปาปมิตฺตวเสน อนฺตราโย อโหสีติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยทิ หิ เตน มาตาปิตูนํ วจนํ คเหตฺวา ปุราณทุติยิกาย เมถุนธโมฺม ปฎิเสวิโต นาภวิสฺส, น ตํมูลวิปฺปฎิสารวเสน อธิคมนฺตราโย อภวิสฺสฯ

    Kiṃ pana yesaṃ maggaphalānaṃ upanissayo atthi, buddhānaṃ sammukhībhāvepi tesaṃ antarāyo hotīti? Āma hoti, na pana buddhe paṭicca. Buddhā hi paresaṃ maggaphalādhigamāya ussāhajātā tattha nirantaraṃ yuttapayuttā eva honti, tasmā te paṭicca tesaṃ antarāyo na hoti, atha kho kiriyāparihāniyā vā pāpamittatāya vā hoti, kiriyāparihāni ca desakassa tasseva vā puggalassa tajjapayogābhāvato veditabbā, desakavasena panettha parihāni sāvakānaṃ vaseneva veditabbā, na buddhānaṃ vasena. Tathā hi sace dhammasenāpati dhanañjāniyassa brāhmaṇassa āsayaṃ ñatvā dhammaṃ desayissa, brāhmaṇo sotāpanno abhavissa. Evaṃ tāva desakassa vasena kiriyāparihāniyā antarāyo hoti. Sace pesso hatthārohaputto bhagavato sammukhā dhammaṃ suṇanto muhuttaṃ nisīdeyya, yāva tassa bhagavā attantapādike cattāro puggale vitthārena vibhajitvā deseti, sotāpattiphalena saṃyutto abhavissa. Evaṃ puggalassa vasena kiriyāparihāniyā antarāyo hoti nāma. Imassa hi upāsakassa kiriyāparihāni jātā apariniṭṭhitāya desanāya uṭṭhahitvā pakkantattā. Sace ajātasattu devadattassa vacanaṃ gahetvā pitughātakammaṃ nākarissa, sāmaññaphalasuttakathitadivase sotāpanno abhavissa, tassa vacanaṃ gahetvā pitughātakammassa katattā pana nāhosi. Evaṃ pāpamittatāya antarāyo hoti. Sudinnassapi pāpamittavasena antarāyo ahosīti daṭṭhabbaṃ. Yadi hi tena mātāpitūnaṃ vacanaṃ gahetvā purāṇadutiyikāya methunadhammo paṭisevito nābhavissa, na taṃmūlavippaṭisāravasena adhigamantarāyo abhavissa.

    ยนฺนูนาติ ปริวิตกฺกนเตฺถ นิปาโตติ อาห ‘‘ปริวิตกฺกทสฺสนเมต’’นฺติฯ ‘‘ธมฺมํ สุเณยฺย’’นฺติ กิริยาปเทน วุจฺจมาโน เอว หิ อโตฺถ ‘‘ยนฺนูนา’’ติ นิปาตปเทน โชตียติฯ อหํ ยนฺนูน ธมฺมํ สุเณยฺยนฺติ โยชนาฯ ยนฺนูนาติ จ ยทิ ปนาติ อโตฺถฯ ยทิ ปนาติ อิทมฺปิ หิ เตน สมานตฺถเมวฯ ยํ ธมฺมํ สุณาตีติ สมฺพโนฺธฯ อุฬารุฬารชนาติ ขตฺติยมหาสาลาทิอุฬารุฬารชนากิณฺณา ฯ สเจ อยมฺปิ ปฐมํ อาคเจฺฉยฺย, ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา นิสีทิตุํ อรหรูโปติ อาห ‘‘ปจฺฉา อาคเตนา’’ติฯ สิกฺขตฺตยูปสํหิตนฺติ อธิสีลอธิจิตฺตอธิปญฺญาสงฺขาตสิกฺขตฺตยยุตฺตํฯ โถกํ ธมฺมกถํ สุตฺวา อโหสีติ สมฺพโนฺธฯ อิธาปิ สุตฺวา-สโทฺท เหตุอโตฺถติ ทฎฺฐโพฺพ, สวนการณา เอตทโหสีติ วุตฺตํ โหติฯ ยทิ เอวํ อถ กสฺมา ‘‘เอกมนฺตํ นิสินฺนสฺส…เป.… เอตทโหสี’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘ตํ ปนสฺส ยสฺมา’’ติอาทิฯ ตตฺถ นฺติ ปริวิตกฺกนํฯ

    Yannūnāti parivitakkanatthe nipātoti āha ‘‘parivitakkadassanameta’’nti. ‘‘Dhammaṃ suṇeyya’’nti kiriyāpadena vuccamāno eva hi attho ‘‘yannūnā’’ti nipātapadena jotīyati. Ahaṃ yannūna dhammaṃ suṇeyyanti yojanā. Yannūnāti ca yadi panāti attho. Yadi panāti idampi hi tena samānatthameva. Yaṃ dhammaṃ suṇātīti sambandho. Uḷāruḷārajanāti khattiyamahāsālādiuḷāruḷārajanākiṇṇā . Sace ayampi paṭhamaṃ āgaccheyya, bhagavantaṃ upasaṅkamitvā nisīdituṃ araharūpoti āha ‘‘pacchā āgatenā’’ti. Sikkhattayūpasaṃhitanti adhisīlaadhicittaadhipaññāsaṅkhātasikkhattayayuttaṃ. Thokaṃ dhammakathaṃ sutvā ahosīti sambandho. Idhāpi sutvā-saddo hetuatthoti daṭṭhabbo, savanakāraṇā etadahosīti vuttaṃ hoti. Yadi evaṃ atha kasmā ‘‘ekamantaṃ nisinnassa…pe… etadahosī’’ti vuttanti āha ‘‘taṃ panassa yasmā’’tiādi. Tattha tanti parivitakkanaṃ.

    สเงฺขปกถาติ วิสุํ วิสุํ ปทุทฺธารํ อกตฺวา สมาสโต อตฺถวณฺณนาฯ เยน เยน อากาเรนาติ เยน เยน ปกาเรนฯ เตน เตน เม อุปปริกฺขโตติ ‘‘กามา นาเมเต อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา อฎฺฐิกงฺกลูปมา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๓๔; ๒.๔๒; ปาจิ. ๔๑๗; มหานิ. ๓; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๔๗) จ อาทินา เยน เยน อากาเรน กาเมสุ อาทีนวํ โอการํ สํกิเลสํ, ตพฺพิปริยายโต เนกฺขเมฺม อานิสํสํ คุณํ ปกาเสนฺตํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ อวพุชฺฌามิ, เตน เตน ปกาเรน อุปปริกฺขโต วีมํสนฺตสฺส มยฺหํ เอวํ โหติ เอวํ อุปฎฺฐาติฯ สิกฺขตฺตยพฺรหฺมจริยนฺติ อธิสีลสิกฺขาทิสิกฺขตฺตยสงฺคหํ เสฎฺฐจริยํฯ เอกมฺปิ ทิวสนฺติ เอกทิวสมตฺตมฺปิฯ อขณฺฑํ กตฺวาติ ทุกฺกฎมตฺตสฺสปิ อนาปชฺชเนน อขณฺฑิตํ กตฺวา, อขณฺฑอจฺฉิทฺทาทิภาวาปาทเนน วาฯ อขณฺฑลกฺขณวจนเญฺหตํฯ จริมกจิตฺตนฺติ จุติจิตฺตํฯ กิญฺจิปิ เอกเทสํ อเสเสตฺวา เอกเนฺตเนว ปริปูเรตพฺพตาย เอกนฺตปริปุณฺณํฯ กิเลสมเลน อมลีนํ กตฺวาติ ตณฺหาสํกิเลสาทินา อสํกิลิฎฺฐํ กตฺวา, จิตฺตุปฺปาทมตฺตมฺปิ สํกิเลสมลํ อนุปฺปาเทตฺวาฯ อจฺจนฺตเมว วิสุทฺธํ กตฺวา ปริหริตพฺพตาย เอกนฺตปริสุทฺธํฯ ตโต เอว สงฺขํ วิย ลิขิตนฺติ สงฺขลิขิตํฯ เตนาห ‘‘ลิขิตสงฺขสทิส’’นฺติฯ ปริโยทาตเฎฺฐน นิมฺมลภาเวน สงฺขํ วิย ลิขิตํ โธตนฺติ สงฺขลิขิตนฺติ อาห ‘‘โธตสงฺขสปฺปฎิภาค’’นฺติฯ ‘‘อชฺฌาวสตา’’ติ ปทปฺปโยเคน อคารนฺติ ภุมฺมเตฺถ อุปโยควจนนฺติ อาห ‘‘อคารมเชฺฌ’’ติฯ ทาฐิกาปิ มสฺสุคฺคหเณเนว คเหตฺวา ‘‘มสฺสุ’’เตฺวว วุตฺตํ, อุตฺตราธรมสฺสุนฺติ อโตฺถฯ กสาเยน รตฺตานีติ กาสายานีติ อาห ‘‘กสายรสปีตตายา’’ติฯ ปริทหิตฺวาติ นิวาเสตฺวา เจว ปารุปิตฺวา จฯ อคารสฺส หิตนฺติ อคารวาโส อคารํ อุตฺตรปทโลเปน, ตสฺส วฑฺฒิอาวหํ อคารสฺส หิตํฯ

    Saṅkhepakathāti visuṃ visuṃ paduddhāraṃ akatvā samāsato atthavaṇṇanā. Yena yena ākārenāti yena yena pakārena. Tena tena me upaparikkhatoti ‘‘kāmā nāmete aniccā dukkhā vipariṇāmadhammā aṭṭhikaṅkalūpamā’’ti (ma. ni. 1.234; 2.42; pāci. 417; mahāni. 3; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 147) ca ādinā yena yena ākārena kāmesu ādīnavaṃ okāraṃ saṃkilesaṃ, tabbipariyāyato nekkhamme ānisaṃsaṃ guṇaṃ pakāsentaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi avabujjhāmi, tena tena pakārena upaparikkhato vīmaṃsantassa mayhaṃ evaṃ hoti evaṃ upaṭṭhāti. Sikkhattayabrahmacariyanti adhisīlasikkhādisikkhattayasaṅgahaṃ seṭṭhacariyaṃ. Ekampi divasanti ekadivasamattampi. Akhaṇḍaṃ katvāti dukkaṭamattassapi anāpajjanena akhaṇḍitaṃ katvā, akhaṇḍaacchiddādibhāvāpādanena vā. Akhaṇḍalakkhaṇavacanañhetaṃ. Carimakacittanti cuticittaṃ. Kiñcipi ekadesaṃ asesetvā ekanteneva paripūretabbatāya ekantaparipuṇṇaṃ. Kilesamalena amalīnaṃ katvāti taṇhāsaṃkilesādinā asaṃkiliṭṭhaṃ katvā, cittuppādamattampi saṃkilesamalaṃ anuppādetvā. Accantameva visuddhaṃ katvā pariharitabbatāya ekantaparisuddhaṃ. Tato eva saṅkhaṃ viya likhitanti saṅkhalikhitaṃ. Tenāha ‘‘likhitasaṅkhasadisa’’nti. Pariyodātaṭṭhena nimmalabhāvena saṅkhaṃ viya likhitaṃ dhotanti saṅkhalikhitanti āha ‘‘dhotasaṅkhasappaṭibhāga’’nti. ‘‘Ajjhāvasatā’’ti padappayogena agāranti bhummatthe upayogavacananti āha ‘‘agāramajjhe’’ti. Dāṭhikāpi massuggahaṇeneva gahetvā ‘‘massu’’tveva vuttaṃ, uttarādharamassunti attho. Kasāyena rattānīti kāsāyānīti āha ‘‘kasāyarasapītatāyā’’ti. Paridahitvāti nivāsetvā ceva pārupitvā ca. Agārassa hitanti agāravāso agāraṃ uttarapadalopena, tassa vaḍḍhiāvahaṃ agārassa hitaṃ.

    ๒๕. ญาติสาโลหิตาติอาทีสุ ‘‘อยํ อชฺฌตฺติโก’’ติ ชานนฺติ, ญายนฺติ วาติ ญาตี, โลหิเตน สมฺพนฺธาติ สาโลหิตาฯ ปิตุปกฺขิกา ญาตี, มาตุปกฺขิกา สาโลหิตาฯ มาตุปกฺขิกา ปิตุปกฺขิกา วา ญาตี , สสฺสุสสุรปกฺขิกา สาโลหิตาฯ มิตฺตายนฺตีติ มิตฺตา, มินนฺติ วา สพฺพคุเยฺหสุ อโนฺต ปกฺขิปนฺตีติ มิตฺตาฯ กิจฺจกรณีเยสุ สหภาวเฎฺฐน อมา โหนฺตีติ อมจฺจาฯ มมายตีติ มาตา, ปิยายตีติ ปิตาฯ สรีรกิจฺจเลเสนาติ อุจฺจารปสฺสาวาทิสรีรกิจฺจเลเสนฯ อนนุญฺญาตํ ปุตฺตํ น ปพฺพาเชตีติ ‘‘มาตาปิตูนํ โลกิยมหาชนสฺส จ จิตฺตญฺญถตฺตํ มา โหตู’’ติ น ปพฺพาเชติฯ ตโตเยว จ สุโทฺธทนมหาราชสฺส ตถา วโร ทิโนฺนฯ

    25.Ñātisālohitātiādīsu ‘‘ayaṃ ajjhattiko’’ti jānanti, ñāyanti vāti ñātī, lohitena sambandhāti sālohitā. Pitupakkhikā ñātī, mātupakkhikā sālohitā. Mātupakkhikā pitupakkhikā vā ñātī , sassusasurapakkhikā sālohitā. Mittāyantīti mittā, minanti vā sabbaguyhesu anto pakkhipantīti mittā. Kiccakaraṇīyesu sahabhāvaṭṭhena amā hontīti amaccā. Mamāyatīti mātā, piyāyatīti pitā. Sarīrakiccalesenāti uccārapassāvādisarīrakiccalesena. Ananuññātaṃ puttaṃ na pabbājetīti ‘‘mātāpitūnaṃ lokiyamahājanassa ca cittaññathattaṃ mā hotū’’ti na pabbājeti. Tatoyeva ca suddhodanamahārājassa tathā varo dinno.

    ๒๖. ธุรนิเกฺขเปนาติ ภณฺฑปฺปโยชนาทีสุ ธุรนิเกฺขเปนฯ เตนาห ‘‘น หี’’ติอาทิฯ ปิยายิตโพฺพติ ปิโยติ อาห ‘‘ปีติชนนโก’’ติฯ มนสฺส อปฺปายนโต มนาโปติ อาห ‘‘มนวฑฺฒนโก’’ติฯ สุเขธิโต ตรุณทารกกาเล, ตโต ปรญฺจ สปฺปิขีราทิสาทุรสมนุญฺญโภชนาทิอาหารสมฺปตฺติยา สุขปริหโตฯ อถ วา ทฬฺหภตฺติกธาติชนาทิปริชนสมฺปตฺติยา เจว ปริเจฺฉทสมฺปตฺติยา จ อุฬารปณีตสุขปจฺจยูปหาเรหิ จ สุเขธิโต, อกิเจฺฉเนว ทุกฺขปจฺจยวิโนทเนน สุขปริหโตฯ อชฺฌตฺติกงฺคสมฺปตฺติยา วา สุเขธิโต, พาหิรงฺคสมฺปตฺติยา สุขปริหโต

    26.Dhuranikkhepenāti bhaṇḍappayojanādīsu dhuranikkhepena. Tenāha ‘‘na hī’’tiādi. Piyāyitabboti piyoti āha ‘‘pītijananako’’ti. Manassa appāyanato manāpoti āha ‘‘manavaḍḍhanako’’ti. Sukhedhito taruṇadārakakāle, tato parañca sappikhīrādisādurasamanuññabhojanādiāhārasampattiyā sukhaparihato. Atha vā daḷhabhattikadhātijanādiparijanasampattiyā ceva paricchedasampattiyā ca uḷārapaṇītasukhapaccayūpahārehi ca sukhedhito, akiccheneva dukkhapaccayavinodanena sukhaparihato. Ajjhattikaṅgasampattiyā vā sukhedhito, bāhiraṅgasampattiyā sukhaparihato.

    กิญฺจีติ เอตสฺส วิวรณํ ‘‘อปฺปมตฺตกมฺปิ กลภาค’’นฺติฯ ยทา ชานาติ-สโทฺท โพธนโตฺถ น โหติ, ตทา ตสฺส ปโยเค ‘‘สปฺปิโน ชานาติ, มธุโน ชานาตี’’ติอาทีสุ วิย กรณเตฺถ สามิวจนํ สทฺทตฺถวิทู อิจฺฉนฺตีติ อาห ‘‘กิญฺจิ ทุเกฺขน นานุโภสี’’ติฯ เตนาห ‘‘กรณเตฺถ สามิวจนํ, อนุภวนเตฺถ จ ชานนา’’ติฯ เอตฺถ จ กิญฺจิ ทุเกฺขน นานุโภสีติ เกนจิ ทุเกฺขน กรณภูเตน วิสยํ นานุโภสีติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ‘‘กิญฺจี’’ติ เอตฺถาปิ หิ กรณเตฺถ สามิวจนสฺส โลโป กโตฯ เตเนว จ วกฺขติ ‘‘วิกปฺปทฺวเยปิ ปุริมปทสฺส อุตฺตรปเทน สมานวิภตฺติโลโป ทฎฺฐโพฺพ’’ติฯ ยทา ปน ชานาติ-สโทฺท สรณโตฺถ โหติ, ตทา สรณตฺถานํ ธาตุสทฺทานํ ปโยเค ‘‘มาตุ สรติ, ปิตุ สรติ, ภาตุ ชานาตี’’ติอาทีสุ วิย อุปโยคเตฺถ สามิวจนํ สทฺทสตฺถวิทู วทนฺตีติ อาห ‘‘อถ วา กิญฺจิ ทุกฺขํ นสฺสรสีติ อโตฺถ’’ติ, กสฺสจิ ทุกฺขสฺส อนนุภูตตฺตา อตฺตนา อนุภูตํ อปฺปมตฺตกมฺปิ ทุกฺขํ ปริเยสมาโนปิ อภาวโตเยว นสฺสรสีติ อโตฺถ ฯ วิกปฺปทฺวเยปีติ อนุภวนสรณตฺถวเสน วุเตฺต ทุติยตติยวิกปฺปทฺวเยฯ ปุริมปทสฺสาติ ‘‘กิญฺจี’’ติ ปทสฺสฯ อุตฺตรปเทนาติ ‘‘ทุกฺขสฺสา’’ติ ปเทนฯ สมานวิภตฺติโลโปติ อุตฺตรปเทน สมานสฺส สามิวจนสฺส โลโปฯ ‘‘กสฺสจิ ทุกฺขสฺสา’’ติ วตฺตเพฺพ วิกปฺปทฺวเยปิ ปุริมปเท สามิวจนสฺส โลปํ กตฺวา ‘‘กิญฺจิ ทุกฺขสฺสา’’ติ นิเทฺทโส กโตฯ อนิจฺฉกาติ อนิจฺฉนฺตาฯ เอวํ สเนฺตติ นนุ มยํ สุทินฺน สามาทีสุ เกนจิปิ อุปาเยน อปฺปฎิสาธเนน อปฺปฎิกาเรน มรเณนปิ ตยา อกามกาปิ วินา ภวิสฺสาม, เอวํ สติฯ เยนาติ เยน การเณนฯ กิํ ปนาติ เอตฺถ กินฺติ กรณเตฺถ ปจฺจตฺตวจนนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เกน ปน การเณนา’’ติฯ

    Kiñcīti etassa vivaraṇaṃ ‘‘appamattakampi kalabhāga’’nti. Yadā jānāti-saddo bodhanattho na hoti, tadā tassa payoge ‘‘sappino jānāti, madhuno jānātī’’tiādīsu viya karaṇatthe sāmivacanaṃ saddatthavidū icchantīti āha ‘‘kiñci dukkhena nānubhosī’’ti. Tenāha ‘‘karaṇatthe sāmivacanaṃ, anubhavanatthe ca jānanā’’ti. Ettha ca kiñci dukkhena nānubhosīti kenaci dukkhena karaṇabhūtena visayaṃ nānubhosīti evamattho veditabbo. ‘‘Kiñcī’’ti etthāpi hi karaṇatthe sāmivacanassa lopo kato. Teneva ca vakkhati ‘‘vikappadvayepi purimapadassa uttarapadena samānavibhattilopo daṭṭhabbo’’ti. Yadā pana jānāti-saddo saraṇattho hoti, tadā saraṇatthānaṃ dhātusaddānaṃ payoge ‘‘mātu sarati, pitu sarati, bhātu jānātī’’tiādīsu viya upayogatthe sāmivacanaṃ saddasatthavidū vadantīti āha ‘‘atha vā kiñci dukkhaṃ nassarasīti attho’’ti, kassaci dukkhassa ananubhūtattā attanā anubhūtaṃ appamattakampi dukkhaṃ pariyesamānopi abhāvatoyeva nassarasīti attho . Vikappadvayepīti anubhavanasaraṇatthavasena vutte dutiyatatiyavikappadvaye. Purimapadassāti ‘‘kiñcī’’ti padassa. Uttarapadenāti ‘‘dukkhassā’’ti padena. Samānavibhattilopoti uttarapadena samānassa sāmivacanassa lopo. ‘‘Kassaci dukkhassā’’ti vattabbe vikappadvayepi purimapade sāmivacanassa lopaṃ katvā ‘‘kiñci dukkhassā’’ti niddeso kato. Anicchakāti anicchantā. Evaṃ santeti nanu mayaṃ sudinna sāmādīsu kenacipi upāyena appaṭisādhanena appaṭikārena maraṇenapi tayā akāmakāpi vinā bhavissāma, evaṃ sati. Yenāti yena kāraṇena. Kiṃ panāti ettha kinti karaṇatthe paccattavacananti dassento āha ‘‘kena pana kāraṇenā’’ti.

    ๒๘. คนฺธพฺพนฎนาฎกาทีนีติ เอตฺถ คนฺธพฺพา นาม คายนกา, นฎา นาม รงฺคนฎา, นาฎกา ลงฺฆนกาทโยฯ ปริจาเรหีติ เอตฺถ ปริโต ตตฺถ ตตฺถ ยถาสกํ วิสเยสุ จาเรหีติ อโตฺถติ อาห ‘‘อินฺทฺริยานิ จาเรหี’’ติอาทิฯ ปริจาเรหีติ วา สุขูปกรเณหิ อตฺตานํ ปริจาเรหิ อตฺตโน ปริจรณํ กาเรหิฯ ตถาภูโต จ ยสฺมา ลฬโนฺต กีฬโนฺต นาม โหติ, ตสฺมา ‘‘ลฬา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ภุญฺชิตพฺพโต ปริภุญฺชิตพฺพโต วิเสสโต ปญฺจ กามคุณา โภคา นามาติ อาห ‘‘โภเค ภุญฺชโนฺต’’ติฯ ทานปฺปทานานีติ เอตฺถ นิจฺจทานํ ทานํ นาม, อุโปสถทิวสาทีสุ ทาตพฺพํ อติเรกทานํ ปทานํ นามฯ ปเวณีรกฺขณวเสน วา ทียมานํ ทานํ นาม, อตฺตนาว ปฎฺฐเปตฺวา ทียมานํ ปทานํ นามฯ ปจุรชนสาธารณํ วา นาติอุฬารํ ทานํ นาม, อนญฺญสาธารณํ อติอุฬารํ ปทานํ นามฯ อาทิ-สเทฺทน สีลาทีนิ สงฺคณฺหาติฯ นตฺถิ เอตสฺส วจนปฺปฎิวจนสงฺขาโต อาลาปสลฺลาโปติ นิราลาปสลฺลาโป

    28.Gandhabbanaṭanāṭakādīnīti ettha gandhabbā nāma gāyanakā, naṭā nāma raṅganaṭā, nāṭakā laṅghanakādayo. Paricārehīti ettha parito tattha tattha yathāsakaṃ visayesu cārehīti atthoti āha ‘‘indriyāni cārehī’’tiādi. Paricārehīti vā sukhūpakaraṇehi attānaṃ paricārehi attano paricaraṇaṃ kārehi. Tathābhūto ca yasmā laḷanto kīḷanto nāma hoti, tasmā ‘‘laḷā’’tiādi vuttaṃ. Bhuñjitabbato paribhuñjitabbato visesato pañca kāmaguṇā bhogā nāmāti āha ‘‘bhoge bhuñjanto’’ti. Dānappadānānīti ettha niccadānaṃ dānaṃ nāma, uposathadivasādīsu dātabbaṃ atirekadānaṃ padānaṃ nāma. Paveṇīrakkhaṇavasena vā dīyamānaṃ dānaṃ nāma, attanāva paṭṭhapetvā dīyamānaṃ padānaṃ nāma. Pacurajanasādhāraṇaṃ vā nātiuḷāraṃ dānaṃ nāma, anaññasādhāraṇaṃ atiuḷāraṃ padānaṃ nāma. Ādi-saddena sīlādīni saṅgaṇhāti. Natthi etassa vacanappaṭivacanasaṅkhāto ālāpasallāpoti nirālāpasallāpo.

    ๓๐. พลํ คาเหตฺวาติ เอตฺถ พลคฺคหณํ นาม กายพลสฺส อุปฺปาทนเมวาติ อาห ‘‘กายพลํ ชเนตฺวา’’ติฯ อสฺสุมุขนฺติ อสฺสูนิ มุเข เอตสฺสาติ อสฺสุมุโข, ตํ อสฺสุมุขํ, อสฺสุกิลินฺนมุขนฺติ อโตฺถฯ คาโมเยว คามนฺตเสนาสนํ คามปริยาปนฺนตฺตา คามนฺตเสนาสนสฺสฯ อติเรกลาภปฎิเกฺขเปนาติ ‘‘ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสายา’’ติ (มหาว. ๑๒๘) เอวํ วุตฺตภิกฺขาหารลาภโต อธิกลาโภ สงฺฆภตฺตาทิอติเรกลาโภ, ตสฺส ปฎิเกฺขเปนาติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘จุทฺทส ภตฺตานิ ปฎิกฺขิปิตฺวา’’ติฯ สงฺฆภตฺตํ อุเทฺทสภตฺตํ นิมนฺตนภตฺตํ สลากภตฺตํ ปกฺขิกํ อุโปสถิกํ ปาฎิปทิกํ อาคนฺตุกภตฺตํ คมิกภตฺตํ คิลานภตฺตํ คิลานุปฎฺฐากภตฺตํ วิหารภตฺตํ ธุรภตฺตํ วารภตฺตนฺติ อิมานิ จุทฺทส ภตฺตานิฯ ตตฺถ สกลสฺส สงฺฆสฺส ทาตพฺพํ ภตฺตํ สงฺฆภตฺตํฯ กติปเย ภิกฺขู อุทฺทิสิตฺวา ทาตพฺพํ ภตฺตํ อุเทฺทสภตฺตํฯ เอกสฺมิํ ปเกฺข เอกทิวสํ ทาตพฺพํ ภตฺตํ ปกฺขิกํฯ อุโปสเถ ทาตพฺพํ ภตฺตํ อุโปสถิกํฯ ปาฎิปททิวเส ทาตพฺพํ ภตฺตํ ปาฎิปทิกํฯ วิหารํ อุทฺทิสฺส ทาตพฺพํ ภตฺตํ วิหารภตฺตํฯ ธุรเคเหเยว ฐเปตฺวา ทาตพฺพํ ภตฺตํ ธุรภตฺตํฯ คามวาสีอาทีหิ วาเรน ทาตพฺพํ ภตฺตํ วารภตฺตํ

    30.Balaṃ gāhetvāti ettha balaggahaṇaṃ nāma kāyabalassa uppādanamevāti āha ‘‘kāyabalaṃ janetvā’’ti. Assumukhanti assūni mukhe etassāti assumukho, taṃ assumukhaṃ, assukilinnamukhanti attho. Gāmoyeva gāmantasenāsanaṃ gāmapariyāpannattā gāmantasenāsanassa. Atirekalābhapaṭikkhepenāti ‘‘piṇḍiyālopabhojanaṃ nissāyā’’ti (mahāva. 128) evaṃ vuttabhikkhāhāralābhato adhikalābho saṅghabhattādiatirekalābho, tassa paṭikkhepenāti attho. Tenāha ‘‘cuddasabhattāni paṭikkhipitvā’’ti. Saṅghabhattaṃ uddesabhattaṃ nimantanabhattaṃ salākabhattaṃ pakkhikaṃ uposathikaṃ pāṭipadikaṃ āgantukabhattaṃ gamikabhattaṃ gilānabhattaṃ gilānupaṭṭhākabhattaṃ vihārabhattaṃ dhurabhattaṃ vārabhattanti imāni cuddasa bhattāni. Tattha sakalassa saṅghassa dātabbaṃ bhattaṃ saṅghabhattaṃ. Katipaye bhikkhū uddisitvā dātabbaṃ bhattaṃ uddesabhattaṃ. Ekasmiṃ pakkhe ekadivasaṃ dātabbaṃ bhattaṃ pakkhikaṃ. Uposathe dātabbaṃ bhattaṃ uposathikaṃ. Pāṭipadadivase dātabbaṃ bhattaṃ pāṭipadikaṃ. Vihāraṃ uddissa dātabbaṃ bhattaṃ vihārabhattaṃ. Dhurageheyeva ṭhapetvā dātabbaṃ bhattaṃ dhurabhattaṃ. Gāmavāsīādīhi vārena dātabbaṃ bhattaṃ vārabhattaṃ.

    อถ ‘‘คหปติจีวรํ ปฎิกฺขิปิตฺวา’’ติ กสฺมา วุตฺตํฯ คหเณ หิ สติ ปฎิเกฺขโป ยุเชฺชยฺย, น จ ปฐมโพธิยํ คหปติจีวรสฺส ปฎิคฺคหณํ อนุญฺญาตํ ปรโต ชีวกวตฺถุสฺมิํ อนุญฺญาตตฺตาฯ เตเนว วกฺขติ ชีวกวตฺถุสฺมิํ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๓๗) ‘‘ภควโต หิ พุทฺธภาวปฺปตฺติโต ปฎฺฐาย ยาว อิทํ วตฺถํ, เอตฺถนฺตเร วีสติ วสฺสานิ น โกจิ คหปติจีวรํ สาทิยิ, สเพฺพ ปํสุกูลิกาว อเหสุ’’นฺติฯ สุทิโนฺน จ ปฐมโพธิยํเยว ปพฺพชิโตฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘สุทิโนฺน หิ ภควโต ทฺวาทสเม วเสฺส ปพฺพชิโต, วีสติเม วเสฺส ญาติกุลํ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ, สยํ ปพฺพชฺชาย อฎฺฐวสฺสิโก หุตฺวา’’ติฯ ตสฺมา ‘‘คหปติจีวรํ ปฎิกฺขิปิตฺวา’’ติ กสฺมา วุตฺตนฺติ? วุจฺจเต – อนนุญฺญาเตปิ คหปติจีวเร ปํสุกูลิกงฺคสมาทานวเสน คหปติจีวรํ ปฎิกฺขิตฺตํ นาม โหตีติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘คหปติจีวรํ ปฎิกฺขิปิตฺวา’’ติฯ

    Atha ‘‘gahapaticīvaraṃ paṭikkhipitvā’’ti kasmā vuttaṃ. Gahaṇe hi sati paṭikkhepo yujjeyya, na ca paṭhamabodhiyaṃ gahapaticīvarassa paṭiggahaṇaṃ anuññātaṃ parato jīvakavatthusmiṃ anuññātattā. Teneva vakkhati jīvakavatthusmiṃ (mahāva. aṭṭha. 337) ‘‘bhagavato hi buddhabhāvappattito paṭṭhāya yāva idaṃ vatthaṃ, etthantare vīsati vassāni na koci gahapaticīvaraṃ sādiyi, sabbe paṃsukūlikāva ahesu’’nti. Sudinno ca paṭhamabodhiyaṃyeva pabbajito. Teneva vakkhati ‘‘sudinno hi bhagavato dvādasame vasse pabbajito, vīsatime vasse ñātikulaṃ piṇḍāya paviṭṭho, sayaṃ pabbajjāya aṭṭhavassiko hutvā’’ti. Tasmā ‘‘gahapaticīvaraṃ paṭikkhipitvā’’ti kasmā vuttanti? Vuccate – ananuññātepi gahapaticīvare paṃsukūlikaṅgasamādānavasena gahapaticīvaraṃ paṭikkhittaṃ nāma hotīti katvā vuttaṃ ‘‘gahapaticīvaraṃ paṭikkhipitvā’’ti.

    โลลุปฺปจารํ ปฎิกฺขิปิตฺวาติ กุสลภณฺฑสฺส ภุสํ วิลุมฺปนเฎฺฐน โลลุปฺปํ วุจฺจติ ตณฺหา, โลลุเปฺปน จรณํ โลลุปฺปจาโร, ตณฺหาวเสน ฆรปฎิปาฎิํ อติกฺกมิตฺวา ภิกฺขาย จรณํ, ตํ ปฎิกฺขิปิตฺวาติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘ฆรปฎิปาฎิยา ภิกฺขาย ปวิสตี’’ติฯ เอตฺถ จ อารญฺญิกงฺคาทิปธานงฺควเสน เสสธุตงฺคานิปิ คหิตาเนว โหนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ วชฺชีนนฺติ ราชาโน อเปกฺขิตฺวา สามิวจนํ กตํ, วชฺชีราชูนนฺติ อโตฺถฯ ชนปท-สทฺทสฺส ตํนิวาสีสุปิ ปวตฺตนโต ‘‘วชฺชีสู’’ติ ชนปทาเปกฺขํ ภุมฺมวจนํ, วชฺชินามเก ชนปเทติ อโตฺถฯ

    Loluppacāraṃ paṭikkhipitvāti kusalabhaṇḍassa bhusaṃ vilumpanaṭṭhena loluppaṃ vuccati taṇhā, loluppena caraṇaṃ loluppacāro, taṇhāvasena gharapaṭipāṭiṃ atikkamitvā bhikkhāya caraṇaṃ, taṃ paṭikkhipitvāti attho. Tenāha ‘‘gharapaṭipāṭiyā bhikkhāya pavisatī’’ti. Ettha ca āraññikaṅgādipadhānaṅgavasena sesadhutaṅgānipi gahitāneva hontīti veditabbaṃ. Vajjīnanti rājāno apekkhitvā sāmivacanaṃ kataṃ, vajjīrājūnanti attho. Janapada-saddassa taṃnivāsīsupi pavattanato ‘‘vajjīsū’’ti janapadāpekkhaṃ bhummavacanaṃ, vajjināmake janapadeti attho.

    อุปโภคปริโภคูปกรณมหนฺตตายาติ ปญฺจกามคุณสงฺขาตานํ อุปโภคานเญฺจว หตฺถิอสฺสรถอิตฺถิยาทิอุปโภคูปกรณานญฺจ มหนฺตตายฯ อุปโภคูปกรณาเนว หิ อิธ ปริโภคูปกรณสเทฺทน วุตฺตานิฯ เตเนวาห ‘‘เย หิ เตสํ อุปโภคา, ยานิ จ อุปโภคูปกรณานิ, ตานิ มหนฺตานี’’ติฯ ‘‘อุปโภคา หตฺถิอสฺสรถอิตฺถีอาทโย, อุปโภคูปกรณานิ เตสเมว สุวณฺณาทิอุปกรณานี’’ติปิ วทนฺติฯ สารกานีติ สารภูตานิฯ นิเธตฺวาติ นิทหิตฺวา, นิธานํ กตฺวาติ อโตฺถฯ ทิวสปริพฺพยสงฺขาตโภคมหนฺตตายาติ ทิวเส ทิวเส ปริภุญฺชิตพฺพสงฺขาตโภคานํ มหนฺตตายฯ ชาตรูปรชตเสฺสว ปหูตตายาติ ปิณฺฑปิณฺฑวเสน เจว สุวณฺณมาสกรชตมาสกาทิวเสน จ ชาตรูปรชตเสฺสว ปหูตตายฯ วิตฺตีติ ตุฎฺฐิ, วิตฺติยา อุปกรณํ วิตฺตูปกรณํ, ปหูตํ นานาวิธาลงฺการภูตํ วิตฺตูปกรณเมเตสนฺติ ปหูตวิตฺตูปกรณาฯ เตนาห ‘‘อลงฺการภูตสฺสา’’ติอาทิฯ โวหารวเสนาติ วณิชฺชาวเสน วฑฺฒิกตาทิวเสนฯ ธนธญฺญสฺส ปหูตตายาติ สตฺตรตนสงฺขาตสฺส ธนสฺส สพฺพปุพฺพณฺณาปรณฺณสงฺคหิตสฺส ธญฺญสฺส จ ปหูตตายาติ อโตฺถฯ ตตฺถ ‘‘สุวณฺณรชตมณิมุตฺตาเวฬุริยวชิรปวาฬานิ สตฺต รตนานี’’ติ วทนฺติฯ สาลิวีหิอาทิ ปุพฺพณฺณํ ปุรกฺขตํ สสฺสผลนฺติ กตฺวา, ตพฺพิปริยายโต มุคฺคมาสาทิ อปรณฺณนฺติ เวทิตพฺพํฯ อุกฺกฎฺฐปิณฺฑปาติกตฺตาติ เสสธุตงฺคปริวาริเตน อุกฺกฎฺฐปิณฺฑปาตธุตเงฺคน สมนฺนาคตตฺตาฯ เตนาห ‘‘สปทานจารํ จริตุกาโม’’ติฯ

    Upabhogaparibhogūpakaraṇamahantatāyāti pañcakāmaguṇasaṅkhātānaṃ upabhogānañceva hatthiassarathaitthiyādiupabhogūpakaraṇānañca mahantatāya. Upabhogūpakaraṇāneva hi idha paribhogūpakaraṇasaddena vuttāni. Tenevāha ‘‘ye hi tesaṃ upabhogā, yāni ca upabhogūpakaraṇāni, tāni mahantānī’’ti. ‘‘Upabhogā hatthiassarathaitthīādayo, upabhogūpakaraṇāni tesameva suvaṇṇādiupakaraṇānī’’tipi vadanti. Sārakānīti sārabhūtāni. Nidhetvāti nidahitvā, nidhānaṃ katvāti attho. Divasaparibbayasaṅkhātabhogamahantatāyāti divase divase paribhuñjitabbasaṅkhātabhogānaṃ mahantatāya. Jātarūparajatasseva pahūtatāyāti piṇḍapiṇḍavasena ceva suvaṇṇamāsakarajatamāsakādivasena ca jātarūparajatasseva pahūtatāya. Vittīti tuṭṭhi, vittiyā upakaraṇaṃ vittūpakaraṇaṃ, pahūtaṃ nānāvidhālaṅkārabhūtaṃ vittūpakaraṇametesanti pahūtavittūpakaraṇā. Tenāha ‘‘alaṅkārabhūtassā’’tiādi. Vohāravasenāti vaṇijjāvasena vaḍḍhikatādivasena. Dhanadhaññassa pahūtatāyāti sattaratanasaṅkhātassa dhanassa sabbapubbaṇṇāparaṇṇasaṅgahitassa dhaññassa ca pahūtatāyāti attho. Tattha ‘‘suvaṇṇarajatamaṇimuttāveḷuriyavajirapavāḷāni satta ratanānī’’ti vadanti. Sālivīhiādi pubbaṇṇaṃ purakkhataṃ sassaphalanti katvā, tabbipariyāyato muggamāsādi aparaṇṇanti veditabbaṃ. Ukkaṭṭhapiṇḍapātikattāti sesadhutaṅgaparivāritena ukkaṭṭhapiṇḍapātadhutaṅgena samannāgatattā. Tenāha ‘‘sapadānacāraṃ caritukāmo’’ti.

    ๓๑. อโนฺตชาตตาย วา ญาติสทิสี ทาสีติ ญาติทาสีฯ ปูติภาเวเนว ลกฺขิตพฺพโทโส วา อาภิโทสิโก, อภิโทสํ วา ปจฺจูสกาลํ คโต ปโตฺต อติกฺกโนฺตติ อาภิโทสิโกฯ เตนาห ‘‘เอกรตฺตาติกฺกนฺตสฺส วา’’ติอาทิฯ ปูติภูตภาเวน ปริโภคํ นารหตีติ อปริโภคารโหฯ ฉฑฺฑนียสภาเว นิจฺฉิเตปิ ปุจฺฉากาเล สเนฺทหโวหารวเสเนว ปุจฺฉิตุํ ยุตฺตนฺติ อาห ‘‘สเจ’’ติฯ อริยโวหาเรนาติ อริยสมุทาจาเรนฯ อริยา หิ มาตุคามํ ภคินิวาเทน สมุทาจรนฺติฯ นิสฺสฎฺฐปริคฺคหนฺติ ปริจฺจตฺตาลยํฯ

    31. Antojātatāya vā ñātisadisī dāsīti ñātidāsī. Pūtibhāveneva lakkhitabbadoso vā ābhidosiko, abhidosaṃ vā paccūsakālaṃ gato patto atikkantoti ābhidosiko. Tenāha ‘‘ekarattātikkantassa vā’’tiādi. Pūtibhūtabhāvena paribhogaṃ nārahatīti aparibhogāraho. Chaḍḍanīyasabhāve nicchitepi pucchākāle sandehavohāravaseneva pucchituṃ yuttanti āha ‘‘sace’’ti. Ariyavohārenāti ariyasamudācārena. Ariyā hi mātugāmaṃ bhaginivādena samudācaranti. Nissaṭṭhapariggahanti pariccattālayaṃ.

    ‘‘อากิรา’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘วิญฺญตฺติ วา’’ติ วุตฺตํ, ‘‘สเจ ตํ ฉฑฺฑนียธมฺม’’นฺติ ปริยายํ อมุญฺจิตฺวา วุตฺตตฺตา ‘‘ปยุตฺตวาจา วา’’ติ วุตฺตํ, ปจฺจยปฎิสํยุตฺตา วาจา ปยุตฺตวาจาฯ วตฺตุํ วฎฺฎตีติ นิรเปกฺขภาวโต วุตฺตํ , อิธ ปน วิเสสโต อปริโภคารหตฺตาว วตฺถุโนฯ อคฺคอริยวํสิโกติ อริยวํสปฎิปตฺติปูรกานํ อโคฺค อุตฺตโมฯ นิมียติ สญฺญายตีติ นิมิตฺตํ, ยถาสลฺลกฺขิโต อากาโรติ อาห ‘‘คิหิกาเล สลฺลกฺขิตปุพฺพํ อาการ’’นฺติฯ หตฺถปิฎฺฐิอาทีนิ โอโลกยมานา ‘‘สามิปุตฺตสฺส เม สุทินฺนสฺส วิย สุวณฺณกจฺฉปปิฎฺฐิสทิสา อิมา หตฺถปาทปิฎฺฐิโย, หริตาลวฎฺฎิโย วิย สุวฎฺฎิตา องฺคุลิโย, มธุโร สโร’’ติ คิหิกาเล สลฺลกฺขิตปุพฺพํ อาการํ อคฺคเหสิ สญฺชานิ สลฺลเกฺขสิฯ กสฺมา ปน สา ญาติทาสี ทิสฺวาว น สญฺชานีติ อาห ‘‘สุทิโนฺน หี’’ติอาทิฯ ปพฺพชฺชุปคเตนาติ ปพฺพชฺชํ อุปคเตน, ปพฺพชิเตนาติ อโตฺถฯ ฆรํ ปวิสิตฺวาติ เคหสามินิยา นิสีทิตพฺพฎฺฐานภูตํ อโนฺตเคหํ ปวิสิตฺวาฯ ยเคฺฆติ อิมสฺส อาโรจยามีติ อยมโตฺถติ อาห ‘‘อาโรจนเตฺถ นิปาโต’’ติฯ ‘‘ยเคฺฆ ชาเนยฺยาสีติ สุฎฺฐุ ชาเนยฺยาสี’’ติปิ อตฺถํ วทนฺติฯ อาลปเนติ ทาสิชนสฺส อาลปเนฯ เตนาห ‘‘เอวญฺหี’’ติอาทิฯ

    ‘‘Ākirā’’ti vuttattā ‘‘viññatti vā’’ti vuttaṃ, ‘‘sace taṃ chaḍḍanīyadhamma’’nti pariyāyaṃ amuñcitvā vuttattā ‘‘payuttavācā vā’’ti vuttaṃ, paccayapaṭisaṃyuttā vācā payuttavācā. Vattuṃ vaṭṭatīti nirapekkhabhāvato vuttaṃ , idha pana visesato aparibhogārahattāva vatthuno. Aggaariyavaṃsikoti ariyavaṃsapaṭipattipūrakānaṃ aggo uttamo. Nimīyati saññāyatīti nimittaṃ, yathāsallakkhito ākāroti āha ‘‘gihikāle sallakkhitapubbaṃ ākāra’’nti. Hatthapiṭṭhiādīni olokayamānā ‘‘sāmiputtassa me sudinnassa viya suvaṇṇakacchapapiṭṭhisadisā imā hatthapādapiṭṭhiyo, haritālavaṭṭiyo viya suvaṭṭitā aṅguliyo, madhuro saro’’ti gihikāle sallakkhitapubbaṃ ākāraṃ aggahesi sañjāni sallakkhesi. Kasmā pana sā ñātidāsī disvāva na sañjānīti āha ‘‘sudinno hī’’tiādi. Pabbajjupagatenāti pabbajjaṃ upagatena, pabbajitenāti attho. Gharaṃ pavisitvāti gehasāminiyā nisīditabbaṭṭhānabhūtaṃ antogehaṃ pavisitvā. Yaggheti imassa ārocayāmīti ayamatthoti āha ‘‘ārocanatthe nipāto’’ti. ‘‘Yagghe jāneyyāsīti suṭṭhu jāneyyāsī’’tipi atthaṃ vadanti. Ālapaneti dāsijanassa ālapane. Tenāha ‘‘evañhī’’tiādi.

    ๓๒. ฆเรสุ สาลา โหนฺตีติ ฆเรสุ เอกมเนฺต โภชนสาลา โหนฺติ ปาการปริกฺขิตฺตา สุสํวิหิตทฺวารพนฺธา สุสมฺมฎฺฐวาลิกงฺคณาฯ อุทกกญฺชิยนฺติ อุทกญฺจ กญฺชิยญฺจฯ กสฺมา ปน อีทิสายเมว สาลาย อญฺญตรํ กุฎฺฎมูลนฺติ อยมโตฺถ วุโตฺตติ อาห ‘‘น หิ ปพฺพชิตา’’ติอาทิฯ อสารุเปฺป ฐาเนติ ภิกฺขูนํ อนนุจฺฉวิเก ปเทเสฯ อตฺถิ นุ โขติ นุ-สโทฺท ปุจฺฉนเตฺถ, โข-สโทฺท วจนสิลิฎฺฐตาย วุโตฺตฯ นุโขติ วา นิปาตสมุทาโย ปุจฺฉนโตฺถฯ เตน นาม-สทฺทสฺส ปุจฺฉนตฺถตํ ทเสฺสติฯ เยสํ โน ตฺวนฺติ เยสํ โน ปุโตฺต ตฺวํฯ อีทิเส ฐาเนติ กิญฺจาปิ ตํ ฐานํ ภิกฺขูนํ อนนุรูปํ น โหติ, ตถาปิ มาทิสานํ มหาโภคกุลานํ ปุตฺตสฺส ปรกุเล อาสนสาลายํ นิสีทิตฺวา โภชนํ นาม อยุตฺตรูปนฺติ มญฺญมาโน อาหฯ เตเนวาห ‘‘นนุ นาม, ตาต สุทินฺน, สกํ เคหํ คนฺตพฺพ’’นฺติฯ อเญฺญนปิ ปกาเรน นามสทฺทสฺส ปุจฺฉนตฺถตเมว ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ตถา อตฺถิ นุ โข ตาตา’’ติอาทิฯ ตถาติ สมุจฺจยโตฺถฯ อิทานิ นามสทฺทสฺส มญฺญนตฺถตํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ตถา อตฺถิ มเญฺญ’’ติอาทิฯ

    32.Gharesu sālā hontīti gharesu ekamante bhojanasālā honti pākāraparikkhittā susaṃvihitadvārabandhā susammaṭṭhavālikaṅgaṇā. Udakakañjiyanti udakañca kañjiyañca. Kasmā pana īdisāyameva sālāya aññataraṃ kuṭṭamūlanti ayamattho vuttoti āha ‘‘na hi pabbajitā’’tiādi. Asāruppe ṭhāneti bhikkhūnaṃ ananucchavike padese. Atthi nu khoti nu-saddo pucchanatthe, kho-saddo vacanasiliṭṭhatāya vutto. Nukhoti vā nipātasamudāyo pucchanattho. Tena nāma-saddassa pucchanatthataṃ dasseti. Yesaṃ no tvanti yesaṃ no putto tvaṃ. Īdise ṭhāneti kiñcāpi taṃ ṭhānaṃ bhikkhūnaṃ ananurūpaṃ na hoti, tathāpi mādisānaṃ mahābhogakulānaṃ puttassa parakule āsanasālāyaṃ nisīditvā bhojanaṃ nāma ayuttarūpanti maññamāno āha. Tenevāha ‘‘nanu nāma, tāta sudinna, sakaṃ gehaṃ gantabba’’nti. Aññenapi pakārena nāmasaddassa pucchanatthatameva dassento āha ‘‘tathā atthi nu kho tātā’’tiādi. Tathāti samuccayattho. Idāni nāmasaddassa maññanatthataṃ dassento āha ‘‘tathā atthi maññe’’tiādi.

    ทุกฺขาภิตุนฺนตายาติ มานสิเกน ทุเกฺขน อภิปีฬิตตฺตาฯ เอตมตฺถนฺติ ‘‘อตฺถิ นุ โข, ตาต สุทินฺน, อมฺหากํ ธน’’นฺติอาทินา ยถาวุตฺตมตฺถํฯ อโนกปฺปนามริสนตฺถวเสนาติ เอตฺถ อโนกปฺปนํ อสทฺทหนํฯ อมริสนํ อสหนํฯ อนาคตวจนํ อนาคตสทฺทปฺปโยโค, อโตฺถ ปน วตฺตมานกาลิโกวฯ เตนาห ‘‘ปจฺจกฺขมฺปี’’ติฯ น มริสยามีติ น วิสหามิฯ ตํ น สุนฺทรนฺติ ‘‘ตทาย’’นฺติ ปาฐํ สนฺธายาหฯ อลํ, คหปติ, กตํ เม อชฺช ภตฺตกิจฺจนฺติ เถโร อุกฺกฎฺฐเอกาสนิกตาย ปฎิกฺขิปโนฺต เอวมาหฯ อุกฺกฎฺฐเอกาสนิกตายาติ จ อิทํ ภูตกถนวเสน วุตฺตํ เถรสฺส ตถาภาวทีปนตฺถํฯ มุทุกสฺสปิ หิ เอกาสนิกสฺส ยาย นิสชฺชาย กิญฺจิมตฺตมฺปิ โภชนํ ภุตฺตํ, วตฺตสีเสนปิ ตโต วุฎฺฐิตสฺส ปุน ภุญฺชิตุํ น วฎฺฎติฯ เตนาห ติปิฎกจูฬาภยเตฺถโร ‘‘อาสนํ วา รเกฺขยฺย โภชนํ วา’’ติฯ อุกฺกฎฺฐปิณฺฑปาติโกปิ สมาโนติ นิทสฺสนมตฺตมิทํ, เถโร สปทานจาริเกสุปิ อุกฺกโฎฺฐเยวฯ อุกฺกฎฺฐสปทานจาริโกปิ หิ ปุรโต จ ปจฺฉโต จ อาหฎภิกฺขมฺปิ อคฺคเหตฺวาว ฆรทฺวาเร ฐตฺวา ปตฺตวิสฺสชฺชนเมว กโรติ, ตสฺมา เถโร อุกฺกฎฺฐสปทานจาริกตฺตาปิ สฺวาตนาย ภิกฺขํ นาธิวาเสติฯ อถ กสฺมา ‘‘อธิวาเสสี’’ติ อาห ‘‘สเจ เอกภตฺตมฺปิ น คเหสฺสามี’’ติอาทิฯ ปณฺฑิตา หิ มาตาปิตูนํ อาจริยุปชฺฌายานํ วา กาตพฺพํ อนุคฺคหํ อชฺฌุเปกฺขิตฺวา ธุตงฺควิสุทฺธิกา น ภวนฺติฯ

    Dukkhābhitunnatāyāti mānasikena dukkhena abhipīḷitattā. Etamatthanti ‘‘atthi nu kho, tāta sudinna, amhākaṃ dhana’’ntiādinā yathāvuttamatthaṃ. Anokappanāmarisanatthavasenāti ettha anokappanaṃ asaddahanaṃ. Amarisanaṃ asahanaṃ. Anāgatavacanaṃ anāgatasaddappayogo, attho pana vattamānakālikova. Tenāha ‘‘paccakkhampī’’ti. Na marisayāmīti na visahāmi. Taṃ na sundaranti ‘‘tadāya’’nti pāṭhaṃ sandhāyāha. Alaṃ, gahapati, kataṃ me ajja bhattakiccanti thero ukkaṭṭhaekāsanikatāya paṭikkhipanto evamāha. Ukkaṭṭhaekāsanikatāyāti ca idaṃ bhūtakathanavasena vuttaṃ therassa tathābhāvadīpanatthaṃ. Mudukassapi hi ekāsanikassa yāya nisajjāya kiñcimattampi bhojanaṃ bhuttaṃ, vattasīsenapi tato vuṭṭhitassa puna bhuñjituṃ na vaṭṭati. Tenāha tipiṭakacūḷābhayatthero ‘‘āsanaṃ vā rakkheyya bhojanaṃ vā’’ti. Ukkaṭṭhapiṇḍapātikopi samānoti nidassanamattamidaṃ, thero sapadānacārikesupi ukkaṭṭhoyeva. Ukkaṭṭhasapadānacārikopi hi purato ca pacchato ca āhaṭabhikkhampi aggahetvāva gharadvāre ṭhatvā pattavissajjanameva karoti, tasmā thero ukkaṭṭhasapadānacārikattāpi svātanāya bhikkhaṃ nādhivāseti. Atha kasmā ‘‘adhivāsesī’’ti āha ‘‘sace ekabhattampi na gahessāmī’’tiādi. Paṇḍitā hi mātāpitūnaṃ ācariyupajjhāyānaṃ vā kātabbaṃ anuggahaṃ ajjhupekkhitvā dhutaṅgavisuddhikā na bhavanti.

    ๓๓. มชฺฌิมปฺปมาโณติ จตุหโตฺถ ปุริโส มชฺฌิมปฺปมาโณฯ ‘‘ฉหโตฺถ’’ติปิ เกจิฯ ติโร กโรนฺติ เอตายาติ ติโรกรณีติ สาณิปาการวจโน อยํ ติโรกรณี-สโทฺทติ อาห ‘‘ติโรกรณิยนฺติ กรณเตฺถ ภุมฺม’’นฺติฯ ‘‘ติโรกรณิยา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ติโรกรณิย’’นฺติ กรณเตฺถ ภุมฺมํ วุตฺตํฯ ติโรกรณีย-สโทฺท วา อยํ สาณิปาการปริยาโยติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อถ วา’’ติอาทิฯ ตํ ปริกฺขิปิตฺวาติ ตํ สมนฺตโต ขิปิตฺวา, ปริโต พนฺธิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ เตนาห ‘‘สมนฺตโต กตฺวา’’ติฯ วิภตฺติปติรูปโกปิ นิปาโต โหตีติ อาห ‘‘เตนาติ อยมฺปิ วา’’ติอาทิฯ

    33.Majjhimappamāṇoti catuhattho puriso majjhimappamāṇo. ‘‘Chahattho’’tipi keci. Tiro karonti etāyāti tirokaraṇīti sāṇipākāravacano ayaṃ tirokaraṇī-saddoti āha ‘‘tirokaraṇiyanti karaṇatthe bhumma’’nti. ‘‘Tirokaraṇiyā’’ti vattabbe ‘‘tirokaraṇiya’’nti karaṇatthe bhummaṃ vuttaṃ. Tirokaraṇīya-saddo vā ayaṃ sāṇipākārapariyāyoti dassento āha ‘‘atha vā’’tiādi. Taṃ parikkhipitvāti taṃ samantato khipitvā, parito bandhitvāti vuttaṃ hoti. Tenāha ‘‘samantato katvā’’ti. Vibhattipatirūpakopi nipāto hotīti āha ‘‘tenāti ayampi vā’’tiādi.

    ๓๔. ‘‘อถ โข อายสฺมโต สุทินฺนสฺส ปิตา สเก นิเวสเน ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฎิยาทาเปตฺวา อายสฺมโต สุทินฺนสฺส กาลํ อาโรเจสิ – ‘กาโล, ตาต สุทินฺน, นิฎฺฐิตํ ภตฺต’นฺติ’’ เอวํ กาลาโรจนสฺส ปาฬิยํ อนารุฬฺหตฺตา อาห – ‘‘กิญฺจาปิ ปาฬิยํ กาลาโรจนํ น วุตฺต’’นฺติฯ อาโรจิเตเยว กาเลติ ‘‘กาโล, ตาต สุทินฺน, นิฎฺฐิตํ ภตฺต’’นฺติ กาเล อาโรจิเตเยวฯ เทฺว ปุเญฺชติ กหาปณปุญฺชญฺจ สุวณฺณปุญฺชญฺจฯ

    34. ‘‘Atha kho āyasmato sudinnassa pitā sake nivesane paṇītaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ paṭiyādāpetvā āyasmato sudinnassa kālaṃ ārocesi – ‘kālo, tāta sudinna, niṭṭhitaṃ bhatta’nti’’ evaṃ kālārocanassa pāḷiyaṃ anāruḷhattā āha – ‘‘kiñcāpi pāḷiyaṃ kālārocanaṃ na vutta’’nti. Ārociteyeva kāleti ‘‘kālo, tāta sudinna, niṭṭhitaṃ bhatta’’nti kāle ārociteyeva. Dve puñjeti kahāpaṇapuñjañca suvaṇṇapuñjañca.

    เปตฺติกนฺติ ปิติโต อาคตํ เปตฺติกํฯ นิหิตนฺติ ภูมิคตํฯ ปยุตฺตนฺติ วฑฺฒิวเสน ปโยชิตํฯ ตทฺธิตโลปํ กตฺวา เวทิตพฺพนฺติ ยถา อญฺญตฺถาปิ ‘‘ปิตามหํ ธนํ ลทฺธา, สุขํ ชีวติ สญฺชโย’’ติ วุตฺตํ, เอวํ ตทฺธิตโลปํ กตฺวา วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปิตามหโต อาคตํ, ปิตามหสฺส วา อิทํ เปตามหํปพฺพชิตลิงฺคนฺติ สมณเวสํฯ น ราชภีโตติ อปราธการณา น ราชกุลา ภีโตฯ เยสํ สนฺตกํ ธนํ คหิตํ, เต อิณายิกาปลิพุโทฺธ ปีฬิโตฯ

    Pettikanti pitito āgataṃ pettikaṃ. Nihitanti bhūmigataṃ. Payuttanti vaḍḍhivasena payojitaṃ. Taddhitalopaṃ katvā veditabbanti yathā aññatthāpi ‘‘pitāmahaṃ dhanaṃ laddhā, sukhaṃ jīvati sañjayo’’ti vuttaṃ, evaṃ taddhitalopaṃ katvā vuttanti daṭṭhabbaṃ. Pitāmahato āgataṃ, pitāmahassa vā idaṃ petāmahaṃ. Pabbajitaliṅganti samaṇavesaṃ. Na rājabhītoti aparādhakāraṇā na rājakulā bhīto. Yesaṃ santakaṃ dhanaṃ gahitaṃ, te iṇāyikā. Palibuddho pīḷito.

    วิภตฺติปติรูปโกติ ‘‘เตนา’’ติ ปทํ สนฺธายาหฯ ตํนิทานนฺติ ตํ ธนํ นิทานํ การณมสฺสาติ ตํนิทานํฯ อสฺสาติ ปจฺจตฺตวจนสฺส, ปทสฺส วาฯ ภยนฺติ จิตฺตสฺส อุตฺรสฺตากาเรน ปวตฺตภยํ อธิเปฺปตํ, น ญาณภยํ, นาปิ ‘‘ภายติ เอตสฺมา’’ติ เอวํ วุตฺตํ อารมฺมณภยนฺติ อาห ‘‘จิตฺตุตฺราโสติ อโตฺถ’’ติฯ ฉมฺภิตตฺตนฺติ เตเนว จิตฺตุตฺราสภเยน สกลสรีรสฺส ฉมฺภิตภาโวฯ วิเสสโต ปน หทยมํสจลนนฺติ อาห ‘‘กายกโมฺป หทยมํสจลน’’นฺติฯ โลมหํโสติ เตน ภเยน เตน ฉมฺภิตเตฺตน สกลสรีรโลมานํ หฎฺฐภาโว, โส ปน เนสํ ภิตฺติยํ นาคทนฺตานํ วิย อุทฺธํมุขตาติ อาห ‘‘โลมานํ หํสนํ อุทฺธคฺคภาโว’’ติฯ

    Vibhattipatirūpakoti ‘‘tenā’’ti padaṃ sandhāyāha. Taṃnidānanti taṃ dhanaṃ nidānaṃ kāraṇamassāti taṃnidānaṃ. Assāti paccattavacanassa, padassa vā. Bhayanti cittassa utrastākārena pavattabhayaṃ adhippetaṃ, na ñāṇabhayaṃ, nāpi ‘‘bhāyati etasmā’’ti evaṃ vuttaṃ ārammaṇabhayanti āha ‘‘cittutrāsoti attho’’ti. Chambhitattanti teneva cittutrāsabhayena sakalasarīrassa chambhitabhāvo. Visesato pana hadayamaṃsacalananti āha ‘‘kāyakampo hadayamaṃsacalana’’nti. Lomahaṃsoti tena bhayena tena chambhitattena sakalasarīralomānaṃ haṭṭhabhāvo, so pana nesaṃ bhittiyaṃ nāgadantānaṃ viya uddhaṃmukhatāti āha ‘‘lomānaṃ haṃsanaṃ uddhaggabhāvo’’ti.

    ๓๕. อตฺตนาติ ปจฺจเตฺต กรณวจนํ, สยนฺติ อโตฺถฯ เทวจฺฉรานนฺติ อนจฺจนฺติโย สนฺธายาหฯ เทวนาฎกานนฺติ นจฺจนฺติโย, ปริยายวจนํ วา เอตํ เทวกญฺญานํฯ สมุปฺปนฺนพลวโสกา หุตฺวาติ อยํ โลโก นาม อตฺตานํว จิเนฺตติ, ตสฺมา สาปิ ‘‘อิทานิ อหํ อนาถา ชาตา’’ติ อตฺตานํว จินฺตยมานา ‘‘อยํ อชฺช อาคมิสฺสติ, อชฺช อาคมิสฺสตี’’ติ อฎฺฐ วสฺสานิ พหิ น นิกฺขนฺตา เอตํ นิสฺสาย มยา ทารโกปิ น ลโทฺธ, ยสฺส อานุภาเวน ชีเวยฺยามิ, อิโต จามฺหิ ปริหีนา อญฺญโต จาติ สมุปฺปนฺนพลวโสกา หุตฺวาฯ กุลรุกฺขปติฎฺฐาปเน พีชสทิสตฺตา กุลวํสปฺปติฎฺฐาปโก ปุโตฺต อิธ พีชโกติ อธิเปฺปโตติ อาห ‘‘กุลวํสพีชกํ เอกํ ปุตฺต’’นฺติฯ สํ นาม ธนํ, ตสฺส ปตีติ สํปติ, ธนวา วิภวสมฺปโนฺนฯ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกหิตาวหตฺตา ตสฺส หิตนฺติ สาปเตยฺยํ, ตเทว ธนํ วิภโวติ อาห – ‘‘อิมํ สาปเตยฺยํ เอวํ มหนฺตํ อมฺหากํ วิภว’’นฺติฯ

    35.Attanāti paccatte karaṇavacanaṃ, sayanti attho. Devaccharānanti anaccantiyo sandhāyāha. Devanāṭakānanti naccantiyo, pariyāyavacanaṃ vā etaṃ devakaññānaṃ. Samuppannabalavasokā hutvāti ayaṃ loko nāma attānaṃva cinteti, tasmā sāpi ‘‘idāni ahaṃ anāthā jātā’’ti attānaṃva cintayamānā ‘‘ayaṃ ajja āgamissati, ajja āgamissatī’’ti aṭṭha vassāni bahi na nikkhantā etaṃ nissāya mayā dārakopi na laddho, yassa ānubhāvena jīveyyāmi, ito cāmhi parihīnā aññato cāti samuppannabalavasokā hutvā. Kularukkhapatiṭṭhāpane bījasadisattā kulavaṃsappatiṭṭhāpako putto idha bījakoti adhippetoti āha ‘‘kulavaṃsabījakaṃekaṃ putta’’nti. Saṃ nāma dhanaṃ, tassa patīti saṃpati, dhanavā vibhavasampanno. Diṭṭhadhammikasamparāyikahitāvahattā tassa hitanti sāpateyyaṃ, tadeva dhanaṃ vibhavoti āha – ‘‘imaṃ sāpateyyaṃ evaṃ mahantaṃ amhākaṃ vibhava’’nti.

    ๓๖. อิตฺถีนํ กุมารีภาวปฺปตฺติโต ปฎฺฐาย ปจฺฉิมวยโต โอรํ อสติ วิพเนฺธ อฎฺฐเม อฎฺฐเม สตฺตาเห คพฺภาสยสญฺญิเต ตติเย อาวเตฺต กติปยา โลหิตปีฬกา สณฺฐหิตฺวา อคฺคหิตปุพฺพา เอว ภิชฺชนฺติ, ตโต โลหิตํ ปคฺฆรติ, ตตฺถ อุตุสมญฺญา ปุปฺผสมญฺญา จาติ อาห – ‘‘ปุปฺผนฺติ อุตุกาเล อุปฺปนฺนโลหิตสฺส นาม’’นฺติฯ คพฺภปติฎฺฐานฎฺฐาเนติ ยสฺมิํ โอกาเส ทารโก นิพฺพตฺตติ, ตสฺมิํ ปเทเสฯ สณฺฐหิตฺวาติ นิพฺพตฺติตฺวาฯ ภิชฺชนฺตีติ อคฺคหิตปุพฺพา เอว ภิชฺชนฺติฯ อยญฺหิ ตาสํ สภาโวฯ โทเสนาติ โลหิตมเลนฯ สุเทฺธ วตฺถุมฺหีติ ปคฺฆริตโลหิตตฺตา อนามยตฺตา จ นหานโต ปรํ จตุตฺถทิวสโต ปฎฺฐาย สุเทฺธ คพฺภาสเยฯ สุเทฺธ ปน วตฺถุมฺหิ มาตาปิตูสุ เอกวารํ สนฺนิปติเตสุ ยาว สตฺต ทิวสานิ เขตฺตเมว โหติ คพฺภสณฺฐหนสฺส ปริตฺตสฺส โลหิตเลปสฺส วิชฺชมานตฺตาฯ เกจิ ปน ‘‘อฑฺฒมาสมตฺตมฺปิ เขตฺตเมวา’’ติ วทนฺติฯ พาหายนฺติ อธิกรเณ ภุมฺมนฺติ อาห ‘‘ปุราณทุติยิกาย ยา พาหา, ตตฺร นํ คเหตฺวา’’ติฯ อุปโยคเตฺถ ภุมฺมวจนมฺปิ ยุชฺชติเยว ยถา ‘‘สุทินฺนสฺส ปาเทสุ คเหตฺวา’’ติฯ

    36. Itthīnaṃ kumārībhāvappattito paṭṭhāya pacchimavayato oraṃ asati vibandhe aṭṭhame aṭṭhame sattāhe gabbhāsayasaññite tatiye āvatte katipayā lohitapīḷakā saṇṭhahitvā aggahitapubbā eva bhijjanti, tato lohitaṃ paggharati, tattha utusamaññā pupphasamaññā cāti āha – ‘‘pupphanti utukāle uppannalohitassa nāma’’nti. Gabbhapatiṭṭhānaṭṭhāneti yasmiṃ okāse dārako nibbattati, tasmiṃ padese. Saṇṭhahitvāti nibbattitvā. Bhijjantīti aggahitapubbā eva bhijjanti. Ayañhi tāsaṃ sabhāvo. Dosenāti lohitamalena. Suddhe vatthumhīti paggharitalohitattā anāmayattā ca nahānato paraṃ catutthadivasato paṭṭhāya suddhe gabbhāsaye. Suddhe pana vatthumhi mātāpitūsu ekavāraṃ sannipatitesu yāva satta divasāni khettameva hoti gabbhasaṇṭhahanassa parittassa lohitalepassa vijjamānattā. Keci pana ‘‘aḍḍhamāsamattampi khettamevā’’ti vadanti. Bāhāyanti adhikaraṇe bhummanti āha ‘‘purāṇadutiyikāya yā bāhā, tatra naṃ gahetvā’’ti. Upayogatthe bhummavacanampi yujjatiyeva yathā ‘‘sudinnassa pādesu gahetvā’’ti.

    ปุเพฺพปิ ปญฺญตฺตสิกฺขาปทานํ สพฺภาวโต อปญฺญเตฺต สิกฺขาปเทติ ปาราชิกํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ อาห – ‘‘ปฐมปาราชิกสิกฺขาปเท อฎฺฐปิเต’’ติฯ วุตฺตเมวตฺถํ วิภาเวโนฺต อาห – ‘‘ภควโต กิร ปฐมโพธิย’’นฺติอาทิฯ เอวรูปนฺติ ปาราชิกปญฺญตฺติยา อนุรูปํฯ นิทสฺสนมตฺตเญฺจตํ, สงฺฆาทิเสสปญฺญตฺติยา อนุรูปมฺปิ อชฺฌาจารํ นากํสุเยวฯ เตเนวาห – ‘‘อวเสเส ปญฺจ ขุทฺทกาปตฺติกฺขเนฺธ เอว ปญฺญเปสี’’ติฯ อิทญฺจ ถุลฺลจฺจยาทีนํ ปญฺจนฺนํ ลหุกาปตฺติกฺขนฺธานํ สพฺภาวมตฺตํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ปญฺจาปตฺติกฺขนฺธานํ อนวเสสโต ปญฺญตฺตตฺตาวฯ ปฐมโพธิยํ ปญฺจนฺนํ ลหุกาปตฺตีนํ สพฺภาววจเนเนว ธมฺมเสนาปติสฺส สิกฺขาปทปญฺญตฺติยาจนา วิเสสโต ครุกาปตฺติปญฺญตฺติยา ปาติโมกฺขุเทฺทสสฺส จ เหตุภูตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ เกจิ ปน ‘‘ตสฺมิํ ตสฺมิํ ปน วตฺถุสฺมิํ อวเสสปญฺจขุทฺทกาปตฺติกฺขเนฺธ เอว ปญฺญเปสีติ อิทํ ทฺวาทสเม วเสฺส เวรญฺชายํ วุตฺถวเสฺสน ภควตา ตโต ปฎฺฐาย อฎฺฐวสฺสพฺภนฺตเร ปญฺญตฺตสิกฺขาปทํ สนฺธาย วุตฺต’’นฺติ วทนฺติ, ตํ น สุนฺทรํ ตโต ปุเพฺพปิ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา สพฺภาวโตฯ เตเนว เวรญฺชกเณฺฑ ‘‘เอกภิกฺขุนาปิ รตฺติเจฺฉโท วา ปจฺฉิมิกาย ตตฺถ วสฺสํ อุปคจฺฉามาติ วสฺสเจฺฉโท วา น กโต’’ติ จ ‘‘สามมฺปิ ปจนํ สมณสารุปฺปํ น โหติ, น จ วฎฺฎตี’’ติ จ วุตฺตํฯ อาราธยิํสูติ จิตฺตํ คณฺหิํสุ, อชฺฌาสยํ ปูรยิํสุ, หทยคาหินิํ ปฎิปตฺติํ ปฎิปชฺชิํสูติ อโตฺถฯ เอกํ สมยนฺติ เอกสฺมิํ สมเย, ปฐมโพธิยนฺติ อโตฺถฯ

    Pubbepi paññattasikkhāpadānaṃ sabbhāvato apaññatte sikkhāpadeti pārājikaṃ sandhāya vuttanti āha – ‘‘paṭhamapārājikasikkhāpade aṭṭhapite’’ti. Vuttamevatthaṃ vibhāvento āha – ‘‘bhagavato kira paṭhamabodhiya’’ntiādi. Evarūpanti pārājikapaññattiyā anurūpaṃ. Nidassanamattañcetaṃ, saṅghādisesapaññattiyā anurūpampi ajjhācāraṃ nākaṃsuyeva. Tenevāha – ‘‘avasese pañca khuddakāpattikkhandhe eva paññapesī’’ti. Idañca thullaccayādīnaṃ pañcannaṃ lahukāpattikkhandhānaṃ sabbhāvamattaṃ sandhāya vuttaṃ, na pañcāpattikkhandhānaṃ anavasesato paññattattāva. Paṭhamabodhiyaṃ pañcannaṃ lahukāpattīnaṃ sabbhāvavacaneneva dhammasenāpatissa sikkhāpadapaññattiyācanā visesato garukāpattipaññattiyā pātimokkhuddesassa ca hetubhūtāti daṭṭhabbā. Keci pana ‘‘tasmiṃ tasmiṃ pana vatthusmiṃ avasesapañcakhuddakāpattikkhandhe eva paññapesīti idaṃ dvādasame vasse verañjāyaṃ vutthavassena bhagavatā tato paṭṭhāya aṭṭhavassabbhantare paññattasikkhāpadaṃ sandhāya vutta’’nti vadanti, taṃ na sundaraṃ tato pubbepi sikkhāpadapaññattiyā sabbhāvato. Teneva verañjakaṇḍe ‘‘ekabhikkhunāpi ratticchedo vā pacchimikāya tattha vassaṃ upagacchāmāti vassacchedo vā na kato’’ti ca ‘‘sāmampi pacanaṃ samaṇasāruppaṃ na hoti, na ca vaṭṭatī’’ti ca vuttaṃ. Ārādhayiṃsūti cittaṃ gaṇhiṃsu, ajjhāsayaṃ pūrayiṃsu, hadayagāhiniṃ paṭipattiṃ paṭipajjiṃsūti attho. Ekaṃ samayanti ekasmiṃ samaye, paṭhamabodhiyanti attho.

    ยํ อาทีนวนฺติ สมฺพโนฺธฯ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปโนฺตติ ปฐมปาราชิกสิกฺขาปทํ ปญฺญเปโนฺตฯ อาทีนวํ ทเสฺสสฺสตีติ ‘‘วรํ เต, โมฆปุริส, อาสีวิสสฺส โฆรวิสสฺส มุเข องฺคชาตํ ปกฺขิตฺตํ, น เตฺวว มาตุคามสฺส องฺคชาเต องฺคชาตํ ปกฺขิตฺต’’นฺติอาทินา ยํ อาทีนวํ ทเสฺสสฺสติฯ อภิวิญฺญาเปสีติ อิมสฺส ‘‘ปวเตฺตสี’’ติ อยมโตฺถ กถํ ลโทฺธติ อาห ‘‘ปวตฺตนาปิ หี’’ติอาทิฯ กายวิญฺญตฺติโจปนโตติ กายวิญฺญตฺติวเสน ปวตฺตจลนโตฯ กสฺมา ปเนส เมถุนธเมฺมน อนตฺถิโกปิ สมาโน ติกฺขตฺตุํ อภิวิญฺญาเปสีติ อาห – ‘‘ติกฺขตฺตุํ อภิวิญฺญาปนเญฺจสา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ติกฺขตฺตุํ อภิวิญฺญาปนนฺติ มุตฺติปาปนวเสน ตีสุ วาเรสุ เมถุนธมฺมสฺส ปวตฺตนํฯ

    Yaṃ ādīnavanti sambandho. Sikkhāpadaṃ paññapentoti paṭhamapārājikasikkhāpadaṃ paññapento. Ādīnavaṃ dassessatīti ‘‘varaṃ te, moghapurisa, āsīvisassa ghoravisassa mukhe aṅgajātaṃ pakkhittaṃ, na tveva mātugāmassa aṅgajāte aṅgajātaṃ pakkhitta’’ntiādinā yaṃ ādīnavaṃ dassessati. Abhiviññāpesīti imassa ‘‘pavattesī’’ti ayamattho kathaṃ laddhoti āha ‘‘pavattanāpi hī’’tiādi. Kāyaviññatticopanatoti kāyaviññattivasena pavattacalanato. Kasmā panesa methunadhammena anatthikopi samāno tikkhattuṃ abhiviññāpesīti āha – ‘‘tikkhattuṃ abhiviññāpanañcesā’’tiādi. Tattha tikkhattuṃ abhiviññāpananti muttipāpanavasena tīsu vāresu methunadhammassa pavattanaṃ.

    สเพฺพสมฺปิ ปทานํ อวธารณผลตฺตา วินาปิ เอวการํ อวธารณโตฺถ วิญฺญายตีติ อาห ‘‘เตเนว อชฺฌาจาเรนา’’ติฯ อฎฺฐ หิ คพฺภการณานิฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Sabbesampi padānaṃ avadhāraṇaphalattā vināpi evakāraṃ avadhāraṇattho viññāyatīti āha ‘‘teneva ajjhācārenā’’ti. Aṭṭha hi gabbhakāraṇāni. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เมถุนโจฬคฺคหณํ, ตนุสํสโคฺค จ นาภิอามสนํ;

    ‘‘Methunacoḷaggahaṇaṃ, tanusaṃsaggo ca nābhiāmasanaṃ;

    ปานํ ทสฺสนสวนํ, ฆายนมิติ คพฺภเหตโว อฎฺฐา’’ติฯ

    Pānaṃ dassanasavanaṃ, ghāyanamiti gabbhahetavo aṭṭhā’’ti.

    อิทานิ อวธารเณน นิวตฺติตมตฺถํ ทเสฺสตุกาโม อาห – ‘‘กิํ ปน อญฺญถาปิ คพฺภคฺคหณํ โหตี’’ติอาทิฯ นนุ จ นาภิปรามสนมฺปิ กายสํสโคฺคเยว, กสฺมา นํ วิสุํ วุตฺตนฺติ? อุภเยสํ ฉนฺทราควเสน กายสํสโคฺค วุโตฺต, อิตฺถิยา ฉนฺทราควเสน นาภิปรามสนํ, วตฺถุวเสน วา ตํ วิสุํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ กถํ ปน กายสํสเคฺคน คพฺภคฺคหณํ โหติ, กถญฺจ ตตฺถ สุกฺกโสณิตสฺส สมฺภโวติ อาห ‘‘อิตฺถิโย หี’’ติอาทิ ฯ ฉนฺทราคุปฺปตฺติวเสน อิตฺถิยา สุกฺกโกฎฺฐาโส จลิโต โหติ, โสปิ คพฺภสณฺฐานสฺส ปจฺจโย โหตีติ อธิปฺปาโยฯ อิตฺถิสนฺตาเนปิ หิ รสาทิสตฺตธาตุโย ลพฺภนฺติเยวฯ เตนาห – ‘‘องฺคปจฺจงฺคปรามสนํ สาทิยนฺติโยปิ คพฺภํ คณฺหนฺตี’’ติฯ คณฺฐิปเทสุ ปน ‘‘กายสํสคฺคาทินา สตฺตปฺปกาเรน คพฺภคฺคหเณ ปิตุ สุกฺกโกฎฺฐาสํ วินา ฉนฺทราควเสน มาตุ วิการปฺปตฺตํ โลหิตเมว คพฺภสณฺฐานสฺส ปจฺจโย โหตี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ยสฺส องฺคปจฺจงฺคปรามสนํ สาทิยิตฺวา มาตา ปุตฺตํ ปฎิลภติ, สเจ โส อปเรน สมเยน ปริปุณฺณินฺทฺริโย หุตฺวา ตาทิสํ ปิตรํ มนุสฺสชาติกํ ชีวิตา โวโรเปติ, ปิตุฆาตโกว โหตี’’ติ วทนฺติฯ

    Idāni avadhāraṇena nivattitamatthaṃ dassetukāmo āha – ‘‘kiṃ pana aññathāpi gabbhaggahaṇaṃ hotī’’tiādi. Nanu ca nābhiparāmasanampi kāyasaṃsaggoyeva, kasmā naṃ visuṃ vuttanti? Ubhayesaṃ chandarāgavasena kāyasaṃsaggo vutto, itthiyā chandarāgavasena nābhiparāmasanaṃ, vatthuvasena vā taṃ visuṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ. Kathaṃ pana kāyasaṃsaggena gabbhaggahaṇaṃ hoti, kathañca tattha sukkasoṇitassa sambhavoti āha ‘‘itthiyo hī’’tiādi . Chandarāguppattivasena itthiyā sukkakoṭṭhāso calito hoti, sopi gabbhasaṇṭhānassa paccayo hotīti adhippāyo. Itthisantānepi hi rasādisattadhātuyo labbhantiyeva. Tenāha – ‘‘aṅgapaccaṅgaparāmasanaṃ sādiyantiyopi gabbhaṃ gaṇhantī’’ti. Gaṇṭhipadesu pana ‘‘kāyasaṃsaggādinā sattappakārena gabbhaggahaṇe pitu sukkakoṭṭhāsaṃ vinā chandarāgavasena mātu vikārappattaṃ lohitameva gabbhasaṇṭhānassa paccayo hotī’’ti vuttaṃ. ‘‘Yassa aṅgapaccaṅgaparāmasanaṃ sādiyitvā mātā puttaṃ paṭilabhati, sace so aparena samayena paripuṇṇindriyo hutvā tādisaṃ pitaraṃ manussajātikaṃ jīvitā voropeti, pitughātakova hotī’’ti vadanti.

    ตํ อสุจิํ เอกเทสํ มุเขน อคฺคเหสีติ ปุราณจีวรํ โธวนฺตี ตตฺถ ยํ อสุจิํ อทฺทส, ตํ อสุจิํ เอกเทสํ ปิวิฯ ‘‘วฎฺฎติ ตุมฺหากํ เมถุนธโมฺม’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘กปฺปตุ วา มา วา กปฺปตุ, มยํ เตน อนตฺถิกา’’ติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อนตฺถิกา มยํ เอเตนา’’ติฯ กิญฺจาปิ นาภิปรามสเน เมถุนราโค นตฺถิ, ตถาปิ นาภิปรามสนกาเล ผสฺสสาทิยนวเสน อสฺสาทมตฺตํ ตสฺสา อโหสีติ คเหตพฺพํ, อญฺญถา คพฺภสณฺฐหนํ น สิยาฯ ทิฎฺฐมงฺคลิกาย นาภิปรามสเนน มณฺฑพฺยสฺส นิพฺพตฺติ อโหสิ, จณฺฑปโชฺชตมาตุ นาภิยํ วิจฺฉิกา ผริตฺวา คตา, เตน จณฺฑปโชฺชตสฺส นิพฺพตฺติ อโหสีติ อาห ‘‘เอเตเนว นเยนา’’ติอาทิฯ ปุริสํ อุปนิชฺฌายตีติ วาตปานาทินา ทิสฺวา วา ทิฎฺฐปุพฺพํ วา ปุริสํ อุปนิชฺฌายติฯ ราโชโรธา วิยาติ สีหฬทีเป กิร เอกิสฺสา อิตฺถิยา ตถา อโหสิ, ตสฺมา เอวํ วุตฺตํฯ

    Taṃasuciṃ ekadesaṃ mukhena aggahesīti purāṇacīvaraṃ dhovantī tattha yaṃ asuciṃ addasa, taṃ asuciṃ ekadesaṃ pivi. ‘‘Vaṭṭati tumhākaṃ methunadhammo’’ti puṭṭho ‘‘kappatu vā mā vā kappatu, mayaṃ tena anatthikā’’ti dassento āha ‘‘anatthikā mayaṃ etenā’’ti. Kiñcāpi nābhiparāmasane methunarāgo natthi, tathāpi nābhiparāmasanakāle phassasādiyanavasena assādamattaṃ tassā ahosīti gahetabbaṃ, aññathā gabbhasaṇṭhahanaṃ na siyā. Diṭṭhamaṅgalikāya nābhiparāmasanena maṇḍabyassa nibbatti ahosi, caṇḍapajjotamātu nābhiyaṃ vicchikā pharitvā gatā, tena caṇḍapajjotassa nibbatti ahosīti āha ‘‘eteneva nayenā’’tiādi. Purisaṃ upanijjhāyatīti vātapānādinā disvā vā diṭṭhapubbaṃ vā purisaṃ upanijjhāyati. Rājorodhā viyāti sīhaḷadīpe kira ekissā itthiyā tathā ahosi, tasmā evaṃ vuttaṃ.

    อิธาติ อิมสฺมิํ วตฺถุสฺมิํฯ อยนฺติ สุทินฺนสฺส ปุราณทุติยิกาฯ ยํ สนฺธายาติ ยํ อชฺฌาจารํ สนฺธายฯ สุกฺกํ สนฺธาย ‘‘มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺตี’’ติ วุตฺตํ, มาตา จ อุตุนี โหตีติ โลหิตํ สนฺธายฯ ตตฺถ สนฺนิปติตา โหนฺตีติ อสทฺธมฺมวเสน เอกสฺมิํ ฐาเน สมาคตา สงฺคตา โหนฺติฯ มาตา จ อุตุนี โหตีติ อิทํ อุตุสมยํ สนฺธาย วุตฺตํ, น โลกสมญฺญากรชสฺส ลคฺคนทิวสมตฺตํฯ คนฺธโพฺพติ ตตฺรูปคสโตฺต, คนฺตโพฺพติ วุตฺตํ โหติฯ ต-การสฺส ธ-กาโร กโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา คนฺธนโต อุปฺปชฺชนคติยา นิมิตฺตุปฎฺฐาเนน สูจนโต ทีปนโต คโนฺธติ ลทฺธนาเมน ภวคามิกมฺมุนา อพฺพติ ปวตฺตตีติ คนฺธโพฺพ, ตตฺถ อุปฺปชฺชนกสโตฺตฯ ปจฺจุปฎฺฐิโต โหตีติ อุปคโต โหติฯ เอตฺถ จ น มาตาปิตูนํ สนฺนิปาตํ โอโลกยมาโน สมีเป ฐิโต นาม โหติ, กมฺมยนฺตยนฺติโต ปน เอโก สโตฺต ตสฺมิํ โอกาเส นิพฺพตฺตนโก ปุริมชาติยํ ฐิโตเยว คตินิมิตฺตาทิอารมฺมณกรณวเสน อุปปตฺตาภิมุโข โหตีติ อธิปฺปาโยฯ

    Idhāti imasmiṃ vatthusmiṃ. Ayanti sudinnassa purāṇadutiyikā. Yaṃ sandhāyāti yaṃ ajjhācāraṃ sandhāya. Sukkaṃ sandhāya ‘‘mātāpitaro ca sannipatitā hontī’’ti vuttaṃ, mātā ca utunī hotīti lohitaṃ sandhāya. Tattha sannipatitā hontīti asaddhammavasena ekasmiṃ ṭhāne samāgatā saṅgatā honti. Mātā ca utunī hotīti idaṃ utusamayaṃ sandhāya vuttaṃ, na lokasamaññākarajassa lagganadivasamattaṃ. Gandhabboti tatrūpagasatto, gantabboti vuttaṃ hoti. Ta-kārassa dha-kāro katoti daṭṭhabbaṃ. Atha vā gandhanato uppajjanagatiyā nimittupaṭṭhānena sūcanato dīpanato gandhoti laddhanāmena bhavagāmikammunā abbati pavattatīti gandhabbo, tattha uppajjanakasatto. Paccupaṭṭhito hotīti upagato hoti. Ettha ca na mātāpitūnaṃ sannipātaṃ olokayamāno samīpe ṭhito nāma hoti, kammayantayantito pana eko satto tasmiṃ okāse nibbattanako purimajātiyaṃ ṭhitoyeva gatinimittādiārammaṇakaraṇavasena upapattābhimukho hotīti adhippāyo.

    สนฺนิปาตาติ สโมธาเนน สมาคเมนฯ คพฺภสฺสาติ คเพฺภ นิพฺพตฺตนกสตฺตสฺสฯ คเพฺภ นิพฺพตฺตนกสโตฺตปิ หิ คโพฺภติ วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘ยถา โข ปนานนฺท, อญฺญา อิตฺถิกา นว วา ทส วา มาเส คพฺภํ กุจฺฉินา ปริหริตฺวา วิชายนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๐๕)ฯ กตฺถจิ ปน คโพฺภติ มาตุกุจฺฉิ วุโตฺตฯ ยถาห –

    Sannipātāti samodhānena samāgamena. Gabbhassāti gabbhe nibbattanakasattassa. Gabbhe nibbattanakasattopi hi gabbhoti vuccati. Yathāha – ‘‘yathā kho panānanda, aññā itthikā nava vā dasa vā māse gabbhaṃ kucchinā pariharitvā vijāyantī’’ti (ma. ni. 3.205). Katthaci pana gabbhoti mātukucchi vutto. Yathāha –

    ‘‘ยเมกรตฺติํ ปฐมํ, คเพฺภ วสติ มาณโว;

    ‘‘Yamekarattiṃ paṭhamaṃ, gabbhe vasati māṇavo;

    อพฺภุฎฺฐิโตว โส ยาติ, ส คจฺฉํ น นิวตฺตตี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๖๓); –

    Abbhuṭṭhitova so yāti, sa gacchaṃ na nivattatī’’ti. (jā. 1.15.363); –

    เอตฺถ จ คพฺภติ อตฺตภาวภาเวน ปวตฺตตีติ คโพฺภ, กลลาทิอวโตฺถ ธมฺมปฺปพโนฺธ, ตํนิสฺสิตตฺตา ปน สตฺตสนฺตาโน ‘‘คโพฺภ’’ติ วุโตฺต ยถา ‘‘มญฺจา อุกฺกุฎฺฐิํ กโรนฺตี’’ติฯ ตํนิสฺสยภาวโต มาตุกุจฺฉิ ‘‘คโพฺภ’’ติ เวทิตโพฺพฯ คโพฺภ วิยาติ วาฯ ยถา หิ นิวาสฎฺฐานตาย สตฺตานํ โอวรโก ‘‘คโพฺภ’’ติ วุจฺจติ, เอวํ คพฺภเสยฺยกานํ สตฺตานํ ยาว อภิชาติ นิวาสฎฺฐานตาย มาตุกุจฺฉิ ‘‘คโพฺภ’’ติ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ อวกฺกนฺติ โหตีติ นิพฺพตฺติ โหติฯ

    Ettha ca gabbhati attabhāvabhāvena pavattatīti gabbho, kalalādiavattho dhammappabandho, taṃnissitattā pana sattasantāno ‘‘gabbho’’ti vutto yathā ‘‘mañcā ukkuṭṭhiṃ karontī’’ti. Taṃnissayabhāvato mātukucchi ‘‘gabbho’’ti veditabbo. Gabbho viyāti vā. Yathā hi nivāsaṭṭhānatāya sattānaṃ ovarako ‘‘gabbho’’ti vuccati, evaṃ gabbhaseyyakānaṃ sattānaṃ yāva abhijāti nivāsaṭṭhānatāya mātukucchi ‘‘gabbho’’ti vuttoti veditabbo. Avakkanti hotīti nibbatti hoti.

    อารกฺขเทวตาติ ตสฺส อารกฺขตฺถาย ฐิตา เทวตาฯ อสฺส ตํ อชฺฌาจารนฺติ สมฺพโนฺธฯ ตถา นิจฺฉาเรสุนฺติ ตถา มหนฺตํ สทฺทํ กตฺวา นิจฺฉาเรสุํฯ กิญฺจาปิ อิธ ปาฬิยํ อากาสฎฺฐเทวตา วิสุํ น อาคตา, ตถาปิ สทฺทสฺส อนุสฺสาวเน อยมนุกฺกโมติ ทเสฺสตุํ จาตุมหาราชิกเทวตาโย ทฺวิธา กตฺวา อากาสฎฺฐเทวตา วิสุํ วุตฺตาฯ เตเนตฺถ อากาสฎฺฐกานํ วิสุํ คหิตตฺตา จาตุมหาราชิกาติ ปริภณฺฑปพฺพตฎฺฐกา เวทิตพฺพาฯ อิติหาติ นิปาตสมุทาโย เอวํสทฺทสฺส อเตฺถ ทฎฺฐโพฺพติ อาห ‘‘เอว’’นฺติฯ ขเณน มุหุเตฺตนาติ ปททฺวยํ เววจนภาวโต สมานตฺถเมวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอกโกลาหลมโหสีติ เทวพฺรหฺมโลเกสุ เอกโกลาหลมโหสิฯ กิญฺจาปิ หิ โส สโทฺท ยาว พฺรหฺมโลกา อพฺภุคฺคจฺฉิ, ตถาปิ น โส มนุสฺสานํ วิสโย เตสํ รูปํ วิย, เตเนว ภิกฺขู ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กจฺจิ โน ตฺวํ, อาวุโส สุทินฺน, อนภิรโต’’ติฯ

    Ārakkhadevatāti tassa ārakkhatthāya ṭhitā devatā. Assa taṃ ajjhācāranti sambandho. Tathā nicchāresunti tathā mahantaṃ saddaṃ katvā nicchāresuṃ. Kiñcāpi idha pāḷiyaṃ ākāsaṭṭhadevatā visuṃ na āgatā, tathāpi saddassa anussāvane ayamanukkamoti dassetuṃ cātumahārājikadevatāyo dvidhā katvā ākāsaṭṭhadevatā visuṃ vuttā. Tenettha ākāsaṭṭhakānaṃ visuṃ gahitattā cātumahārājikāti paribhaṇḍapabbataṭṭhakā veditabbā. Itihāti nipātasamudāyo evaṃsaddassa atthe daṭṭhabboti āha ‘‘eva’’nti. Khaṇena muhuttenāti padadvayaṃ vevacanabhāvato samānatthamevāti daṭṭhabbaṃ. Ekakolāhalamahosīti devabrahmalokesu ekakolāhalamahosi. Kiñcāpi hi so saddo yāva brahmalokā abbhuggacchi, tathāpi na so manussānaṃ visayo tesaṃ rūpaṃ viya, teneva bhikkhū pucchiṃsu – ‘‘kacci no tvaṃ, āvuso sudinna, anabhirato’’ti.

    ๓๗. ‘‘เอวํ มาตาปุตฺตานํ ปพฺพชฺชา สผลา อโหสิ, ปิตา ปน วิปฺปฎิสาราภิภูโต วิหาสี’’ติ วจนโต สุทินฺนสฺส ตสฺมิํ อตฺตภาเว อรหตฺตาธิคโม นาโหสีติ วิญฺญายติฯ เกจิ ปน ‘‘ปุเพฺพกตปุญฺญตาย โจทิยมานสฺส ภพฺพกุลปุตฺตสฺสาติ วุตฺตตฺตา สุทิโนฺน ตํ กุกฺกุจฺจํ วิโนเทตฺวา อรหตฺตํ สจฺฉากาสิ, เตเนว ปพฺพชฺชา อนุญฺญาตา’’ติ วทนฺติฯ ตํ ปาฬิยา อฎฺฐกถาย จ น สเมติฯ ปุเพฺพกตปุญฺญตา จ อปฺปมาณํ ตาทิสสฺสปิ อนฺตรากตปาปกมฺมสฺส วเสน อชาตสตฺตุโน วิย อธิคมนฺตรายทสฺสนโตฯ กตากตานุโสจนลกฺขณํ กุกฺกุจฺจํ อิธาธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘อชฺฌาจารเหตุโก ปจฺฉานุตาโป’’ติฯ กตํ อชฺฌาจารํ ปฎิจฺจ อนุโสจนวเสน วิรูปํ สรณํ จินฺตนํ วิปฺปฎิสาโรติ อาห ‘‘วิปฺปฎิสาโรติปิ ตเสฺสว นาม’’นฺติฯ กุจฺฉิตํ กตํ กิริยาติ กุกตํ, กุกตเมว กุกฺกุจฺจนฺติ อาห ‘‘กุจฺฉิตกิริยาภาวโต กุกฺกุจฺจ’’นฺติฯ ปริยาทินฺนมํสโลหิตตฺตาติ ปริกฺขีณมํสโลหิตตฺตาฯ อวิปฺผาริโกติ อุเทฺทสาทีสุ พฺยาปารรหิโต, อพฺยาวโฎติ อโตฺถฯ วหจฺฉิโนฺนติ ฉินฺนวโห, ภารวหเนน ฉินฺนกฺขโนฺธติ วุตฺตํ โหติฯ ตํ ตํ จินฺตยีติ ‘‘ยทิ อหํ ตํ ปาปํ น กริสฺสํ, อิเม ภิกฺขู วิย ปริปุณฺณสีโล อสฺส’’นฺติอาทินา ตํ ตํ จินฺตยิฯ

    37.‘‘Evaṃ mātāputtānaṃ pabbajjā saphalā ahosi, pitā pana vippaṭisārābhibhūto vihāsī’’ti vacanato sudinnassa tasmiṃ attabhāve arahattādhigamo nāhosīti viññāyati. Keci pana ‘‘pubbekatapuññatāya codiyamānassa bhabbakulaputtassāti vuttattā sudinno taṃ kukkuccaṃ vinodetvā arahattaṃ sacchākāsi, teneva pabbajjā anuññātā’’ti vadanti. Taṃ pāḷiyā aṭṭhakathāya ca na sameti. Pubbekatapuññatā ca appamāṇaṃ tādisassapi antarākatapāpakammassa vasena ajātasattuno viya adhigamantarāyadassanato. Katākatānusocanalakkhaṇaṃ kukkuccaṃ idhādhippetanti āha ‘‘ajjhācārahetuko pacchānutāpo’’ti. Kataṃ ajjhācāraṃ paṭicca anusocanavasena virūpaṃ saraṇaṃ cintanaṃ vippaṭisāroti āha ‘‘vippaṭisārotipi tasseva nāma’’nti. Kucchitaṃ kataṃ kiriyāti kukataṃ, kukatameva kukkuccanti āha ‘‘kucchitakiriyābhāvato kukkucca’’nti. Pariyādinnamaṃsalohitattāti parikkhīṇamaṃsalohitattā. Avipphārikoti uddesādīsu byāpārarahito, abyāvaṭoti attho. Vahacchinnoti chinnavaho, bhāravahanena chinnakkhandhoti vuttaṃ hoti. Taṃ taṃ cintayīti ‘‘yadi ahaṃ taṃ pāpaṃ na karissaṃ, ime bhikkhū viya paripuṇṇasīlo assa’’ntiādinā taṃ taṃ cintayi.

    ๓๘. เอวํภูตนฺติ กิสลูขาทิภาวปฺปตฺตํฯ คณสงฺคณิกาปปเญฺจนาติ คเณ ชนสมาคเม สนฺนิปตนํ คณสงฺคณิกา, คณสงฺคณิกาเยว ปปโญฺจ คณสงฺคณิกาปปโญฺจ, เตนฯ ยสฺสาติ เย อสฺสฯ กถาผาสุกาติ วิสฺสาสิกภาเวเนว กถากรเณ ผาสุกา, สุเขน วตฺตุํ สกฺกุเณยฺยา, สุขสมฺภาสาติ อโตฺถฯ ปสาทสฺส ปมาณโต อูนาธิกตฺตํ สพฺพทา สเพฺพสํ นตฺถีติ อาห ‘‘ปสาทปติฎฺฐาโนกาสสฺส สมฺปุณฺณตฺตา’’ติฯ ทานีติ อิมสฺมิํ อเตฺถ เอตรหิ-สโทฺท อตฺถีติ อาห ‘‘ทานีติ นิปาโต’’ติฯ โน-สโทฺทปิ นุ-สโทฺท วิย ปุจฺฉนโตฺถติ อาห ‘‘กจฺจิ นุ ตฺว’’นฺติฯ ตเมว อนภิรตินฺติ เตหิ ภิกฺขูหิ ปุจฺฉิตํ ตเมว คิหิภาวปตฺถนาการํ อนภิรติํฯ ‘‘ตเมวา’’ติ อวธารเณน นิวตฺติตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อธิกุสลาน’’นฺติอาทิฯ อธิกุสลา ธมฺมา สมถวิปสฺสนาทโยฯ อตฺถีติ วิสยภาเวน จิเตฺต ปริวตฺตนํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ปาปสฺส วตฺตมานตํ สนฺธาย, อตฺถิ วิสยภาเวน จิเตฺต ปริวตฺตตีติ วุตฺตํ โหติฯ เตนาห – ‘‘นิจฺจกาลํ อภิมุขํ วิย เม ติฎฺฐตี’’ติฯ

    38.Evaṃbhūtanti kisalūkhādibhāvappattaṃ. Gaṇasaṅgaṇikāpapañcenāti gaṇe janasamāgame sannipatanaṃ gaṇasaṅgaṇikā, gaṇasaṅgaṇikāyeva papañco gaṇasaṅgaṇikāpapañco, tena. Yassāti ye assa. Kathāphāsukāti vissāsikabhāveneva kathākaraṇe phāsukā, sukhena vattuṃ sakkuṇeyyā, sukhasambhāsāti attho. Pasādassa pamāṇato ūnādhikattaṃ sabbadā sabbesaṃ natthīti āha ‘‘pasādapatiṭṭhānokāsassa sampuṇṇattā’’ti. Dānīti imasmiṃ atthe etarahi-saddo atthīti āha ‘‘dānīti nipāto’’ti. No-saddopi nu-saddo viya pucchanatthoti āha ‘‘kaccinu tva’’nti. Tameva anabhiratinti tehi bhikkhūhi pucchitaṃ tameva gihibhāvapatthanākāraṃ anabhiratiṃ. ‘‘Tamevā’’ti avadhāraṇena nivattitamatthaṃ dassento āha ‘‘adhikusalāna’’ntiādi. Adhikusalā dhammā samathavipassanādayo. Atthīti visayabhāvena citte parivattanaṃ sandhāya vuttaṃ, na pāpassa vattamānataṃ sandhāya, atthi visayabhāvena citte parivattatīti vuttaṃ hoti. Tenāha – ‘‘niccakālaṃ abhimukhaṃ viya me tiṭṭhatī’’ti.

    ยํ ตฺวนฺติ เอตฺถ นฺติ เหตุอเตฺถ นิปาโต, กรณเตฺถ วา ปจฺจตฺตวจนนฺติ อาห ‘‘เยน ปาเปนา’’ติฯ อเนกปริยาเยนาติ เอตฺถ ปริยาย-สโทฺท การณวจโนติ อาห ‘‘อเนกการเณนา’’ติฯ วิราคตฺถายาติ ภวโภเคสุ วิรชฺชนตฺถายฯ โน ราเคน รชฺชนตฺถายาติ ภวโภเคสุเยว ราเคน อรญฺชนตฺถายฯ เตนาห ‘‘ภควตา หี’’ติอาทิฯ เอส นโย สพฺพปเทสูติ อธิปฺปายิกมตฺตํ สพฺพปเทสุ อติทิสฺสติฯ อิทํ ปเนตฺถ ปริยายวจนมตฺตนฺติ ‘‘วิสํโยคายา’’ติอาทีสุ สพฺพปเทสุ ‘‘กิเลเสหิ วิสํยุชฺชนตฺถายา’’ติอาทินา ปทตฺถวิภาวนวเสน วุตฺตปริยายวจนํ สนฺธาย วทติฯ น สํยุชฺชนตฺถายาติ กิเลเสหิ น สํยุชฺชนตฺถายฯ อคฺคหณตฺถายาติ กิเลเส อคฺคหณตฺถาย, ภวโภเค วา ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน อคฺคหณตฺถายฯ น สงฺคหณตฺถายาติ เอตฺถาปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Yaṃ tvanti ettha yanti hetuatthe nipāto, karaṇatthe vā paccattavacananti āha ‘‘yena pāpenā’’ti. Anekapariyāyenāti ettha pariyāya-saddo kāraṇavacanoti āha ‘‘anekakāraṇenā’’ti. Virāgatthāyāti bhavabhogesu virajjanatthāya. No rāgena rajjanatthāyāti bhavabhogesuyeva rāgena arañjanatthāya. Tenāha ‘‘bhagavatā hī’’tiādi. Esa nayo sabbapadesūti adhippāyikamattaṃ sabbapadesu atidissati. Idaṃ panettha pariyāyavacanamattanti ‘‘visaṃyogāyā’’tiādīsu sabbapadesu ‘‘kilesehi visaṃyujjanatthāyā’’tiādinā padatthavibhāvanavasena vuttapariyāyavacanaṃ sandhāya vadati. Na saṃyujjanatthāyāti kilesehi na saṃyujjanatthāya. Aggahaṇatthāyāti kilese aggahaṇatthāya, bhavabhoge vā taṇhādiṭṭhivasena aggahaṇatthāya. Na saṅgahaṇatthāyāti etthāpi imināva nayena attho veditabbo.

    นิพฺพตฺติตโลกุตฺตรนิพฺพานเมวาติ สงฺขาเรหิ นิกฺขนฺตํ วิวิตฺตํ, ตโตเยว โลกโต อุตฺติณฺณตฺตา โลกุตฺตรํ นิพฺพานํฯ มทนิมฺมทนายาติ วาติ เอตฺถ อวุตฺตสมุจฺจยเตฺถน วา-สเทฺทน อาทิอเตฺถน อิติ-สเทฺทน วา ‘‘ปิปาสวินยายา’’ติอาทิ สพฺพํ สงฺคหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ นิพฺพานํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตมาเนน อริยมเคฺคน ปหียมานา ราคมานมทาทโย ตํ ปตฺวา ปหียนฺติ นามาติ อาห ‘‘ยสฺมา ปน ตํ อาคมฺมา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ตํ อาคมฺมาติ นิพฺพานํ อาคมฺม ปฎิจฺจ อริยมคฺคสฺส อารมฺมณปจฺจยภาวเหตุฯ มานมทปุริสมทาทโยติ เอตฺถ ชาติอาทิํ นิสฺสาย เสยฺยสฺส ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติอาทินา อุปฺปชฺชนกมาโนเยว มทชนนเฎฺฐน มโทติ มานมโทฯ ปุริสมโท วุจฺจติ ปุริสมาโน, ‘‘อหํ ปุริโส’’ติ อุปฺปชฺชนกมาโนฯ ‘‘อสทฺธมฺมเสวนสมตฺถตํ นิสฺสาย ปวโตฺต มาโน, ราโค เอว วา ปุริสมโท’’ติ เกจิฯ อาทิ-สเทฺทน พลมทโยพฺพนมทาทิํ สงฺคณฺหาติ ฯ มหาคณฺฐิปเท ปน มชฺฌิมคณฺฐิปเท จ ‘‘ปุริสมโท นาม สมฺภโว’’ติ วุตฺตํ, ตํ อิธ ยุตฺตํ วิย น ทิสฺสติฯ น หิ ‘‘ภควตา สมฺภวสฺส วินาสาย ธโมฺม เทสิโต’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ นิมฺมทาติ วิคตมทภาวาฯ อิมเมว หิ อตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘อมทา’’ติ วุตฺตํฯ มทา นิมฺมทียนฺติ เอตฺถ อมทภาวํ วินาสํ คจฺฉนฺตีติ มทนิมฺมทโนฯ เอส นโย เสสปเทสุปิฯ

    Nibbattitalokuttaranibbānamevāti saṅkhārehi nikkhantaṃ vivittaṃ, tatoyeva lokato uttiṇṇattā lokuttaraṃ nibbānaṃ. Madanimmadanāyāti vāti ettha avuttasamuccayatthena -saddena ādiatthena iti-saddena vā ‘‘pipāsavinayāyā’’tiādi sabbaṃ saṅgahitanti daṭṭhabbaṃ. Nibbānaṃ ārammaṇaṃ katvā pavattamānena ariyamaggena pahīyamānā rāgamānamadādayo taṃ patvā pahīyanti nāmāti āha ‘‘yasmā pana taṃ āgammā’’tiādi. Tattha taṃ āgammāti nibbānaṃ āgamma paṭicca ariyamaggassa ārammaṇapaccayabhāvahetu. Mānamadapurisamadādayoti ettha jātiādiṃ nissāya seyyassa ‘‘seyyohamasmī’’tiādinā uppajjanakamānoyeva madajananaṭṭhena madoti mānamado. Purisamado vuccati purisamāno, ‘‘ahaṃ puriso’’ti uppajjanakamāno. ‘‘Asaddhammasevanasamatthataṃ nissāya pavatto māno, rāgo eva vā purisamado’’ti keci. Ādi-saddena balamadayobbanamadādiṃ saṅgaṇhāti . Mahāgaṇṭhipade pana majjhimagaṇṭhipade ca ‘‘purisamado nāma sambhavo’’ti vuttaṃ, taṃ idha yuttaṃ viya na dissati. Na hi ‘‘bhagavatā sambhavassa vināsāya dhammo desito’’ti vattuṃ vaṭṭati. Nimmadāti vigatamadabhāvā. Imameva hi atthaṃ dassetuṃ ‘‘amadā’’ti vuttaṃ. Madā nimmadīyanti ettha amadabhāvaṃ vināsaṃ gacchantīti madanimmadano. Esa nayo sesapadesupi.

    กามปิปาสาติ กามานํ ปาตุกมฺยตา, กามตณฺหาติ อโตฺถฯ อาลียนฺติ อภิรมิตพฺพเฎฺฐน เสวียนฺตีติ อาลยา, ปญฺจ กามคุณาติ อาห ‘‘ปญฺจ กามคุณาลยา’’ติฯ ปญฺจสุ หิ กามคุเณสุ ฉนฺทราคปฺปหาเนเนว ปญฺจ กามคุณาปิ ปหีนา นาม โหนฺติ, เตเนว ‘‘โย, ภิกฺขเว, รูเปสุ ฉนฺทราโค’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๓.๓๒๓) วุตฺตํฯ ปญฺจกามคุเณสุ วา อาลยา ปญฺจกามคุณาลยาฯ อาลียนฺติ อลฺลียนฺติ อภิรมนวเสน เสวนฺตีติ อาลยาติ หิ ตณฺหาวิจริตานํ อธิวจนํฯ เตภูมกวฎฺฎนฺติ ตีสุ ภูมีสุ กมฺมกิเลสวิปากา วฎฺฎนเฎฺฐน วฎฺฎํฯ วิรชฺชตีติ ปลุชฺชติฯ ‘‘วิรชฺชตีติ กามวินาโส วุโตฺต, นิรุชฺฌตีติ เอกปฺปหาเรน วินาโส’’ติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ วิราโค นิโรโธติ สามญฺญโจทนายปิ ‘‘ตณฺหากฺขโย’’ติ อธิกตตฺตา ตณฺหาย เอว วิรชฺชนํ นิรุชฺฌนญฺจ วุตฺตํฯ

    Kāmapipāsāti kāmānaṃ pātukamyatā, kāmataṇhāti attho. Ālīyanti abhiramitabbaṭṭhena sevīyantīti ālayā, pañca kāmaguṇāti āha ‘‘pañca kāmaguṇālayā’’ti. Pañcasu hi kāmaguṇesu chandarāgappahāneneva pañca kāmaguṇāpi pahīnā nāma honti, teneva ‘‘yo, bhikkhave, rūpesu chandarāgo’’tiādi (saṃ. ni. 3.323) vuttaṃ. Pañcakāmaguṇesu vā ālayā pañcakāmaguṇālayā. Ālīyanti allīyanti abhiramanavasena sevantīti ālayāti hi taṇhāvicaritānaṃ adhivacanaṃ. Tebhūmakavaṭṭanti tīsu bhūmīsu kammakilesavipākā vaṭṭanaṭṭhena vaṭṭaṃ. Virajjatīti palujjati. ‘‘Virajjatīti kāmavināso vutto, nirujjhatīti ekappahārena vināso’’ti gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Virāgo nirodhoti sāmaññacodanāyapi ‘‘taṇhākkhayo’’ti adhikatattā taṇhāya eva virajjanaṃ nirujjhanañca vuttaṃ.

    จตโสฺส โยนิโยติ เอตฺถ โยนีติ ขนฺธโกฎฺฐาสสฺสปิ การณสฺสปิ ปสฺสาวมคฺคสฺสปิ นามํฯ ‘‘จตโสฺส นาคโยนิโย (สํ. นิ. ๓.๓๔๒-๓๔๓) จตโสฺส สุปณฺณโยนิโย’’ติ เอตฺถ หิ ขนฺธโกฎฺฐาโส โยนิ นามฯ ‘‘โยนิ เหสา ภูมิช ผลสฺส อธิคมายา’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๒๖) เอตฺถ การณํฯ ‘‘น จาหํ พฺราหฺมณํ พฺรูมิ, โยนิชํ มตฺติสมฺภว’’นฺติ (ม. นิ. ๒.๔๕๗; ธ. ป. ๓๙๖) เอตฺถ ปสฺสาวมโคฺคฯ อิธ ปน ขนฺธโกฎฺฐาโส ‘‘โยนี’’ติ อธิเปฺปโตฯ ยวนฺติ ตาย สตฺตา อมิสฺสิตาปิ สมานชาติตาย มิสฺสิตา โหนฺตีติ โยนิฯ สา ปน อตฺถโต อณฺฑาทิอุปฺปตฺติฎฺฐานวิสิโฎฺฐ ขนฺธานํ ภาคโส ปวตฺติวิเสโส, สา จ อณฺฑชชลาพุชสํเสทชโอปปาติกวเสน จตุพฺพิธาฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘จตโสฺส โข อิมา, สาริปุตฺต, โยนิโยฯ กตมา จตโสฺส? อณฺฑชา โยนิ ชลาพุชา โยนิ สํเสทชา โยนิ โอปปาติกา โยนี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๕๒)ฯ

    Catasso yoniyoti ettha yonīti khandhakoṭṭhāsassapi kāraṇassapi passāvamaggassapi nāmaṃ. ‘‘Catasso nāgayoniyo (saṃ. ni. 3.342-343) catasso supaṇṇayoniyo’’ti ettha hi khandhakoṭṭhāso yoni nāma. ‘‘Yoni hesā bhūmija phalassa adhigamāyā’’ti (ma. ni. 3.226) ettha kāraṇaṃ. ‘‘Na cāhaṃ brāhmaṇaṃ brūmi, yonijaṃ mattisambhava’’nti (ma. ni. 2.457; dha. pa. 396) ettha passāvamaggo. Idha pana khandhakoṭṭhāso ‘‘yonī’’ti adhippeto. Yavanti tāya sattā amissitāpi samānajātitāya missitā hontīti yoni. Sā pana atthato aṇḍādiuppattiṭṭhānavisiṭṭho khandhānaṃ bhāgaso pavattiviseso, sā ca aṇḍajajalābujasaṃsedajaopapātikavasena catubbidhā. Vuttañhetaṃ ‘‘catasso kho imā, sāriputta, yoniyo. Katamā catasso? Aṇḍajā yoni jalābujā yoni saṃsedajā yoni opapātikā yonī’’ti (ma. ni. 1.152).

    ตตฺถ อเณฺฑ ชาตา อณฺฑชาฯ ชลาพุมฺหิ ชาตา ชลาพุชาฯ สํเสเท ชาตา สํเสทชาฯ วินา เอเตหิ การเณหิ อุปฺปติตฺวา วิย นิพฺพตฺตาติ โอปปาติกาฯ เอตฺถ จ เปตโลเก ติรจฺฉาเน มนุเสฺสสุ จ อณฺฑชาทโย จตโสฺสปิ โยนิโย สมฺภวนฺติ, มนุเสฺสสุ ปเนตฺถ เกจิเทว โอปปาติกา โหนฺติ มหาปทุมกุมาราทโย วิยฯ อณฺฑชาปิ โกนฺตปุตฺตา เทฺวภาติยเถรา วิย, สํเสทชาปิ ปทุมคเพฺภ นิพฺพตฺตโปกฺขรสาติพฺราหฺมณปทุมวตีเทวีอาทโย วิย เกจิเทว โหนฺติ, เยภุเยฺยน ปน มนุสฺสา ชลาพุชาวฯ เปเตสุปิ นิชฺฌามตณฺหิกเปตานํ นิจฺจทุกฺขาตุรตาย กามเสวนา นตฺถิ, ตสฺมา เต คพฺภเสยฺยกา น โหนฺติฯ ชาลาวนฺตตาย น ตาสํ กุจฺฉิยํ คโพฺภ สณฺฐาติ, ตสฺมา เต โอปปาติกาเยว สํเสทชตายปิ อสมฺภวโต, อวเสสเปตา ปน จตุโยนิกาปิ โหนฺติฯ ยถา จ เต, เอวํ ยกฺขาปิ สพฺพจตุปฺปทปกฺขิชาติทีฆชาติอาทโยปิ สเพฺพ จตุโยนิกาเยวฯ สเพฺพ เนรยิกา จ จตุมหาราชิกโต ปฎฺฐาย อุปริเทวา จ โอปปาติกาเยว, ภุมฺมเทวา ปน จตุโยนิกาว โหนฺติฯ ตตฺถ เทวมนุเสฺสสุ สํเสทชโอปปาติกานํ อยํ วิเสโส – สํเสทชา มนฺทา ทหรา หุตฺวา นิพฺพตฺตนฺติ, โอปปาติกา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกา หุตฺวาฯ

    Tattha aṇḍe jātā aṇḍajā. Jalābumhi jātā jalābujā. Saṃsede jātā saṃsedajā. Vinā etehi kāraṇehi uppatitvā viya nibbattāti opapātikā. Ettha ca petaloke tiracchāne manussesu ca aṇḍajādayo catassopi yoniyo sambhavanti, manussesu panettha kecideva opapātikā honti mahāpadumakumārādayo viya. Aṇḍajāpi kontaputtā dvebhātiyatherā viya, saṃsedajāpi padumagabbhe nibbattapokkharasātibrāhmaṇapadumavatīdevīādayo viya kecideva honti, yebhuyyena pana manussā jalābujāva. Petesupi nijjhāmataṇhikapetānaṃ niccadukkhāturatāya kāmasevanā natthi, tasmā te gabbhaseyyakā na honti. Jālāvantatāya na tāsaṃ kucchiyaṃ gabbho saṇṭhāti, tasmā te opapātikāyeva saṃsedajatāyapi asambhavato, avasesapetā pana catuyonikāpi honti. Yathā ca te, evaṃ yakkhāpi sabbacatuppadapakkhijātidīghajātiādayopi sabbe catuyonikāyeva. Sabbe nerayikā ca catumahārājikato paṭṭhāya uparidevā ca opapātikāyeva, bhummadevā pana catuyonikāva honti. Tattha devamanussesu saṃsedajaopapātikānaṃ ayaṃ viseso – saṃsedajā mandā daharā hutvā nibbattanti, opapātikā soḷasavassuddesikā hutvā.

    ปญฺจ คติโยติ เอตฺถ สุกตทุกฺกฎกมฺมวเสน คนฺตพฺพา อุปปชฺชิตพฺพาติ คติโยฯ ยถา หิ กมฺมภโว ปรมตฺถโต อสติปิ การเก ปจฺจยสามคฺคิยา สิโทฺธ, ตํสมงฺคินา สนฺตานลกฺขเณน สเตฺตน กโตติ โวหรียติ, เอวํ อุปปตฺติภวลกฺขณคติโย ปรมตฺถโต อสติปิ คมเก ตํตํกมฺมวเสน เยสํ ตานิ กมฺมานิ เตหิ คนฺตพฺพาติ โวหรียนฺติฯ อปิจ คติคติ นิพฺพตฺติคติ อชฺฌาสยคติ วิภวคติ นิปฺผตฺติคตีติ พหุวิธา คติ นามฯ ตตฺถ ‘‘ตํ คติํ เปจฺจ คจฺฉามี’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๘๔) จ ‘‘ยสฺส คติํ น ชานนฺติ, เทวา คนฺธพฺพมานุสา’’ติ (ธ. ป. ๔๒๐; สุ. นิ. ๖๔๙) จ อยํ คติคติ นามฯ ‘‘อิเมสํ โข ปนาหํ ภิกฺขูนํ สีลวนฺตานํ เนว ชานามิ อาคติํ วา คติํ วา’’ติ (ม. นิ. ๑.๕๐๘) อยํ นิพฺพตฺติคติ นามฯ ‘‘เอวมฺปิ โข เต อหํ พฺรเหฺม คติญฺจ ปชานามิ จุติญฺจ ปชานามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๕๐๓) อยํ อชฺฌาสยคติ นามฯ ‘‘วิภโว คติ ธมฺมานํ, นิพฺพานํ อรหโต คตี’’ติ (ปริ. ๓๓๙) อยํ วิภวคติ นามฯ ‘‘เทฺวเยว คติโย สมฺภวนฺติ อนญฺญา’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๕๘; ๒.๓๔; ๓.๒๐๐) อยํ นิปฺผตฺติคติ นามฯ ตาสุ อิธ คติคติ อธิเปฺปตา, สา ปน นิรยติรจฺฉานโยนิเปตฺติวิสยมนอุสฺสเทวานํ วเสน ปญฺจวิธา โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ปญฺจ โข อิมา, สาริปุตฺต, คติโยฯ กตมา ปญฺจ? นิรโย ติรจฺฉานโยนิ เปตฺติวิสโย มนุสฺสา เทวา’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๕๓)ฯ

    Pañca gatiyoti ettha sukatadukkaṭakammavasena gantabbā upapajjitabbāti gatiyo. Yathā hi kammabhavo paramatthato asatipi kārake paccayasāmaggiyā siddho, taṃsamaṅginā santānalakkhaṇena sattena katoti voharīyati, evaṃ upapattibhavalakkhaṇagatiyo paramatthato asatipi gamake taṃtaṃkammavasena yesaṃ tāni kammāni tehi gantabbāti voharīyanti. Apica gatigati nibbattigati ajjhāsayagati vibhavagati nipphattigatīti bahuvidhā gati nāma. Tattha ‘‘taṃ gatiṃ pecca gacchāmī’’ti (a. ni. 4.184) ca ‘‘yassa gatiṃ na jānanti, devā gandhabbamānusā’’ti (dha. pa. 420; su. ni. 649) ca ayaṃ gatigati nāma. ‘‘Imesaṃ kho panāhaṃ bhikkhūnaṃ sīlavantānaṃ neva jānāmi āgatiṃ vā gatiṃ vā’’ti (ma. ni. 1.508) ayaṃ nibbattigati nāma. ‘‘Evampi kho te ahaṃ brahme gatiñca pajānāmi cutiñca pajānāmī’’ti (ma. ni. 1.503) ayaṃ ajjhāsayagati nāma. ‘‘Vibhavo gati dhammānaṃ, nibbānaṃ arahato gatī’’ti (pari. 339) ayaṃ vibhavagati nāma. ‘‘Dveyeva gatiyo sambhavanti anaññā’’ti (dī. ni. 1.258; 2.34; 3.200) ayaṃ nipphattigati nāma. Tāsu idha gatigati adhippetā, sā pana nirayatiracchānayonipettivisayamanaussadevānaṃ vasena pañcavidhā hoti. Vuttañhetaṃ – ‘‘pañca kho imā, sāriputta, gatiyo. Katamā pañca? Nirayo tiracchānayoni pettivisayo manussā devā’’ti (ma. ni. 1.153).

    ตตฺถ ยสฺส อุปฺปชฺชติ, ตํ พฺรูเหโนฺตเยว อุปฺปชฺชตีติ อโย, สุขํฯ นตฺถิ เอตฺถ อโยติ นิรโย, ตโต เอว รมิตพฺพํ อสฺสาเทตพฺพํ ตตฺถ นตฺถีติ นิรติอเตฺถน นิรสฺสาทเฎฺฐน จ นิรโยติ วุจฺจติฯ ติริยํ อญฺจิตาติ ติรจฺฉานา, เทวมนุสฺสาทโย วิย อุทฺธํ ทีฆา อหุตฺวา ติริยํ ทีฆาติ อโตฺถฯ ปกฎฺฐโต สุขโต อยนํ อปคโม เปจฺจภาโว, ตํ เปจฺจภาวํ ปตฺตานํ วิสโยติ เปตฺติวิสโย, เปตโยนิฯ มนสฺส อุสฺสนฺนตาย มนุสฺสา, สติสูรภาวพฺรหฺมจริยโยคฺยตาทิคุณวเสน อุปจิตมานสตาย อุกฺกฎฺฐคุณจิตฺตตาย มนุสฺสาติ วุตฺตํ โหติ, อยํ ปนโตฺถ นิปฺปริยายโต ชมฺพุทีปวาสีวเสน เวทิตโพฺพฯ ยถาห – ‘‘ตีหิ, ภิกฺขเว, ฐาเนหิ ชมฺพุทีปกา มนุสฺสา อุตฺตรกุรุเก จ มนุเสฺส อธิคฺคณฺหนฺติ เทเว จ ตาวติํเสฯ กตเมหิ ตีหิ? สูรา สติมโนฺต อิธ พฺรหฺมจริยวาโส’’ติ (อ. นิ. ๙.๒๑)ฯ ตถา หิ พุทฺธา จ ภควโนฺต ปเจฺจกพุทฺธา อคฺคสาวกา มหาสาวกา จกฺกวตฺติโน อเญฺญ จ มหานุภาวา สตฺตา ตเตฺถว อุปฺปชฺชนฺติ, เตหิ สมานรูปาทิตาย ปน สทฺธิํ ปริตฺตทีปวาสีหิ อิตรมหาทีปวาสิโนปิ มนุสฺสาเตฺวว ปญฺญายิํสุฯ

    Tattha yassa uppajjati, taṃ brūhentoyeva uppajjatīti ayo, sukhaṃ. Natthi ettha ayoti nirayo, tato eva ramitabbaṃ assādetabbaṃ tattha natthīti niratiatthena nirassādaṭṭhena ca nirayoti vuccati. Tiriyaṃ añcitāti tiracchānā, devamanussādayo viya uddhaṃ dīghā ahutvā tiriyaṃ dīghāti attho. Pakaṭṭhato sukhato ayanaṃ apagamo peccabhāvo, taṃ peccabhāvaṃ pattānaṃ visayoti pettivisayo, petayoni. Manassa ussannatāya manussā, satisūrabhāvabrahmacariyayogyatādiguṇavasena upacitamānasatāya ukkaṭṭhaguṇacittatāya manussāti vuttaṃ hoti, ayaṃ panattho nippariyāyato jambudīpavāsīvasena veditabbo. Yathāha – ‘‘tīhi, bhikkhave, ṭhānehi jambudīpakā manussā uttarakuruke ca manusse adhiggaṇhanti deve ca tāvatiṃse. Katamehi tīhi? Sūrā satimanto idha brahmacariyavāso’’ti (a. ni. 9.21). Tathā hi buddhā ca bhagavanto paccekabuddhā aggasāvakā mahāsāvakā cakkavattino aññe ca mahānubhāvā sattā tattheva uppajjanti, tehi samānarūpāditāya pana saddhiṃ parittadīpavāsīhi itaramahādīpavāsinopi manussātveva paññāyiṃsu.

    อปเร ปน ภณนฺติ ‘‘โลภาทีหิ อโลภาทีหิ จ สหิตสฺส มนสฺส อุสฺสนฺนตาย มนุสฺสาฯ เย หิ สตฺตา มนุสฺสชาติกา, เตสุ วิเสสโต โลภาทโย อโลภาทโย จ อุสฺสนฺนาฯ เต โลภาทิอุสฺสนฺนตาย อปายมคฺคํ, อโลภาทิอุสฺสนฺนตาย สุคติมคฺคํ นิพฺพานคามิมคฺคญฺจ ปริปูเรนฺติ, ตสฺมา โลภาทีหิ อโลภาทีหิ จ สหิตสฺส มนสฺส อุสฺสนฺนตาย ปริตฺตทีปวาสีหิ สทฺธิํ จตุมหาทีปวาสิโน สตฺตวิเสสา มนุสฺสาติ วุจฺจนฺตี’’ติฯ โลกิยา ปน ‘‘มนุโน อปจฺจภาเวน มนุสฺสา’’ติ วทนฺติฯ มนุ นาม ปฐมกปฺปิโก โลกมริยาทาย อาทิภูโต สตฺตานํ หิตาหิตวิธายโก กตฺตพฺพากตฺตพฺพตาวเสน ปิตุฎฺฐานิโย, โย สาสเน มหาสมฺมโตติ วุจฺจติ อมฺหากํ โพธิสโตฺต, ปจฺจกฺขโต ปรมฺปราย จ ตสฺส โอวาทานุสาสนิยํ ฐิตา สตฺตา ปุตฺตสทิสตาย ‘‘มนุสฺสา, มานุสา’’ติ จ วุจฺจนฺติฯ ตโต เอว หิ เต ‘‘มานวา มนุชา’’ติ จ โวหรียนฺติฯ

    Apare pana bhaṇanti ‘‘lobhādīhi alobhādīhi ca sahitassa manassa ussannatāya manussā. Ye hi sattā manussajātikā, tesu visesato lobhādayo alobhādayo ca ussannā. Te lobhādiussannatāya apāyamaggaṃ, alobhādiussannatāya sugatimaggaṃ nibbānagāmimaggañca paripūrenti, tasmā lobhādīhi alobhādīhi ca sahitassa manassa ussannatāya parittadīpavāsīhi saddhiṃ catumahādīpavāsino sattavisesā manussāti vuccantī’’ti. Lokiyā pana ‘‘manuno apaccabhāvena manussā’’ti vadanti. Manu nāma paṭhamakappiko lokamariyādāya ādibhūto sattānaṃ hitāhitavidhāyako kattabbākattabbatāvasena pituṭṭhāniyo, yo sāsane mahāsammatoti vuccati amhākaṃ bodhisatto, paccakkhato paramparāya ca tassa ovādānusāsaniyaṃ ṭhitā sattā puttasadisatāya ‘‘manussā, mānusā’’ti ca vuccanti. Tato eva hi te ‘‘mānavā manujā’’ti ca voharīyanti.

    ปญฺจหิ กามคุเณหิ อตฺตโน อตฺตโน เทวานุภาวสงฺขาเตหิ อิทฺธิวิเสเสหิ จ ทิพฺพนฺติ กีฬนฺติ ลฬนฺติ โชตนฺตีติ เทวาฯ ตตฺถ กามเทวา กามคุเณหิ เจว อิทฺธิวิเสเสหิ จ, อิตเร อิทฺธิวิเสเสเหว ทิพฺพนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ สรณนฺติ วา คมิยนฺติ อภิตฺถวียนฺตีติ วา เทวาฯ เอตฺถ จ นิรยคติเทวคติมนุสฺสคตีหิ สทฺธิํ โอกาเสน ขนฺธา วุตฺตาฯ ติรจฺฉานโยนิเปตฺติวิสยคฺคหเณน ขนฺธานํ เอว คหณํ เวทิตพฺพํ เตสํ ตาทิสสฺส ปริจฺฉินฺนสฺส โอกาสสฺส อภาวโตฯ ยตฺถ ยตฺถ วา เต อรญฺญสมุทฺทปพฺพตปาทาทิเก นิพทฺธวาสํ วสนฺติ, ตาทิสสฺส ฐานสฺส วเสน โอกาโสปิ คเหตโพฺพฯ สตฺต วิญฺญาณฎฺฐิติโย นว สตฺตาวาสา จ เหฎฺฐา สํวณฺณิตนยา เอวฯ อปราปรภาวายาติ อปราปรํ โยนิอาทิโต โยนิอาทิภาวายฯ อาพนฺธนํ คณฺฐิกรณํ, สํสิพฺพนํ ตุนฺนกรณํฯ ตณฺหาย นิกฺขนฺตํ ตตฺถ ตสฺสา สพฺพโส อภาวโต, นิกฺขมนญฺจสฺส ตณฺหาย วิสํโยโค เอวาติ อาห ‘‘วิสํยุตฺต’’นฺติฯ

    Pañcahi kāmaguṇehi attano attano devānubhāvasaṅkhātehi iddhivisesehi ca dibbanti kīḷanti laḷanti jotantīti devā. Tattha kāmadevā kāmaguṇehi ceva iddhivisesehi ca, itare iddhiviseseheva dibbantīti veditabbā. Saraṇanti vā gamiyanti abhitthavīyantīti vā devā. Ettha ca nirayagatidevagatimanussagatīhi saddhiṃ okāsena khandhā vuttā. Tiracchānayonipettivisayaggahaṇena khandhānaṃ eva gahaṇaṃ veditabbaṃ tesaṃ tādisassa paricchinnassa okāsassa abhāvato. Yattha yattha vā te araññasamuddapabbatapādādike nibaddhavāsaṃ vasanti, tādisassa ṭhānassa vasena okāsopi gahetabbo. Satta viññāṇaṭṭhitiyo nava sattāvāsā ca heṭṭhā saṃvaṇṇitanayā eva. Aparāparabhāvāyāti aparāparaṃ yoniādito yoniādibhāvāya. Ābandhanaṃ gaṇṭhikaraṇaṃ, saṃsibbanaṃ tunnakaraṇaṃ. Taṇhāya nikkhantaṃ tattha tassā sabbaso abhāvato, nikkhamanañcassa taṇhāya visaṃyogo evāti āha ‘‘visaṃyutta’’nti.

    กามานํ ปหานนฺติ เอตฺถ กามคฺคหเณน กามียตีติ กาโม, กาเมตีติ กาโมติ ทุวิธสฺสปิ กามสฺส สงฺคโห กโตติ อาห ‘‘วตฺถุกามานํ กิเลสกามานญฺจ ปหาน’’นฺติฯ วตฺถุกามปฺปหานเญฺจตฺถ เตสุ ฉนฺทราคปฺปหาเนนาติ เวทิตพฺพํฯ กามสญฺญานนฺติ กาเมสุ, กามสหคตานํ วา สญฺญานํฯ ปริญฺญาติ ติวิธาปิ ปริญฺญา อิธาธิเปฺปตาติ อาห ‘‘ญาตตีรณปหานวเสน ติวิธา ปริญฺญา’’ติฯ ตตฺถ กตมา ญาตปริญฺญา? สพฺพํ เตภูมกํ นามรูปํ ‘‘อิทํ รูปํ, เอตฺตกํ รูปํ, น อิโต ภิโยฺย, อิทํ นามํ, เอตฺตกํ นามํ, น อิโต ภิโยฺย’’ติ ภูตุปาทายเภทํ รูปํ ผสฺสาทิเภทํ นามญฺจ ลกฺขณรสปจฺจุปฎฺฐานปทฎฺฐานโต ววตฺถเปติ, กมฺมาวิชฺชาทิกญฺจสฺส ปจฺจยํ ปริคฺคณฺหาติ, อยํ ญาตปริญฺญา

    Kāmānaṃ pahānanti ettha kāmaggahaṇena kāmīyatīti kāmo, kāmetīti kāmoti duvidhassapi kāmassa saṅgaho katoti āha ‘‘vatthukāmānaṃ kilesakāmānañca pahāna’’nti. Vatthukāmappahānañcettha tesu chandarāgappahānenāti veditabbaṃ. Kāmasaññānanti kāmesu, kāmasahagatānaṃ vā saññānaṃ. Pariññāti tividhāpi pariññā idhādhippetāti āha ‘‘ñātatīraṇapahānavasena tividhā pariññā’’ti. Tattha katamā ñātapariññā? Sabbaṃ tebhūmakaṃ nāmarūpaṃ ‘‘idaṃ rūpaṃ, ettakaṃ rūpaṃ, na ito bhiyyo, idaṃ nāmaṃ, ettakaṃ nāmaṃ, na ito bhiyyo’’ti bhūtupādāyabhedaṃ rūpaṃ phassādibhedaṃ nāmañca lakkhaṇarasapaccupaṭṭhānapadaṭṭhānato vavatthapeti, kammāvijjādikañcassa paccayaṃ pariggaṇhāti, ayaṃ ñātapariññā.

    กตมา ตีรณปริญฺญา? เอวํ ญาตํ กตฺวา ตํ สพฺพํ ตีเรติ อนิจฺจโต ทุกฺขโต โรคโตติ ทฺวาจตฺตาลีสาย อากาเรหิ, อยํ ตีรณปริญฺญา นามฯ กตมา ปหานปริญฺญา? เอวํ ตีรยิตฺวา อคฺคมเคฺคน สพฺพสฺมิํ ฉนฺทราคํ ปชหติ, อยํ ปหานปริญฺญาฯ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิกงฺขาวิตรณวิสุทฺธิโย วา ญาตปริญฺญา, มคฺคามคฺคปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิอาทโย, กลาปสมฺมสนาทิอนุโลมปริโยสานา วา ปญฺญา ตีรณปริญฺญา, อริยมเคฺค ญาณํ นิปฺปริยาเยน ปหานปริญฺญาฯ อิธ ปน กามสญฺญานํ สภาวลกฺขณปฎิเวธวเสน อนิจฺจาทิสามญฺญลกฺขณวเสน จ ปวตฺตมานานํ ญาตตีรณปริญฺญานมฺปิ กิจฺจนิปฺผตฺติยา มเคฺคเนว อิชฺฌนโต มคฺคกฺขณํเยว สนฺธาย ติวิธาปิ ปริญฺญา วุตฺตาฯ เตเนว ‘‘อิเมสุ ปญฺจสุ ฐาเนสุ กิเลสกฺขยกโร โลกุตฺตรมโคฺคว กถิโต’’ติ วุตฺตํฯ

    Katamā tīraṇapariññā? Evaṃ ñātaṃ katvā taṃ sabbaṃ tīreti aniccato dukkhato rogatoti dvācattālīsāya ākārehi, ayaṃ tīraṇapariññā nāma. Katamā pahānapariññā? Evaṃ tīrayitvā aggamaggena sabbasmiṃ chandarāgaṃ pajahati, ayaṃ pahānapariññā. Diṭṭhivisuddhikaṅkhāvitaraṇavisuddhiyo vā ñātapariññā, maggāmaggapaṭipadāñāṇadassanavisuddhiādayo, kalāpasammasanādianulomapariyosānā vā paññā tīraṇapariññā, ariyamagge ñāṇaṃ nippariyāyena pahānapariññā. Idha pana kāmasaññānaṃ sabhāvalakkhaṇapaṭivedhavasena aniccādisāmaññalakkhaṇavasena ca pavattamānānaṃ ñātatīraṇapariññānampi kiccanipphattiyā maggeneva ijjhanato maggakkhaṇaṃyeva sandhāya tividhāpi pariññā vuttā. Teneva ‘‘imesu pañcasu ṭhānesu kilesakkhayakaro lokuttaramaggova kathito’’ti vuttaṃ.

    กาเมสุ, กาเม วา ปาตุมิจฺฉา กามปิปาสาติ อาห – ‘‘กาเมสุ ปาตพฺยตานํ, กาเม วา ปาตุมิจฺฉาน’’นฺติฯ อิเมสุ ปญฺจสุ ฐาเนสูติ ‘‘กามานํ ปหานํ อกฺขาต’’นฺติอาทินา วุเตฺตสุ ปญฺจสุ ฐาเนสุฯ ตีสุ ฐาเนสูติ ‘‘วิราคาย ธโมฺม เทสิโต, โน สราคาย, วิสํโยคาย ธโมฺม เทสิโต, โน สํโยคาย, อนุปาทานาย ธโมฺม เทสิโต, โน สอุปาทานายา’’ติ เอวํ วุเตฺตสุ ฐาเนสุฯ วิปฺปฎิสารํ กโรตีติ เอวํ ตํ ปาปํ วิปฺปฎิสารํ อุปฺปาเทติฯ กีทิสํ วิปฺปฎิสารํ กโรตีติ อาห ‘‘อีทิเสปิ นามา’’ติอาทิฯ

    Kāmesu, kāme vā pātumicchā kāmapipāsāti āha – ‘‘kāmesu pātabyatānaṃ, kāme vā pātumicchāna’’nti. Imesu pañcasu ṭhānesūti ‘‘kāmānaṃ pahānaṃ akkhāta’’ntiādinā vuttesu pañcasu ṭhānesu. Tīsu ṭhānesūti ‘‘virāgāya dhammo desito, no sarāgāya, visaṃyogāya dhammo desito, no saṃyogāya, anupādānāya dhammo desito, no saupādānāyā’’ti evaṃ vuttesu ṭhānesu. Vippaṭisāraṃ karotīti evaṃ taṃ pāpaṃ vippaṭisāraṃ uppādeti. Kīdisaṃ vippaṭisāraṃ karotīti āha ‘‘īdisepi nāmā’’tiādi.

    ๓๙. เนว ปิยกมฺยตายาติ อตฺตนิ สตฺถุ เนว ปิยภาวกามตายฯ น เภทปุเรกฺขารตายาติ น สตฺถุ เตน ภิกฺขุนา เภทนาธิปฺปายปุเรกฺขารตายฯ น กลิสาสนาโรปนตฺถายาติ น โทสาโรปนตฺถายฯ กลีติ โกธเสฺสตํ อธิวจนํ, ตสฺส สาสนํ กลิสาสนํ, โกธวเสน วุจฺจมาโน ครหโทโสฯ เวลนฺติ สิกฺขาปทเวลํฯ มริยาทนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ สิกฺขาปทญฺหิ อนติกฺกมนียเฎฺฐน ‘‘เวลา, มริยาทา’’ติ จ วุจฺจติฯ

    39.Nevapiyakamyatāyāti attani satthu neva piyabhāvakāmatāya. Na bhedapurekkhāratāyāti na satthu tena bhikkhunā bhedanādhippāyapurekkhāratāya. Na kalisāsanāropanatthāyāti na dosāropanatthāya. Kalīti kodhassetaṃ adhivacanaṃ, tassa sāsanaṃ kalisāsanaṃ, kodhavasena vuccamāno garahadoso. Velanti sikkhāpadavelaṃ. Mariyādanti tasseva vevacanaṃ. Sikkhāpadañhi anatikkamanīyaṭṭhena ‘‘velā, mariyādā’’ti ca vuccati.

    อชฺฌาจารวีติกฺกโมติ เมถุนวเสน ปวตฺตอชฺฌาจารสงฺขาโต วีติกฺกโมฯ ปกรเณติ เอตฺถ -สโทฺท อารมฺภวจโนติ อาห ‘‘กตฺตุํ อารภตี’’ติฯ กตฺถจิ อุปสโคฺค ธาตุอตฺถเมว วทติ, น วิเสสตฺถโชตโกติ อาห ‘‘กโรติเยว วา’’ติฯ ชาติยาติ ขตฺติยาทิชาติยาฯ โคเตฺตนาติ โคตมกสฺสปาทิโคเตฺตนฯ โกลปุตฺติเยนาติ ขตฺติยาทิชาตีสุเยว สกฺกกุลโสตฺถิยกุลาทิวิสิฎฺฐกุลานํ ปุตฺตภาเวนฯ ยสสฺสีติ มหาปริวาโรฯ เปสลนฺติ ปิยสีลํฯ อวิกมฺปมาเนนาติ ปฎิฆานุนเยหิ อกมฺปมาเนนฯ ยสฺส ตสฺมิํ อตฺตภาเว อุปฺปชฺชนารหานํ มคฺคผลานํ อุปนิสฺสโย นตฺถิ, ตํ พุทฺธา ‘‘โมฆปุริสา’’ติ วทนฺติ อริฎฺฐลาฬุทายีอาทิเก วิยฯ อุปนิสฺสเย สติปิ ตสฺมิํ ขเณ มเคฺค วา ผเล วา อสติ ‘‘โมฆปุริสา’’ติ วทนฺติเยว ธนิยอุปเสนเตฺถราทิเก วิยฯ สุทินฺนสฺส ปน ตสฺมิํ อตฺตภาเว มคฺคผลานํ อุปนิสฺสโย สมุจฺฉิโนฺนเยว, เตน นํ ‘‘โมฆปุริสา’’ติ อาหฯ

    Ajjhācāravītikkamoti methunavasena pavattaajjhācārasaṅkhāto vītikkamo. Pakaraṇeti ettha pa-saddo ārambhavacanoti āha ‘‘kattuṃ ārabhatī’’ti. Katthaci upasaggo dhātuatthameva vadati, na visesatthajotakoti āha ‘‘karotiyeva vā’’ti. Jātiyāti khattiyādijātiyā. Gottenāti gotamakassapādigottena. Kolaputtiyenāti khattiyādijātīsuyeva sakkakulasotthiyakulādivisiṭṭhakulānaṃ puttabhāvena. Yasassīti mahāparivāro. Pesalanti piyasīlaṃ. Avikampamānenāti paṭighānunayehi akampamānena. Yassa tasmiṃ attabhāve uppajjanārahānaṃ maggaphalānaṃ upanissayo natthi, taṃ buddhā ‘‘moghapurisā’’ti vadanti ariṭṭhalāḷudāyīādike viya. Upanissaye satipi tasmiṃ khaṇe magge vā phale vā asati ‘‘moghapurisā’’ti vadantiyeva dhaniyaupasenattherādike viya. Sudinnassa pana tasmiṃ attabhāve maggaphalānaṃ upanissayo samucchinnoyeva, tena naṃ ‘‘moghapurisā’’ti āha.

    สมณกรณานํ ธมฺมานนฺติ หิโรตฺตปฺปาทีนํฯ มคฺคผลนิพฺพานคฺคหเณน ปฎิเวธสาสนสฺส คหิตตฺตา สาสนานนฺติ ปฎิปตฺติปริยตฺติสาสนานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ ฉวินฺติ เตสํ ปภสฺสรกรณํ ฉวิํฯ กิํ ตนฺติ อาห ‘‘ฉาย’’นฺติ, เตสํ ปกาสกํ โอภาสนฺติ อโตฺถฯ กิํ ตนฺติ อาห ‘‘สุนฺทรภาว’’นฺติฯ ฉวิมนุคตํ อนุจฺฉวิกํปติรูปนฺติอาทีสุปิ ‘‘เตส’’นฺติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ สมณานํ กมฺมํ สามณกํ, น สามณกํ อสฺสามณกํฯ กถํ-สทฺทโยเคน ‘‘น สกฺขิสฺสสี’’ติ อนาคตวจนํ กตํฯ ‘‘นาม-สทฺทโยเคนา’’ติ จ วทนฺติฯ

    Samaṇakaraṇānaṃ dhammānanti hirottappādīnaṃ. Maggaphalanibbānaggahaṇena paṭivedhasāsanassa gahitattā sāsanānanti paṭipattipariyattisāsanānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Chavinti tesaṃ pabhassarakaraṇaṃ chaviṃ. Kiṃ tanti āha ‘‘chāya’’nti, tesaṃ pakāsakaṃ obhāsanti attho. Kiṃ tanti āha ‘‘sundarabhāva’’nti. Chavimanugataṃ anucchavikaṃ. Patirūpantiādīsupi ‘‘tesa’’nti ānetvā sambandhitabbaṃ. Samaṇānaṃ kammaṃ sāmaṇakaṃ, na sāmaṇakaṃ assāmaṇakaṃ. Kathaṃ-saddayogena ‘‘na sakkhissasī’’ti anāgatavacanaṃ kataṃ. ‘‘Nāma-saddayogenā’’ti ca vadanti.

    ทยาลุเกนาติ อนุกมฺปาย สหิเตนฯ ปริภาสโนฺตติ ครหโนฺตฯ นิรุตฺตินเยน อาสีวิส-สทฺทสฺส อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อาสุ สีฆ’’นฺติอาทิฯ เอตสฺสาติ อาสีวิสสฺสฯ อาคจฺฉตีติ โย เตน ทโฎฺฐ, ตํ ปติอาคจฺฉติฯ อาสิตฺตวิโสติปิ อาสีวิโส, สกลกาเย อาสิญฺจิตฺวา วิย ฐปิตวิโส ปรสฺส จ สรีเร อาสิญฺจนวิโสติ อโตฺถฯ อสิตวิโสติปิ อาสีวิโสฯ ยํ ยญฺหิ เอเตน อสิตํ โหติ ปริภุตฺตํ, ตํ วิสเมว สมฺปชฺชติ, ตสฺมา อสิตํ วิสํ เอตสฺสาติ อสิตวิโสติ วตฺตเพฺพ ‘‘อาสีวิโส’’ติ นิรุตฺตินเยน วุตฺตํฯ อสิสทิสวิโสติปิ อาสีวิโส, อสิ วิย ติขิณํ ปรสฺส มมฺมเจฺฉทนสมตฺถํ วิสํ เอตสฺสาติ อาสีวิโสติ วุตฺตํ โหติฯ อาสีติ วา ทาฐา วุจฺจติ, ตตฺถ สนฺนิหิตวิโสติ อาสีวิโสฯ เสสสเปฺปหิ กณฺหสปฺปสฺส มหาวิสตฺตา อาสีวิสสฺสานนฺตรํ กณฺหสโปฺป วุโตฺตฯ สปฺปมุขมฺปิ องฺคารกาสุ วิย ภยาวหตฺตา อกุสลุปฺปตฺติยา ฐานํ น โหตีติ อกุสลกมฺมโต นิวารณาธิปฺปาเยน สีลเภทโตปิ สุทฺธสีเล ฐิตสฺส มรณเมว วรตรนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘อาสีวิสสฺส กณฺหสปฺปสฺส มุเข องฺคชาตํ ปกฺขิตฺตํ วร’’นฺติ วุตฺตํฯ ปพฺพชิเตน หิ กตปาปกมฺมํ ภควโต อาณาติกฺกมนโต วตฺถุมหนฺตตาย มหาสาวชฺชํฯ กาสุนฺติ อาวาโฎปิ วุจฺจติ ราสิปิฯ

    Dayālukenāti anukampāya sahitena. Paribhāsantoti garahanto. Niruttinayena āsīvisa-saddassa atthaṃ dassento āha ‘‘āsu sīgha’’ntiādi. Etassāti āsīvisassa. Āgacchatīti yo tena daṭṭho, taṃ patiāgacchati. Āsittavisotipi āsīviso, sakalakāye āsiñcitvā viya ṭhapitaviso parassa ca sarīre āsiñcanavisoti attho. Asitavisotipi āsīviso. Yaṃ yañhi etena asitaṃ hoti paribhuttaṃ, taṃ visameva sampajjati, tasmā asitaṃ visaṃ etassāti asitavisoti vattabbe ‘‘āsīviso’’ti niruttinayena vuttaṃ. Asisadisavisotipi āsīviso, asi viya tikhiṇaṃ parassa mammacchedanasamatthaṃ visaṃ etassāti āsīvisoti vuttaṃ hoti. Āsīti vā dāṭhā vuccati, tattha sannihitavisoti āsīviso. Sesasappehi kaṇhasappassa mahāvisattā āsīvisassānantaraṃ kaṇhasappo vutto. Sappamukhampi aṅgārakāsu viya bhayāvahattā akusaluppattiyā ṭhānaṃ na hotīti akusalakammato nivāraṇādhippāyena sīlabhedatopi suddhasīle ṭhitassa maraṇameva varataranti dassetuṃ ‘‘āsīvisassa kaṇhasappassa mukhe aṅgajātaṃ pakkhittaṃ vara’’nti vuttaṃ. Pabbajitena hi katapāpakammaṃ bhagavato āṇātikkamanato vatthumahantatāya mahāsāvajjaṃ. Kāsunti āvāṭopi vuccati rāsipi.

    ‘‘กินฺนุ สนฺตรมาโนว, กาสุํ ขณสิ สารถิ;

    ‘‘Kinnu santaramānova, kāsuṃ khaṇasi sārathi;

    ปุโฎฺฐ เม สมฺม อกฺขาหิ, กิํ กาสุยา กริสฺสสี’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๓) –

    Puṭṭho me samma akkhāhi, kiṃ kāsuyā karissasī’’ti. (jā. 2.22.3) –

    เอตฺถ หิ อาวาโฎ กาสุ นามฯ

    Ettha hi āvāṭo kāsu nāma.

    ‘‘องฺคารกาสุํ อปเร ผุณนฺติ, นรา รุทนฺตา ปริทฑฺฒคตฺตา’’ติ (ชา. ๒.๒๒.๔๖๒) –

    ‘‘Aṅgārakāsuṃ apare phuṇanti, narā rudantā paridaḍḍhagattā’’ti (jā. 2.22.462) –

    เอตฺถ ราสิฯ อิธ ปน อุภยมฺปิ อธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘องฺคารปุณฺณกูเป องฺคารราสิมฺหิ วา’’ติฯ กสฺสติ ขณียตีติ กาสุ, อาวาโฎฯ กสียติ จียตีติ กาสุ, ราสิฯ ปทิตฺตายาติ ทิปฺปมานายฯ สํ-สโทฺท เอตฺถ สมนฺตปริยาโยติ อาห ‘‘สมนฺตโต ปชฺชลิตายา’’ติฯ

    Ettha rāsi. Idha pana ubhayampi adhippetanti āha ‘‘aṅgārapuṇṇakūpe aṅgārarāsimhi vā’’ti. Kassati khaṇīyatīti kāsu, āvāṭo. Kasīyati cīyatīti kāsu, rāsi. Padittāyāti dippamānāya. Saṃ-saddo ettha samantapariyāyoti āha ‘‘samantato pajjalitāyā’’ti.

    อิทํ มาตุคามสฺส องฺคชาเต องฺคชาตปกฺขิปนํ นิทานํ การณมสฺส นิรยุปปชฺชนสฺสาติ อิโตนิทานํ, ภาวนปุํสกเญฺจตํฯ ปจฺจตฺตวจนสฺส โต-อาเทโส กโต, ตสฺส จ สมาเสปิ อโลโปฯ ตตฺถ นาม ตฺวนฺติ เอตฺถ ตฺวํ-สโทฺท ‘‘สมาปชฺชิสฺสสี’’ติ อิมินา สมฺพนฺธมุปคจฺฉมาโน อตฺถีติ อาห ‘‘ตฺวนฺติ ตํสทฺทสฺส เววจน’’นฺติฯ ‘‘ยํ ตนฺติ ปน ปาโฐ ยุตฺตรูโป’’ติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ ยํ ตนฺติ นายํ อุเทฺทสนิเทฺทโส, ยถา โลเก ยํ วา ตํ วาติ อวญฺญาตวจนํ, เอวํ ทฎฺฐพฺพนฺติ อาห – ‘‘ยํ วา ตํ วา หีฬิตํ อวญฺญาตนฺติ วุตฺตํ โหตี’’ติฯ นีจชนานนฺติ นิหีนคุณานํ สตฺตานํฯ คามธมฺมนฺติ เอตฺถ คาม-สเทฺทน คามวาสิโน วุตฺตา อเภทูปจาเรนาติ อาห ‘‘คามวาสิกมนุสฺสาน’’นฺติฯ กิเลสปคฺฆรณกํ ธมฺมนฺติ ราคาทิกิเลสวิสฺสนฺทนกธมฺมํ ฯ เมถุนธโมฺม หิ ราคํ ปคฺฆรติฯ เมถุนธมฺมสฺส มหาสาวชฺชตาย โอฬาริกตฺตา วุตฺตํ ‘‘อสุขุม’’นฺติฯ อนิปุณนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ อุทเก ภวํ โอทกํฯ กิํ ตํ? อุทกกิจฺจนฺติ อาห – ‘‘อุทกกิจฺจํ อนฺติกํ อวสานํ อสฺสา’’ติฯ สมาปชฺชิสฺสตีติ อนาคตวจนํ นาม-สทฺทโยเคน กตนฺติ อาห – ‘‘สมาปชฺชิสฺสตีติ…เป.… นาม-สเทฺทน โยเชตพฺพ’’นฺติฯ โลเก เมถุนธมฺมสฺส อาทิกตฺตา โกจิ ปฐมกปฺปิโก, น ปนายนฺติ อาห – ‘‘สาสนํ สนฺธาย วทตี’’ติฯ พหูนนฺติ ปุคฺคลาเปกฺขํ, น ปน อกุสลาเปกฺขนฺติ อาห ‘‘พหูนํ ปุคฺคลาน’’นฺติฯ

    Idaṃ mātugāmassa aṅgajāte aṅgajātapakkhipanaṃ nidānaṃ kāraṇamassa nirayupapajjanassāti itonidānaṃ, bhāvanapuṃsakañcetaṃ. Paccattavacanassa to-ādeso kato, tassa ca samāsepi alopo. Tattha nāma tvanti ettha tvaṃ-saddo ‘‘samāpajjissasī’’ti iminā sambandhamupagacchamāno atthīti āha ‘‘tvanti taṃsaddassa vevacana’’nti. ‘‘Yaṃ tanti pana pāṭho yuttarūpo’’ti gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Yaṃ tanti nāyaṃ uddesaniddeso, yathā loke yaṃ vā taṃ vāti avaññātavacanaṃ, evaṃ daṭṭhabbanti āha – ‘‘yaṃ vā taṃ vā hīḷitaṃ avaññātanti vuttaṃ hotī’’ti. Nīcajanānanti nihīnaguṇānaṃ sattānaṃ. Gāmadhammanti ettha gāma-saddena gāmavāsino vuttā abhedūpacārenāti āha ‘‘gāmavāsikamanussāna’’nti. Kilesapaggharaṇakaṃ dhammanti rāgādikilesavissandanakadhammaṃ . Methunadhammo hi rāgaṃ paggharati. Methunadhammassa mahāsāvajjatāya oḷārikattā vuttaṃ ‘‘asukhuma’’nti. Anipuṇanti tasseva vevacanaṃ. Udake bhavaṃ odakaṃ. Kiṃ taṃ? Udakakiccanti āha – ‘‘udakakiccaṃ antikaṃ avasānaṃ assā’’ti. Samāpajjissatīti anāgatavacanaṃ nāma-saddayogena katanti āha – ‘‘samāpajjissatīti…pe… nāma-saddenayojetabba’’nti. Loke methunadhammassa ādikattā koci paṭhamakappiko, na panāyanti āha – ‘‘sāsanaṃ sandhāya vadatī’’ti. Bahūnanti puggalāpekkhaṃ, na pana akusalāpekkhanti āha ‘‘bahūnaṃ puggalāna’’nti.

    ยํ อสํวรํ ปฎิจฺจ ทุพฺภรตาทุโปฺปสตาทิ โหติ, โส อสํวโร ทุพฺภรตาทิ-สเทฺทน วุโตฺต การเณ ผลูปจาเรนาติ อาห – ‘‘ทุพฺภรตาทีนํ วตฺถุภูตสฺส อสํวรสฺสา’’ติฯ วตฺถุภูตสฺสาติ การณภูตสฺสฯ วสติ เอตฺถ ผลํ ตทายตฺตวุตฺติตายาติ หิ การณํ วตฺถุฯ อตฺตาติ จิตฺตํ สรีรญฺจ, จิตฺตเมว วาฯ ทุพฺภรตเญฺจว ทุโปฺปสตญฺจ อาปชฺชตีติ อตฺตนา ปจฺจยทายเกหิ จ ทุเกฺขน ภริตพฺพตํ โปเสตพฺพตญฺจ อาปชฺชติฯ อสํวเร ฐิโต หิ เอกโจฺจ อตฺตโนปิ ทุพฺภโร โหติ ทุโปฺปโส, เอกโจฺจ อุปฎฺฐากานมฺปิฯ กถํ? โย หิ อมฺพิลาทีนิ ลทฺธา อนมฺพิลาทีนิ ปริเยสติ, อญฺญสฺส ฆเร ลทฺธํ อญฺญสฺส ฆเร ฉเฑฺฑโนฺต สพฺพํ คามํ จริตฺวา ริตฺตปโตฺตว วิหารํ ปวิสิตฺวา นิปชฺชติ, อยํ อตฺตโน ทุพฺภโรฯ โย ปน สาลิมํโสทนาทีนํ ปเตฺต ปูเรตฺวา ทิเนฺนปิ ทุมฺมุขภาวํ อนตฺตมนภาวเมว ทเสฺสติ, เตสํ วา สมฺมุขาว ตํ ปิณฺฑปาตํ ‘‘กิํ ตุเมฺหหิ ทินฺน’’นฺติ อปสาเทโนฺต สามเณรคหฎฺฐาทีนํ เทติ, อยํ อุปฎฺฐากานํ ทุพฺภโรฯ เอตํ ทิสฺวา มนุสฺสา ทูรโตว ปริวเชฺชนฺติ ‘‘ทุพฺภโร ภิกฺขุ น สกฺกา โปเสตุ’’นฺติฯ

    Yaṃ asaṃvaraṃ paṭicca dubbharatādupposatādi hoti, so asaṃvaro dubbharatādi-saddena vutto kāraṇe phalūpacārenāti āha – ‘‘dubbharatādīnaṃ vatthubhūtassa asaṃvarassā’’ti. Vatthubhūtassāti kāraṇabhūtassa. Vasati ettha phalaṃ tadāyattavuttitāyāti hi kāraṇaṃ vatthu. Attāti cittaṃ sarīrañca, cittameva vā. Dubbharatañceva dupposatañca āpajjatīti attanā paccayadāyakehi ca dukkhena bharitabbataṃ posetabbatañca āpajjati. Asaṃvare ṭhito hi ekacco attanopi dubbharo hoti dupposo, ekacco upaṭṭhākānampi. Kathaṃ? Yo hi ambilādīni laddhā anambilādīni pariyesati, aññassa ghare laddhaṃ aññassa ghare chaḍḍento sabbaṃ gāmaṃ caritvā rittapattova vihāraṃ pavisitvā nipajjati, ayaṃ attano dubbharo. Yo pana sālimaṃsodanādīnaṃ patte pūretvā dinnepi dummukhabhāvaṃ anattamanabhāvameva dasseti, tesaṃ vā sammukhāva taṃ piṇḍapātaṃ ‘‘kiṃ tumhehi dinna’’nti apasādento sāmaṇeragahaṭṭhādīnaṃ deti, ayaṃ upaṭṭhākānaṃ dubbharo. Etaṃ disvā manussā dūratova parivajjenti ‘‘dubbharo bhikkhu na sakkā posetu’’nti.

    มหิจฺฉตนฺติ เอตฺถ มหนฺตานิ วตฺถูนิ อิจฺฉติ, มหตี วา ปนสฺส อิจฺฉาติ มหิโจฺฉ, ตสฺส ภาโว มหิจฺฉตา, สนฺตคุณวิภาวนตา ปฎิคฺคหเณ อมตฺตญฺญุตา จฯ มหิโจฺฉ หิ อิจฺฉาจาเร ฐตฺวา อตฺตนิ วิชฺชมานสีลธุตธมฺมาทิคุเณ วิภาเวติ, ตาทิสสฺส ปฎิคฺคหเณ อมตฺตญฺญุตาปิ โหติฯ ยํ สนฺธาย วทนฺติ ‘‘สนฺตคุณสมฺภาวนตา ปฎิคฺคหเณ จ อมตฺตญฺญุตา, เอตํ มหิจฺฉตาลกฺขณ’’นฺติฯ สา ปเนสา มหิจฺฉตา ‘‘อิเธกโจฺจ สโทฺธ สมาโน ‘สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉติ, สีลวา สมาโน ‘สีลวาติ มํ ชโน ชานาตู’ติ’’ อิมินา นเยน อาคตาเยว, ตาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล ทุสฺสนฺตปฺปิโย โหติ, วิชาตมาตาปิสฺส จิตฺตํ คเหตุํ น สโกฺกติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Mahicchatanti ettha mahantāni vatthūni icchati, mahatī vā panassa icchāti mahiccho, tassa bhāvo mahicchatā, santaguṇavibhāvanatā paṭiggahaṇe amattaññutā ca. Mahiccho hi icchācāre ṭhatvā attani vijjamānasīladhutadhammādiguṇe vibhāveti, tādisassa paṭiggahaṇe amattaññutāpi hoti. Yaṃ sandhāya vadanti ‘‘santaguṇasambhāvanatā paṭiggahaṇe ca amattaññutā, etaṃ mahicchatālakkhaṇa’’nti. Sā panesā mahicchatā ‘‘idhekacco saddho samāno ‘saddhoti maṃ jano jānātū’ti icchati, sīlavā samāno ‘sīlavāti maṃ jano jānātū’ti’’ iminā nayena āgatāyeva, tāya samannāgato puggalo dussantappiyo hoti, vijātamātāpissa cittaṃ gahetuṃ na sakkoti. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘อคฺคิกฺขโนฺธ สมุโทฺท จ, มหิโจฺฉ จาปิ ปุคฺคโล;

    ‘‘Aggikkhandho samuddo ca, mahiccho cāpi puggalo;

    สกเฎน ปจฺจยํ เทนฺตุ, ตโยเปเต อตปฺปิยา’’ติฯ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๕๒; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๖๓; วิภ. อฎฺฐ. ๘๕๐; อุทา. อฎฺฐ. ๓๑; มหานิ. อฎฺฐ. ๘๕);

    Sakaṭena paccayaṃ dentu, tayopete atappiyā’’ti. (ma. ni. aṭṭha. 1.252; a. ni. aṭṭha. 1.1.63; vibha. aṭṭha. 850; udā. aṭṭha. 31; mahāni. aṭṭha. 85);

    สเตฺตหิ กิเลเสหิ จ สงฺคณนํ สโมธานํ สงฺคณิกาติ อาห – ‘‘คณสงฺคณิกาย เจว กิเลสสงฺคณิกาย จา’’ติฯ โกสชฺชานุคโต จ โหตีติ กุสีตภาเวน อนุคโต โหติ, กุสีตสฺส ภาโว โกสชฺชํฯ อฎฺฐกุสีตวตฺถุปาริปูริยาติ เอตฺถ กุจฺฉิตํ สีทตีติ กุสีโต ท-การสฺส ต-การํ กตฺวาฯ ยสฺส ธมฺมสฺส วเสน ปุคฺคโล ‘‘กุสีโต’’ติ วุจฺจติ, โส กุสีตภาโว อิธ กุสีต-สเทฺทน วุโตฺตฯ วินาปิ หิ ภาวโชตนสทฺทํ ภาวโตฺถ วิญฺญายติ ยถา ‘‘ปฎสฺส สุกฺก’’นฺติ, ตสฺมา กุสีตภาววตฺถูนีติ อโตฺถ, โกสชฺชการณานีติ วุตฺตํ โหติฯ ตถา หิ –

    Sattehi kilesehi ca saṅgaṇanaṃ samodhānaṃ saṅgaṇikāti āha – ‘‘gaṇasaṅgaṇikāya ceva kilesasaṅgaṇikāya cā’’ti. Kosajjānugato ca hotīti kusītabhāvena anugato hoti, kusītassa bhāvo kosajjaṃ. Aṭṭhakusītavatthupāripūriyāti ettha kucchitaṃ sīdatīti kusīto da-kārassa ta-kāraṃ katvā. Yassa dhammassa vasena puggalo ‘‘kusīto’’ti vuccati, so kusītabhāvo idha kusīta-saddena vutto. Vināpi hi bhāvajotanasaddaṃ bhāvattho viññāyati yathā ‘‘paṭassa sukka’’nti, tasmā kusītabhāvavatthūnīti attho, kosajjakāraṇānīti vuttaṃ hoti. Tathā hi –

    ‘‘กมฺมํ โข เม กตฺตพฺพํ ภวิสฺสติ, กมฺมํ โข ปน เม กโรนฺตสฺส กาโย กิลมิสฺสติ, หนฺทาหํ นิปชฺชามีติ โส นิปชฺชติ, น วีริยํ อารภติ อปฺปตฺตสฺส ปตฺติยา อนธิคตสฺส อธิคมาย อสจฺฉิกตสฺส สจฺฉิกิริยาย, อิทํ ปฐมํ กุสีตวตฺถุฯ อหํ โข กมฺมํ อกาสิํ, กมฺมํ โข ปน เม กโรนฺตสฺส กาโย กิลโนฺต, หนฺทาหํ นิปชฺชามิ…เป.… มโคฺค โข เม คนฺตโพฺพ ภวิสฺสติ, มคฺคํ โข ปน เม คจฺฉนฺตสฺส กาโย กิลมิสฺสติ, หนฺทาหํ นิปชฺชามิ…เป.… อหํ โข มคฺคํ อคมาสิํ, มคฺคํ โข ปน เม คจฺฉนฺตสฺส กาโย กิลโนฺต, หนฺทาหํ นิปชฺชามิ…เป.… อหํ โข คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย จรโนฺต นาลตฺถํ ลูขสฺส วา ปณีตสฺส วา โภชนสฺส ยาวทตฺถํ ปาริปูริํ, ตสฺส เม กาโย กิลโนฺต อกมฺมโญฺญ, หนฺทาหํ นิปชฺชามิ…เป.… อหํ โข คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย จรโนฺต อลตฺถํ ลูขสฺส วา ปณีตสฺส วา โภชนสฺส ยาวทตฺถํ ปาริปูริํ, ตสฺส เม กาโย ครุโก อกมฺมโญฺญ มาสาจิตํ มเญฺญ, หนฺทาหํ นิปชฺชามิ…เป.… อุปฺปโนฺน โข เม อยํ อปฺปมตฺตโก อาพาโธ, อตฺถิ กโปฺป นิปชฺชิตุํ, หนฺทาหํ นิปชฺชามิ…เป.… อหํ โข คิลานา วุฎฺฐิโต อจิรวุฎฺฐิโต เคลญฺญา, ตสฺส เม กาโย ทุพฺพโล อกมฺมโญฺญ, หนฺทาหํ นิปชฺชามีติ โส นิปชฺชติ, น วีริยํ อารภติ อปฺปตฺตสฺส ปตฺติยา อนธิคตสฺส อธิคมาย อสจฺฉิกตสฺส สจฺฉิกิริยายฯ อิทํ อฎฺฐมํ กุสีตวตฺถุ’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๓๓๔; อ. นิ. ๘.๘๐) –

    ‘‘Kammaṃ kho me kattabbaṃ bhavissati, kammaṃ kho pana me karontassa kāyo kilamissati, handāhaṃ nipajjāmīti so nipajjati, na vīriyaṃ ārabhati appattassa pattiyā anadhigatassa adhigamāya asacchikatassa sacchikiriyāya, idaṃ paṭhamaṃ kusītavatthu. Ahaṃ kho kammaṃ akāsiṃ, kammaṃ kho pana me karontassa kāyo kilanto, handāhaṃ nipajjāmi…pe… maggo kho me gantabbo bhavissati, maggaṃ kho pana me gacchantassa kāyo kilamissati, handāhaṃ nipajjāmi…pe… ahaṃ kho maggaṃ agamāsiṃ, maggaṃ kho pana me gacchantassa kāyo kilanto, handāhaṃ nipajjāmi…pe… ahaṃ kho gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya caranto nālatthaṃ lūkhassa vā paṇītassa vā bhojanassa yāvadatthaṃ pāripūriṃ, tassa me kāyo kilanto akammañño, handāhaṃ nipajjāmi…pe… ahaṃ kho gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya caranto alatthaṃ lūkhassa vā paṇītassa vā bhojanassa yāvadatthaṃ pāripūriṃ, tassa me kāyo garuko akammañño māsācitaṃ maññe, handāhaṃ nipajjāmi…pe… uppanno kho me ayaṃ appamattako ābādho, atthi kappo nipajjituṃ, handāhaṃ nipajjāmi…pe… ahaṃ kho gilānā vuṭṭhito aciravuṭṭhito gelaññā, tassa me kāyo dubbalo akammañño, handāhaṃ nipajjāmīti so nipajjati, na vīriyaṃ ārabhati appattassa pattiyā anadhigatassa adhigamāya asacchikatassa sacchikiriyāya. Idaṃ aṭṭhamaṃ kusītavatthu’’nti (dī. ni. 3.334; a. ni. 8.80) –

    เอวมาคตานิ ‘‘หนฺทาหํ นิปชฺชามี’’ติ เอวํ ปวตฺตโอสีทนานิ อุปรูปริ โกสชฺชการณตฺตา อฎฺฐ กุสีตวตฺถูนิ นาม, เตสํ ปาริปูริยา สํวตฺตตีติ อโตฺถฯ

    Evamāgatāni ‘‘handāhaṃ nipajjāmī’’ti evaṃ pavattaosīdanāni uparūpari kosajjakāraṇattā aṭṭha kusītavatthūni nāma, tesaṃ pāripūriyā saṃvattatīti attho.

    สุภโร โหติ สุโปโสติ อตฺตโน อุปฎฺฐาเกหิ จ สุเขน ภริตโพฺพ โปเสตโพฺพติ อโตฺถฯ สํวเร ฐิโต หิ เอกโจฺจ อตฺตโนปิ สุภโร โหติ สุโปโส, เอกโจฺจ อุปฎฺฐากานมฺปิฯ กถํ? โย หิ ยํ กิญฺจิ ลูขํ วา ปณีตํ วา ลทฺธา ตุฎฺฐจิโตฺตว ภุญฺชิตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา อตฺตโน กมฺมํ กโรติ, อยํ อตฺตโน สุภโรฯ โย ปน ปเรสมฺปิ อปฺปํ วา พหุํ วา ลูขํ วา ปณีตํ วา ทานํ อหีเฬตฺวา อตฺตมโน วิปฺปสนฺนมุโข หุตฺวา เอเตสํ สมฺมุขาว ปริภุญฺชิตฺวา ยาติ, อยํ อุปฎฺฐากานํ สุภโรฯ เอตํ ทิสฺวา มนุสฺสา อติวิย วิสฺสตฺถา โหนฺติ, ‘‘อมฺหากํ ภทโนฺต สุภโร, โถกโถเกนปิ ตุสฺสติ, มยเมว นํ โปเสสฺสามา’’ติ ปฎิญฺญํ กตฺวา โปเสนฺติฯ อปฺปิจฺฉตนฺติ อิจฺฉาวิรหิตตฺตํฯ เอตฺถ หิ พฺยญฺชนํ สาวเสสํ วิย, อโตฺถ ปน นิรวเสโสฯ อปฺป-สโทฺท เหตฺถ อภาวโตฺถติ สกฺกา วิญฺญาตุํ ‘‘อปฺปาพาธตญฺจ สญฺชานามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๒๕) วิยฯ เตเนวาห ‘‘นิตฺตณฺหภาว’’นฺติฯ

    Subharo hoti suposoti attano upaṭṭhākehi ca sukhena bharitabbo posetabboti attho. Saṃvare ṭhito hi ekacco attanopi subharo hoti suposo, ekacco upaṭṭhākānampi. Kathaṃ? Yo hi yaṃ kiñci lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā laddhā tuṭṭhacittova bhuñjitvā vihāraṃ gantvā attano kammaṃ karoti, ayaṃ attano subharo. Yo pana paresampi appaṃ vā bahuṃ vā lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā dānaṃ ahīḷetvā attamano vippasannamukho hutvā etesaṃ sammukhāva paribhuñjitvā yāti, ayaṃ upaṭṭhākānaṃ subharo. Etaṃ disvā manussā ativiya vissatthā honti, ‘‘amhākaṃ bhadanto subharo, thokathokenapi tussati, mayameva naṃ posessāmā’’ti paṭiññaṃ katvā posenti. Appicchatanti icchāvirahitattaṃ. Ettha hi byañjanaṃ sāvasesaṃ viya, attho pana niravaseso. Appa-saddo hettha abhāvatthoti sakkā viññātuṃ ‘‘appābādhatañca sañjānāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.225) viya. Tenevāha ‘‘nittaṇhabhāva’’nti.

    ติปฺปเภทาย สนฺตุฎฺฐิยาติ ยถาลาภาทิสโนฺตสสามเญฺญน วุตฺตํ, จตูสุ ปน ปจฺจเยสุ ตโย ตโย สโนฺตสาติ ทฺวาทสวิโธ โหติ สโนฺตโสฯ กถํ? จีวเร ยถาลาภสโนฺตโส ยถาพลสโนฺตโส ยถาสารุปฺปสโนฺตโสติ ติวิโธ โหติ สโนฺตโสฯ เอวํ ปิณฺฑปาตาทีสุฯ ตสฺสายํ ปเภทสํวณฺณนา (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๕๒; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒.๑๔๔; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๖๕) – อิธ ภิกฺขุ จีวรํ ลภติ สุนฺทรํ วา อสุนฺทรํ วา, โส เตเนว ยาเปติ อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติฯ อยมสฺส จีวเร ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน ปกติทุพฺพโล วา โหติ อาพาธชราภิภูโต วา, ครุจีวรํ ปารุปโนฺต กิลมติ, โส สภาเคน ภิกฺขุนา สทฺธิํ ตํ ปริวเตฺตตฺวา ลหุเกน ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐเยว โหติฯ อยมสฺส จีวเร ยถาพลสโนฺตโสฯ ปกติทุพฺพลาทีนญฺหิ ครุจีวรานิ น ผาสุภาวาวหานิ สรีรเขทาวหานิ จ โหนฺตีติ ปโยชนวเสน อนตฺริจฺฉตาทิวเสน ตานิ ปริวเตฺตตฺวา ลหุกจีวรปริโภโค น สโนฺตสวิโรธีติฯ อปโร ปณีตปจฺจยลาภี โหติ, โส ปฎฺฎจีวราทีนํ อญฺญตรํ มหคฺฆจีวรํ พหูนิ วา ปน จีวรานิ ลภิตฺวา ‘‘อิทํ เถรานํ จิรปพฺพชิตานํ, อิทํ พหุสฺสุตานํ อนุรูปํ, อิทํ คิลานานํ, อิทํ อปฺปลาภานํ โหตู’’ติ ทตฺวา เตสํ ปุราณจีวรํ วา สงฺการกูฎาทิโต วา นนฺตกานิ อุจฺจินิตฺวา เตหิ สงฺฆาฎิํ กตฺวา ธาเรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส จีวเร ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ มหคฺฆญฺหิ จีวรํ พหูนิ วา จีวรานิ ลภิตฺวาปิ ตานิ วิสฺสเชฺชตฺวา ตทญฺญสฺส คหณํ ยถาสารุปฺปนเย ฐิตตฺตา น สโนฺตสวิโรธีติฯ

    Tippabhedāya santuṭṭhiyāti yathālābhādisantosasāmaññena vuttaṃ, catūsu pana paccayesu tayo tayo santosāti dvādasavidho hoti santoso. Kathaṃ? Cīvare yathālābhasantoso yathābalasantoso yathāsāruppasantosoti tividho hoti santoso. Evaṃ piṇḍapātādīsu. Tassāyaṃ pabhedasaṃvaṇṇanā (ma. ni. aṭṭha. 1.252; saṃ. ni. aṭṭha. 2.2.144; a. ni. aṭṭha. 1.1.65) – idha bhikkhu cīvaraṃ labhati sundaraṃ vā asundaraṃ vā, so teneva yāpeti aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti. Ayamassa cīvare yathālābhasantoso. Atha pana pakatidubbalo vā hoti ābādhajarābhibhūto vā, garucīvaraṃ pārupanto kilamati, so sabhāgena bhikkhunā saddhiṃ taṃ parivattetvā lahukena yāpentopi santuṭṭhoyeva hoti. Ayamassa cīvare yathābalasantoso. Pakatidubbalādīnañhi garucīvarāni na phāsubhāvāvahāni sarīrakhedāvahāni ca hontīti payojanavasena anatricchatādivasena tāni parivattetvā lahukacīvaraparibhogo na santosavirodhīti. Aparo paṇītapaccayalābhī hoti, so paṭṭacīvarādīnaṃ aññataraṃ mahagghacīvaraṃ bahūni vā pana cīvarāni labhitvā ‘‘idaṃ therānaṃ cirapabbajitānaṃ, idaṃ bahussutānaṃ anurūpaṃ, idaṃ gilānānaṃ, idaṃ appalābhānaṃ hotū’’ti datvā tesaṃ purāṇacīvaraṃ vā saṅkārakūṭādito vā nantakāni uccinitvā tehi saṅghāṭiṃ katvā dhārentopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa cīvare yathāsāruppasantoso. Mahagghañhi cīvaraṃ bahūni vā cīvarāni labhitvāpi tāni vissajjetvā tadaññassa gahaṇaṃ yathāsāruppanaye ṭhitattā na santosavirodhīti.

    อิธ ปน ภิกฺขุ ปิณฺฑปาตํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส เตเนว ยาเปติ อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติฯ อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาลาภสโนฺตโสฯ โย ปน อตฺตโน ปกติวิรุทฺธํ วา พฺยาธิวิรุทฺธํ วา ปิณฺฑปาตํ ลภติ, เยนสฺส ปริภุเตฺตน อผาสุ โหติ, โส สภาคสฺส ภิกฺขุโน ตํ ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต สปฺปายโภชนํ ภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร พหุํ ปณีตํ ปิณฺฑปาตํ ลภติ, โส ตํ จีวรํ วิย จิรปพฺพชิตพหุสฺสุตอปฺปลาภคิลานานํ ทตฺวา เตสํ วา เสสกํ ปิณฺฑาย วา จริตฺวา มิสฺสกาหารํ ภุญฺชโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาสารุปฺปสโนฺตโส

    Idha pana bhikkhu piṇḍapātaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so teneva yāpeti aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti. Ayamassa piṇḍapāte yathālābhasantoso. Yo pana attano pakativiruddhaṃ vā byādhiviruddhaṃ vā piṇḍapātaṃ labhati, yenassa paribhuttena aphāsu hoti, so sabhāgassa bhikkhuno taṃ datvā tassa hatthato sappāyabhojanaṃ bhuñjitvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa piṇḍapāte yathābalasantoso. Aparo bahuṃ paṇītaṃ piṇḍapātaṃ labhati, so taṃ cīvaraṃ viya cirapabbajitabahussutaappalābhagilānānaṃ datvā tesaṃ vā sesakaṃ piṇḍāya vā caritvā missakāhāraṃ bhuñjantopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa piṇḍapāte yathāsāruppasantoso.

    อิธ ปน ภิกฺขุ เสนาสนํ ลภติ มนาปํ วา อมนาปํ วา, โส เตน เนว โสมนสฺสํ, น ปฎิฆํ อุปฺปาเทติ, อนฺตมโส ติณสนฺถรเกนปิ ยถาลเทฺธเนว ตุสฺสติฯ อยมสฺส เสนาสเน ยถาลาภสโนฺตโสฯ โย ปน อตฺตโน ปกติวิรุทฺธํ วา พฺยาธิวิรุทฺธํ วา เสนาสนํ ลภติ, ยตฺถสฺส วสโต อผาสุ โหติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส สนฺตเก สปฺปายเสนาสเน วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส เสนาสเน ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร มหาปุโญฺญ เลณมณฺฑปกูฎาคาราทีนิ พหูนิ ปณีตเสนาสนานิ ลภติ, โส ตานิ จีวราทีนิ วิย จิรปพฺพชิตพหุสฺสุตอปฺปลาภคิลานานํ ทตฺวา ยตฺถ กตฺถจิ วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส เสนาสเน ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ โยปิ ‘‘อุตฺตมเสนาสนํ นาม ปมาทฎฺฐานํ, ตตฺถ นิสินฺนสฺส ถินมิทฺธํ โอกฺกมติ, นิทฺทาภิภูตสฺส ปุน ปฎิพุชฺฌโต ปาปวิตกฺกา ปาตุภวนฺตี’’ติ ปฎิสญฺจิกฺขิตฺวา ตาทิสํ เสนาสนํ ปตฺตมฺปิ น สมฺปฎิจฺฉติ, โส ตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อโพฺภกาสรุกฺขมูลาทีสุ วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมฺปิสฺส เสนาสเน ยถาสารุปฺปสโนฺตโส

    Idha pana bhikkhu senāsanaṃ labhati manāpaṃ vā amanāpaṃ vā, so tena neva somanassaṃ, na paṭighaṃ uppādeti, antamaso tiṇasantharakenapi yathāladdheneva tussati. Ayamassa senāsane yathālābhasantoso. Yo pana attano pakativiruddhaṃ vā byādhiviruddhaṃ vā senāsanaṃ labhati, yatthassa vasato aphāsu hoti, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa santake sappāyasenāsane vasantopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa senāsane yathābalasantoso. Aparo mahāpuñño leṇamaṇḍapakūṭāgārādīni bahūni paṇītasenāsanāni labhati, so tāni cīvarādīni viya cirapabbajitabahussutaappalābhagilānānaṃ datvā yattha katthaci vasantopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa senāsane yathāsāruppasantoso. Yopi ‘‘uttamasenāsanaṃ nāma pamādaṭṭhānaṃ, tattha nisinnassa thinamiddhaṃ okkamati, niddābhibhūtassa puna paṭibujjhato pāpavitakkā pātubhavantī’’ti paṭisañcikkhitvā tādisaṃ senāsanaṃ pattampi na sampaṭicchati, so taṃ paṭikkhipitvā abbhokāsarukkhamūlādīsu vasantopi santuṭṭhova hoti. Ayampissa senāsane yathāsāruppasantoso.

    อิธ ปน ภิกฺขุ เภสชฺชํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส ยํ ลภติ, เตเนว ตุสฺสติ อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติฯ อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาลาภสโนฺตโสฯ โย ปน เตเลน อตฺถิโก ผาณิตํ ลภติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต เตลํ คเหตฺวา อญฺญเทว วา ปริเยสิตฺวา เภสชฺชํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร มหาปุโญฺญ พหุํ เตลมธุผาณิตาทิปณีตเภสชฺชํ ลภติ, โส ตํ จีวรํ วิย จิรปพฺพชิตพหุสฺสุตอปฺปลาภคิลานานํ ทตฺวา เตสํ อาภเตน เยน เกนจิ ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ โย ปน เอกสฺมิํ ภาชเน มุตฺตหรีตกํ ฐเปตฺวา เอกสฺมิํ จตุมธุรํ ‘‘คณฺห, ภเนฺต, ยทิจฺฉสี’’ติ วุจฺจมาโน สจสฺส เตสุ อญฺญตเรนปิ โรโค วูปสมฺมติ, อถ ‘‘มุตฺตหรีตกํ นาม พุทฺธาทีหิ วณฺณิต’’นฺติ จตุมธุรํ ปฎิกฺขิปิตฺวา มุตฺตหรีตเกเนว เภสชฺชํ กโรโนฺต ปรมสนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ เอวํ ยถาลาภาทิวเสน ติปฺปเภโท สโนฺตโส จตุนฺนํ ปจฺจยานํ วเสน ทฺวาทสวิโธ โหตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Idha pana bhikkhu bhesajjaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so yaṃ labhati, teneva tussati aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti. Ayamassa gilānapaccaye yathālābhasantoso. Yo pana telena atthiko phāṇitaṃ labhati, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa hatthato telaṃ gahetvā aññadeva vā pariyesitvā bhesajjaṃ karontopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa gilānapaccaye yathābalasantoso. Aparo mahāpuñño bahuṃ telamadhuphāṇitādipaṇītabhesajjaṃ labhati, so taṃ cīvaraṃ viya cirapabbajitabahussutaappalābhagilānānaṃ datvā tesaṃ ābhatena yena kenaci yāpentopi santuṭṭhova hoti. Yo pana ekasmiṃ bhājane muttaharītakaṃ ṭhapetvā ekasmiṃ catumadhuraṃ ‘‘gaṇha, bhante, yadicchasī’’ti vuccamāno sacassa tesu aññatarenapi rogo vūpasammati, atha ‘‘muttaharītakaṃ nāma buddhādīhi vaṇṇita’’nti catumadhuraṃ paṭikkhipitvā muttaharītakeneva bhesajjaṃ karonto paramasantuṭṭhova hoti. Ayamassa gilānapaccaye yathāsāruppasantoso. Evaṃ yathālābhādivasena tippabhedo santoso catunnaṃ paccayānaṃ vasena dvādasavidho hotīti veditabbo.

    กามวิตกฺกพฺยาปาทวิตกฺกวิหิํสาวิตกฺกานํ วเสน อกุสลวิตกฺกตฺตยํฯ เนกฺขมฺมวิตกฺกอพฺยาปาทวิตกฺกอวิหิํ สาวิตกฺกานํ วเสน กุสลวิตกฺกตฺตยํสพฺพกิเลสาปจยภูตาย วิวฎฺฎายาติ ราคาทิสพฺพกิเลสานํ อปจยเหตุภูตาย นิพฺพานธาตุยาฯ อฎฺฐวีริยารมฺภวตฺถุปาริปูริยาติ อฎฺฐนฺนํ วีริยารมฺภการณานํ ปาริปูริยาฯ ยถา ตถา ปฐมํ ปวตฺตอพฺภุสฺสหนญฺหิ อุปริ วีริยารมฺภสฺส การณํ โหติฯ อนุรูปปจฺจเวกฺขณาสหิตานิ หิ อพฺภุสฺสหนานิ ตมฺมูลกานิ วา ปจฺจเวกฺขณานิ อฎฺฐ วีริยารมฺภวตฺถูนีติ เวทิตพฺพานิฯ ตถา หิ –

    Kāmavitakkabyāpādavitakkavihiṃsāvitakkānaṃ vasena akusalavitakkattayaṃ. Nekkhammavitakkaabyāpādavitakkaavihiṃ sāvitakkānaṃ vasena kusalavitakkattayaṃ. Sabbakilesāpacayabhūtāya vivaṭṭāyāti rāgādisabbakilesānaṃ apacayahetubhūtāya nibbānadhātuyā. Aṭṭhavīriyārambhavatthupāripūriyāti aṭṭhannaṃ vīriyārambhakāraṇānaṃ pāripūriyā. Yathā tathā paṭhamaṃ pavattaabbhussahanañhi upari vīriyārambhassa kāraṇaṃ hoti. Anurūpapaccavekkhaṇāsahitāni hi abbhussahanāni tammūlakāni vā paccavekkhaṇāni aṭṭha vīriyārambhavatthūnīti veditabbāni. Tathā hi –

    ‘‘กมฺมํ โข เม กตฺตพฺพํ ภวิสฺสติ, กมฺมํ โข ปน เม กโรเนฺตน น สุกรํ พุทฺธานํ สาสนํ มนสิ กาตุํ, หนฺทาหํ วีริยํ อารภามิ อปฺปตฺตสฺส ปตฺติยา อนธิคตสฺส อธิคมาย อสจฺฉิกตสฺส สจฺฉิกิริยายฯ อหํ โข กมฺมํ อกาสิํ, กมฺมํ โข ปนาหํ กโรโนฺต นาสกฺขิํ พุทฺธานํ สาสนํ มนสิ กาตุํ, หนฺทาหํ วีริยํ อารภามิ…เป.… มโคฺค โข เม คนฺตโพฺพ ภวิสฺสติ, มคฺคํ โข ปน เม คจฺฉเนฺตน น สุกรํ พุทฺธานํ สาสนํ มนสิ กาตุํ, หนฺทาหํ วีริยํ อารภามิ…เป.… อหํ โข มคฺคํ อคมาสิํ, มคฺคํ โข ปนาหํ คจฺฉโนฺต นาสกฺขิํ พุทฺธานํ สาสนํ มนสิ กาตุํ, หนฺทาหํ วีริยํ อารภามิ…เป.… อหํ โข คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย จรโนฺต นาลตฺถํ ลูขสฺส วา ปณีตสฺส วา โภชนสฺส ยาวทตฺถํ ปาริปูริํ, ตสฺส เม กาโย ลหุโก กมฺมโญฺญ, หนฺทาหํ วีริยํ อารภามิ…เป.… อหํ โข คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย จรโนฺต อลตฺถํ ลูขสฺส วา ปณีตสฺส วา โภชนสฺส ยาวทตฺถํ ปาริปูริํ, ตสฺส เม กาโย พลวา กมฺมโญฺญ, หนฺทาหํ วีริยํ อารภามิ…เป.… อุปฺปโนฺน โข เม อยํ อปฺปมตฺตโก อาพาโธ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ เม อาพาโธ ปวเฑฺฒยฺย, หนฺทาหํ วีริยํ อารภามิ…เป.… อหํ โข คิลานา วุฎฺฐิโต อจิรวุฎฺฐิโต เคลญฺญา, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ เม อาพาโธ ปจฺจุทาวเตฺตยฺย, หนฺทาหํ วีริยํ อารภามิ อปฺปตฺตสฺส ปตฺติยา อนธิคตสฺส อธิคมาย อสจฺฉิกตสฺส สจฺฉิกิริยายา’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๓๕; อ. นิ. ๘.๘๐) –

    ‘‘Kammaṃ kho me kattabbaṃ bhavissati, kammaṃ kho pana me karontena na sukaraṃ buddhānaṃ sāsanaṃ manasi kātuṃ, handāhaṃ vīriyaṃ ārabhāmi appattassa pattiyā anadhigatassa adhigamāya asacchikatassa sacchikiriyāya. Ahaṃ kho kammaṃ akāsiṃ, kammaṃ kho panāhaṃ karonto nāsakkhiṃ buddhānaṃ sāsanaṃ manasi kātuṃ, handāhaṃ vīriyaṃ ārabhāmi…pe… maggo kho me gantabbo bhavissati, maggaṃ kho pana me gacchantena na sukaraṃ buddhānaṃ sāsanaṃ manasi kātuṃ, handāhaṃ vīriyaṃ ārabhāmi…pe… ahaṃ kho maggaṃ agamāsiṃ, maggaṃ kho panāhaṃ gacchanto nāsakkhiṃ buddhānaṃ sāsanaṃ manasi kātuṃ, handāhaṃ vīriyaṃ ārabhāmi…pe… ahaṃ kho gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya caranto nālatthaṃ lūkhassa vā paṇītassa vā bhojanassa yāvadatthaṃ pāripūriṃ, tassa me kāyo lahuko kammañño, handāhaṃ vīriyaṃ ārabhāmi…pe… ahaṃ kho gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya caranto alatthaṃ lūkhassa vā paṇītassa vā bhojanassa yāvadatthaṃ pāripūriṃ, tassa me kāyo balavā kammañño, handāhaṃ vīriyaṃ ārabhāmi…pe… uppanno kho me ayaṃ appamattako ābādho, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati, yaṃ me ābādho pavaḍḍheyya, handāhaṃ vīriyaṃ ārabhāmi…pe… ahaṃ kho gilānā vuṭṭhito aciravuṭṭhito gelaññā, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati, yaṃ me ābādho paccudāvatteyya, handāhaṃ vīriyaṃ ārabhāmi appattassa pattiyā anadhigatassa adhigamāya asacchikatassa sacchikiriyāyā’’ti (dī. ni. 3.335; a. ni. 8.80) –

    เอวํ ปวตฺตอนุรูปปจฺจเวกฺขณาสหิตานิ อพฺภุสฺสหนานิ ตมฺมูลกานิ วา ปจฺจเวกฺขณานิ อฎฺฐ วีริยารมฺภวตฺถูนิ นามฯ

    Evaṃ pavattaanurūpapaccavekkhaṇāsahitāni abbhussahanāni tammūlakāni vā paccavekkhaṇāni aṭṭha vīriyārambhavatthūni nāma.

    ตทนุจฺฉวิกํ ตทนุโลมิกนฺติ เอตฺถ -สโทฺท วกฺขมานาเปโกฺข จ อตีตาเปโกฺข จ โหตีติ อาห ‘‘ยํ อิทานิ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสตี’’ติอาทิฯ สพฺพนามานิ หิ วกฺขมานวจนานิปิ โหนฺติ ปกฺกนฺตวจนานิปิฯ สํวรปฺปหานปฎิสํยุตฺตนฺติ ปญฺจสํวเรหิ เจว ปญฺจปหาเนหิ จ ปฎิสํยุตฺตํฯ ปญฺจวิโธ หิ สํวโร สีลสํวโร สติสํวโร ญาณสํวโร ขนฺติสํวโร วีริยสํวโรติฯ ปหานมฺปิ ปญฺจวิธํ ตทงฺคปฺปหานํ วิกฺขมฺภนปฺปหานํ สมุเจฺฉทปฺปหานํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานํ นิสฺสรณปฺปหานนฺติฯ

    Tadanucchavikaṃ tadanulomikanti ettha ta-saddo vakkhamānāpekkho ca atītāpekkho ca hotīti āha ‘‘yaṃ idāni sikkhāpadaṃ paññapessatī’’tiādi. Sabbanāmāni hi vakkhamānavacanānipi honti pakkantavacanānipi. Saṃvarappahānapaṭisaṃyuttanti pañcasaṃvarehi ceva pañcapahānehi ca paṭisaṃyuttaṃ. Pañcavidho hi saṃvaro sīlasaṃvaro satisaṃvaro ñāṇasaṃvaro khantisaṃvaro vīriyasaṃvaroti. Pahānampi pañcavidhaṃ tadaṅgappahānaṃ vikkhambhanappahānaṃ samucchedappahānaṃ paṭippassaddhippahānaṃ nissaraṇappahānanti.

    ตตฺถ ‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต’’ติ (วิภ. ๕๑๑) เอวมาคโต ปาติโมกฺขสํวโร สีลสํวโร นาม, โส จ อตฺถโต กายิกวาจสิโก อวีติกฺกโมฯ ‘‘รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๑๓; ม. นิ. ๑.๒๙๕; สํ. นิ. ๔.๒๓๙; อ. นิ. ๓.๑๖) เอวมาคตา อินฺทฺริยารกฺขา สติสํวโร, สา จ อตฺถโต ตถาปวตฺตา สติ เอวฯ ‘‘โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ, ปญฺญาเยเต ปิธียเร’’ติ (สุ. นิ. ๑๐๔๑; เนตฺติ. ๑๑) เอวมาคโต ญาณสํวโรฯ เอตฺถ หิ ‘‘โสตานํ สํวรํ พฺรูมี’’ติ วตฺวา ‘‘ปญฺญาเยเต ปิธียเร’’ติ วจนโต โสตสงฺขาตานํ ตณฺหาทิฎฺฐิทุจฺจริตอวิชฺชาทิกิเลสานํ สมุเจฺฉทกญาณํ ปิทหนเฎฺฐน สํวโรติ วุตฺตํฯ ‘‘ขโม โหติ สีตสฺส อุณฺหสฺสา’’ติเอวมาคตา (ม. นิ. ๑.๒๔; ม. นิ. ๓.๑๕๙; อ. นิ. ๔.๑๑๔) อธิวาสนา ขนฺติสํวโร, สา จ อตฺถโต ตถาปวตฺตา ขนฺธา อโทโส วาฯ ปญฺญาติ เอเก, ตํ น คเหตพฺพํฯ ‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๖) เอวมาคตํ กามวิตกฺกาทีนํ วิโนทนวเสน ปวตฺตํ วีริยเมว วีริยสํวโรฯ สโพฺพ จายํ สํวโร ยถาสกํ สํวริตพฺพานํ ทุสฺสีลฺยสงฺขาตานํ กายวจีทุจฺจริตานํ มุฎฺฐสฺสจฺจสงฺขาตสฺส ปมาทสฺส อภิชฺฌาทีนํ วา อกฺขนฺติ อญฺญาณโกสชฺชานญฺจ สํวรณโต ปิทหนโต ฉาทนโต ‘‘สํวโร’’ติ วุจฺจติฯ สํวรตีติ สํวโร, ปิทหติ นิวาเรติ ปวตฺติตุํ น เทตีติ อโตฺถฯ ปจฺจยสมวาเย อุปฺปชฺชนารหานํ กายทุจฺจริตาทีนํ ตถา ตถา อนุปฺปาทนเมว หิ อิธ สํวรณํ นามฯ เอวํ ตาว ปญฺจวิโธ สํวโร เวทิตโพฺพฯ

    Tattha ‘‘iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto’’ti (vibha. 511) evamāgato pātimokkhasaṃvaro sīlasaṃvaro nāma, so ca atthato kāyikavācasiko avītikkamo. ‘‘Rakkhati cakkhundriyaṃ, cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjatī’’ti (dī. ni. 1.213; ma. ni. 1.295; saṃ. ni. 4.239; a. ni. 3.16) evamāgatā indriyārakkhā satisaṃvaro, sā ca atthato tathāpavattā sati eva. ‘‘Sotānaṃ saṃvaraṃ brūmi, paññāyete pidhīyare’’ti (su. ni. 1041; netti. 11) evamāgato ñāṇasaṃvaro. Ettha hi ‘‘sotānaṃ saṃvaraṃ brūmī’’ti vatvā ‘‘paññāyete pidhīyare’’ti vacanato sotasaṅkhātānaṃ taṇhādiṭṭhiduccaritaavijjādikilesānaṃ samucchedakañāṇaṃ pidahanaṭṭhena saṃvaroti vuttaṃ. ‘‘Khamo hoti sītassa uṇhassā’’tievamāgatā (ma. ni. 1.24; ma. ni. 3.159; a. ni. 4.114) adhivāsanā khantisaṃvaro, sā ca atthato tathāpavattā khandhā adoso vā. Paññāti eke, taṃ na gahetabbaṃ. ‘‘Uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetī’’ti (ma. ni. 1.26) evamāgataṃ kāmavitakkādīnaṃ vinodanavasena pavattaṃ vīriyameva vīriyasaṃvaro. Sabbo cāyaṃ saṃvaro yathāsakaṃ saṃvaritabbānaṃ dussīlyasaṅkhātānaṃ kāyavacīduccaritānaṃ muṭṭhassaccasaṅkhātassa pamādassa abhijjhādīnaṃ vā akkhanti aññāṇakosajjānañca saṃvaraṇato pidahanato chādanato ‘‘saṃvaro’’ti vuccati. Saṃvaratīti saṃvaro, pidahati nivāreti pavattituṃ na detīti attho. Paccayasamavāye uppajjanārahānaṃ kāyaduccaritādīnaṃ tathā tathā anuppādanameva hi idha saṃvaraṇaṃ nāma. Evaṃ tāva pañcavidho saṃvaro veditabbo.

    เตน เตน คุณเงฺคน ตสฺส ตสฺส อคุณงฺคสฺส ปหานํ ตทงฺคปฺปหานํฯ นามรูปปริเจฺฉทาทีสุ หิ วิปสฺสนาญาเณสุ ปฎิปกฺขภาวโต ทีปาโลเกเนว ตมสฺส นามรูปววตฺถาเนน สกฺกายทิฎฺฐิยา, ปจฺจยปริคฺคเหน อเหตุวิสมเหตุทิฎฺฐีนํ, ตเสฺสว อปรภาเค อุปฺปเนฺนน กงฺขาวิตรเณน กถํกถีภาวสฺส, กลาปสมฺมสเนน ‘‘อหํ มมา’’ติ คาหสฺส, มคฺคามคฺคววตฺถาเนน อมเคฺค มคฺคสญฺญาย, อุทยทสฺสเนน อุเจฺฉททิฎฺฐิยา, วยทสฺสเนน สสฺสตทิฎฺฐิยา, ภยทสฺสเนน สภเย อภยสญฺญายาติอาทินา นเยน เตน เตน วิปสฺสนาญาเณน ตสฺส ตสฺส อคุณงฺคสฺส ปหานํ ตทงฺคปฺปหานนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยํ ปน อุปจารปฺปนาเภเทน สมาธินา ปวตฺตินิวารณโต ฆฎปฺปหาเรเนว อุทกปิเฎฺฐ เสวาลสฺส เตสํ เตสํ นีวรณาทิธมฺมานํ ปหานํ, เอตํ วิกฺขมฺภนปฺปหานํ นามฯ วิกฺขมฺภนเมว ปหานํ วิกฺขมฺภนปฺปหานํฯ ยํ จตุนฺนํ อริยมคฺคานํ ภาวิตตฺตา ตํตํมคฺควโต อตฺตโน สนฺตาเน ‘‘ทิฎฺฐิคตานํ ปหานายา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๒๗๗) นเยน วุตฺตสฺส สมุทยปกฺขิยสฺส กิเลสคณสฺส อจฺจนฺตํ อปฺปวตฺติภาเวน ปหานํ, อิทํ สมุเจฺฉทปฺปหานํ นามฯ ยํ ปน ผลกฺขเณ ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺตํ วูปสนฺตตา กิเลสานํ, เอตํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานํ นามฯ ยํ สพฺพสงฺขตนิสฺสฎตฺตา ปหีนสพฺพสงฺขตํ นิพฺพานํ, เอตํ นิสฺสรณปฺปหานํ นามฯ สพฺพมฺปิ เจตํ จาคเฎฺฐน ปหานนฺติ วุจฺจติฯ เอวมิเมหิ ยถาวุตฺตสํวเรหิ เจว ปหาเนหิ จ ปฎิสํยุตฺตา ธมฺมเทสนา ‘‘สํวรปฺปหานปฎิสํยุตฺตา’’ติ เวทิตพฺพาฯ

    Tena tena guṇaṅgena tassa tassa aguṇaṅgassa pahānaṃ tadaṅgappahānaṃ. Nāmarūpaparicchedādīsu hi vipassanāñāṇesu paṭipakkhabhāvato dīpālokeneva tamassa nāmarūpavavatthānena sakkāyadiṭṭhiyā, paccayapariggahena ahetuvisamahetudiṭṭhīnaṃ, tasseva aparabhāge uppannena kaṅkhāvitaraṇena kathaṃkathībhāvassa, kalāpasammasanena ‘‘ahaṃ mamā’’ti gāhassa, maggāmaggavavatthānena amagge maggasaññāya, udayadassanena ucchedadiṭṭhiyā, vayadassanena sassatadiṭṭhiyā, bhayadassanena sabhaye abhayasaññāyātiādinā nayena tena tena vipassanāñāṇena tassa tassa aguṇaṅgassa pahānaṃ tadaṅgappahānanti veditabbaṃ. Yaṃ pana upacārappanābhedena samādhinā pavattinivāraṇato ghaṭappahāreneva udakapiṭṭhe sevālassa tesaṃ tesaṃ nīvaraṇādidhammānaṃ pahānaṃ, etaṃ vikkhambhanappahānaṃ nāma. Vikkhambhanameva pahānaṃ vikkhambhanappahānaṃ. Yaṃ catunnaṃ ariyamaggānaṃ bhāvitattā taṃtaṃmaggavato attano santāne ‘‘diṭṭhigatānaṃ pahānāyā’’tiādinā (dha. sa. 277) nayena vuttassa samudayapakkhiyassa kilesagaṇassa accantaṃ appavattibhāvena pahānaṃ, idaṃ samucchedappahānaṃ nāma. Yaṃ pana phalakkhaṇe paṭippassaddhattaṃ vūpasantatā kilesānaṃ, etaṃ paṭippassaddhippahānaṃ nāma. Yaṃ sabbasaṅkhatanissaṭattā pahīnasabbasaṅkhataṃ nibbānaṃ, etaṃ nissaraṇappahānaṃ nāma. Sabbampi cetaṃ cāgaṭṭhena pahānanti vuccati. Evamimehi yathāvuttasaṃvarehi ceva pahānehi ca paṭisaṃyuttā dhammadesanā ‘‘saṃvarappahānapaṭisaṃyuttā’’ti veditabbā.

    อสุตฺตนฺตวินิพทฺธนฺติ สุตฺตเนฺตสุ อนิพทฺธํ, ปาฬิอนารุฬฺหนฺติ อโตฺถฯ ปกิณฺณกธมฺมเทสนา หิ สงฺคหํ น อาโรหติฯ วุตฺตเมวตฺถํ ปกาเสโนฺต อาห ‘‘ปาฬิวินิมุตฺต’’นฺติฯ อถ วา อสุตฺตนฺตวินิพทฺธนฺติ สุตฺตาภิธมฺมปาฬิํ อนารุฬฺหภาวํ สนฺธาย วุตฺตํ, ปาฬิวินิมุตฺตนฺติ วินยปาฬิํ อนารุฬฺหภาวํ สนฺธายฯ โอกฺกนฺติกธมฺมเทสนา นาม ญาเณน อนุปวิสิตฺวา อนฺตรา กถิยมานา ธมฺมเทสนา, ปฎิกฺขิปนาธิปฺปายา ภทฺทาลิเตฺถรสทิสาฯ สมฺปเรตพฺพโต เปจฺจ คนฺตพฺพโต สมฺปราโย, ปรโลโกฯ ตตฺถ ภวํ สมฺปรายิกํวฎฺฎภเยน ตเชฺชโนฺตติ ‘‘เอวํ ทุสฺสีลา นิรยาทีสุ ทุกฺขํ ปาปุณนฺตี’’ติ ตเชฺชโนฺตฯ ทีฆนิกายปฺปมาณมฺปิ มชฺฌิมนิกายปฺปมาณมฺปิ ธมฺมเทสนํ กโรตีติ ‘‘เตน ขเณน เตน มุหุเตฺตน กถํ ภควา ตาวมหนฺตํ ธมฺมเทสนํ กโรตี’’ติ น วตฺตพฺพํฯ ยาวตา หิ โลกิยมหาชนา เอกํ ปทํ กเถนฺติ, ตาว อานนฺทเตฺถโร อฎฺฐ ปทานิ กเถติฯ อานนฺทเตฺถเร ปน เอกํ ปทํ กเถเนฺตเยว ภควา โสฬส ปทานิ กเถติฯ อิมินา นเยน โลกิยชนสฺส เอกปทุจฺจารณกฺขเณ ภควา อฎฺฐวีสสตํ ปทานิ กเถติฯ กสฺมา? ภควโต หิ ชิวฺหา มุทุ, ทนฺตาวรณํ สุผุสิตํ, วจนํ อคฬิตํ, ภวงฺคปริวาโส ลหุโก, ตสฺมา สเจ เอโก ภิกฺขุ กายานุปสฺสนํ ปุจฺฉติ, อโญฺญ เวทนานุปสฺสนํ, อโญฺญ จิตฺตานุปสฺสนํ, อโญฺญ ธมฺมานุปสฺสนํ, ‘‘อิมินา ปุเฎฺฐ อหํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ เอโก เอกํ น โอโลเกติ, เอวํ สเนฺตปิ เตสํ ภิกฺขูนํ ‘‘อยํ ปฐมํ ปุจฺฉิ, อยํ ทุติย’’นฺติอาทินา ปุจฺฉนวาโร ตาทิสสฺส ปญฺญวโต ปญฺญายติ สุขุมสฺส อนฺตรสฺส ลพฺภนโตฯ พุทฺธานํ ปน เทสนาวาโร อเญฺญสํ น ปญฺญายเตว อจฺฉราสงฺฆาตมเตฺต ขเณ อเนกโกฎิสหสฺสจิตฺตปฺปวตฺติสมฺภวโตฯ ทฬฺหธเมฺมน ธนุคฺคเหน ขิตฺตสรสฺส วิทตฺถิจตุรงฺคุลํ ตาลจฺฉายํ อติกฺกมนโต ปุเรตรํเยว ภควา จุทฺทสวิเธน กายานุปสฺสนํ, นววิเธน เวทนานุปสฺสนํ, โสฬสวิเธน จิตฺตานุปสฺสนํ, ปญฺจวิเธน ธมฺมานุปสฺสนํ กเถติฯ ติฎฺฐนฺตุ วา เอเต จตฺตาโร, สเจ หิ อเญฺญ จตฺตาโร สมฺมปฺปธาเนสุ, อเญฺญ อิทฺธิปาเทสุ, อเญฺญ ปญฺจินฺทฺริเยสุ, อเญฺญ ปญฺจพเลสุ, อเญฺญ สตฺตโพชฺฌเงฺคสุ, อเญฺญ อฎฺฐมคฺคเงฺคสุ ปเญฺห ปุเจฺฉยฺยุํ, ตมฺปิ ภควา กเถยฺยฯ ติฎฺฐนฺตุ วา เอเต อฎฺฐ, สเจ อเญฺญ สตฺตติํส ชนา โพธิปกฺขิเยสุ ปเญฺห ปุเจฺฉยฺยุํ, ตมฺปิ ภควา ตาวเทว กเถยฺยฯ

    Asuttantavinibaddhanti suttantesu anibaddhaṃ, pāḷianāruḷhanti attho. Pakiṇṇakadhammadesanā hi saṅgahaṃ na ārohati. Vuttamevatthaṃ pakāsento āha ‘‘pāḷivinimutta’’nti. Atha vā asuttantavinibaddhanti suttābhidhammapāḷiṃ anāruḷhabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ, pāḷivinimuttanti vinayapāḷiṃ anāruḷhabhāvaṃ sandhāya. Okkantikadhammadesanā nāma ñāṇena anupavisitvā antarā kathiyamānā dhammadesanā, paṭikkhipanādhippāyā bhaddālittherasadisā. Samparetabbato pecca gantabbato samparāyo, paraloko. Tattha bhavaṃ samparāyikaṃ. Vaṭṭabhayena tajjentoti ‘‘evaṃ dussīlā nirayādīsu dukkhaṃ pāpuṇantī’’ti tajjento. Dīghanikāyappamāṇampi majjhimanikāyappamāṇampi dhammadesanaṃ karotīti ‘‘tena khaṇena tena muhuttena kathaṃ bhagavā tāvamahantaṃ dhammadesanaṃ karotī’’ti na vattabbaṃ. Yāvatā hi lokiyamahājanā ekaṃ padaṃ kathenti, tāva ānandatthero aṭṭha padāni katheti. Ānandatthere pana ekaṃ padaṃ kathenteyeva bhagavā soḷasa padāni katheti. Iminā nayena lokiyajanassa ekapaduccāraṇakkhaṇe bhagavā aṭṭhavīsasataṃ padāni katheti. Kasmā? Bhagavato hi jivhā mudu, dantāvaraṇaṃ suphusitaṃ, vacanaṃ agaḷitaṃ, bhavaṅgaparivāso lahuko, tasmā sace eko bhikkhu kāyānupassanaṃ pucchati, añño vedanānupassanaṃ, añño cittānupassanaṃ, añño dhammānupassanaṃ, ‘‘iminā puṭṭhe ahaṃ pucchissāmī’’ti eko ekaṃ na oloketi, evaṃ santepi tesaṃ bhikkhūnaṃ ‘‘ayaṃ paṭhamaṃ pucchi, ayaṃ dutiya’’ntiādinā pucchanavāro tādisassa paññavato paññāyati sukhumassa antarassa labbhanato. Buddhānaṃ pana desanāvāro aññesaṃ na paññāyateva accharāsaṅghātamatte khaṇe anekakoṭisahassacittappavattisambhavato. Daḷhadhammena dhanuggahena khittasarassa vidatthicaturaṅgulaṃ tālacchāyaṃ atikkamanato puretaraṃyeva bhagavā cuddasavidhena kāyānupassanaṃ, navavidhena vedanānupassanaṃ, soḷasavidhena cittānupassanaṃ, pañcavidhena dhammānupassanaṃ katheti. Tiṭṭhantu vā ete cattāro, sace hi aññe cattāro sammappadhānesu, aññe iddhipādesu, aññe pañcindriyesu, aññe pañcabalesu, aññe sattabojjhaṅgesu, aññe aṭṭhamaggaṅgesu pañhe puccheyyuṃ, tampi bhagavā katheyya. Tiṭṭhantu vā ete aṭṭha, sace aññe sattatiṃsa janā bodhipakkhiyesu pañhe puccheyyuṃ, tampi bhagavā tāvadeva katheyya.

    มูลํ นิสฺสโย ปติฎฺฐาติ ปจฺฉิมํ ปจฺฉิมํ ปฐมสฺส ปฐมสฺส เววจนนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตตฺถ ปติฎฺฐาติ สมฺปโยควเสน อุปนิสฺสยวเสน จ โอกาสภาโวฯ สิกฺขาสงฺขาตานญฺหิ อวเสสกุสลธมฺมานํ เมถุนวิรติสมฺปโยควเสน วา ปติฎฺฐา สิยา อุปนิสฺสยภาเวน วาฯ เตเนวาห ‘‘เมถุนสํวโร หี’’ติอาทิฯ วุตฺตตฺถวเสนาติ ปติฎฺฐาอธิคมูปายวเสนฯ สิกฺขาปทวิภเงฺค นิทฺทิฎฺฐวิรติเจตนา ตํสมฺปยุตฺตธมฺมา จ สิกฺขาปทนฺติ ทเสฺสตุกาโม อาห – ‘‘อยญฺจ อโตฺถ สิกฺขาปทวิภเงฺค วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพ’’ติฯ สิกฺขาปทวิภเงฺค หิ วิรติอาทโย ธมฺมา นิปฺปริยายโต ปริยายโต จ ‘‘สิกฺขาปท’’นฺติ วุตฺตาฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Mūlaṃ nissayo patiṭṭhāti pacchimaṃ pacchimaṃ paṭhamassa paṭhamassa vevacananti daṭṭhabbaṃ. Tattha patiṭṭhāti sampayogavasena upanissayavasena ca okāsabhāvo. Sikkhāsaṅkhātānañhi avasesakusaladhammānaṃ methunaviratisampayogavasena vā patiṭṭhā siyā upanissayabhāvena vā. Tenevāha ‘‘methunasaṃvaro hī’’tiādi. Vuttatthavasenāti patiṭṭhāadhigamūpāyavasena. Sikkhāpadavibhaṅge niddiṭṭhaviraticetanā taṃsampayuttadhammā ca sikkhāpadanti dassetukāmo āha – ‘‘ayañca attho sikkhāpadavibhaṅge vuttanayena veditabbo’’ti. Sikkhāpadavibhaṅge hi viratiādayo dhammā nippariyāyato pariyāyato ca ‘‘sikkhāpada’’nti vuttā. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ตตฺถ กตมํ กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี สิกฺขาปทํ? ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ โสมนสฺสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ กาเมสุมิจฺฉาจารา วิรมนฺตสฺส, ยา ตสฺมิํ สมเย กาเมสุมิจฺฉาจารา อารติ วิรติ ปฎิวิรติ เวรมณี อกิริยา อกรณํ อนชฺฌาปตฺติ เวลานติกฺกโม เสตุฆาโต, อิทํ วุจฺจติ กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี สิกฺขาปทํฯ อวเสสา ธมฺมา เวรมณิยา สมฺปยุตฺตาฯ

    ‘‘Tattha katamaṃ kāmesumicchācārā veramaṇī sikkhāpadaṃ? Yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti somanassasahagataṃ ñāṇasampayuttaṃ kāmesumicchācārā viramantassa, yā tasmiṃ samaye kāmesumicchācārā ārati virati paṭivirati veramaṇī akiriyā akaraṇaṃ anajjhāpatti velānatikkamo setughāto, idaṃ vuccati kāmesumicchācārā veramaṇī sikkhāpadaṃ. Avasesā dhammā veramaṇiyā sampayuttā.

    ‘‘ตตฺถ กตมํ กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี สิกฺขาปทํ? ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ โสมนสฺสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ กาเมสุมิจฺฉาจารา วิรมนฺตสฺส, ยา ตสฺมิํ สมเย เจตนา สเญฺจตนา เจตยิตตฺตํ, อิทํ วุจฺจติ กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี สิกฺขาปทํฯ อวเสสา ธมฺมา เจตนาย สมฺปยุตฺตาฯ

    ‘‘Tattha katamaṃ kāmesumicchācārā veramaṇī sikkhāpadaṃ? Yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti somanassasahagataṃ ñāṇasampayuttaṃ kāmesumicchācārā viramantassa, yā tasmiṃ samaye cetanā sañcetanā cetayitattaṃ, idaṃ vuccati kāmesumicchācārā veramaṇī sikkhāpadaṃ. Avasesā dhammā cetanāya sampayuttā.

    ‘‘ตตฺถ กตมํ กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี สิกฺขาปทํ? ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ โสมนสฺสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ กาเมสุมิจฺฉาจารา วิรมนฺตสฺส, โย ตสฺมิํ สมเย ผโสฺส…เป.… ปคฺคาโห อวิเกฺขโป, อิทํ วุจฺจติ กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี สิกฺขาปท’’นฺติ (วิภ. ๗๐๖)ฯ

    ‘‘Tattha katamaṃ kāmesumicchācārā veramaṇī sikkhāpadaṃ? Yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti somanassasahagataṃ ñāṇasampayuttaṃ kāmesumicchācārā viramantassa, yo tasmiṃ samaye phasso…pe… paggāho avikkhepo, idaṃ vuccati kāmesumicchācārā veramaṇī sikkhāpada’’nti (vibha. 706).

    เอตฺถ หิ ยสฺมา น เกวลํ วิรติเยว สิกฺขาปทํ, เจตนาปิ สิกฺขาปทเมว, ตสฺมา ตํ ทเสฺสตุํ ทุติยนโย วุโตฺตฯ ยสฺมา จ น เกวลํ เอเตเยว เทฺว ธมฺมา สิกฺขาปทํ, เจตนาสมฺปยุตฺตา ปน ปโรปณฺณาส ธมฺมาปิ สิกฺขิตพฺพโกฎฺฐาสโต สิกฺขาปทเมว, ตสฺมา ตติยนโย ทสฺสิโตฯ ทุวิธญฺหิ สิกฺขาปทํ นิปฺปริยายสิกฺขาปทํ ปริยายสิกฺขาปทนฺติฯ ตตฺถ วิรติ นิปฺปริยายสิกฺขาปทํฯ สา หิ ‘‘ปาณาติปาตา เวรมณี’’ติ ปาฬิยํ อาคตา, โน เจตนาฯ วิรมโนฺต จ ตาย เอว ตโต ตโต วิรมติ, น เจตนาย, เจตนมฺปิ ปน อาหริตฺวา ทเสฺสติ, ตถา เสสเจตนาสมฺปยุตฺตธเมฺมฯ ตสฺมา เจตนา เจว อวเสสสมฺปยุตฺตธมฺมา จ ปริยายสิกฺขาปทนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Ettha hi yasmā na kevalaṃ viratiyeva sikkhāpadaṃ, cetanāpi sikkhāpadameva, tasmā taṃ dassetuṃ dutiyanayo vutto. Yasmā ca na kevalaṃ eteyeva dve dhammā sikkhāpadaṃ, cetanāsampayuttā pana paropaṇṇāsa dhammāpi sikkhitabbakoṭṭhāsato sikkhāpadameva, tasmā tatiyanayo dassito. Duvidhañhi sikkhāpadaṃ nippariyāyasikkhāpadaṃ pariyāyasikkhāpadanti. Tattha virati nippariyāyasikkhāpadaṃ. Sā hi ‘‘pāṇātipātā veramaṇī’’ti pāḷiyaṃ āgatā, no cetanā. Viramanto ca tāya eva tato tato viramati, na cetanāya, cetanampi pana āharitvā dasseti, tathā sesacetanāsampayuttadhamme. Tasmā cetanā ceva avasesasampayuttadhammā ca pariyāyasikkhāpadanti veditabbaṃ.

    อิทานิ น เกวลํ อิธ วิรติอาทโย ธมฺมาว สิกฺขาปทํ, อถ โข ตทตฺถโชติกา ปญฺญตฺติปีติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อปิจา’’ติอาทิฯ ‘‘โย ตตฺถ นามกาโย ปทกาโยติ อิทํ มหาอฎฺฐกถายํ วุตฺต’’นฺติ วทนฺติฯ นามกาโยติ นามสมูโห นามปณฺณตฺติเยวฯ ปทนิรุตฺติพฺยญฺชนานิ นามเววจนาเนว ‘‘นามํ นามกมฺมํ นามนิรุตฺตี’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๓๑๓-๑๓๑๕) วิยฯ สิกฺขาโกฎฺฐาโสติ วิรติอาทโยว วุตฺตา, ตทตฺถโชตกํ วจนมฺปิ สิกฺขาปทนฺติ อิทมฺปิ เอตฺถ ลพฺภเตวฯ

    Idāni na kevalaṃ idha viratiādayo dhammāva sikkhāpadaṃ, atha kho tadatthajotikā paññattipīti dassento āha ‘‘apicā’’tiādi. ‘‘Yo tattha nāmakāyo padakāyoti idaṃ mahāaṭṭhakathāyaṃ vutta’’nti vadanti. Nāmakāyoti nāmasamūho nāmapaṇṇattiyeva. Padaniruttibyañjanāni nāmavevacanāneva ‘‘nāmaṃ nāmakammaṃ nāmaniruttī’’tiādīsu (dha. sa. 1313-1315) viya. Sikkhākoṭṭhāsoti viratiādayova vuttā, tadatthajotakaṃ vacanampi sikkhāpadanti idampi ettha labbhateva.

    อตฺถวเสติ วุทฺธิวิเสเส อานิสํสวิเสเสฯ เตสํ ปน สิกฺขาปทปญฺญตฺติการณตฺตา อาห ‘‘ทส การณวเส’’ติ, ทส การณวิเสเสติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘หิตวิเสเส’’ติฯ อโตฺถเยว วา อตฺถวโส, ทส อเตฺถ ทส การณานีติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา อโตฺถ ผลํ ตทธีนวุตฺติตาย วโส เอตสฺสาติ อตฺถวโส, เหตูติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ สุฎฺฐุ เทวาติ อิทํ ราชเนฺตปุรปฺปเวสนสิกฺขาปเท (ปาจิ. ๔๙๔ อาทโย) วุตฺตํฯ ‘‘เย มม โสตพฺพํ สทฺทหาตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติ, เตสํ ตํ อสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘โย จ ตถาคตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉติ, ตสฺส ตํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย โหตี’’ติ วุตฺตํฯ อสมฺปฎิจฺฉเน อาทีนวนฺติ ภทฺทาลิสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๑๓๔ อาทโย) วิย อสมฺปฎิจฺฉเน อาทีนวํ ทเสฺสตฺวาฯ สุขวิหาราภาเว สหชีวมานสฺส อภาวโต สหชีวิตาปิ สุขวิหาโรว วุโตฺตฯ สุขวิหาโร นาม จตุนฺนํ อิริยาปถวิหารานํ ผาสุตาฯ

    Atthavaseti vuddhivisese ānisaṃsavisese. Tesaṃ pana sikkhāpadapaññattikāraṇattā āha ‘‘dasa kāraṇavase’’ti, dasa kāraṇaviseseti attho. Tenāha ‘‘hitavisese’’ti. Atthoyeva vā atthavaso, dasa atthe dasa kāraṇānīti vuttaṃ hoti. Atha vā attho phalaṃ tadadhīnavuttitāya vaso etassāti atthavaso, hetūti evampettha attho daṭṭhabbo. Suṭṭhu devāti idaṃ rājantepurappavesanasikkhāpade (pāci. 494 ādayo) vuttaṃ. ‘‘Ye mama sotabbaṃ saddahātabbaṃ maññissanti, tesaṃ taṃ assa dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’’ti vuttattā ‘‘yo ca tathāgatassa vacanaṃ sampaṭicchati, tassa taṃ dīgharattaṃ hitāya sukhāya hotī’’ti vuttaṃ. Asampaṭicchane ādīnavanti bhaddālisutte (ma. ni. 2.134 ādayo) viya asampaṭicchane ādīnavaṃ dassetvā. Sukhavihārābhāve sahajīvamānassa abhāvato sahajīvitāpi sukhavihārova vutto. Sukhavihāro nāma catunnaṃ iriyāpathavihārānaṃ phāsutā.

    มงฺกุตนฺติ นิเตฺตชภาวํฯ ธเมฺมนาติอาทีสุ ธโมฺมติ ภูตํ วตฺถุฯ วินโยติ โจทนา เจว สารณา จฯ สตฺถุสาสนนฺติ ญตฺติสมฺปทา เจว อนุสฺสาวนสมฺปทา จฯ ปิยสีลานนฺติ สิกฺขากามานํฯ เตสญฺหิ สีลํ ปิยํ โหติฯ เตเนวาห ‘‘สิกฺขตฺตยปาริปูริยา ฆฎมานา’’ติฯ สนฺทิฎฺฐมานาติ สํสยํ อาปชฺชมานาฯ อุพฺพาฬฺหา โหนฺตีติ ปีฬิตา โหนฺติฯ สงฺฆกมฺมานีติ สติปิ อุโปสถปวารณานํ สงฺฆกมฺมภาเว โคพลิพทฺทญาเยน อุโปสถํ ปวารณญฺจ ฐเปตฺวา อุปสมฺปทาทิเสสสงฺฆกมฺมานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ สมคฺคานํ ภาโว สามคฺคี

    Maṅkutanti nittejabhāvaṃ. Dhammenātiādīsu dhammoti bhūtaṃ vatthu. Vinayoti codanā ceva sāraṇā ca. Satthusāsananti ñattisampadā ceva anussāvanasampadā ca. Piyasīlānanti sikkhākāmānaṃ. Tesañhi sīlaṃ piyaṃ hoti. Tenevāha ‘‘sikkhattayapāripūriyā ghaṭamānā’’ti. Sandiṭṭhamānāti saṃsayaṃ āpajjamānā. Ubbāḷhā hontīti pīḷitā honti. Saṅghakammānīti satipi uposathapavāraṇānaṃ saṅghakammabhāve gobalibaddañāyena uposathaṃ pavāraṇañca ṭhapetvā upasampadādisesasaṅghakammānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Samaggānaṃ bhāvo sāmaggī.

    ‘‘น โว อหํ, จุนฺท, ทิฎฺฐธมฺมิกานํเยว อาสวานํ สํวราย ธมฺมํ เทเสมี’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๘๒) เอตฺถ วิวาทมูลภูตา กิเลสา อาสวาติ อาคตาฯ

    ‘‘Na vo ahaṃ, cunda, diṭṭhadhammikānaṃyeva āsavānaṃ saṃvarāya dhammaṃ desemī’’ti (dī. ni. 3.182) ettha vivādamūlabhūtā kilesā āsavāti āgatā.

    ‘‘เยน เทวูปปตฺยสฺส, คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม;

    ‘‘Yena devūpapatyassa, gandhabbo vā vihaṅgamo;

    ยกฺขตฺตํ เยน คเจฺฉยฺยํ, มนุสฺสตฺตญฺจ อพฺพเช;

    Yakkhattaṃ yena gaccheyyaṃ, manussattañca abbaje;

    เต มยฺหํ อาสวา ขีณา, วิทฺธสฺตา วินฬีกตา’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๓๖) –

    Te mayhaṃ āsavā khīṇā, viddhastā vinaḷīkatā’’ti. (a. ni. 4.36) –

    เอตฺถ เตภูมกํ กมฺมํ อวเสสา จ อกุสลา ธมฺมาฯ อิธ ปน ปรูปวาทวิปฺปฎิสารวธพนฺธาทโย เจว อปายทุกฺขภูตา จ นานปฺปการา อุปทฺทวา อาสวาติ อาห – ‘‘อสํวเร ฐิเตน ตสฺมิํเยว อตฺตภาเว ปตฺตพฺพา’’ติอาทิฯ ยทิ หิ ภควา สิกฺขาปทํ น ปญฺญเปยฺย, ตโต อสทฺธมฺมปฎิเสวนอทินฺนาทานปาณาติปาตาทิเหตุ เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ ปรูปวาทาทโย ทิฎฺฐธมฺมิกา นานปฺปการา อนตฺถา, เย จ ตํนิมิตฺตเมว นิรยาทีสุ นิพฺพตฺตสฺส ปญฺจวิธพนฺธนกมฺมการณาทิวเสน มหาทุกฺขานุภวนนานปฺปการา อนตฺถา, เต สนฺธาย อิทํ วุตฺตํ ‘‘ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตายา’’ติฯ ทิฎฺฐธโมฺม วุจฺจติ ปจฺจโกฺข อตฺตภาโว , ตตฺถ ภวา ทิฎฺฐธมฺมิกาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ตสฺมิํเยว อตฺตภาเว ปตฺตพฺพา’’ติฯ สมฺมุขา ครหณํ อกิตฺติ, ปรมฺมุขา ครหณํ อยโสฯ อถ วา สมฺมุขา ปรมฺมุขา จ ครหณํ อกิตฺติ, ปริวารหานิ อยโสติ เวทิตพฺพํฯ อาคมนมคฺคถกนายาติ อาคมนทฺวารปิทหนตฺถายฯ สมฺปเรตพฺพโต เปจฺจ คนฺตพฺพโต สมฺปราโย, ปรโลโกติ อาห ‘‘สมฺปราเย นรกาทีสู’’ติฯ เมถุนาทีนิ รชฺชนฎฺฐานานิ, ปาณาติปาตาทีนิ ทุสฺสนฎฺฐานานิ

    Ettha tebhūmakaṃ kammaṃ avasesā ca akusalā dhammā. Idha pana parūpavādavippaṭisāravadhabandhādayo ceva apāyadukkhabhūtā ca nānappakārā upaddavā āsavāti āha – ‘‘asaṃvare ṭhitena tasmiṃyeva attabhāve pattabbā’’tiādi. Yadi hi bhagavā sikkhāpadaṃ na paññapeyya, tato asaddhammapaṭisevanaadinnādānapāṇātipātādihetu ye uppajjeyyuṃ parūpavādādayo diṭṭhadhammikā nānappakārā anatthā, ye ca taṃnimittameva nirayādīsu nibbattassa pañcavidhabandhanakammakāraṇādivasena mahādukkhānubhavananānappakārā anatthā, te sandhāya idaṃ vuttaṃ ‘‘diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāyā’’ti. Diṭṭhadhammo vuccati paccakkho attabhāvo , tattha bhavā diṭṭhadhammikā. Tena vuttaṃ ‘‘tasmiṃyeva attabhāve pattabbā’’ti. Sammukhā garahaṇaṃ akitti, parammukhā garahaṇaṃ ayaso. Atha vā sammukhā parammukhā ca garahaṇaṃ akitti, parivārahāni ayasoti veditabbaṃ. Āgamanamaggathakanāyāti āgamanadvārapidahanatthāya. Samparetabbato pecca gantabbato samparāyo, paralokoti āha ‘‘samparāye narakādīsū’’ti. Methunādīni rajjanaṭṭhānāni, pāṇātipātādīni dussanaṭṭhānāni.

    จุทฺทส ขนฺธกวตฺตานิ นาม วตฺตกฺขนฺธเก วุตฺตานิ อาคนฺตุกวตฺตํ อาวาสิกคมิกอนุโมทนภตฺตคฺคปิณฺฑจาริกอารญฺญิกเสนาสนชนฺตาฆรวจฺจกุฎิอุปชฺฌายสทฺธิวิหาริกอาจริยอเนฺตวาสิกวตฺตนฺติ อิมานิ จุทฺทส วตฺตานิฯ ตโต อญฺญานิ ปน กทาจิ ตชฺชนียกมฺมกตาทิกาเลเยว จริตพฺพานิ เทฺวอสีติ มหาวตฺตานิ, น สพฺพาสุ อวตฺถาสุ จริตพฺพานิ, ตสฺมา จุทฺทสขนฺธกวเตฺตสุ อคณิตานิ, ตานิ ปน ‘‘ปาริวาสิกานํ ภิกฺขูนํ วตฺตํ ปญฺญเปสฺสามี’’ติ (จูฬว. ๗๕ อาทโย) อารภิตฺวา ‘‘น อุปสมฺปาเทตพฺพํ…เป.… น ฉมายํ จงฺกมเนฺต จงฺกเม จงฺกมิตพฺพ’’นฺติ (จูฬว. ๗๖) วุตฺตาวสานานิ ฉสฎฺฐิ, ตโต ปรํ ‘‘น, ภิกฺขเว, ปาริวาสิเกน ภิกฺขุนา ปาริวาสิกวุฑฺฒตเรน ภิกฺขุนา สทฺธิํ, มูลายปฎิกสฺสนารเหน, มานตฺตารเหน, มานตฺตจาริเกน, อพฺภานารเหน ภิกฺขุนา สทฺธิํ เอกจฺฉเนฺน อาวาเส วตฺถพฺพ’’นฺติอาทินา (จูฬว. ๘๒) วุตฺตวตฺตานิ ปกตตฺตจริตเพฺพหิ อนญฺญตฺตา วิสุํ อคเณตฺวา ปาริวาสิกวุฑฺฒตราทีสุ ปุคฺคลนฺตเรสุ จริตพฺพตฺตา เตสํ วเสน สมฺปิเณฺฑตฺวา เอเกกํ กตฺวา คณิตานิ ปญฺจาติ เอกสตฺตติ วตฺตานิ, อุเกฺขปนียกมฺมกตวเตฺตสุ วุตฺตํ ‘‘น ปกตตฺตสฺส ภิกฺขุโน อภิวาทนํ ปจฺจุฎฺฐานํ…เป.… นหาเน ปิฎฺฐิปริกมฺมํ สาทิตพฺพ’’นฺติ (จูฬว. ๗๕) อิทํ อภิวาทนาทีนํ อสาทิยนํ เอกํ, ‘‘น ปกตโตฺต ภิกฺขุ สีลวิปตฺติยา อนุทฺธํเสตโพฺพ’’ติอาทีนิ (จูฬว. ๕๑) ทสาติ เอวเมตานิ ทฺวาสีติ วตฺตานิฯ เอเตเสฺวว ปน กานิจิ ตชฺชนียกมฺมาทิวตฺตาอานิ, กานิจิ ปาริวาสิกาทิวตฺตานีติ อคฺคหิตคฺคหเณน ทฺวาสีติ เอว, อญฺญตฺถ ปน อฎฺฐกถาปเทเส อปฺปกํ อูนมธิกํ วา คณนูปคํ น โหตีติ ‘‘อสีติ ขนฺธกวตฺตานี’’ติ วุตฺตํฯ

    Cuddasa khandhakavattāni nāma vattakkhandhake vuttāni āgantukavattaṃ āvāsikagamikaanumodanabhattaggapiṇḍacārikaāraññikasenāsanajantāgharavaccakuṭiupajjhāyasaddhivihārikaācariyaantevāsikavattanti imāni cuddasa vattāni. Tato aññāni pana kadāci tajjanīyakammakatādikāleyeva caritabbāni dveasīti mahāvattāni, na sabbāsu avatthāsu caritabbāni, tasmā cuddasakhandhakavattesu agaṇitāni, tāni pana ‘‘pārivāsikānaṃ bhikkhūnaṃ vattaṃ paññapessāmī’’ti (cūḷava. 75 ādayo) ārabhitvā ‘‘na upasampādetabbaṃ…pe… na chamāyaṃ caṅkamante caṅkame caṅkamitabba’’nti (cūḷava. 76) vuttāvasānāni chasaṭṭhi, tato paraṃ ‘‘na, bhikkhave, pārivāsikena bhikkhunā pārivāsikavuḍḍhatarena bhikkhunā saddhiṃ, mūlāyapaṭikassanārahena, mānattārahena, mānattacārikena, abbhānārahena bhikkhunā saddhiṃ ekacchanne āvāse vatthabba’’ntiādinā (cūḷava. 82) vuttavattāni pakatattacaritabbehi anaññattā visuṃ agaṇetvā pārivāsikavuḍḍhatarādīsu puggalantaresu caritabbattā tesaṃ vasena sampiṇḍetvā ekekaṃ katvā gaṇitāni pañcāti ekasattati vattāni, ukkhepanīyakammakatavattesu vuttaṃ ‘‘na pakatattassa bhikkhuno abhivādanaṃ paccuṭṭhānaṃ…pe… nahāne piṭṭhiparikammaṃ sāditabba’’nti (cūḷava. 75) idaṃ abhivādanādīnaṃ asādiyanaṃ ekaṃ, ‘‘na pakatatto bhikkhu sīlavipattiyā anuddhaṃsetabbo’’tiādīni (cūḷava. 51) dasāti evametāni dvāsīti vattāni. Etesveva pana kānici tajjanīyakammādivattāāni, kānici pārivāsikādivattānīti aggahitaggahaṇena dvāsīti eva, aññattha pana aṭṭhakathāpadese appakaṃ ūnamadhikaṃ vā gaṇanūpagaṃ na hotīti ‘‘asīti khandhakavattānī’’ti vuttaṃ.

    สํวรวินโยติ สีลสํวโร สติสํวโร ญาณสํวโร ขนฺติสํวโร วีริยสํวโรติ ปญฺจวิโธปิ สํวโร ยถาสกํ สํวริตพฺพานํ วิเนตพฺพานญฺจ กายทุจฺจริตาทีนํ สํวรณโต สํวโร, วินยนโต วินโยติ วุจฺจติฯ ปหานวินโยติ ตทงฺคปฺปหานํ วิกฺขมฺภนปฺปหานํ สมุเจฺฉทปฺปหานํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานํ นิสฺสรณปฺปหานนฺติ ปญฺจวิธมฺปิ ปหานํ ยสฺมา จาคเฎฺฐน ปหานํ , วินยนเฎฺฐน วินโย, ตสฺมา ปหานวินโยติ วุจฺจติฯ สมถวินโยติ สตฺต อธิกรณสมถาฯ ปญฺญตฺติวินโยติ สิกฺขาปทเมวฯ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา หิ วิชฺชมานาย เอว สิกฺขาปทสมฺภวโต ปญฺญตฺติวินโยปิ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา อนุคฺคหิโต โหติฯ

    Saṃvaravinayoti sīlasaṃvaro satisaṃvaro ñāṇasaṃvaro khantisaṃvaro vīriyasaṃvaroti pañcavidhopi saṃvaro yathāsakaṃ saṃvaritabbānaṃ vinetabbānañca kāyaduccaritādīnaṃ saṃvaraṇato saṃvaro, vinayanato vinayoti vuccati. Pahānavinayoti tadaṅgappahānaṃ vikkhambhanappahānaṃ samucchedappahānaṃ paṭippassaddhippahānaṃ nissaraṇappahānanti pañcavidhampi pahānaṃ yasmā cāgaṭṭhena pahānaṃ , vinayanaṭṭhena vinayo, tasmā pahānavinayoti vuccati. Samathavinayoti satta adhikaraṇasamathā. Paññattivinayoti sikkhāpadameva. Sikkhāpadapaññattiyā hi vijjamānāya eva sikkhāpadasambhavato paññattivinayopi sikkhāpadapaññattiyā anuggahito hoti.

    อิทานิ –

    Idāni –

    ‘‘ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ สงฺฆผาสุ, ยํ สงฺฆผาสุ, ตํ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย, ยํ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย, ตํ เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย, ยํ เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย, ตํ ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย, ยํ ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย, ตํ สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตาย, ยํ สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตาย, ตํ อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย, ยํ อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย, ตํ ปสนฺนานํ ภิโยฺยภาวาย, ยํ ปสนฺนานํ ภิโยฺยภาวาย, ตํ สทฺธมฺมฎฺฐิติยา, ยํ สทฺธมฺมฎฺฐิติยา, ตํ วินยานุคฺคหายฯ

    ‘‘Yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ saṅghaphāsu, yaṃ saṅghaphāsu, taṃ dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāya, yaṃ dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāya, taṃ pesalānaṃ bhikkhūnaṃ phāsuvihārāya, yaṃ pesalānaṃ bhikkhūnaṃ phāsuvihārāya, taṃ diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya, yaṃ diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya, taṃ samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāya, yaṃ samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāya, taṃ appasannānaṃ pasādāya, yaṃ appasannānaṃ pasādāya, taṃ pasannānaṃ bhiyyobhāvāya, yaṃ pasannānaṃ bhiyyobhāvāya, taṃ saddhammaṭṭhitiyā, yaṃ saddhammaṭṭhitiyā, taṃ vinayānuggahāya.

    ‘‘ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ สงฺฆผาสุ, ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย, ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย, ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย, ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตาย, ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย, ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ ปสนฺนานํ ภิโยฺยภาวาย, ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ สทฺธมฺมฎฺฐิติยา, ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ วินยานุคฺคหายฯ

    ‘‘Yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ saṅghaphāsu, yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāya, yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ pesalānaṃ bhikkhūnaṃ phāsuvihārāya, yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya, yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāya, yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ appasannānaṃ pasādāya, yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ pasannānaṃ bhiyyobhāvāya, yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ saddhammaṭṭhitiyā, yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ vinayānuggahāya.

    ‘‘ยํ สงฺฆผาสุ, ตํ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย, ยํ สงฺฆผาสุ, ตํ เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย, ยํ สงฺฆผาสุ, ตํ ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย, ยํ สงฺฆผาสุ, ตํ สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตาย, ยํ สงฺฆผาสุ, ตํ อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย, ยํ สงฺฆผาสุ, ตํ ปสนฺนานํ ภิโยฺยภาวาย, ยํ สงฺฆผาสุ, ตํ สทฺธมฺมฎฺฐิติยา, ยํ สงฺฆผาสุ, ตํ วินยานุคฺคหาย, ยํ สงฺฆผาสุ, ตํ สงฺฆสุฎฺฐุตายฯ

    ‘‘Yaṃ saṅghaphāsu, taṃ dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāya, yaṃ saṅghaphāsu, taṃ pesalānaṃ bhikkhūnaṃ phāsuvihārāya, yaṃ saṅghaphāsu, taṃ diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya, yaṃ saṅghaphāsu, taṃ samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāya, yaṃ saṅghaphāsu, taṃ appasannānaṃ pasādāya, yaṃ saṅghaphāsu, taṃ pasannānaṃ bhiyyobhāvāya, yaṃ saṅghaphāsu, taṃ saddhammaṭṭhitiyā, yaṃ saṅghaphāsu, taṃ vinayānuggahāya, yaṃ saṅghaphāsu, taṃ saṅghasuṭṭhutāya.

    ‘‘ยํ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย…เป.… ยํ เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย…เป.… ยํ ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย…เป.… ยํ สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตาย…เป.… ยํ อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย…เป.… ยํ ปสนฺนานํ ภิโยฺยภาวาย…เป.… ยํ สทฺธมฺมฎฺฐิติยา…เป.… ยํ วินยานุคฺคหาย, ตํ สงฺฆสุฎฺฐุตาย , ยํ วินยานุคฺคหาย, ตํ สงฺฆผาสุตาย, ยํ วินยานุคฺคหาย, ตํ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย, ยํ วินยานุคฺคหาย, ตํ เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย, ยํ วินยานุคฺคหาย, ตํ ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย, ยํ วินยานุคฺคหาย, ตํ สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตาย, ยํ วินยานุคฺคหาย, ตํ อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย, ยํ วินยานุคฺคหาย, ตํ ปสนฺนานํ ภิโยฺยภาวาย, ยํ วินยานุคฺคหาย, ตํ สทฺธมฺมฎฺฐิติยา (ปริ. ๓๓๔)ฯ

    ‘‘Yaṃ dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāya…pe… yaṃ pesalānaṃ bhikkhūnaṃ phāsuvihārāya…pe… yaṃ diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya…pe… yaṃ samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāya…pe… yaṃ appasannānaṃ pasādāya…pe… yaṃ pasannānaṃ bhiyyobhāvāya…pe… yaṃ saddhammaṭṭhitiyā…pe… yaṃ vinayānuggahāya, taṃ saṅghasuṭṭhutāya , yaṃ vinayānuggahāya, taṃ saṅghaphāsutāya, yaṃ vinayānuggahāya, taṃ dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāya, yaṃ vinayānuggahāya, taṃ pesalānaṃ bhikkhūnaṃ phāsuvihārāya, yaṃ vinayānuggahāya, taṃ diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya, yaṃ vinayānuggahāya, taṃ samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāya, yaṃ vinayānuggahāya, taṃ appasannānaṃ pasādāya, yaṃ vinayānuggahāya, taṃ pasannānaṃ bhiyyobhāvāya, yaṃ vinayānuggahāya, taṃ saddhammaṭṭhitiyā (pari. 334).

    ‘‘อตฺถสตํ ธมฺมสตํ, เทฺว จ นิรุตฺติสตานิ;

    ‘‘Atthasataṃ dhammasataṃ, dve ca niruttisatāni;

    จตฺตาริ ญาณสตานิ, อตฺถวเส ปกรเณ’’ติ (ปริ. ๓๓๔) –

    Cattāri ñāṇasatāni, atthavase pakaraṇe’’ti (pari. 334) –

    ยํ วุตฺตํ ปริวาเร, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อปิเจตฺถา’’ติอาทิมาหฯ

    Yaṃ vuttaṃ parivāre, taṃ dassento ‘‘apicetthā’’tiādimāha.

    ตตฺถ ‘‘ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ สงฺฆผาสุ, ยํ สงฺฆผาสุ, ตํ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหายา’’ติ อิมินา อนุกฺกเมน ยํ วุตฺตํ, ตํ สนฺธาย อาสนฺนาสนฺนปทานํ อุปรูปริปเทหิ สทฺธิํ โยชิตตฺตา สงฺขลิกพนฺธนสทิสตฺตา ‘‘สงฺขลิกนย’’นฺติ วุตฺตํฯ สงฺขลิกนยํ กตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ สงฺฆผาสุ, ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหายา’’ติ เอวมาทินา ทสสุ ปเทสุ เอกเมกํ ปทํ ตทวเสเสหิ นวนวปเทหิ โยเชตฺวา ยํ วุตฺตํ, ตํ สนฺธาย ‘‘เอเกกปทมูลิกํ ทสกฺขตฺตุํ โยชนํ กตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ

    Tattha ‘‘yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ saṅghaphāsu, yaṃ saṅghaphāsu, taṃ dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāyā’’ti iminā anukkamena yaṃ vuttaṃ, taṃ sandhāya āsannāsannapadānaṃ uparūparipadehi saddhiṃ yojitattā saṅkhalikabandhanasadisattā ‘‘saṅkhalikanaya’’nti vuttaṃ. Saṅkhalikanayaṃ katvāti sambandho. ‘‘Yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ saṅghaphāsu, yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāyā’’ti evamādinā dasasu padesu ekamekaṃ padaṃ tadavasesehi navanavapadehi yojetvā yaṃ vuttaṃ, taṃ sandhāya ‘‘ekekapadamūlikaṃ dasakkhattuṃ yojanaṃ katvā’’ti vuttaṃ.

    อตฺถสตนฺติอาทีสุ สงฺขลิกนเย ตาว ปุริมปุริมปทานํ วเสน ธมฺมสตํ เวทิตพฺพํ, ปจฺฉิมปจฺฉิมานํ วเสน อตฺถสตํ ทฎฺฐพฺพํฯ กถํ? กิญฺจาปิ ปริวาเร ‘‘ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ สงฺฆผาสู’’ติอาทินา สงฺขลิกนเย ขณฺฑจกฺกเมว วุตฺตํ, ตถาปิ เตเนว นเยน พทฺธจกฺกสฺสปิ นโย ทิโนฺน, ตสฺมา ‘‘ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ สงฺฆผาสู’’ติอาทิํ วตฺวา ‘‘ยํ วินยานุคฺคหาย, ตํ สงฺฆสุฎฺฐู’’ติ โยเชตฺวา พทฺธจกฺกํ กาตพฺพํฯ เอวํ ‘‘ยํ สงฺฆผาสุ, ตํ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหายา’’ติอาทิํ วตฺวาปิ ‘‘ยํ วินยานุคฺคหาย, ตํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ สงฺฆผาสู’’ติ โยเชตฺวา พทฺธจกฺกํ กาตพฺพํฯ อิมินา อนุกฺกเมน เสสปเทสุปิ โยชิเตสุ สงฺขลิกนเยน ทส พทฺธจกฺกานิ โหนฺติฯ เตสุ เอเกกสฺมิํ จเกฺก ปุริมปุริมปทานํ วเสน ทส ทส ธมฺมา, ปจฺฉิมปจฺฉิมปทานํ วเสน ทส ทส อตฺถาติ สงฺขลิกนเย อตฺถสตํ ธมฺมสตญฺจ สมฺปชฺชติฯ เอกมูลกนเย ปน ‘‘ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ สงฺฆผาสุ, ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหายา’’ติ เอวมาทินา เอกเมว ปทํ เสเสหิ นวหิ ปเทหิ โยชิตนฺติ ปุริมปทสฺส เอกตฺตา เอกเมว ธมฺมปทํ นเวว อตฺถปทานิ โหนฺติ, ตสฺมา เอกมูลกนเย ทสสุ ปเทสุ เอกเมกํ มูลํ กตฺวา ทสกฺขตฺตุํ โยชนาย กตาย ธมฺมปทานํ วเสน ธมฺมปทานิ ทส, อตฺถปทานิ นวุตีติ อตฺถสตํ ธมฺมสตญฺจ น สมฺปชฺชติ, ตสฺมา เอกมูลกนเย สงฺขลิกนเย วุตฺตนเยน อตฺถสตํ ธมฺมสตญฺจ อคฺคเหตฺวา ยํ ตตฺถ ทสธมฺมปทานํ นวุติอตฺถปทานญฺจ วเสน ปทสตํ วุตฺตํ, ตํ สพฺพํ ธมฺมสตนฺติ คเหตฺวา ตทตฺถโชตนวเสน อฎฺฐกถายํ วุตฺตานิ สงฺฆสุฎฺฐุภาวาทีนิ อตฺถปทานิ อตฺถสตนฺติ เอวํ คหิเต อตฺถสตํ ธมฺมสตญฺจ สมฺปชฺชติฯ เอวํ ตาว อตฺถสตํ ธมฺมสตญฺจ เวทิตพฺพํฯ เทฺว จ นิรุตฺติสตานีติ เอตฺถ ปน อตฺถโชติกานํ นิรุตฺตีนํ วเสน นิรุตฺติสตํ, ธมฺมภูตานํ นิรุตฺตีนํ วเสน นิรุตฺติสตนฺติ เทฺว นิรุตฺติสตานิ จ เวทิตพฺพานิฯ จตฺตาริ ญาณสตานีติ อตฺถสเต ญาณสตํ, ธมฺมสเต ญาณสตํ, ทฺวีสุ นิรุตฺติสเตสุ เทฺว ญาณสตานีติ จตฺตาริ ญาณสตานิฯ

    Atthasatantiādīsu saṅkhalikanaye tāva purimapurimapadānaṃ vasena dhammasataṃ veditabbaṃ, pacchimapacchimānaṃ vasena atthasataṃ daṭṭhabbaṃ. Kathaṃ? Kiñcāpi parivāre ‘‘yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ saṅghaphāsū’’tiādinā saṅkhalikanaye khaṇḍacakkameva vuttaṃ, tathāpi teneva nayena baddhacakkassapi nayo dinno, tasmā ‘‘yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ saṅghaphāsū’’tiādiṃ vatvā ‘‘yaṃ vinayānuggahāya, taṃ saṅghasuṭṭhū’’ti yojetvā baddhacakkaṃ kātabbaṃ. Evaṃ ‘‘yaṃ saṅghaphāsu, taṃ dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāyā’’tiādiṃ vatvāpi ‘‘yaṃ vinayānuggahāya, taṃ saṅghasuṭṭhu, yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ saṅghaphāsū’’ti yojetvā baddhacakkaṃ kātabbaṃ. Iminā anukkamena sesapadesupi yojitesu saṅkhalikanayena dasa baddhacakkāni honti. Tesu ekekasmiṃ cakke purimapurimapadānaṃ vasena dasa dasa dhammā, pacchimapacchimapadānaṃ vasena dasa dasa atthāti saṅkhalikanaye atthasataṃ dhammasatañca sampajjati. Ekamūlakanaye pana ‘‘yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ saṅghaphāsu, yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāyā’’ti evamādinā ekameva padaṃ sesehi navahi padehi yojitanti purimapadassa ekattā ekameva dhammapadaṃ naveva atthapadāni honti, tasmā ekamūlakanaye dasasu padesu ekamekaṃ mūlaṃ katvā dasakkhattuṃ yojanāya katāya dhammapadānaṃ vasena dhammapadāni dasa, atthapadāni navutīti atthasataṃ dhammasatañca na sampajjati, tasmā ekamūlakanaye saṅkhalikanaye vuttanayena atthasataṃ dhammasatañca aggahetvā yaṃ tattha dasadhammapadānaṃ navutiatthapadānañca vasena padasataṃ vuttaṃ, taṃ sabbaṃ dhammasatanti gahetvā tadatthajotanavasena aṭṭhakathāyaṃ vuttāni saṅghasuṭṭhubhāvādīni atthapadāni atthasatanti evaṃ gahite atthasataṃ dhammasatañca sampajjati. Evaṃ tāva atthasataṃ dhammasatañca veditabbaṃ. Dve ca niruttisatānīti ettha pana atthajotikānaṃ niruttīnaṃ vasena niruttisataṃ, dhammabhūtānaṃ niruttīnaṃ vasena niruttisatanti dve niruttisatāni ca veditabbāni. Cattāri ñāṇasatānīti atthasate ñāṇasataṃ, dhammasate ñāṇasataṃ, dvīsu niruttisatesu dve ñāṇasatānīti cattāri ñāṇasatāni.

    เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเวติ เอตฺถ -สโทฺท ภินฺนกฺกเมน โยเชตโพฺพติ อาห ‘‘อุทฺทิเสยฺยาถ จา’’ติฯ กถํ ปเนตฺถ ‘‘อุทฺทิเสยฺยาถา’’ติ วุเตฺต ปริยาปุเณยฺยาถาติอาทิ อตฺถสมฺภโวติ อาห ‘‘อติเรกานยนโตฺถ หิ เอตฺถ จ-สโทฺท’’ติฯ วุตฺตตฺถโต อติเรกสฺส อตฺถสฺส อานยนํ อติเรกานยนํ, โส อโตฺถ เอตสฺสาติ อติเรกานยนโตฺถ, อวุตฺตสมุจฺจยโตฺถติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อสํวาโส’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘ทฬฺหํ กตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ

    Evañca pana, bhikkhaveti ettha ca-saddo bhinnakkamena yojetabboti āha ‘‘uddiseyyātha cā’’ti. Kathaṃ panettha ‘‘uddiseyyāthā’’ti vutte pariyāpuṇeyyāthātiādi atthasambhavoti āha ‘‘atirekānayanattho hi ettha ca-saddo’’ti. Vuttatthato atirekassa atthassa ānayanaṃ atirekānayanaṃ, so attho etassāti atirekānayanattho, avuttasamuccayatthoti vuttaṃ hoti. ‘‘Asaṃvāso’’ti vuttattā ‘‘daḷhaṃ katvā’’ti vuttaṃ.

    อิติ สมนฺตปาสาทิกาย วินยฎฺฐกถาย สารตฺถทีปนิยํ

    Iti samantapāsādikāya vinayaṭṭhakathāya sāratthadīpaniyaṃ

    ปฐมปญฺญตฺติกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamapaññattikathā niṭṭhitā.

    สุทินฺนภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sudinnabhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / สุทินฺนภาณวารวณฺณนา • Sudinnabhāṇavāravaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / สุทินฺนภาณวารวณฺณนา • Sudinnabhāṇavāravaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact