Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
๑. ปาราชิกกโณฺฑ
1. Pārājikakaṇḍo
๑. ปฐมปาราชิกํ
1. Paṭhamapārājikaṃ
สุทินฺนภาณวารวณฺณนา
Sudinnabhāṇavāravaṇṇanā
ปฐมเสฺสตฺถ นิทาเน, ฐตฺวา ปาราชิกสฺส วิเญฺญโยฺย;
Paṭhamassettha nidāne, ṭhatvā pārājikassa viññeyyo;
โจทนาปริหารนโย, ปุคฺคลวตฺถุปฺปกาสเนเยวฯ
Codanāparihāranayo, puggalavatthuppakāsaneyeva.
ตตฺถ ภควา เวรญฺชายํ วุตฺถวโสฺส อนุปุเพฺพน จาริกํ จรโนฺต กตฺติกชุณฺหปเกฺข เอว เวสาลิํ ปาปุณิตฺวา ยาว ปฐมปาราชิกสิกฺขาปทปญฺญาปนํ, ตาว อฎฺฐ วสฺสานิ เวสาลิยํเยว วิหรโนฺต วิย ปาฬิกฺกเมน ทิสฺสติ, น จ ภควา ตาวตฺตกํ กาลํ ตเตฺถว วิหาสิฯ โส หิ สุทินฺนสฺส สาวกานํ สนฺติเก ปพฺพชฺชํ อุปสมฺปทญฺจ อนุชานิตฺวา ยถาภิรนฺตํ ตตฺถ วิหริตฺวา จาริกํ จรโนฺต เภสกฬาวนํ ปตฺวา ตตฺถ เตรสมํ วสฺสํ วสิ, เตเนว อนุกฺกเมน สาวตฺถิํ ปตฺวา จุทฺทสมํ วสฺสํ วสิ, ปนฺนรสมํ กปิลวตฺถุมฺหิ, โสฬสมํ อาฬวิยํ, ตโต วุตฺถวโสฺส จาริกํ จรโนฺต ราชคหํ ปตฺวา สตฺตรสมํ วสิ, อิมินา อนุกฺกเมน อปรานิปิ ตีณิ วสฺสานิ ตเตฺถว วสิฯ เอตฺตาวตา ภควา ปริปุณฺณวีสติวโสฺส ราชคหโต อนุปุเพฺพน เวสาลิํ ปาปุณิ, ตโต อุปสมฺปทาย อฎฺฐวสฺสิโก สุทิโนฺน เวสาลิยํเยว เมถุนํ ธมฺมํ อภิวิญฺญาเปสิ, ตโต ภควา ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ ปฐมํ ปาราชิกํ ปญฺญเปสีติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ยสฺมา อุปาลิเตฺถโร อิโต ปฐมตรํ ตตฺถ เวสาลิยญฺจ ปญฺญตฺตสิกฺขาปทานิ อทเสฺสตุกาโม, วินยนิทานานนฺตรํ ปฐมปาราชิกเมว ทเสฺสตุกาโม, ตสฺมา เวสาลิยํ ปฐมํ นิวาสํ, ปจฺฉา อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส ปญฺญตฺติกาเล นิวาสญฺจ เอกโต กตฺวา ‘‘ตตฺร สุทํ ภควา เวสาลิย’’นฺติอาทิมาห, เตน วุตฺตํ ‘‘ปฐมเสฺสตฺถ นิทาเน, ฐตฺวา …เป.… ปกาสเนเยวา’’ติฯ ตสฺมา อิมสฺมิํ ปฐมปาราชิกสฺส ปญฺญตฺติฎฺฐานสงฺขาเต นิทาเน ฐตฺวา ‘‘เตน โข ปน สมเยน เวสาลิยา อวิทูเร กลนฺทคาโม นาม โหติ…เป.… อญฺญตรํ วชฺชิคามํ อุปนิสฺสาย วิหรตี’’ติ เอตสฺมิํ อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส ปุคฺคลปฺปกาสเน, ‘‘เตน โข ปน สมเยน วชฺชี ทุพฺภิกฺขา โหติ…เป.… ติกฺขตฺตุํ เมถุนํ ธมฺมํ อภิวิญฺญาเปสี’’ติ (ปารา. ๓๐) อิมสฺมิํ วตฺถุปฺปกาสเน จ โจทนานโย, ปริหารนโย จ เวทิตโพฺพติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺรายํ ปกาสนา – กิมตฺถํ เถเรน อเญฺญสํ สิกฺขาปทานํ ปุคฺคลวตฺถูนิ วิย สเงฺขปโต อวตฺวา ยตฺถ จ โส อุปฺปโนฺน, ยถา จ ธเมฺม ปสโนฺน, ยถา จ ปพฺพชิโต, ยถา จ อิมํ วตฺถุํ อุปฺปาเทติ, ตํ สพฺพํ อนวเสเสตฺวา ปุคฺคลวตฺถูนิ วิตฺถารโต วุตฺตานีติ เจ? วุจฺจเต –
Tattha bhagavā verañjāyaṃ vutthavasso anupubbena cārikaṃ caranto kattikajuṇhapakkhe eva vesāliṃ pāpuṇitvā yāva paṭhamapārājikasikkhāpadapaññāpanaṃ, tāva aṭṭha vassāni vesāliyaṃyeva viharanto viya pāḷikkamena dissati, na ca bhagavā tāvattakaṃ kālaṃ tattheva vihāsi. So hi sudinnassa sāvakānaṃ santike pabbajjaṃ upasampadañca anujānitvā yathābhirantaṃ tattha viharitvā cārikaṃ caranto bhesakaḷāvanaṃ patvā tattha terasamaṃ vassaṃ vasi, teneva anukkamena sāvatthiṃ patvā cuddasamaṃ vassaṃ vasi, pannarasamaṃ kapilavatthumhi, soḷasamaṃ āḷaviyaṃ, tato vutthavasso cārikaṃ caranto rājagahaṃ patvā sattarasamaṃ vasi, iminā anukkamena aparānipi tīṇi vassāni tattheva vasi. Ettāvatā bhagavā paripuṇṇavīsativasso rājagahato anupubbena vesāliṃ pāpuṇi, tato upasampadāya aṭṭhavassiko sudinno vesāliyaṃyeva methunaṃ dhammaṃ abhiviññāpesi, tato bhagavā tasmiṃ vatthusmiṃ paṭhamaṃ pārājikaṃ paññapesīti veditabbaṃ. Tattha yasmā upālitthero ito paṭhamataraṃ tattha vesāliyañca paññattasikkhāpadāni adassetukāmo, vinayanidānānantaraṃ paṭhamapārājikameva dassetukāmo, tasmā vesāliyaṃ paṭhamaṃ nivāsaṃ, pacchā imassa sikkhāpadassa paññattikāle nivāsañca ekato katvā ‘‘tatra sudaṃ bhagavā vesāliya’’ntiādimāha, tena vuttaṃ ‘‘paṭhamassettha nidāne, ṭhatvā …pe… pakāsaneyevā’’ti. Tasmā imasmiṃ paṭhamapārājikassa paññattiṭṭhānasaṅkhāte nidāne ṭhatvā ‘‘tena kho pana samayena vesāliyā avidūre kalandagāmo nāma hoti…pe… aññataraṃ vajjigāmaṃ upanissāya viharatī’’ti etasmiṃ imassa sikkhāpadassa puggalappakāsane, ‘‘tena kho pana samayena vajjī dubbhikkhā hoti…pe… tikkhattuṃ methunaṃ dhammaṃ abhiviññāpesī’’ti (pārā. 30) imasmiṃ vatthuppakāsane ca codanānayo, parihāranayo ca veditabboti vuttaṃ hoti. Tatrāyaṃ pakāsanā – kimatthaṃ therena aññesaṃ sikkhāpadānaṃ puggalavatthūni viya saṅkhepato avatvā yattha ca so uppanno, yathā ca dhamme pasanno, yathā ca pabbajito, yathā ca imaṃ vatthuṃ uppādeti, taṃ sabbaṃ anavasesetvā puggalavatthūni vitthārato vuttānīti ce? Vuccate –
เอวํ สทฺธาย กิเจฺฉน, มหเนฺต โภคญาตเก;
Evaṃ saddhāya kicchena, mahante bhogañātake;
หิตฺวา ปพฺพชิตานมฺปิ, เปสลานมฺปิ สพฺพโสฯ
Hitvā pabbajitānampi, pesalānampi sabbaso.
สพฺพลามกธมฺมายํ, เมถุโน ยทิ สมฺภเว;
Sabbalāmakadhammāyaṃ, methuno yadi sambhave;
น ธมฺมเทสนาเยว, สิทฺธา วิรติ สพฺพโสฯ
Na dhammadesanāyeva, siddhā virati sabbaso.
ตสฺมา นวงฺคสทฺธเมฺม, สตฺถารา เทสิเตปิ จ;
Tasmā navaṅgasaddhamme, satthārā desitepi ca;
วินโย ปญฺญเปตโพฺพ, ตโต ธมฺมวิสุทฺธิหิฯ
Vinayo paññapetabbo, tato dhammavisuddhihi.
วินยาภาวโต เอวํ, อชฺฌาจาโร ภวิสฺสติ;
Vinayābhāvato evaṃ, ajjhācāro bhavissati;
ตสฺมา วินยปญฺญตฺติ, สาตฺถิกา เปสลสฺสปิฯ
Tasmā vinayapaññatti, sātthikā pesalassapi.
อนาทีนวทสฺสาวี, ยสฺมา ยํ ปาปมาจริ;
Anādīnavadassāvī, yasmā yaṃ pāpamācari;
วินโยเยว สทฺธานํ, อาทีนววิภาวิโนฯ
Vinayoyeva saddhānaṃ, ādīnavavibhāvino.
ตสฺมา สทฺธานุสารีนํ, วินโย สาตฺถโกว ยํ;
Tasmā saddhānusārīnaṃ, vinayo sātthakova yaṃ;
ธโมฺม ธมฺมานุสารีนํ, ตโต อุภยเทสนาฯ
Dhammo dhammānusārīnaṃ, tato ubhayadesanā.
อปิ จ ยทิ ปณฺณตฺติวีติกฺกมํ อกโรนฺตสฺสาปิ ยาว พฺรหฺมโลกา อยโส ปตฺถโฎ, ปเควเญฺญสนฺติ ทสฺสนตฺถํ อชฺฌาจารสฺส ปากฎภาวทีปนํฯ กถํ? –
Api ca yadi paṇṇattivītikkamaṃ akarontassāpi yāva brahmalokā ayaso patthaṭo, pagevaññesanti dassanatthaṃ ajjhācārassa pākaṭabhāvadīpanaṃ. Kathaṃ? –
อภโพฺพ อรหตฺตสฺส, สุทิโนฺน ปุตฺตมาตโร;
Abhabbo arahattassa, sudinno puttamātaro;
ภพฺพานุปฺปนฺนปญฺญตฺติ, ตทตฺถํ น กตา อยํฯ
Bhabbānuppannapaññatti, tadatthaṃ na katā ayaṃ.
นนุ มาคณฺฑิกํ อชฺฌุเปกฺขิตฺวา มาตาปิตูนมสฺสา หิตตฺถํ ธมฺมํ เทเสตีติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ พีชกพีชกมาตูนํ อรหตฺตุปฺปตฺติ เถเรน ทีปิตาฯ ‘‘เตน โข ปน สมเยน เวสาลิยา อวิทูเร กลนฺทคาโม นาม โหติ, เยน สมเยน สุทิโนฺน ปุราณทุติยิกาย เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวี’’ติ วา ‘‘เยน สมเยน ภควา ปฐมปาราชิกํ ปญฺญเปสี’’ติ วา วจนํ อิธ น ยุชฺชติฯ กสฺมา? ‘‘อิธ ปน เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวตี’’ติ วุตฺตํ อฎฺฐกถาวจนญฺหิ อิธ น ลพฺภติฯ จิรนิวิโฎฺฐ หิ โส คาโม , น ตสฺมิํเยว สมเยติฯ ยสฺมา ปน โส จิรนิวิโฎฺฐปิ จ คาโม อตฺตโน นิวิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย สพฺพกาลมตฺถีติ วตฺตพฺพตํ อรหติ, เตน ปริยาเยน ‘‘เตน โข ปน สมเยน เวสาลิยา อวิทูเร กลนฺทคาโม นาม โหตี’’ติ วุตฺตํฯ
Nanu māgaṇḍikaṃ ajjhupekkhitvā mātāpitūnamassā hitatthaṃ dhammaṃ desetīti imamatthaṃ dassetuṃ bījakabījakamātūnaṃ arahattuppatti therena dīpitā. ‘‘Tena kho pana samayena vesāliyā avidūre kalandagāmo nāma hoti, yena samayena sudinno purāṇadutiyikāya methunaṃ dhammaṃ paṭisevī’’ti vā ‘‘yena samayena bhagavā paṭhamapārājikaṃ paññapesī’’ti vā vacanaṃ idha na yujjati. Kasmā? ‘‘Idha pana hetuattho karaṇattho ca sambhavatī’’ti vuttaṃ aṭṭhakathāvacanañhi idha na labbhati. Ciraniviṭṭho hi so gāmo , na tasmiṃyeva samayeti. Yasmā pana so ciraniviṭṭhopi ca gāmo attano niviṭṭhakālato paṭṭhāya sabbakālamatthīti vattabbataṃ arahati, tena pariyāyena ‘‘tena kho pana samayena vesāliyā avidūre kalandagāmo nāma hotī’’ti vuttaṃ.
๒๕-๖. อนุญฺญาโตสิ ปน ตฺวนฺติ สมณวตฺตทสฺสนตฺถํ ภควา ปุจฺฉติฯ มาตาปิตูหิ อนนุญฺญาตนฺติ เอตฺถ ชนเกเหว อนนุญฺญาตทสฺสนตฺถํ ปุจฺฉีติ วุตฺตํฯ น โข สุทินฺน ตถาคตาติ ‘‘ปพฺพาเชตุ มํ ภควา’’ติ ยาจนาวเสน ปเนวมาห, น ภควา สยํ สรณานิ ทตฺวา ปพฺพาเชสิฯ ทุกฺขสฺสาติ เอตฺถ ‘‘กลภาคมฺปี’’ติ ปาฐเสโสฯ วิกปฺปทฺวเยปีติ ทุติยตติยวิกเปฺปสุฯ ปุริมปทสฺสาติ กิญฺจีติ ปทสฺสฯ อุตฺตรปเทนาติ ทุกฺขสฺสาติ ปเทนฯ สมานวิภตฺตีติ สามิวจนํฯ ยถา กิํ? ‘‘กสฺสจิ ทุกฺขสฺสา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘กิญฺจิ ทุกฺขสฺสา’’ติ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อกามกา วินา ภวิสฺสามาติ ตยา สทฺธิํ อมริตฺวา อกามา ชีวิสฺสามฯ สเจปิ น มราม, อกามกาว ตยา วิโยคํ ปาปุณิสฺสาม, ตยิ ชีวมาเน เอว โน มรณํ ภเวยฺย, มรเณนปิ โน ตยา วิโยคํ มยํ อกามกาว ปาปุณิสฺสามฯ
25-6.Anuññātosi pana tvanti samaṇavattadassanatthaṃ bhagavā pucchati. Mātāpitūhi ananuññātanti ettha janakeheva ananuññātadassanatthaṃ pucchīti vuttaṃ. Na kho sudinna tathāgatāti ‘‘pabbājetu maṃ bhagavā’’ti yācanāvasena panevamāha, na bhagavā sayaṃ saraṇāni datvā pabbājesi. Dukkhassāti ettha ‘‘kalabhāgampī’’ti pāṭhaseso. Vikappadvayepīti dutiyatatiyavikappesu. Purimapadassāti kiñcīti padassa. Uttarapadenāti dukkhassāti padena. Samānavibhattīti sāmivacanaṃ. Yathā kiṃ? ‘‘Kassaci dukkhassā’’ti vattabbe ‘‘kiñci dukkhassā’’ti vuttanti veditabbaṃ. Akāmakā vinā bhavissāmāti tayā saddhiṃ amaritvā akāmā jīvissāma. Sacepi na marāma, akāmakāva tayā viyogaṃ pāpuṇissāma, tayi jīvamāne eva no maraṇaṃ bhaveyya, maraṇenapi no tayā viyogaṃ mayaṃ akāmakāva pāpuṇissāma.
๓๐. กติปาหํ พลํ คาเหตฺวาติ กสฺมา ปนายํ ตถา ปพฺพชฺชาย ติพฺพจฺฉโนฺท อนุญฺญาโต สมาโน กติปาหํ ฆเรเยว วิลมฺพิตฺวา กายพลญฺจ อคฺคเหสีติ? อนุมติทาเนน มาตาปิตูสุ สหายเกสุ จ ตุโฎฺฐ เตสํ จิตฺตตุฎฺฐตฺถํฯ เกสุจิ อฎฺฐกถาโปตฺถเกสุ เกจิ อาจริยา ‘‘อยํ สุทิโนฺน ชีวกวตฺถุโต ปจฺฉา ปํสุกูลิกธุตงฺควเสน ปํสุกูลิโก ชาโต’’ติ สญฺญาย ‘‘คหปติจีวรํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปํสุกูลิกธุตงฺควเสน ปํสุกูลิโก โหตี’’ติ ลิขนฺติ, ตํ ‘‘อจิรูปสมฺปโนฺน’’ติ วจเนน วิรุชฺฌติฯ ‘‘ตถา สุทิโนฺน หิ ภควโต ทฺวาทสเม วเสฺส ปพฺพชิโต , วีสติเม วเสฺส ญาติกุลํ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ สยํ ปพฺพชฺชาย อฎฺฐวสฺสิโก หุตฺวา’’ติ, ‘‘ภควโต หิ พุทฺธตฺตํ ปตฺตโต ปฎฺฐาย ยาว อิทํ วตฺถํ, เอตฺถนฺตเร วีสติ วสฺสานิ น โกจิ คหปติจีวรํ สาทิยิ, สเพฺพ ปํสุกูลิกาว อเหสุ’’นฺติ จ วุเตฺตน อฎฺฐกถาวจเนน วิรุชฺฌติ, ปพฺพชฺชาย อฎฺฐวสฺสิโก, น อุปสมฺปทายฯ อุปสมฺปทํ ปน ชีวกวตฺถุโต (มหาว. ๓๒๖) ปจฺฉา อลตฺถ, ตสฺมา อวสฺสิโก ญาติกุลํ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ สิยาติ เจ? น, ‘‘อลตฺถ โข สุทิโนฺน กลนฺทปุโตฺต ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ, อลตฺถ อุปสมฺปท’’นฺติ เอกโต อนนฺตรํ วุตฺตตฺตาฯ ปพฺพชฺชานนฺตรเมว หิ โส อุปสมฺปโนฺน เตรสธุตงฺคคุเณ สมาทาย วตฺตโนฺต อฎฺฐ วสฺสานิ วชฺชิคาเม วิหริตฺวา นิสฺสยมุตฺตตฺตา สยํวสี หุตฺวา ‘‘เอตรหิ โข วชฺชี ทุพฺภิกฺขา’’ติอาทิตกฺกวเสน เยน เวสาลี ตทวสริ, ตสฺมา ‘‘ปํสุกูลิกธุตงฺควเสน ปํสุกูลิโก โหตี’’ติ เอตฺตโกเยว ปาโฐ เยสุ โปตฺถเกสุ ทิสฺสติ, โสว ปมาณโต คเหตโพฺพฯ ‘‘อารญฺญิโก โหตี’’ติ อิมินา ปญฺจ เสนาสนปฎิสํยุตฺตานิ สงฺคหิตานิ เนสชฺชิกงฺคญฺจ วิหารสภาคตฺตา, ‘‘ปิณฺฑปาติโก’’ติ อิมินา ปญฺจ ปิณฺฑปาตปฎิสํยุตฺตานิ, ‘‘ปํสุกูลิโก’’ติ อิมินา เทฺว จีวรปฎิสํยุตฺตานิ สงฺคหิตานีติฯ ญาติฆรูปคมนการณทีปนาธิปฺปายโต สปทานจาริกงฺคํ วิสุํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘มา อติหราเปสุ’’นฺติ กาลพฺยตฺตยวเสน วุตฺตํฯ ธมฺมสฺสนฺตรายกรตรตฺตา ‘‘อิมํ นย’’นฺติ อนโยเยวฯ
30.Katipāhaṃ balaṃ gāhetvāti kasmā panāyaṃ tathā pabbajjāya tibbacchando anuññāto samāno katipāhaṃ ghareyeva vilambitvā kāyabalañca aggahesīti? Anumatidānena mātāpitūsu sahāyakesu ca tuṭṭho tesaṃ cittatuṭṭhatthaṃ. Kesuci aṭṭhakathāpotthakesu keci ācariyā ‘‘ayaṃ sudinno jīvakavatthuto pacchā paṃsukūlikadhutaṅgavasena paṃsukūliko jāto’’ti saññāya ‘‘gahapaticīvaraṃ paṭikkhipitvā paṃsukūlikadhutaṅgavasena paṃsukūliko hotī’’ti likhanti, taṃ ‘‘acirūpasampanno’’ti vacanena virujjhati. ‘‘Tathā sudinno hi bhagavato dvādasame vasse pabbajito , vīsatime vasse ñātikulaṃ piṇḍāya paviṭṭho sayaṃ pabbajjāya aṭṭhavassiko hutvā’’ti, ‘‘bhagavato hi buddhattaṃ pattato paṭṭhāya yāva idaṃ vatthaṃ, etthantare vīsati vassāni na koci gahapaticīvaraṃ sādiyi, sabbe paṃsukūlikāva ahesu’’nti ca vuttena aṭṭhakathāvacanena virujjhati, pabbajjāya aṭṭhavassiko, na upasampadāya. Upasampadaṃ pana jīvakavatthuto (mahāva. 326) pacchā alattha, tasmā avassiko ñātikulaṃ piṇḍāya paviṭṭho siyāti ce? Na, ‘‘alattha kho sudinno kalandaputto bhagavato santike pabbajjaṃ, alattha upasampada’’nti ekato anantaraṃ vuttattā. Pabbajjānantarameva hi so upasampanno terasadhutaṅgaguṇe samādāya vattanto aṭṭha vassāni vajjigāme viharitvā nissayamuttattā sayaṃvasī hutvā ‘‘etarahi kho vajjī dubbhikkhā’’tiāditakkavasena yena vesālī tadavasari, tasmā ‘‘paṃsukūlikadhutaṅgavasena paṃsukūliko hotī’’ti ettakoyeva pāṭho yesu potthakesu dissati, sova pamāṇato gahetabbo. ‘‘Āraññiko hotī’’ti iminā pañca senāsanapaṭisaṃyuttāni saṅgahitāni nesajjikaṅgañca vihārasabhāgattā, ‘‘piṇḍapātiko’’ti iminā pañca piṇḍapātapaṭisaṃyuttāni, ‘‘paṃsukūliko’’ti iminā dve cīvarapaṭisaṃyuttāni saṅgahitānīti. Ñātigharūpagamanakāraṇadīpanādhippāyato sapadānacārikaṅgaṃ visuṃ vuttanti veditabbaṃ. ‘‘Mā atiharāpesu’’nti kālabyattayavasena vuttaṃ. Dhammassantarāyakaratarattā ‘‘imaṃ naya’’nti anayoyeva.
เยภุเยฺยน หิ สตฺตานํ, วินาเส ปจฺจุปฎฺฐิเต;
Yebhuyyena hi sattānaṃ, vināse paccupaṭṭhite;
อนโย นยรูเปน, พุทฺธิมาคมฺม ติฎฺฐติฯ
Anayo nayarūpena, buddhimāgamma tiṭṭhati.
๓๖. อปญฺญเตฺต สิกฺขาปเทติ เอตฺถ ทุวิธํ สิกฺขาปทปญฺญาปนํฯ กถํ? ‘‘เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถา’’ติ เอวํ สอุเทฺทสานุเทฺทสเภทโต ทุวิธํฯ ตตฺถ ปาติโมเกฺข สรูปโต อาคตา ปญฺจ อาปตฺติกฺขนฺธา สอุเทฺทสปญฺญตฺติ นามฯ สาปิ ทุวิธา สปุคฺคลาปุคฺคลนิเทฺทสเภทโตฯ ตตฺถ ยสฺสา ปญฺญตฺติยา อโนฺต อาปตฺติยา สห, วินา วา ปุคฺคโล ทสฺสิโต, สา สปุคฺคลนิเทฺทสาฯ อิตรา อปุคฺคลนิเทฺทสาติ เวทิตพฺพาฯ สปุคฺคลนิเทฺทสาปิ ทุวิธา ทสฺสิตาทสฺสิตาปตฺติเภทโตฯ ตตฺถ อทสฺสิตาปตฺติกา นาม อฎฺฐ ปาราชิกา ธมฺมาฯ ‘‘ปาราชิโก โหติ อสํวาโส’’ติ หิ ปุคฺคโลว ตตฺถ ทสฺสิโต, นาปตฺติฯ ทสฺสิตาปตฺติกา นาม ภิกฺขุนีปาติโมเกฺข ‘‘สตฺตรส สงฺฆาทิเสสา ธมฺมา นิสฺสารณียํ สงฺฆาทิเสส’’นฺติ หิ ตตฺถ อาปตฺติ ทสฺสิตา สทฺธิํ ปุคฺคเลน, ตถา อปุคฺคลนิเทฺทสาปิ ทสฺสิตาทสฺสิตาปตฺติโตว ทุวิธาฯ ตตฺถ อทสฺสิตาปตฺติกา นาม เสขิยา ธมฺมาฯ เสสา ทสฺสิตาปตฺติกาติ เวทิตพฺพาฯ สาปิ ทุวิธา อนิทฺทิฎฺฐการกนิทฺทิฎฺฐการกเภทโตฯ ตตฺถ อนิทฺทิฎฺฐการกา นาม สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ มุสาวาท โอมสวาท เปสุญฺญ ภูตคาม อญฺญวาทก อุชฺฌาปนก คณโภชน ปรมฺปรโภชน สุราเมรย องฺคุลิปโตทก หสธมฺม อนาทริย ตลฆาตกชตุมฎฺฐก สิกฺขาปทานํ วเสน ปญฺจทสวิธา โหนฺติฯ เสสานํ ปุคฺคลนิเทฺทสานํ วเสน นิทฺทิฎฺฐการกา เวทิตพฺพาฯ
36.Apaññatte sikkhāpadeti ettha duvidhaṃ sikkhāpadapaññāpanaṃ. Kathaṃ? ‘‘Evañca pana, bhikkhave, imaṃ sikkhāpadaṃ uddiseyyāthā’’ti evaṃ sauddesānuddesabhedato duvidhaṃ. Tattha pātimokkhe sarūpato āgatā pañca āpattikkhandhā sauddesapaññatti nāma. Sāpi duvidhā sapuggalāpuggalaniddesabhedato. Tattha yassā paññattiyā anto āpattiyā saha, vinā vā puggalo dassito, sā sapuggalaniddesā. Itarā apuggalaniddesāti veditabbā. Sapuggalaniddesāpi duvidhā dassitādassitāpattibhedato. Tattha adassitāpattikā nāma aṭṭha pārājikā dhammā. ‘‘Pārājiko hoti asaṃvāso’’ti hi puggalova tattha dassito, nāpatti. Dassitāpattikā nāma bhikkhunīpātimokkhe ‘‘sattarasa saṅghādisesā dhammā nissāraṇīyaṃ saṅghādisesa’’nti hi tattha āpatti dassitā saddhiṃ puggalena, tathā apuggalaniddesāpi dassitādassitāpattitova duvidhā. Tattha adassitāpattikā nāma sekhiyā dhammā. Sesā dassitāpattikāti veditabbā. Sāpi duvidhā aniddiṭṭhakārakaniddiṭṭhakārakabhedato. Tattha aniddiṭṭhakārakā nāma sukkavissaṭṭhi musāvāda omasavāda pesuñña bhūtagāma aññavādaka ujjhāpanaka gaṇabhojana paramparabhojana surāmeraya aṅgulipatodaka hasadhamma anādariya talaghātakajatumaṭṭhaka sikkhāpadānaṃ vasena pañcadasavidhā honti. Sesānaṃ puggalaniddesānaṃ vasena niddiṭṭhakārakā veditabbā.
อนุเทฺทสปญฺญตฺติปิ ปทภาชนนฺตราปตฺติวินีตวตฺถุปฎิเกฺขปปญฺญตฺติอวุตฺตสิทฺธิวเสน ฉพฺพิธา โหนฺติฯ ตตฺถ ‘‘เยภุเยฺยน ขายิตํ อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (ปารา. ๖๑) เอวมาทิกา ปทภาชนิเย สนฺทิสฺสมานาปตฺติ ปทภาชนสิกฺขาปทํ นามฯ ‘‘น เตฺวว นเคฺคน อาคนฺตพฺพํ, โย อาคเจฺฉยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติอาทิกา (ปารา. ๕๑๗) อนฺตราปตฺติสิกฺขาปทํ นามฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทิวา ปฎิสลฺลียเนฺตน ทฺวารํ สํวริตฺวา ปฎิสลฺลียิตุ’’นฺติ (ปารา. ๗๕) เอวมาทิกา วินีตวตฺถุสิกฺขาปทํ นามฯ ‘‘โลหิตุปฺปาทโก, ภิกฺขเว, อนุปสมฺปโนฺน น อุปสมฺปาเทตโพฺพ, อุปสมฺปโนฺน นาเสตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๑๑๔) เอวมาทิกา ปฎิเกฺขปสิกฺขาปทํ นามฯ ขนฺธเกสุ ปญฺญตฺตทุกฺกฎถุลฺลจฺจยานิ ปญฺญตฺติสิกฺขาปทํ นามฯ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี นจฺจํ วา คีตํ วา วาทิตํ วา ทสฺสนาย คเจฺฉยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๘๓๔) อิมินา วุเตฺตน ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี นเจฺจยฺย วา คาเยยฺย วา วาเทยฺย วา ปาจิตฺติย’’นฺติ เอวมาทิกํ ยํ กิญฺจิ อฎฺฐกถาย ทิสฺสมานํ อาปตฺติชาตํ, วินยกมฺมํ วา อวุตฺตสิทฺธิสิกฺขาปทํ นามฯ ฉพฺพิธเมฺปตํ ฉหิ การเณหิ อุเทฺทสารหํ น โหตีติ อนุเทฺทสสิกฺขาปทํ นามาติ เวทิตพฺพํฯ เสยฺยถิทํ – ปญฺจหิ อุเทฺทเสหิ ยถาสมฺภวํ วิสภาคตฺตา ถุลฺลจฺจยทุพฺภาสิตานํ, สภาควตฺถุกมฺปิ ทุกฺกฎถุลฺลจฺจยทฺวยํ อสภาคาปตฺติกตฺตา, อนฺตราปตฺติปญฺญตฺติสิกฺขาปทานํ นานาวตฺถุกาปตฺติกตฺตา, ปฎิเกฺขปสิกฺขาปทานํ เกสญฺจิ วินีตวตฺถุปญฺญตฺติสิกฺขาปทานญฺจ อทสฺสิตาปตฺติกตฺตา, อทสฺสิตวตฺถุกตฺตา เภทานุวตฺตกถุลฺลจฺจยสฺส, อทสฺสิตาปตฺติวตฺถุกตฺตา อวุตฺตสิทฺธิสิกฺขาปทานนฺติฯ เอตฺตาวตา ‘‘ทุวิธํ สิกฺขาปทปญฺญาปนํ อุเทฺทสานุเทฺทสเภทโต’’ติ ยํ วุตฺตํ, ตํ สมาสโต ปกาสิตํ โหติฯ
Anuddesapaññattipi padabhājanantarāpattivinītavatthupaṭikkhepapaññattiavuttasiddhivasena chabbidhā honti. Tattha ‘‘yebhuyyena khāyitaṃ āpatti thullaccayassā’’ti (pārā. 61) evamādikā padabhājaniye sandissamānāpatti padabhājanasikkhāpadaṃ nāma. ‘‘Na tveva naggena āgantabbaṃ, yo āgaccheyya, āpatti dukkaṭassā’’tiādikā (pārā. 517) antarāpattisikkhāpadaṃ nāma. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, divā paṭisallīyantena dvāraṃ saṃvaritvā paṭisallīyitu’’nti (pārā. 75) evamādikā vinītavatthusikkhāpadaṃ nāma. ‘‘Lohituppādako, bhikkhave, anupasampanno na upasampādetabbo, upasampanno nāsetabbo’’ti (mahāva. 114) evamādikā paṭikkhepasikkhāpadaṃ nāma. Khandhakesu paññattadukkaṭathullaccayāni paññattisikkhāpadaṃ nāma. ‘‘Yā pana bhikkhunī naccaṃ vā gītaṃ vā vāditaṃ vā dassanāya gaccheyya, pācittiya’’nti (pāci. 834) iminā vuttena ‘‘yā pana bhikkhunī nacceyya vā gāyeyya vā vādeyya vā pācittiya’’nti evamādikaṃ yaṃ kiñci aṭṭhakathāya dissamānaṃ āpattijātaṃ, vinayakammaṃ vā avuttasiddhisikkhāpadaṃ nāma. Chabbidhampetaṃ chahi kāraṇehi uddesārahaṃ na hotīti anuddesasikkhāpadaṃ nāmāti veditabbaṃ. Seyyathidaṃ – pañcahi uddesehi yathāsambhavaṃ visabhāgattā thullaccayadubbhāsitānaṃ, sabhāgavatthukampi dukkaṭathullaccayadvayaṃ asabhāgāpattikattā, antarāpattipaññattisikkhāpadānaṃ nānāvatthukāpattikattā, paṭikkhepasikkhāpadānaṃ kesañci vinītavatthupaññattisikkhāpadānañca adassitāpattikattā, adassitavatthukattā bhedānuvattakathullaccayassa, adassitāpattivatthukattā avuttasiddhisikkhāpadānanti. Ettāvatā ‘‘duvidhaṃ sikkhāpadapaññāpanaṃ uddesānuddesabhedato’’ti yaṃ vuttaṃ, taṃ samāsato pakāsitaṃ hoti.
ตตฺถ อปญฺญเตฺต สิกฺขาปเทติ สอุเทฺทสสิกฺขาปทํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอกเจฺจ อาจริยา เอวํ กิร วณฺณยนฺติ ‘‘จตฺตาโร ปาราชิกา กติวสฺสาภิสมฺพุเทฺธน ภควตา ปญฺญตฺตาติอาทินา ปุจฺฉํ กตฺวา เตสุ ปฐมปาราชิโก เวสาลิยํ ปญฺญโตฺต ปญฺจวสฺสาภิสมฺพุเทฺธน เหมนฺตานํ ปฐเม มาเส ทุติเย ปเกฺข ทสเม ทิวเส อฑฺฒเตยฺยโปริสาย ฉายาย ปุรตฺถาภิมุเขน นิสิเนฺนน อฑฺฒเตรสานํ ภิกฺขุสตานํ มเชฺฌ สุทินฺนํ กลนฺทปุตฺตํ อารพฺภ ปญฺญโตฺต’’ติ, ตํ น ยุชฺชติ, กสฺมา? –
Tattha apaññatte sikkhāpadeti sauddesasikkhāpadaṃ sandhāya vuttanti veditabbaṃ. Ekacce ācariyā evaṃ kira vaṇṇayanti ‘‘cattāro pārājikā kativassābhisambuddhena bhagavatā paññattātiādinā pucchaṃ katvā tesu paṭhamapārājiko vesāliyaṃ paññatto pañcavassābhisambuddhena hemantānaṃ paṭhame māse dutiye pakkhe dasame divase aḍḍhateyyaporisāya chāyāya puratthābhimukhena nisinnena aḍḍhaterasānaṃ bhikkhusatānaṃ majjhe sudinnaṃ kalandaputtaṃ ārabbha paññatto’’ti, taṃ na yujjati, kasmā? –
ยสฺมา ทฺวาทสมํ วสฺสํ, เวรญฺชายํ วสิ ชิโน;
Yasmā dvādasamaṃ vassaṃ, verañjāyaṃ vasi jino;
ตสฺมิญฺจ สุโทฺธ สโงฺฆติ, เนว ปาราชิกํ ตทาฯ
Tasmiñca suddho saṅghoti, neva pārājikaṃ tadā.
เถรสฺส สาริปุตฺตสฺส, สิกฺขาปญฺญตฺติยาจนา;
Therassa sāriputtassa, sikkhāpaññattiyācanā;
ตสฺมิํ สิทฺธาติ สิทฺธาว, ครุกาปตฺติ โน ตทาฯ
Tasmiṃ siddhāti siddhāva, garukāpatti no tadā.
โอวาทปาติโมกฺขญฺจ, กิํ สตฺถา จตุวสฺสิโก;
Ovādapātimokkhañca, kiṃ satthā catuvassiko;
ปฎิกฺขิปิ กิมาณญฺจ, สมตฺตํ อนุชานิ โสฯ
Paṭikkhipi kimāṇañca, samattaṃ anujāni so.
อชาตสตฺตุํ นิสฺสาย, สงฺฆเภทมกาสิ ยํ;
Ajātasattuṃ nissāya, saṅghabhedamakāsi yaṃ;
เทวทโตฺต ตโต สงฺฆ-เภโท ปจฺฉิมโพธิยํฯ
Devadatto tato saṅgha-bhedo pacchimabodhiyaṃ.
อาราธยิํสุ มํ ปุเพฺพ, ภิกฺขูติ มุนิภาสิตํ;
Ārādhayiṃsu maṃ pubbe, bhikkhūti munibhāsitaṃ;
สุตฺตเมว ปมาณํ โน, โสว กาโล อนปฺปโกติฯ
Suttameva pamāṇaṃ no, sova kālo anappakoti.
ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘อถ ภควา อชฺฌาจารํ อปสฺสโนฺต ปาราชิกํ วา สงฺฆาทิเสสํ วา น ปญฺญเปสี’’ติ, ตํ สกลสิกฺขาปทํ สนฺธายาหฯ น เกวลํ สอุเทฺทสสิกฺขาปทมตฺตํ, เตน สอุเทฺทสานุเทฺทสปญฺญตฺติเภทํ สกลํ ปาราชิกํ สนฺธายาหาติ วุตฺตํ โหติฯ กิญฺจาปิ นาภิปรามสนมฺปิ กายสํสโคฺค, ตถาปิ เอตํ วิเสสนิยมนโต, อจฺฉนฺทราคาธิปฺปายโต จ วิสุํ วุตฺตํฯ ฉนฺทราครตฺตเสฺสว หิ กายสํสโคฺค อิธาธิเปฺปโตฯ อสุจิปาเน ปน หตฺถินิยา ตาปสปสฺสาวปาเนน วาลกาโพฺย นาม อุปฺปชฺชติ, วาลกาพฺยสฺส วตฺถุ วตฺตพฺพํฯ มณฺฑพฺยสฺส นาภิยา ปรามสเนเนว กิรฯ รูปทสฺสเน ปน เวชฺชกา อาหุ –
Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘atha bhagavā ajjhācāraṃ apassanto pārājikaṃ vā saṅghādisesaṃ vā na paññapesī’’ti, taṃ sakalasikkhāpadaṃ sandhāyāha. Na kevalaṃ sauddesasikkhāpadamattaṃ, tena sauddesānuddesapaññattibhedaṃ sakalaṃ pārājikaṃ sandhāyāhāti vuttaṃ hoti. Kiñcāpi nābhiparāmasanampi kāyasaṃsaggo, tathāpi etaṃ visesaniyamanato, acchandarāgādhippāyato ca visuṃ vuttaṃ. Chandarāgarattasseva hi kāyasaṃsaggo idhādhippeto. Asucipāne pana hatthiniyā tāpasapassāvapānena vālakābyo nāma uppajjati, vālakābyassa vatthu vattabbaṃ. Maṇḍabyassa nābhiyā parāmasaneneva kira. Rūpadassane pana vejjakā āhu –
‘‘ถีนํ สนฺทสฺสนา สุกฺกํ, กทาจิ จลิโตวเร;
‘‘Thīnaṃ sandassanā sukkaṃ, kadāci calitovare;
ตํ คามธมฺมกรณํ, ทฺวยสมํ สงฺคมิย;
Taṃ gāmadhammakaraṇaṃ, dvayasamaṃ saṅgamiya;
คพฺภาทีติ อยํ นโย, ถีนํ ปุริสทสฺสนาสีตฺยูปเนยฺย’’ฯ
Gabbhādīti ayaṃ nayo, thīnaṃ purisadassanāsītyūpaneyya’’.
ตถาปฺยาหุ –
Tathāpyāhu –
‘‘ปุปฺผิเก เอธิยฺย สุเทฺธ, ปสฺสํ นรญฺจ อิตฺถิ ตํ;
‘‘Pupphike edhiyya suddhe, passaṃ narañca itthi taṃ;
คพฺภญฺจ นเยตฺยุตฺต-มิติ ตสฺมา กาโส อิตี’’ติฯ
Gabbhañca nayetyutta-miti tasmā kāso itī’’ti.
ราโชโรโธ วิยาติ สีหฬทีเป เอกิสฺสา อิตฺถิยา ตถา อโหสิ, ตสฺมา กิร เอวํ วุตฺตํฯ กิญฺจาปิ ยาว พฺรหฺมโลกา สโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉิ, น ตํ มนุสฺสานํ วิสโย อโหสิ เตสํ รูปํ วิยฯ เตเนว ภิกฺขู ปุจฺฉิํสุ ‘‘กจฺจิ โน ตฺวํ อาวุโส สุทินฺน อนภิรโต’’ติฯ
Rājorodho viyāti sīhaḷadīpe ekissā itthiyā tathā ahosi, tasmā kira evaṃ vuttaṃ. Kiñcāpi yāva brahmalokā saddo abbhuggacchi, na taṃ manussānaṃ visayo ahosi tesaṃ rūpaṃ viya. Teneva bhikkhū pucchiṃsu ‘‘kacci no tvaṃ āvuso sudinna anabhirato’’ti.
๓๙. กลีติ โกโธ, ตสฺส สาสนํ กลิสาสนํ, กลโหฯ คามธมฺมนฺติ เอตฺถ ชนปทธมฺมํ ชนปทวาสีนํ สิทฺธิํฯ อตฺตาติ จิตฺตํ, สรีรญฺจฯ อสุตฺตนฺตวินิพทฺธนฺติ วินยสุเตฺต อนาคตํ, สุตฺตาภิธเมฺมสุปิ อนาคตํ, ปาฬิวินิมุตฺตนฺติ อโตฺถฯ กุสุมมาลนฺติ นานาคุณํ สนฺธายาหฯ รตนทามนฺติ อตฺถสมฺปตฺติํ สนฺธาย วทติฯ ปฎิกฺขิปนาธิปฺปายา ภทฺทาลิ วิยฯ ปทนิรุตฺติพฺยญฺชนานิ นามเววจนาเนว ‘‘นามํ นามกมฺมํ นามเธยฺยํ นิรุตฺตี’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๓๑๕) วิยฯ นิปฺปริยาเยน วิรติ สิกฺขาปทํ นามฯ อกุสลปเกฺข ทุสฺสีลฺยํ นาม เจตนาฯ กุสลปเกฺขปิ เจตนาปริยายโต วิภเงฺค ‘‘สิกฺขาปท’’นฺติ วุตฺตํฯ สงฺฆสุฎฺฐุตายาติ เอตฺถ โลกวชฺชสฺส ปญฺญาปเน สงฺฆสุฎฺฐุตา โหติ ปากฎาทีนวโตฯ ปญฺญตฺติวชฺชสฺส ปญฺญาปเน สงฺฆผาสุตา โหติ ปากฎานิสํสตฺตาฯ ตตฺถ ปฐเมน ทุมฺมงฺกูนํ นิคฺคโห, ทุติเยน เปสลานํ ผาสุวิหาโรฯ ปฐเมน สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาโต, ทุติเยน ทิฎฺฐธมฺมิกานํฯ ตถา ปฐเมน อปฺปสนฺนานํ ปสาโท, ทุติเยน ปสนฺนานํ ภิโยฺยภาโวฯ ‘‘ปุเพฺพ กตปุญฺญตาย โจทิยมานสฺส ภพฺพกุลปุตฺตสฺสา’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘สุทิโนฺน ตํ กุกฺกุจฺจํ วิโนเทตฺวา อรหตฺตํ สจฺฉากาสิ, เตเนว ปพฺพชฺชา อนุญฺญาตา’’ติ วทนฺติ, อุปปริกฺขิตพฺพํฯ ตถา ปฐเมน สทฺธมฺมฎฺฐิติ, ทุติเยน วินยานุคฺคโห โหตีติ เวทิตโพฺพฯ
39.Kalīti kodho, tassa sāsanaṃ kalisāsanaṃ, kalaho. Gāmadhammanti ettha janapadadhammaṃ janapadavāsīnaṃ siddhiṃ. Attāti cittaṃ, sarīrañca. Asuttantavinibaddhanti vinayasutte anāgataṃ, suttābhidhammesupi anāgataṃ, pāḷivinimuttanti attho. Kusumamālanti nānāguṇaṃ sandhāyāha. Ratanadāmanti atthasampattiṃ sandhāya vadati. Paṭikkhipanādhippāyā bhaddāli viya. Padaniruttibyañjanāni nāmavevacanāneva ‘‘nāmaṃ nāmakammaṃ nāmadheyyaṃ niruttī’’tiādīsu (dha. sa. 1315) viya. Nippariyāyena virati sikkhāpadaṃ nāma. Akusalapakkhe dussīlyaṃ nāma cetanā. Kusalapakkhepi cetanāpariyāyato vibhaṅge ‘‘sikkhāpada’’nti vuttaṃ. Saṅghasuṭṭhutāyāti ettha lokavajjassa paññāpane saṅghasuṭṭhutā hoti pākaṭādīnavato. Paññattivajjassa paññāpane saṅghaphāsutā hoti pākaṭānisaṃsattā. Tattha paṭhamena dummaṅkūnaṃ niggaho, dutiyena pesalānaṃ phāsuvihāro. Paṭhamena samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighāto, dutiyena diṭṭhadhammikānaṃ. Tathā paṭhamena appasannānaṃ pasādo, dutiyena pasannānaṃ bhiyyobhāvo. ‘‘Pubbe katapuññatāya codiyamānassa bhabbakulaputtassā’’ti vuttattā ‘‘sudinno taṃ kukkuccaṃ vinodetvā arahattaṃ sacchākāsi, teneva pabbajjā anuññātā’’ti vadanti, upaparikkhitabbaṃ. Tathā paṭhamena saddhammaṭṭhiti, dutiyena vinayānuggaho hotīti veditabbo.
อปิเจตฺถ วตฺถุวีติกฺกเม ยตฺถ เอกนฺตากุสลภาเวน, ตํ สงฺฆสุฎฺฐุภาวาย ปญฺญตฺตํ โลกวชฺชโต, ยตฺถ ปญฺญตฺติชานเน เอว อตฺถาปตฺติ, น อญฺญทา, ตํ สทฺธมฺมฎฺฐิติยา วาปิ ปสาทุปฺปาทพุทฺธิยา ธมฺมเทสนาปฎิสํยุตฺตํ, อิตรญฺจ เสขิยํ, อิทํ โลกวชฺชํ นามฯ วตฺถุโน ปญฺญตฺติยา วา วีติกฺกมเจตนายาภาเวปิ ปฎิกฺขิตฺตสฺส กรเณ, กตฺตพฺพสฺส อกรเณ วา สติ ยตฺถ อาปตฺติปฺปสโงฺค, ตํ สพฺพํ ฐเปตฺวา สุราปานํ ปณฺณตฺติวชฺชนฺติ เวทิตพฺพํฯ อาคนฺตุกวตฺตํ, อาวาสิก, คมิก, อนุโมทน, ภตฺตคฺค, ปิณฺฑจาริก, อารญฺญก, เสนาสน , ชนฺตาฆร, วจฺจกุฎิ, สทฺธิวิหาริก, อุปชฺฌาย, อเนฺตวาสิก, อาจริยวตฺตนฺติ เอตานิ อคฺคหิตคฺคหณนเยน คณิยมานานิ จุทฺทส, เอตานิ ปน วิตฺถารโต เทฺวอสีติ มหาวตฺตานิ นาม โหนฺติฯ สตฺตหิ อาปตฺติกฺขเนฺธหิ สํวโร สํวรวินโย ปญฺญตฺติสิกฺขาปทเมวฯ ตตฺถ ปญฺญตฺติวินโย สมถวินยตฺถาย สมถวินโย สํวรวินยตฺถาย สํวรวินโย ปหานวินยตฺถายาติ โยชนา เวทิตพฺพาฯ ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ, ตํ สงฺฆผาสูติ เอกมิว วุตฺตํ สงฺฆสุฎฺฐุตาย สติ สงฺฆผาสุ ภวิสฺสตีติ ทีปนตฺถํฯ ปกรียนฺติ เอตฺถ เต เต ปโยชนวิเสสสงฺขาตา อตฺถวสาติ อตฺถวสํ ‘‘ปกรณ’’นฺติ วุจฺจติฯ ทสสุ ปเทสุ เอเกกํ มูลํ กตฺวา ทสกฺขตฺตุํ โยชนาย ปทสตํ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปจฺฉิมสฺส ปทสฺส วเสน อตฺถสตํ ปุริมสฺส วเสน ธมฺมสตํ อตฺถโชติกานํ นิรุตฺตีนํ วเสน นิรุตฺติสตํ, ธมฺมภูตานํ นิรุตฺตีนํ วเสน นิรุตฺติสตนฺติ เทฺว นิรุตฺติสตานิ, อตฺถสเต ญาณสตํ, ธมฺมสเต ญาณสตํ ทฺวีสุ นิรุตฺติสเตสุ เทฺว ญาณสตานีติ จตฺตาริ ญาณสตานิ เวทิตพฺพานิฯ เอตฺถ สงฺฆสุฎฺฐุตาติ ธมฺมสงฺฆสฺส สุฎฺฐุภาโวติ อโตฺถฯ ‘‘อตฺถปทานีติ อฎฺฐกถาฯ ธมฺมปทานีติ ปาฬี’’ติ วุตฺตํ กิรฯ
Apicettha vatthuvītikkame yattha ekantākusalabhāvena, taṃ saṅghasuṭṭhubhāvāya paññattaṃ lokavajjato, yattha paññattijānane eva atthāpatti, na aññadā, taṃ saddhammaṭṭhitiyā vāpi pasāduppādabuddhiyā dhammadesanāpaṭisaṃyuttaṃ, itarañca sekhiyaṃ, idaṃ lokavajjaṃ nāma. Vatthuno paññattiyā vā vītikkamacetanāyābhāvepi paṭikkhittassa karaṇe, kattabbassa akaraṇe vā sati yattha āpattippasaṅgo, taṃ sabbaṃ ṭhapetvā surāpānaṃ paṇṇattivajjanti veditabbaṃ. Āgantukavattaṃ, āvāsika, gamika, anumodana, bhattagga, piṇḍacārika, āraññaka, senāsana , jantāghara, vaccakuṭi, saddhivihārika, upajjhāya, antevāsika, ācariyavattanti etāni aggahitaggahaṇanayena gaṇiyamānāni cuddasa, etāni pana vitthārato dveasīti mahāvattāni nāma honti. Sattahi āpattikkhandhehi saṃvaro saṃvaravinayo paññattisikkhāpadameva. Tattha paññattivinayo samathavinayatthāya samathavinayo saṃvaravinayatthāya saṃvaravinayo pahānavinayatthāyāti yojanā veditabbā. Yaṃ saṅghasuṭṭhu, taṃ saṅghaphāsūti ekamiva vuttaṃ saṅghasuṭṭhutāya sati saṅghaphāsu bhavissatīti dīpanatthaṃ. Pakarīyanti ettha te te payojanavisesasaṅkhātā atthavasāti atthavasaṃ ‘‘pakaraṇa’’nti vuccati. Dasasu padesu ekekaṃ mūlaṃ katvā dasakkhattuṃ yojanāya padasataṃ vuttaṃ. Tattha pacchimassa padassa vasena atthasataṃ purimassa vasena dhammasataṃ atthajotikānaṃ niruttīnaṃ vasena niruttisataṃ, dhammabhūtānaṃ niruttīnaṃ vasena niruttisatanti dve niruttisatāni, atthasate ñāṇasataṃ, dhammasate ñāṇasataṃ dvīsu niruttisatesu dve ñāṇasatānīti cattāri ñāṇasatāni veditabbāni. Ettha saṅghasuṭṭhutāti dhammasaṅghassa suṭṭhubhāvoti attho. ‘‘Atthapadānīti aṭṭhakathā. Dhammapadānīti pāḷī’’ti vuttaṃ kira.
เมถุนํ ธมฺมนฺติ เอวํ พหุลนเยน ลทฺธนามกํ สกสมฺปโยเคน, ปรสมฺปโยเคน วา อตฺตโน นิมิตฺตสฺส สกมเคฺค วา ปรมเคฺค วา ปรนิมิตฺตสฺส สกมเคฺค เอว ปเวสปวิฎฺฐฐิตุทฺธรเณสุ ยํ กิญฺจิ เอกํ ปฎิสาทิยนวเสน เสเวยฺย ปาราชิโก โหติ อสํวาโสติฯ เกจิ ปน ‘‘ปเวสาทีนิ จตฺตาริ วา ตีณิ วา เทฺว วา เอกํ วา ปฎิเสเวยฺย, ปาราชิโก โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘โส เจ ปเวสนํ สาทิยติ, ปวิฎฺฐํ, ฐิตํ, อุทฺธรณํ สาทิยติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’ติอาที’’ติ (ปารา. ๕๙) วทนฺติ, เตสํ มเตน จตูสุปิ จตโสฺส ปาราชิกาปตฺติโย อาปชฺชติฯ เตเยว เอวํ วทนฺติ ‘‘อาปชฺชตุ เมถุนธมฺมปาราชิกาปตฺติ เมถุนธมฺมปาราชิกาปตฺติยา ตพฺภาคิยา’’ติ, ‘‘อตฺตโน วีติกฺกเม ปาราชิกาปตฺติํ, สงฺฆาทิเสสาปตฺติญฺจ อาปชฺชิตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย คหฎฺฐกาเล เมถุนาทิปาราชิกํ อาปชฺชิตฺวา ปุน ปพฺพชิตฺวา อุปสมฺปชฺชิตฺวา เอกํ สงฺฆาทิเสสาปตฺติํ เอกมเนกํ วา ปฎิกริตฺวาว โส ปุคฺคโล ยสฺมา นิราปตฺติโก โหติ, ตสฺมา โส คหฎฺฐกาเล สาปตฺติโกวาติ อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปนฺนสฺสาปิ อเตฺถว อาปตฺติวุฎฺฐานํฯ วุฎฺฐานเทสนาหิ ปน อสุชฺฌนโต ‘ปโยเค ปโยเค อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’ติ น วุตฺตํ คณนปโยชนาภาวโตฯ กิญฺจาปิ น วุตฺตํ, อถ โข ปทภาชเน ‘อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’ติ วจเนนายมโตฺถ สิโทฺธ’’ติ ยุตฺติญฺจ วทนฺติฯ ยทิ เอวํ มาติกายมฺปิ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺย ปาราชิก’’นฺติ วตฺตพฺพํ ภเวยฺย, ปาราชิกสฺส อนวเสสวจนมฺปิ น ยุเชฺชยฺยฯ สเพฺพปิ หิ อาปตฺติกฺขเนฺธ ภิกฺขุคณนญฺจ อนวเสเสตฺวา ติฎฺฐตีติ อนวเสสวจนนฺติ กตฺวา ปเวเสว อาปตฺติ, น ปวิฎฺฐาทีสุ, ตเมเวกํ สนฺธาย ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺตี’’ติ ปาราชิกาปตฺติมฺปิ อโนฺต กตฺวา นิทานุเทฺทเส วจนํ เวทิตพฺพํฯ ตสฺมา มาติกายํ ‘‘ปาราชิก’’นฺติ อวตฺวา ‘‘ปาราชิโก โหตี’’ติ ปุคฺคลนิเทฺทสวจนํ เตน สรีรพนฺธเนน อุปสมฺปทาย อภพฺพภาวทีปนตฺถํฯ ‘‘อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’’ติ ปทภาชเน วจนํ อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปนฺนสฺสาปิ ปาราชิกสฺส อสํวาสสฺส สโต ปุคฺคลสฺส อเถยฺยสํวาสกภาวทีปนตฺถํฯ น หิ โส สํวาสํ สาทิยโนฺตปิ เถยฺยสํวาสโก โหติ, ตสฺมา ‘‘อุปสมฺปโนฺน ภิกฺขุ’’เตฺวว วุจฺจติฯ เตเนวาห ‘‘อสุโทฺธ โหติ ปุคฺคโล อญฺญตรํ ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺน, ตเญฺจ สุทฺธทิฎฺฐิ สมาโน อโนกาสํ การาเปตฺวา อโกฺกสาธิปฺปาโย วเทติ, อาปตฺติ โอมสวาเทน ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๘๙)ฯ อนุปสมฺปนฺนสฺส ตทภาวโต สิโทฺธ โส ‘‘อุปสมฺปโนฺน ภิกฺขุ’’เตฺวว วุจฺจตีติฯ เตน ปทโสธมฺมํ สหเสยฺยญฺจ น ชเนติ, ภิกฺขุเปสุญฺญาทิญฺจ ชเนตีติ เวทิตพฺพํฯ ภิกฺขุนีนํ สงฺฆาทิเสเสสุ ปน ภิกฺขุสงฺฆาทิเสสโต วุฎฺฐานวิธิวิเสสทสฺสนตฺถํ ‘‘อยมฺปิ ภิกฺขุนี…เป.… อาปนฺนา’’ติ (ปาจิ. ๖๗๙) ปุคฺคลนิเทฺทสํ กตฺวาปิ ปาราชิกโต อธิปฺปายนฺตรทสฺสนตฺถํ ‘‘นิสฺสารณียํ สงฺฆาทิเสส’’นฺติ (ปาจิ. ๖๗๙) อาปตฺตินามคฺคหณญฺจ กตํฯ เอตฺตาวตา สปุคฺคลนิเทฺทเส ทสฺสิตาทสฺสิตาปตฺติทุกํ วิตฺถาริตํ โหติฯ อปุคฺคลนิเทฺทเสสุ เสขิเยสุ อาปตฺติยา ทสฺสนการณํ เสขิยานํ อฎฺฐกถายเมว วุตฺตํฯ ตทภาวโต อิตเรสุ อาปตฺติทสฺสนํ กตํฯ อปุคฺคลนิเทฺทเสสุปิ ทสฺสิตาทสฺสิตาปตฺติทุกญฺจ วิตฺถาริตํ โหตีติฯ
Methunaṃ dhammanti evaṃ bahulanayena laddhanāmakaṃ sakasampayogena, parasampayogena vā attano nimittassa sakamagge vā paramagge vā paranimittassa sakamagge eva pavesapaviṭṭhaṭhituddharaṇesu yaṃ kiñci ekaṃ paṭisādiyanavasena seveyya pārājiko hoti asaṃvāsoti. Keci pana ‘‘pavesādīni cattāri vā tīṇi vā dve vā ekaṃ vā paṭiseveyya, pārājiko hoti. Vuttañhetaṃ ‘so ce pavesanaṃ sādiyati, paviṭṭhaṃ, ṭhitaṃ, uddharaṇaṃ sādiyati, āpatti pārājikassā’tiādī’’ti (pārā. 59) vadanti, tesaṃ matena catūsupi catasso pārājikāpattiyo āpajjati. Teyeva evaṃ vadanti ‘‘āpajjatu methunadhammapārājikāpatti methunadhammapārājikāpattiyā tabbhāgiyā’’ti, ‘‘attano vītikkame pārājikāpattiṃ, saṅghādisesāpattiñca āpajjitvā sikkhaṃ paccakkhāya gahaṭṭhakāle methunādipārājikaṃ āpajjitvā puna pabbajitvā upasampajjitvā ekaṃ saṅghādisesāpattiṃ ekamanekaṃ vā paṭikaritvāva so puggalo yasmā nirāpattiko hoti, tasmā so gahaṭṭhakāle sāpattikovāti antimavatthuṃ ajjhāpannassāpi attheva āpattivuṭṭhānaṃ. Vuṭṭhānadesanāhi pana asujjhanato ‘payoge payoge āpatti pārājikassā’ti na vuttaṃ gaṇanapayojanābhāvato. Kiñcāpi na vuttaṃ, atha kho padabhājane ‘āpatti pārājikassā’ti vacanenāyamattho siddho’’ti yuttiñca vadanti. Yadi evaṃ mātikāyampi ‘‘yo pana bhikkhu methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyya pārājika’’nti vattabbaṃ bhaveyya, pārājikassa anavasesavacanampi na yujjeyya. Sabbepi hi āpattikkhandhe bhikkhugaṇanañca anavasesetvā tiṭṭhatīti anavasesavacananti katvā paveseva āpatti, na paviṭṭhādīsu, tamevekaṃ sandhāya ‘‘yassa siyā āpattī’’ti pārājikāpattimpi anto katvā nidānuddese vacanaṃ veditabbaṃ. Tasmā mātikāyaṃ ‘‘pārājika’’nti avatvā ‘‘pārājiko hotī’’ti puggalaniddesavacanaṃ tena sarīrabandhanena upasampadāya abhabbabhāvadīpanatthaṃ. ‘‘Āpatti pārājikassā’’ti padabhājane vacanaṃ antimavatthuṃ ajjhāpannassāpi pārājikassa asaṃvāsassa sato puggalassa atheyyasaṃvāsakabhāvadīpanatthaṃ. Na hi so saṃvāsaṃ sādiyantopi theyyasaṃvāsako hoti, tasmā ‘‘upasampanno bhikkhu’’tveva vuccati. Tenevāha ‘‘asuddho hoti puggalo aññataraṃ pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpanno, tañce suddhadiṭṭhi samāno anokāsaṃ kārāpetvā akkosādhippāyo vadeti, āpatti omasavādena dukkaṭassā’’ti (pārā. 389). Anupasampannassa tadabhāvato siddho so ‘‘upasampanno bhikkhu’’tveva vuccatīti. Tena padasodhammaṃ sahaseyyañca na janeti, bhikkhupesuññādiñca janetīti veditabbaṃ. Bhikkhunīnaṃ saṅghādisesesu pana bhikkhusaṅghādisesato vuṭṭhānavidhivisesadassanatthaṃ ‘‘ayampi bhikkhunī…pe… āpannā’’ti (pāci. 679) puggalaniddesaṃ katvāpi pārājikato adhippāyantaradassanatthaṃ ‘‘nissāraṇīyaṃ saṅghādisesa’’nti (pāci. 679) āpattināmaggahaṇañca kataṃ. Ettāvatā sapuggalaniddese dassitādassitāpattidukaṃ vitthāritaṃ hoti. Apuggalaniddesesu sekhiyesu āpattiyā dassanakāraṇaṃ sekhiyānaṃ aṭṭhakathāyameva vuttaṃ. Tadabhāvato itaresu āpattidassanaṃ kataṃ. Apuggalaniddesesupi dassitādassitāpattidukañca vitthāritaṃ hotīti.
ปฐมปญฺญตฺติกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamapaññattikathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
สุทินฺนภาณวารํ นิฎฺฐิตํฯ
Sudinnabhāṇavāraṃ niṭṭhitaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / สุทินฺนภาณวารวณฺณนา • Sudinnabhāṇavāravaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / สุทินฺนภาณวารวณฺณนา • Sudinnabhāṇavāravaṇṇanā