Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๕๘] ๘. สุหนุชาตกวณฺณนา
[158] 8. Suhanujātakavaṇṇanā
นยิทํ วิสมสีเลนาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เทฺว จณฺฑภิกฺขู อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺมิญฺหิ สมเย เชตวเนปิ เอโก ภิกฺขุ จโณฺฑ อโหสิ ผรุโส สาหสิโก ชนปเทปิฯ อเถกทิวสํ ชานปโท ภิกฺขุ เกนจิเทว กรณีเยน เชตวนํ อคมาสิ, สามเณรา เจว ทหรภิกฺขู จ ตสฺส จณฺฑภาวํ ชานนฺติฯ ‘‘เตสํ ทฺวินฺนํ จณฺฑานํ กลหํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ กุตูหเลน ตํ ภิกฺขุํ เชตวนวาสิกสฺส ปริเวณํ ปหิณิํสุฯ เต อุโภปิ จณฺฑา อญฺญมญฺญํ ทิสฺวาว ปิยสํวาสํ สํสนฺทิํสุ สมิํสุ, หตฺถปาทปิฎฺฐิสมฺพาหนาทีนิ อกํสุฯ ธมฺมสภายํ ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, จณฺฑา ภิกฺขู อเญฺญสํ อุปริ จณฺฑา ผรุสา สาหสิกา, อญฺญมญฺญํ ปน อุโภปิ สมคฺคา สโมฺมทมานา ปิยสํวาสา ชาตา’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปเต อเญฺญสํ จณฺฑา ผรุสา สาหสิกา, อญฺญมญฺญํ ปน สมคฺคา สโมฺมทมานา ปิยสํวาสา จ อเหสุ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Nayidaṃvisamasīlenāti idaṃ satthā jetavane viharanto dve caṇḍabhikkhū ārabbha kathesi. Tasmiñhi samaye jetavanepi eko bhikkhu caṇḍo ahosi pharuso sāhasiko janapadepi. Athekadivasaṃ jānapado bhikkhu kenacideva karaṇīyena jetavanaṃ agamāsi, sāmaṇerā ceva daharabhikkhū ca tassa caṇḍabhāvaṃ jānanti. ‘‘Tesaṃ dvinnaṃ caṇḍānaṃ kalahaṃ passissāmā’’ti kutūhalena taṃ bhikkhuṃ jetavanavāsikassa pariveṇaṃ pahiṇiṃsu. Te ubhopi caṇḍā aññamaññaṃ disvāva piyasaṃvāsaṃ saṃsandiṃsu samiṃsu, hatthapādapiṭṭhisambāhanādīni akaṃsu. Dhammasabhāyaṃ bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, caṇḍā bhikkhū aññesaṃ upari caṇḍā pharusā sāhasikā, aññamaññaṃ pana ubhopi samaggā sammodamānā piyasaṃvāsā jātā’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepete aññesaṃ caṇḍā pharusā sāhasikā, aññamaññaṃ pana samaggā sammodamānā piyasaṃvāsā ca ahesu’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส สพฺพตฺถสาธโก อตฺถธมฺมานุสาสโก อมโจฺจ อโหสิฯ โส ปน ราชา โถกํ ธนโลภปกติโก, ตสฺส มหาโสโณ นาม กูฎอโสฺส อตฺถิฯ อถ อุตฺตราปถกา อสฺสวาณิชา ปญฺจ อสฺสสตานิ อาเนสุํ, อสฺสานํ อาคตภาวํ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ตโต ปุเพฺพ ปน โพธิสโตฺต อเสฺส อคฺฆาเปตฺวา มูลํ อปริหาเปตฺวา ทาเปสิฯ ราชา ตํ ปริหายมาโน อญฺญํ อมจฺจํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาต, อเสฺส อคฺฆาเปหิ, อคฺฆาเปโนฺต จ ปฐมํ มหาโสณํ ยถา เตสํ อสฺสานํ อนฺตรํ ปวิสติ, ตถา วิสฺสเชฺชตฺวา อเสฺส ฑํสาเปตฺวา วณิเต การาเปตฺวา ทุพฺพลกาเล มูลํ หาเปตฺวา อเสฺส อคฺฆาเปยฺยาสี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตถา อกาสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa sabbatthasādhako atthadhammānusāsako amacco ahosi. So pana rājā thokaṃ dhanalobhapakatiko, tassa mahāsoṇo nāma kūṭaasso atthi. Atha uttarāpathakā assavāṇijā pañca assasatāni ānesuṃ, assānaṃ āgatabhāvaṃ rañño ārocesuṃ. Tato pubbe pana bodhisatto asse agghāpetvā mūlaṃ aparihāpetvā dāpesi. Rājā taṃ parihāyamāno aññaṃ amaccaṃ pakkosāpetvā ‘‘tāta, asse agghāpehi, agghāpento ca paṭhamaṃ mahāsoṇaṃ yathā tesaṃ assānaṃ antaraṃ pavisati, tathā vissajjetvā asse ḍaṃsāpetvā vaṇite kārāpetvā dubbalakāle mūlaṃ hāpetvā asse agghāpeyyāsī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tathā akāsi.
อสฺสวาณิชา อนตฺตมนา หุตฺวา เตน กตกิริยํ โพธิสตฺตสฺส อาโรเจสุํฯ โพธิสโตฺต ‘‘กิํ ปน ตุมฺหากํ นคเร กูฎอโสฺส นตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อตฺถิ สามิ, สุหนุ นาม กูฎอโสฺส จโณฺฑ ผรุโส’’ติฯ ‘‘เตน หิ ปุน อาคจฺฉนฺตา ตํ อสฺสํ อาเนยฺยาถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ปุน อาคจฺฉนฺตา ตํ กูฎสฺสํ คาหาเปตฺวา อาคจฺฉิํสุฯ ราชา ‘‘อสฺสวาณิชา อาคตา’’ติ สุตฺวา สีหปญฺชรํ อุคฺฆาเฎตฺวา อเสฺส โอโลเกตฺวา มหาโสณํ วิสฺสชฺชาเปสิฯ อสฺสวาณิชาปิ มหาโสณํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา สุหนุํ วิสฺสชฺชาเปสุํฯ เต อญฺญมญฺญํ ปตฺวา สรีรานิ เลหนฺตา สโมฺมทมานา อฎฺฐํสุฯ ราชา โพธิสตฺตํ ปุจฺฉิ – ‘‘ปสฺสสิ อิเม เทฺว กูฎสฺสา อเญฺญสํ จณฺฑา ผรุสา สาหสิกา, อเญฺญ อเสฺส ฑํสิตฺวา เคลญฺญํ ปาเปนฺติ, อิทานิ อญฺญมญฺญํ ปน สรีรํ เลหนฺตา สโมฺมทมานา อฎฺฐํสุ, กิํ นาเมต’’นฺติ? โพธิสโตฺต ‘‘นยิเม, มหาราช, วิสมสีลา, สมสีลา สมธาตุกา จ เอเต’’ติ วตฺวา อิมํ คาถาทฺวยมาห –
Assavāṇijā anattamanā hutvā tena katakiriyaṃ bodhisattassa ārocesuṃ. Bodhisatto ‘‘kiṃ pana tumhākaṃ nagare kūṭaasso natthī’’ti pucchi. ‘‘Atthi sāmi, suhanu nāma kūṭaasso caṇḍo pharuso’’ti. ‘‘Tena hi puna āgacchantā taṃ assaṃ āneyyāthā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā puna āgacchantā taṃ kūṭassaṃ gāhāpetvā āgacchiṃsu. Rājā ‘‘assavāṇijā āgatā’’ti sutvā sīhapañjaraṃ ugghāṭetvā asse oloketvā mahāsoṇaṃ vissajjāpesi. Assavāṇijāpi mahāsoṇaṃ āgacchantaṃ disvā suhanuṃ vissajjāpesuṃ. Te aññamaññaṃ patvā sarīrāni lehantā sammodamānā aṭṭhaṃsu. Rājā bodhisattaṃ pucchi – ‘‘passasi ime dve kūṭassā aññesaṃ caṇḍā pharusā sāhasikā, aññe asse ḍaṃsitvā gelaññaṃ pāpenti, idāni aññamaññaṃ pana sarīraṃ lehantā sammodamānā aṭṭhaṃsu, kiṃ nāmeta’’nti? Bodhisatto ‘‘nayime, mahārāja, visamasīlā, samasīlā samadhātukā ca ete’’ti vatvā imaṃ gāthādvayamāha –
๑๕.
15.
‘‘นยิทํ วิสมสีเลน, โสเณน สุหนู สห;
‘‘Nayidaṃ visamasīlena, soṇena suhanū saha;
สุหนูปิ ตาทิโสเยว, โย โสณสฺส สโคจโรฯ
Suhanūpi tādisoyeva, yo soṇassa sagocaro.
๑๖.
16.
‘‘ปกฺขนฺทินา ปคเพฺภน, นิจฺจํ สนฺทานขาทินา;
‘‘Pakkhandinā pagabbhena, niccaṃ sandānakhādinā;
สเมติ ปาปํ ปาเปน, สเมติ อสตา อส’’นฺติฯ
Sameti pāpaṃ pāpena, sameti asatā asa’’nti.
ตตฺถ นยิทํ วิสมสีเลน, โสเณน สุหนู สหาติ ยํ อิทํ สุหนุ กูฎโสฺส โสเณน สทฺธิํ เปมํ กโรติ, อิทํ น อตฺตโน วิสมสีเลน, อถ โข อตฺตโน สมสีเลเนว สทฺธิํ กโรติฯ อุโภปิ เหเต อตฺตโน อนาจารตาย ทุสฺสีลตาย สมสีลา สมธาตุกาฯ สุหนูปิ ตาทิโสเยว, โย โสณสฺส สโคจโรติ ยาทิโส โสโณ, สุหนุปิ ตาทิโสเยว, โย โสณสฺส สโคจโร ยํโคจโร โสโณ, โสปิ ตํโคจโรเยวฯ ยเถว หิ โสโณ อสฺสโคจโร อเสฺส ฑํเสโนฺตว จรติ, ตถา สุหนุปิฯ อิมินา เนสํ สมานโคจรตํ ทเสฺสติฯ
Tattha nayidaṃ visamasīlena, soṇena suhanū sahāti yaṃ idaṃ suhanu kūṭasso soṇena saddhiṃ pemaṃ karoti, idaṃ na attano visamasīlena, atha kho attano samasīleneva saddhiṃ karoti. Ubhopi hete attano anācāratāya dussīlatāya samasīlā samadhātukā. Suhanūpi tādisoyeva, yo soṇassa sagocaroti yādiso soṇo, suhanupi tādisoyeva, yo soṇassa sagocaro yaṃgocaro soṇo, sopi taṃgocaroyeva. Yatheva hi soṇo assagocaro asse ḍaṃsentova carati, tathā suhanupi. Iminā nesaṃ samānagocarataṃ dasseti.
เต ปน อาจารโคจเร เอกโต กตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ปกฺขนฺทินา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปกฺขนฺทินาติ อสฺสานํ อุปริ ปกฺขนฺทนสีเลน ปกฺขนฺทนโคจเรนฯ ปคเพฺภนาติ กายปาคพฺภิยาทิสมนฺนาคเตน ทุสฺสีเลนฯ นิจฺจํ สนฺทานขาทินาติ สทา อตฺตโน พนฺธนโยตฺตํ ขาทนสีเลน ขาทนโคจเรน จฯ สเมติ ปาปํ ปาเปนาติ เอเตสุ อญฺญตเรน ปาเปน สทฺธิํ อญฺญตรสฺส ปาปํ ทุสฺสีลฺยํ สเมติฯ อสตา อสนฺติ เอเตสุ อญฺญตเรน อสตา อนาจารโคจรสมฺปเนฺนน สห อิตรสฺส อสํ อสาธุกมฺมํ สเมติ, คูถาทีนิ วิย คูถาทีหิ เอกโต สํสนฺทติ สทิสํ นิพฺพิเสสเมว โหตีติฯ
Te pana ācāragocare ekato katvā dassetuṃ ‘‘pakkhandinā’’tiādi vuttaṃ. Tattha pakkhandināti assānaṃ upari pakkhandanasīlena pakkhandanagocarena. Pagabbhenāti kāyapāgabbhiyādisamannāgatena dussīlena. Niccaṃ sandānakhādināti sadā attano bandhanayottaṃ khādanasīlena khādanagocarena ca. Sameti pāpaṃ pāpenāti etesu aññatarena pāpena saddhiṃ aññatarassa pāpaṃ dussīlyaṃ sameti. Asatā asanti etesu aññatarena asatā anācāragocarasampannena saha itarassa asaṃ asādhukammaṃ sameti, gūthādīni viya gūthādīhi ekato saṃsandati sadisaṃ nibbisesameva hotīti.
เอวํ วตฺวา จ ปน โพธิสโตฺต ‘‘มหาราช, รญฺญา นาม อติลุเทฺธน น ภวิตพฺพํ, ปรสฺส สนฺตกํ นาม นาเสตุํ น วฎฺฎตี’’ติ ราชานํ โอวทิตฺวา อเสฺส อคฺฆาเปตฺวา ภูตเมว มูลํ ทาเปสิฯ อสฺสวาณิชา ยถาสภาวเมว มูลํ ลภิตฺวา หฎฺฐตุฎฺฐา อคมํสุฯ ราชาปิ โพธิสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ
Evaṃ vatvā ca pana bodhisatto ‘‘mahārāja, raññā nāma atiluddhena na bhavitabbaṃ, parassa santakaṃ nāma nāsetuṃ na vaṭṭatī’’ti rājānaṃ ovaditvā asse agghāpetvā bhūtameva mūlaṃ dāpesi. Assavāṇijā yathāsabhāvameva mūlaṃ labhitvā haṭṭhatuṭṭhā agamaṃsu. Rājāpi bodhisattassa ovāde ṭhatvā yathākammaṃ gato.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา เทฺว อสฺสา อิเม เทฺว ทุฎฺฐภิกฺขู อเหสุํ, ราชา อานโนฺท, ปณฺฑิตามโจฺจ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā dve assā ime dve duṭṭhabhikkhū ahesuṃ, rājā ānando, paṇḍitāmacco pana ahameva ahosi’’nti.
สุหนุชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ
Suhanujātakavaṇṇanā aṭṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๕๘. สุหนุชาตกํ • 158. Suhanujātakaṃ