Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๖. สุเหมนฺตเตฺถรคาถาวณฺณนา
6. Suhemantattheragāthāvaṇṇanā
สตลิงฺคสฺส อตฺถสฺสาติ อายสฺมโต สุเหมนฺตเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยํ ปุญฺญํ อุปจินโนฺต อิโต ทฺวานวุเต กเปฺป ติสฺสสฺส ภควโต กาเล วนจโร หุตฺวา วเน วสติ, ตํ อนุคฺคหิตุํ ภควา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ตสฺส อาสเนฺน ฐาเน อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสีทิฯ โส ภควนฺตํ ทิสฺวา ปสนฺนจิโตฺต สุคนฺธานิ ปุนฺนาคปุปฺผานิ โอจินิตฺวา ภควนฺตํ ปูเชสิฯ โส เตน ปุญฺญกเมฺมน เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา อปราปรํ ปุญฺญานิ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ปาริยนฺตเทเส วิภวสมฺปนฺนสฺส พฺราหฺมณสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, สุเหมโนฺตติสฺส นามํ อโหสิฯ โส วิญฺญุตํ ปโตฺต สงฺกสฺสนคเร มิคทาเย วิหรนฺตํ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา เตปิฎโก หุตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา นจิรเสฺสว ฉฬภิโญฺญ ปฎิสมฺภิทาปโตฺต อโหสิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๑.๑๖.๔๖-๕๐) –
Sataliṅgassa atthassāti āyasmato suhemantattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayaṃ puññaṃ upacinanto ito dvānavute kappe tissassa bhagavato kāle vanacaro hutvā vane vasati, taṃ anuggahituṃ bhagavā araññaṃ pavisitvā tassa āsanne ṭhāne aññatarasmiṃ rukkhamūle nisīdi. So bhagavantaṃ disvā pasannacitto sugandhāni punnāgapupphāni ocinitvā bhagavantaṃ pūjesi. So tena puññakammena devaloke nibbattitvā aparāparaṃ puññāni katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde pāriyantadese vibhavasampannassa brāhmaṇassa putto hutvā nibbatti, suhemantotissa nāmaṃ ahosi. So viññutaṃ patto saṅkassanagare migadāye viharantaṃ bhagavantaṃ upasaṅkamitvā dhammaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvā tepiṭako hutvā vipassanaṃ paṭṭhapetvā nacirasseva chaḷabhiñño paṭisambhidāpatto ahosi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 1.16.46-50) –
‘‘กานนํ วนโมคยฺห, วสามิ ลุทฺทโก อหํ;
‘‘Kānanaṃ vanamogayha, vasāmi luddako ahaṃ;
ปุนฺนาคํ ปุปฺผิตํ ทิสฺวา, พุทฺธเสฎฺฐํ อนุสฺสริํฯ
Punnāgaṃ pupphitaṃ disvā, buddhaseṭṭhaṃ anussariṃ.
‘‘ตํ ปุปฺผํ โอจินิตฺวาน, สุคนฺธํ คนฺธิตํ สุภํ;
‘‘Taṃ pupphaṃ ocinitvāna, sugandhaṃ gandhitaṃ subhaṃ;
ถูปํ กริตฺวา ปุลิเน, พุทฺธสฺส อภิโรปยิํฯ
Thūpaṃ karitvā puline, buddhassa abhiropayiṃ.
‘‘เทฺวนวุเต อิโต กเปฺป, ยํ ปุปฺผมภิปูชยิํ;
‘‘Dvenavute ito kappe, yaṃ pupphamabhipūjayiṃ;
ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, พุทฺธปูชายิทํ ผลํฯ
Duggatiṃ nābhijānāmi, buddhapūjāyidaṃ phalaṃ.
‘‘เอกมฺหิ นวุเต กเปฺป, เอโก อาสิํ ตโมนุโท;
‘‘Ekamhi navute kappe, eko āsiṃ tamonudo;
สตฺตรตนสมฺปโนฺน, จกฺกวตฺตี มหพฺพโลฯ
Sattaratanasampanno, cakkavattī mahabbalo.
‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ
‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.
อรหตฺตํ ปน ปตฺวา เอวํ จิเนฺตสิ – ‘‘มยา โข ยํ สาวเกน ปตฺตพฺพํ, ตํ อนุปฺปตฺตํ, ยํนูนาหํ อิทานิ ภิกฺขูนํ อนุคฺคหํ กเรยฺย’’นฺติฯ เอวํ จิเนฺตตฺวา ปภินฺนปฎิสมฺภิทตาย อกิลาสุตาย จ อตฺตโน สนฺติกํ อุปคเต ภิกฺขู ยถารหํ โอวทโนฺต อนุสาสโนฺต กงฺขํ ฉินฺทโนฺต ธมฺมํ กเถโนฺต กมฺมฎฺฐานํ นิคฺคุมฺพํ นิชฺชฎํ กตฺวา อาจิกฺขโนฺต วิหรติฯ อเถกทิวสํ อตฺตโน สนฺติกํ อุปคตานํ ภิกฺขูนํ วิญฺญูนญฺจ ปุคฺคลานํ วิเสสํ อาจิกฺขโนฺต –
Arahattaṃ pana patvā evaṃ cintesi – ‘‘mayā kho yaṃ sāvakena pattabbaṃ, taṃ anuppattaṃ, yaṃnūnāhaṃ idāni bhikkhūnaṃ anuggahaṃ kareyya’’nti. Evaṃ cintetvā pabhinnapaṭisambhidatāya akilāsutāya ca attano santikaṃ upagate bhikkhū yathārahaṃ ovadanto anusāsanto kaṅkhaṃ chindanto dhammaṃ kathento kammaṭṭhānaṃ niggumbaṃ nijjaṭaṃ katvā ācikkhanto viharati. Athekadivasaṃ attano santikaṃ upagatānaṃ bhikkhūnaṃ viññūnañca puggalānaṃ visesaṃ ācikkhanto –
๑๐๖.
106.
‘‘สตลิงฺคสฺส อตฺถสฺส, สตลกฺขณธาริโน;
‘‘Sataliṅgassa atthassa, satalakkhaṇadhārino;
เอกงฺคทสฺสี ทุเมฺมโธ, สตทสฺสี จ ปณฺฑิโต’’ติฯ – คาถํ อภาสิ;
Ekaṅgadassī dummedho, satadassī ca paṇḍito’’ti. – gāthaṃ abhāsi;
ตตฺถ สตลิงฺคสฺสาติ ลีนมตฺถํ คเมนฺตีติ ลิงฺคานิ, อเตฺถสุ สทฺทสฺส ปวตฺตินิมิตฺตานิ, ตานิ ปน สตํ อเนกานิ ลิงฺคานิ เอตสฺสาติ สตลิโงฺคฯ อเนกโตฺถ หิ อิธ สตสโทฺท, ‘‘สตํ สหสฺส’’นฺติอาทีสุ วิย น สงฺขฺยาวิเสสโตฺถ ตสฺส สตลิงฺคสฺสฯ อตฺถสฺสาติ เญยฺยสฺส, เญยฺยญฺหิ ญาเณน อรณียโต ‘‘อโตฺถ’’ติ วุจฺจติฯ โส จ เอโกปิ อเนกลิโงฺค, ยถา ‘‘สโกฺก ปุรินฺทโท มฆวา’’ติ, ‘‘ปญฺญา วิชฺชา เมธา ญาณ’’นฺติ จฯ เยน ลิเงฺคน ปวตฺตินิมิเตฺตน ตาวติํสาธิปติมฺหิ อินฺทสโทฺท ปวโตฺต, น เตน ตตฺถ สกฺกาทิสทฺทา ปวตฺตา, อถ โข อเญฺญนฯ ตถา เยน สมฺมาทิฎฺฐิมฺหิ ปญฺญาสโทฺท ปวโตฺต, น เตน วิชฺชาทิสทฺทาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สตลิงฺคสฺส อตฺถสฺสา’’ติฯ
Tattha sataliṅgassāti līnamatthaṃ gamentīti liṅgāni, atthesu saddassa pavattinimittāni, tāni pana sataṃ anekāni liṅgāni etassāti sataliṅgo. Anekattho hi idha satasaddo, ‘‘sataṃ sahassa’’ntiādīsu viya na saṅkhyāvisesattho tassa sataliṅgassa. Atthassāti ñeyyassa, ñeyyañhi ñāṇena araṇīyato ‘‘attho’’ti vuccati. So ca ekopi anekaliṅgo, yathā ‘‘sakko purindado maghavā’’ti, ‘‘paññā vijjā medhā ñāṇa’’nti ca. Yena liṅgena pavattinimittena tāvatiṃsādhipatimhi indasaddo pavatto, na tena tattha sakkādisaddā pavattā, atha kho aññena. Tathā yena sammādiṭṭhimhi paññāsaddo pavatto, na tena vijjādisaddā. Tena vuttaṃ ‘‘sataliṅgassa atthassā’’ti.
สตลกฺขณธาริโนติ อเนกลกฺขณวโตฯ ลกฺขียติ เอเตนาติ ลกฺขณํ, ปจฺจยภาวิโน อตฺถสฺส อตฺตโน ผลํ ปฎิจฺจ ปจฺจยภาโว, เตน หิ โส อยํ อิมสฺส การณนฺติ ลกฺขียติฯ โส จ เอกเสฺสว อตฺถสฺส อเนกปฺปเภโท อุปลพฺภติ , เตนาห ‘‘สตลกฺขณธาริโน’’ติฯ อถ วา ลกฺขียนฺตีติ ลกฺขณานิ, ตสฺส ตสฺส อตฺถสฺส สงฺขตตาทโย ปการวิเสสา เต ปน อตฺถโต อวตฺถาวิเสสา เวทิตพฺพาฯ เต จ ปน เตสํ อนิจฺจตาทิสามญฺญลกฺขณํ ลิเงฺคนฺติ ญาเปนฺตีติ ‘‘ลิงฺคานี’’ติ จ วุจฺจนฺติฯ ตสฺสิเม อาการา, ยสฺมา เอกสฺสาปิ อตฺถสฺส อเนเก อุปลพฺภนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สตลิงฺคสฺส อตฺถสฺส, สตลกฺขณธาริโน’’ติฯ เตนาห อายสฺมา ธมฺมเสนาปติ – ‘‘สเพฺพ ธมฺมา สพฺพากาเรน พุทฺธสฺส ภควโต ญาณมุเข อาปาถํ อาคจฺฉนฺตี’’ติ (มหานิ. ๑๕๖; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๕)ฯ
Satalakkhaṇadhārinoti anekalakkhaṇavato. Lakkhīyati etenāti lakkhaṇaṃ, paccayabhāvino atthassa attano phalaṃ paṭicca paccayabhāvo, tena hi so ayaṃ imassa kāraṇanti lakkhīyati. So ca ekasseva atthassa anekappabhedo upalabbhati , tenāha ‘‘satalakkhaṇadhārino’’ti. Atha vā lakkhīyantīti lakkhaṇāni, tassa tassa atthassa saṅkhatatādayo pakāravisesā te pana atthato avatthāvisesā veditabbā. Te ca pana tesaṃ aniccatādisāmaññalakkhaṇaṃ liṅgenti ñāpentīti ‘‘liṅgānī’’ti ca vuccanti. Tassime ākārā, yasmā ekassāpi atthassa aneke upalabbhanti. Tena vuttaṃ ‘‘sataliṅgassa atthassa, satalakkhaṇadhārino’’ti. Tenāha āyasmā dhammasenāpati – ‘‘sabbe dhammā sabbākārena buddhassa bhagavato ñāṇamukhe āpāthaṃ āgacchantī’’ti (mahāni. 156; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddesa 85; paṭi. ma. 3.5).
เอกงฺคทสฺสี ทุเมฺมโธติ เอวํ อเนกลิเงฺค อเนกลกฺขเณ อเตฺถ โย ตตฺถ เอกงฺคทสฺสี อปุถุปญฺญตาย เอกลิงฺคมตฺตํ เอกลกฺขณมตฺตญฺจ ทิสฺวา อตฺตนา ทิฎฺฐเมว ‘‘อิทเมว สจฺจ’’นฺติ อภินิวิสฺส ‘‘โมฆมญฺญ’’นฺติ อิตรํ ปฎิกฺขิปติ, หตฺถิทสฺสนกอโนฺธ วิย เอกงฺคคาหี ทุเมฺมโธ ทุปฺปโญฺญ ตตฺถ วิชฺชมานานํเยว ปการวิเสสานํ อชานนโต มิจฺฉา อภินิวิสนโต จฯ สตทสฺสี จ ปณฺฑิโตติ ปณฺฑิโต ปน ตตฺถ วิชฺชมาเน อเนเกปิ ปกาเร อตฺตโน ปญฺญาจกฺขุนา สพฺพโส ปสฺสติฯ โย วา ตตฺถ ลพฺภมาเน อเนเก ปญฺญาจกฺขุนา อตฺตนาปิ ปสฺสติ, อเญฺญสมฺปิ ทเสฺสติ ปกาเสติ, โส ปณฺฑิโต วิจกฺขโณ อเตฺถสุ กุสโล นามาติฯ เอวํ เถโร อุกฺกํสคตํ อตฺตโน ปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติํ ภิกฺขูนํ วิภาเวสิฯ
Ekaṅgadassī dummedhoti evaṃ anekaliṅge anekalakkhaṇe atthe yo tattha ekaṅgadassī aputhupaññatāya ekaliṅgamattaṃ ekalakkhaṇamattañca disvā attanā diṭṭhameva ‘‘idameva sacca’’nti abhinivissa ‘‘moghamañña’’nti itaraṃ paṭikkhipati, hatthidassanakaandho viya ekaṅgagāhī dummedho duppañño tattha vijjamānānaṃyeva pakāravisesānaṃ ajānanato micchā abhinivisanato ca. Satadassī ca paṇḍitoti paṇḍito pana tattha vijjamāne anekepi pakāre attano paññācakkhunā sabbaso passati. Yo vā tattha labbhamāne aneke paññācakkhunā attanāpi passati, aññesampi dasseti pakāseti, so paṇḍito vicakkhaṇo atthesu kusalo nāmāti. Evaṃ thero ukkaṃsagataṃ attano paṭisambhidāsampattiṃ bhikkhūnaṃ vibhāvesi.
สุเหมนฺตเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suhemantattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๖. สุเหมนฺตเตฺถรคาถา • 6. Suhemantattheragāthā