Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๕๒] ๒. สุชาตชาตกวณฺณนา
[352] 2. Sujātajātakavaṇṇanā
กิํ นุ สนฺตรมาโนวาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มตปิติกํ กุฎุมฺพิกํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร ปิตริ มเต ปริเทวมาโน วิจรติ, โสกํ วิโนเทตุํ น สโกฺกติฯ อถ สตฺถา ตสฺส โสตาปตฺติผลูปนิสฺสยํ ทิสฺวา สาวตฺถิํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาสมณํ อาทาย ตสฺส เคหํ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสิโนฺน ตํ วนฺทิตฺวา นิสินฺนํ ‘‘กิํ, อุปาสก, โสจสี’’ติ วตฺวา ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘อาวุโส, โปราณกปณฺฑิตา ปณฺฑิตานํ วจนํ สุตฺวา ปิตริ กาลกเต น โสจิํสู’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Kiṃnu santaramānovāti idaṃ satthā jetavane viharanto matapitikaṃ kuṭumbikaṃ ārabbha kathesi. So kira pitari mate paridevamāno vicarati, sokaṃ vinodetuṃ na sakkoti. Atha satthā tassa sotāpattiphalūpanissayaṃ disvā sāvatthiṃ piṇḍāya caritvā pacchāsamaṇaṃ ādāya tassa gehaṃ gantvā paññattāsane nisinno taṃ vanditvā nisinnaṃ ‘‘kiṃ, upāsaka, socasī’’ti vatvā ‘‘āma, bhante’’ti vutte ‘‘āvuso, porāṇakapaṇḍitā paṇḍitānaṃ vacanaṃ sutvā pitari kālakate na sociṃsū’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กุฎุมฺพิกเคเห นิพฺพตฺติ, ‘‘สุชาตกุมาโร’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ ตสฺส วยปฺปตฺตสฺส ปิตามโห กาลมกาสิฯ อถสฺส ปิตา ปิตุ กาลกิริยโต ปฎฺฐาย โสกสมปฺปิโต อาฬาหนํ คนฺตฺวา อาฬาหนโต อฎฺฐีนิ อาหริตฺวา อตฺตโน อาราเม มตฺติกาถูปํ กตฺวา ตานิ ตตฺถ นิทหิตฺวา คตคตเวลาย ถูปํ ปุเปฺผหิ ปูเชตฺวา เจติยํ อาวิชฺฌโนฺต ปริเทวติ, เนว นฺหายติ น ลิมฺปติ น ภุญฺชติ น กมฺมเนฺต วิจาเรติฯ ตํ ทิสฺวา โพธิสโตฺต ‘‘ปิตา เม อยฺยกสฺส มตกาลโต ปฎฺฐาย โสกาภิภูโต จรติ, ฐเปตฺวา ปน มํ อโญฺญ เอตํ สญฺญาเปตุํ น สโกฺกติ, เอเกน นํ อุปาเยน นิโสฺสกํ กริสฺสามี’’ติ พหิคาเม เอกํ มตโคณํ ทิสฺวา ติณญฺจ ปานียญฺจ อาหริตฺวา ตสฺส ปุรโต ฐเปตฺวา ‘‘ขาท, ขาท, ปิว, ปิวา’’ติ อาหฯ อาคตาคตา นํ ทิสฺวา ‘‘สมฺม สุชาต, กิํ อุมฺมตฺตโกสิ, มตโคณสฺส ติโณทกํ เทสี’’ติ วทนฺติฯ โส น กิญฺจิ ปฎิวทติฯ อถสฺส ปิตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ปุโตฺต เต อุมฺมตฺตโก ชาโต, มตโคณสฺสฺส ติโณทกํ เทตี’’ติ อาหํสุฯ ตํ สุตฺวา กุฎุมฺพิกสฺส ปิตุโสโก อปคโต, ปุตฺตโสโก ปติฎฺฐิโตฯ โส เวเคนาคนฺตฺวา ‘‘นนุ ตฺวํ, ตาต สุชาต, ปณฺฑิโตสิ, กิํการณา มตโคณสฺส ติโณทกํ เทสี’’ติ วตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kuṭumbikagehe nibbatti, ‘‘sujātakumāro’’tissa nāmaṃ kariṃsu. Tassa vayappattassa pitāmaho kālamakāsi. Athassa pitā pitu kālakiriyato paṭṭhāya sokasamappito āḷāhanaṃ gantvā āḷāhanato aṭṭhīni āharitvā attano ārāme mattikāthūpaṃ katvā tāni tattha nidahitvā gatagatavelāya thūpaṃ pupphehi pūjetvā cetiyaṃ āvijjhanto paridevati, neva nhāyati na limpati na bhuñjati na kammante vicāreti. Taṃ disvā bodhisatto ‘‘pitā me ayyakassa matakālato paṭṭhāya sokābhibhūto carati, ṭhapetvā pana maṃ añño etaṃ saññāpetuṃ na sakkoti, ekena naṃ upāyena nissokaṃ karissāmī’’ti bahigāme ekaṃ matagoṇaṃ disvā tiṇañca pānīyañca āharitvā tassa purato ṭhapetvā ‘‘khāda, khāda, piva, pivā’’ti āha. Āgatāgatā naṃ disvā ‘‘samma sujāta, kiṃ ummattakosi, matagoṇassa tiṇodakaṃ desī’’ti vadanti. So na kiñci paṭivadati. Athassa pitu santikaṃ gantvā ‘‘putto te ummattako jāto, matagoṇasssa tiṇodakaṃ detī’’ti āhaṃsu. Taṃ sutvā kuṭumbikassa pitusoko apagato, puttasoko patiṭṭhito. So vegenāgantvā ‘‘nanu tvaṃ, tāta sujāta, paṇḍitosi, kiṃkāraṇā matagoṇassa tiṇodakaṃ desī’’ti vatvā dve gāthā abhāsi –
๖.
6.
‘‘กิํ นุ สนฺตรมาโนว, ลายิตฺวา หริตํ ติณํ;
‘‘Kiṃ nu santaramānova, lāyitvā haritaṃ tiṇaṃ;
ขาท ขาทาติ ลปสิ, คตสตฺตํ ชรคฺควํฯ
Khāda khādāti lapasi, gatasattaṃ jaraggavaṃ.
๗.
7.
‘‘น หิ อเนฺนน ปาเนน, มโต โคโณ สมุฎฺฐเห;
‘‘Na hi annena pānena, mato goṇo samuṭṭhahe;
ตฺวญฺจ ตุจฺฉํ วิลปสิ, ยถา ตํ ทุมฺมตี ตถา’’ติฯ
Tvañca tucchaṃ vilapasi, yathā taṃ dummatī tathā’’ti.
ตตฺถ สนฺตรมาโนวาติ ตุริโต วิย หุตฺวาฯ ลายิตฺวาติ ลุนิตฺวาฯ ลปสีติ วิลปสิฯ คตสตฺตํ ชรคฺควนฺติ วิคตชีวิตํ ชิณฺณโคณํฯ ยถา ตนฺติ เอตฺถ ตนฺติ นิปาตมตฺตํ, ยถา ทุมฺมติ อปฺปปโญฺญ วิลเปยฺย, ตถา ตฺวํ ตุจฺฉํ วิลปสีติฯ
Tattha santaramānovāti turito viya hutvā. Lāyitvāti lunitvā. Lapasīti vilapasi. Gatasattaṃ jaraggavanti vigatajīvitaṃ jiṇṇagoṇaṃ. Yathā tanti ettha tanti nipātamattaṃ, yathā dummati appapañño vilapeyya, tathā tvaṃ tucchaṃ vilapasīti.
ตโต โพธิสโตฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
Tato bodhisatto dve gāthā abhāsi –
๘.
8.
‘‘ตเถว ติฎฺฐติ สีสํ, หตฺถปาทา จ วาลธิ;
‘‘Tatheva tiṭṭhati sīsaṃ, hatthapādā ca vāladhi;
โสตา ตเถว ติฎฺฐนฺติ, มเญฺญ โคโณ สมุฎฺฐเหฯ
Sotā tatheva tiṭṭhanti, maññe goṇo samuṭṭhahe.
๙.
9.
‘‘เนวยฺยกสฺส สีสญฺจ, หตฺถปาทา จ ทิสฺสเร;
‘‘Nevayyakassa sīsañca, hatthapādā ca dissare;
รุทํ มตฺติกถูปสฺมิํ, นนุ ตฺวเญฺญว ทุมฺมตี’’ติฯ
Rudaṃ mattikathūpasmiṃ, nanu tvaññeva dummatī’’ti.
ตตฺถ ตเถวาติ ยถา ปุเพฺพ ฐิตํ, ตเถว ติฎฺฐติฯ มเญฺญติ เอเตสํ สีสาทีนํ ตเถว ฐิตตฺตา อยํ โคโณ สมุฎฺฐเหยฺยาติ มญฺญามิฯ เนวยฺยกสฺส สีสญฺจาติ อยฺยกสฺส ปน สีสญฺจ หตฺถปาทา จ น ทิสฺสนฺติฯ ‘‘ปิฎฺฐิปาทา น ทิสฺสเร’’ติปิ ปาโฐฯ นนุ ตฺวเญฺญว ทุมฺมตีติ อหํ ตาว สีสาทีนิ ปสฺสโนฺต เอวํ กโรมิ, ตฺวํ ปน น กิญฺจิ ปสฺสสิ, ฌาปิตฎฺฐานโต อฎฺฐีนิ อาหริตฺวา มตฺติกาถูปํ กตฺวา ปริเทวสิฯ อิติ มํ ปฎิจฺจ สตคุเณน สหสฺสคุเณน สตสหสฺสคุเณน นนุ ตฺวเญฺญว ทุมฺมติฯ ภิชฺชนธมฺมา นาม สงฺขารา ภิชฺชนฺติ, ตตฺถ กา ปริเทวนาติฯ
Tattha tathevāti yathā pubbe ṭhitaṃ, tatheva tiṭṭhati. Maññeti etesaṃ sīsādīnaṃ tatheva ṭhitattā ayaṃ goṇo samuṭṭhaheyyāti maññāmi. Nevayyakassa sīsañcāti ayyakassa pana sīsañca hatthapādā ca na dissanti. ‘‘Piṭṭhipādā na dissare’’tipi pāṭho. Nanu tvaññeva dummatīti ahaṃ tāva sīsādīni passanto evaṃ karomi, tvaṃ pana na kiñci passasi, jhāpitaṭṭhānato aṭṭhīni āharitvā mattikāthūpaṃ katvā paridevasi. Iti maṃ paṭicca sataguṇena sahassaguṇena satasahassaguṇena nanu tvaññeva dummati. Bhijjanadhammā nāma saṅkhārā bhijjanti, tattha kā paridevanāti.
ตํ สุตฺวา โพธิสตฺตสฺส ปิตา ‘‘มม ปุโตฺต ปณฺฑิโต อิธโลกปรโลกกิจฺจํ ชานาติ, มม สญฺญาปนตฺถาย เอตํ กมฺมํ อกาสี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ตาต สุชาตปณฺฑิต, ‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา’ติ เม ญาตา, อิโต ปฎฺฐาย น โสจิสฺสามิ, ปิตุโสกหรณกปุเตฺตน นาม ตาทิเสน ภวิตพฺพ’’นฺติ วตฺวา ปุตฺตสฺส ถุติํ กโรโนฺต อาห –
Taṃ sutvā bodhisattassa pitā ‘‘mama putto paṇḍito idhalokaparalokakiccaṃ jānāti, mama saññāpanatthāya etaṃ kammaṃ akāsī’’ti cintetvā ‘‘tāta sujātapaṇḍita, ‘sabbe saṅkhārā aniccā’ti me ñātā, ito paṭṭhāya na socissāmi, pitusokaharaṇakaputtena nāma tādisena bhavitabba’’nti vatvā puttassa thutiṃ karonto āha –
๑๐.
10.
‘‘อาทิตฺตํ วต มํ สนฺตํ, ฆตสิตฺตํว ปาวกํ;
‘‘Ādittaṃ vata maṃ santaṃ, ghatasittaṃva pāvakaṃ;
วารินา วิย โอสิญฺจํ, สพฺพํ นิพฺพาปเย ทรํฯ
Vārinā viya osiñcaṃ, sabbaṃ nibbāpaye daraṃ.
๑๑.
11.
‘‘อพฺพหี วต เม สลฺลํ, ยมาสิ หทยสฺสิตํ;
‘‘Abbahī vata me sallaṃ, yamāsi hadayassitaṃ;
โย เม โสกปเรตสฺส, ปิตุโสกํ อปานุทิฯ
Yo me sokaparetassa, pitusokaṃ apānudi.
๑๒.
12.
‘‘โสหํ อพฺพูฬฺหสโลฺลสฺมิ, วีตโสโก อนาวิโล;
‘‘Sohaṃ abbūḷhasallosmi, vītasoko anāvilo;
น โสจามิ น โรทามิ, ตว สุตฺวาน มาณวฯ
Na socāmi na rodāmi, tava sutvāna māṇava.
๑๓.
13.
‘‘เอวํ กโรนฺติ สปฺปญฺญา, เย โหนฺติ อนุกมฺปกา;
‘‘Evaṃ karonti sappaññā, ye honti anukampakā;
วินิวเตฺตนฺติ โสกมฺหา, สุชาโต ปิตรํ ยถา’’ติฯ
Vinivattenti sokamhā, sujāto pitaraṃ yathā’’ti.
ตตฺถ นิพฺพาปเยติ นิพฺพาปยิฯ ทรนฺติ โสกทรถํฯ สุชาโต ปิตรํ ยถาติ ยถา มม ปุโตฺต สุชาโต มํ ปิตรํ สมานํ อตฺตโน สปฺปญฺญตาย โสกมฺหา วินิวตฺตยิ, เอวํ อเญฺญปิ สปฺปญฺญา โสกมฺหา วินิวตฺตยนฺตีติฯ
Tattha nibbāpayeti nibbāpayi. Daranti sokadarathaṃ. Sujāto pitaraṃ yathāti yathā mama putto sujāto maṃ pitaraṃ samānaṃ attano sappaññatāya sokamhā vinivattayi, evaṃ aññepi sappaññā sokamhā vinivattayantīti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน กุฎุมฺพิโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา สุชาโต อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne kuṭumbiko sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā sujāto ahameva ahosinti.
สุชาตชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Sujātajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๕๒. สุชาตชาตกํ • 352. Sujātajātakaṃ