Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๕๕] ๕. สุกชาตกวณฺณนา
[255] 5. Sukajātakavaṇṇanā
ยาว โส มตฺตมญฺญาสีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อติพหุํ ภุญฺชิตฺวา อชีรเณน กาลกตํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺมิํ กิร เอวํ กาลกเต ธมฺมสภายํ ภิกฺขู ตสฺส อคุณกถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, อสุโก นาม ภิกฺขุ อตฺตโน กุจฺฉิปฺปมาณํ อชานิตฺวา อติพหุํ ภุญฺชิตฺวา ชีราเปตุํ อสโกฺกโนฺต กาลกโต’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปส อติโภชนปจฺจเยเนว มโต’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Yāvaso mattamaññāsīti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ atibahuṃ bhuñjitvā ajīraṇena kālakataṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Tasmiṃ kira evaṃ kālakate dhammasabhāyaṃ bhikkhū tassa aguṇakathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, asuko nāma bhikkhu attano kucchippamāṇaṃ ajānitvā atibahuṃ bhuñjitvā jīrāpetuṃ asakkonto kālakato’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepesa atibhojanapaccayeneva mato’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต หิมวนฺตปเทเส สุกโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา อเนกานํ สุกสหสฺสานํ สมุทฺทานุคเต หิมวนฺตปเทเส วสนฺตานํ ราชา อโหสิฯ ตเสฺสโก ปุโตฺต อโหสิ, ตสฺมิํ พลปฺปเตฺต โพธิสโตฺต ทุพฺพลจกฺขุโก อโหสิฯ สุกานํ กิร สีโฆ เวโค โหติ, เตน เตสํ มหลฺลกกาเล ปฐมํ จกฺขุเมว ทุพฺพลํ โหติฯ โพธิสตฺตสฺส ปุโตฺต มาตาปิตโร กุลาวเก ฐเปตฺวา โคจรํ อาหริตฺวา โปเสสิฯ โส เอกทิวสํ โคจรภูมิํ คนฺตฺวา ปพฺพตมตฺถเก ฐิโต สมุทฺทํ โอโลเกโนฺต เอกํ ทีปกํ ปสฺสิฯ ตสฺมิํ ปน สุวณฺณวณฺณํ มธุรผลํ อมฺพวนํ อตฺถิฯ โส ปุนทิวเส โคจรเวลาย อุปฺปติตฺวา ตสฺมิํ อมฺพวเน โอตริตฺวา อมฺพรสํ ปิวิตฺวา อมฺพปกฺกํ อาทาย อาคนฺตฺวา มาตาปิตูนํ อทาสิฯ โพธิสโตฺต ตํ ขาทโนฺต รสํ สญฺชานิตฺวา ‘‘ตาต, นนุ อิมํ อสุกทีปเก อมฺพปกฺก’’นฺติ วตฺวา ‘‘อาม, ตาตา’’ติ วุเตฺต ‘‘ตาต, เอตํ ทีปกํ คจฺฉนฺตา นาม สุกา ทีฆมายุํ ปาเลนฺตา นาม นตฺถิ, มา โข ตฺวํ ปุน ตํ ทีปกํ อคมาสี’’ติ อาหฯ โส ตสฺส วจนํ อคฺคเหตฺวา อคมาสิเยวฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto himavantapadese sukayoniyaṃ nibbattitvā anekānaṃ sukasahassānaṃ samuddānugate himavantapadese vasantānaṃ rājā ahosi. Tasseko putto ahosi, tasmiṃ balappatte bodhisatto dubbalacakkhuko ahosi. Sukānaṃ kira sīgho vego hoti, tena tesaṃ mahallakakāle paṭhamaṃ cakkhumeva dubbalaṃ hoti. Bodhisattassa putto mātāpitaro kulāvake ṭhapetvā gocaraṃ āharitvā posesi. So ekadivasaṃ gocarabhūmiṃ gantvā pabbatamatthake ṭhito samuddaṃ olokento ekaṃ dīpakaṃ passi. Tasmiṃ pana suvaṇṇavaṇṇaṃ madhuraphalaṃ ambavanaṃ atthi. So punadivase gocaravelāya uppatitvā tasmiṃ ambavane otaritvā ambarasaṃ pivitvā ambapakkaṃ ādāya āgantvā mātāpitūnaṃ adāsi. Bodhisatto taṃ khādanto rasaṃ sañjānitvā ‘‘tāta, nanu imaṃ asukadīpake ambapakka’’nti vatvā ‘‘āma, tātā’’ti vutte ‘‘tāta, etaṃ dīpakaṃ gacchantā nāma sukā dīghamāyuṃ pālentā nāma natthi, mā kho tvaṃ puna taṃ dīpakaṃ agamāsī’’ti āha. So tassa vacanaṃ aggahetvā agamāsiyeva.
อเถกทิวสํ พหุํ อมฺพรสํ ปิวิตฺวา มาตาปิตูนํ อตฺถาย อมฺพปกฺกํ อาทาย สมุทฺทมตฺถเกนาคจฺฉโนฺต อติธาตตาย กิลนฺตกาโย นิทฺทายาภิภูโต, โส นิทฺทายโนฺตปิ อาคจฺฉเตว, ตุเณฺฑน ปนสฺส คหิตํ อมฺพปกฺกํ ปติฯ โส อนุกฺกเมน อาคมนวีถิํ ชหิตฺวา โอสีทโนฺต อุทกปิเฎฺฐเนว อาคจฺฉโนฺต อุทเก ปติฯ อถ นํ เอโก มโจฺฉ คเหตฺวา ขาทิฯ โพธิสโตฺต ตสฺมิํ อาคมนเวลาย อนาคจฺฉเนฺตเยว ‘‘สมุเทฺท ปติตฺวา มโต ภวิสฺสตี’’ติ อญฺญาสิฯ อถสฺส มาตาปิตโรปิ อาหารํ อลภมานา สุสฺสิตฺวา มริํสุฯ
Athekadivasaṃ bahuṃ ambarasaṃ pivitvā mātāpitūnaṃ atthāya ambapakkaṃ ādāya samuddamatthakenāgacchanto atidhātatāya kilantakāyo niddāyābhibhūto, so niddāyantopi āgacchateva, tuṇḍena panassa gahitaṃ ambapakkaṃ pati. So anukkamena āgamanavīthiṃ jahitvā osīdanto udakapiṭṭheneva āgacchanto udake pati. Atha naṃ eko maccho gahetvā khādi. Bodhisatto tasmiṃ āgamanavelāya anāgacchanteyeva ‘‘samudde patitvā mato bhavissatī’’ti aññāsi. Athassa mātāpitaropi āhāraṃ alabhamānā sussitvā mariṃsu.
สตฺถา อิมํ อตีตํ อาหริตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิมา คาถา อโวจ –
Satthā imaṃ atītaṃ āharitvā abhisambuddho hutvā imā gāthā avoca –
๑๓.
13.
‘‘ยาว โส มตฺตมญฺญาสิ, โภชนสฺมิํ วิหงฺคโม;
‘‘Yāva so mattamaññāsi, bhojanasmiṃ vihaṅgamo;
ตาว อทฺธานมาปาทิ, มาตรญฺจ อโปสยิฯ
Tāva addhānamāpādi, mātarañca aposayi.
๑๔.
14.
‘‘ยโต จ โข พหุตรํ, โภชนํ อชฺฌวาหริ;
‘‘Yato ca kho bahutaraṃ, bhojanaṃ ajjhavāhari;
ตโต ตเตฺถว สํสีทิ, อมตฺตญฺญู หิ โส อหุฯ
Tato tattheva saṃsīdi, amattaññū hi so ahu.
๑๕.
15.
‘‘ตสฺมา มตฺตญฺญุตา สาธุ, โภชนสฺมิํ อคิทฺธตา;
‘‘Tasmā mattaññutā sādhu, bhojanasmiṃ agiddhatā;
อมตฺตญฺญู หิ สีทนฺติ, มตฺตญฺญู จ น สีทเร’’ติฯ
Amattaññū hi sīdanti, mattaññū ca na sīdare’’ti.
ตตฺถ ยาว โสติ ยาว โส วิหงฺคโม โภชเน มตฺตมญฺญาสิฯ ตาว อทฺธานมาปาทีติ ตตฺถกํ กาลํ ชีวิตอทฺธานํ อาปาทิ, อายุํ วินฺทิฯ มาตรญฺจาติ เทสนาสีสเมตํ, มาตาปิตโร จ อโปสยีติ อโตฺถฯ ยโต จ โขติ ยสฺมิญฺจ โข กาเลฯ โภชนํ อชฺฌวาหรีติ อมฺพรสํ อโชฺฌหริฯ ตโตติ ตสฺมิํ กาเลฯ ตเตฺถว สํสีทีติ ตสฺมิํ สมุเทฺทเยว โอสีทิ นิมุชฺชิ, มจฺฉโภชนตํ อาปชฺชิฯ
Tattha yāva soti yāva so vihaṅgamo bhojane mattamaññāsi. Tāva addhānamāpādīti tatthakaṃ kālaṃ jīvitaaddhānaṃ āpādi, āyuṃ vindi. Mātarañcāti desanāsīsametaṃ, mātāpitaro ca aposayīti attho. Yato ca khoti yasmiñca kho kāle. Bhojanaṃ ajjhavāharīti ambarasaṃ ajjhohari. Tatoti tasmiṃ kāle. Tattheva saṃsīdīti tasmiṃ samuddeyeva osīdi nimujji, macchabhojanataṃ āpajji.
ตสฺมา มตฺตญฺญุตา สาธูติ ยสฺมา โภชเน อมตฺตญฺญู สุโก สมุเทฺท โอสีทิตฺวา มโต, ตสฺมา โภชนสฺมิํ อคิทฺธิตาสงฺขาโต มตฺตญฺญุภาโว สาธุ, ปมาณชานนํ สุนฺทรนฺติ อโตฺถฯ อถ วา ‘‘ปฎิสงฺขา โยนิโส อาหารํ อาหาเรติ, เนว ทวาย น มทาย…เป.… ผาสุวิหาโร จา’’ติฯ
Tasmā mattaññutā sādhūti yasmā bhojane amattaññū suko samudde osīditvā mato, tasmā bhojanasmiṃ agiddhitāsaṅkhāto mattaññubhāvo sādhu, pamāṇajānanaṃ sundaranti attho. Atha vā ‘‘paṭisaṅkhā yoniso āhāraṃ āhāreti, neva davāya na madāya…pe… phāsuvihāro cā’’ti.
‘‘อลฺลํ สุกฺขญฺจ ภุญฺชโนฺต, น พาฬฺหํ สุหิโต สิยา;
‘‘Allaṃ sukkhañca bhuñjanto, na bāḷhaṃ suhito siyā;
อูนุทโร มิตาหาโร, สโต ภิกฺขุ ปริพฺพเชฯ
Ūnudaro mitāhāro, sato bhikkhu paribbaje.
‘‘จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป, อภุตฺวา อุทกํ ปิเว;
‘‘Cattāro pañca ālope, abhutvā udakaṃ pive;
อลํ ผาสุวิหาราย, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโนฯ (เถรคา. ๙๘๒-๙๘๓);
Alaṃ phāsuvihārāya, pahitattassa bhikkhuno. (theragā. 982-983);
‘‘มนุชสฺส สทา สตีมโต, มตฺตํ ชานโต ลทฺธโภชเน;
‘‘Manujassa sadā satīmato, mattaṃ jānato laddhabhojane;
ตนู ตสฺส ภวนฺติ เวทนา, สณิกํ ชีรติ อายุํ ปาลย’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๒๔) –
Tanū tassa bhavanti vedanā, saṇikaṃ jīrati āyuṃ pālaya’’nti. (saṃ. ni. 1.124) –
เอวํ วณฺณิตา มตฺตญฺญุตาปิ สาธุฯ
Evaṃ vaṇṇitā mattaññutāpi sādhu.
‘‘กนฺตาเร ปุตฺตมํสํว, อกฺขสฺสพฺภญฺชนํ ยถา;
‘‘Kantāre puttamaṃsaṃva, akkhassabbhañjanaṃ yathā;
เอวํ อาหริ อาหรํ, ยาปนตฺถมมุจฺฉิโต’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๙) –
Evaṃ āhari āharaṃ, yāpanatthamamucchito’’ti. (visuddhi. 1.19) –
เอวํ วณฺณิตา อคิทฺธิตาปิ สาธุฯ ปาฬิยํ ปน ‘‘อคิทฺธิมา’’ติ ลิขิตํ, ตโต อยํ อฎฺฐกถาปาโฐว สุนฺทรตโรฯ อมตฺตญฺญู หิ สีทนฺตีติ โภชเน ปมาณํ อชานนฺตา หิ รสตณฺหาวเสน ปาปกมฺมํ กตฺวา จตูสุ อปาเยสุ สีทนฺติฯ มตฺตญฺญู จ น สีทเรติ เย ปน โภชเน ปมาณํ ชานนฺติ, เต ทิฎฺฐธเมฺมปิ สมฺปราเยปิ น สีทนฺตีติฯ
Evaṃ vaṇṇitā agiddhitāpi sādhu. Pāḷiyaṃ pana ‘‘agiddhimā’’ti likhitaṃ, tato ayaṃ aṭṭhakathāpāṭhova sundarataro. Amattaññū hi sīdantīti bhojane pamāṇaṃ ajānantā hi rasataṇhāvasena pāpakammaṃ katvā catūsu apāyesu sīdanti. Mattaññū ca na sīdareti ye pana bhojane pamāṇaṃ jānanti, te diṭṭhadhammepi samparāyepi na sīdantīti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน พหู โสตาปนฺนาปิ สกทาคามิโนปิ อนาคามิโนปิ อรหโนฺตปิ อเหสุํฯ ‘‘ตทา สุกราชปุโตฺต โภชเน อมตฺตญฺญู ภิกฺขุ อโหสิ, สุกราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne bahū sotāpannāpi sakadāgāminopi anāgāminopi arahantopi ahesuṃ. ‘‘Tadā sukarājaputto bhojane amattaññū bhikkhu ahosi, sukarājā pana ahameva ahosi’’nti.
สุกชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ
Sukajātakavaṇṇanā pañcamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๕๕. สุกชาตกํ • 255. Sukajātakaṃ