Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๕๓] ๓. สูกรชาตกวณฺณนา
[153] 3. Sūkarajātakavaṇṇanā
จตุปฺปโท อหํ, สมฺมาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ มหลฺลกเตฺถรํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกสฺมิญฺหิ ทิวเส รตฺติํ ธมฺมสฺสวเน วตฺตมาเน สตฺถริ คนฺธกุฎิทฺวาเร รมณีเย โสปานผลเก ฐตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส สุคโตวาทํ ทตฺวา คนฺธกุฎิํ ปวิเฎฺฐ ธมฺมเสนาปติ สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน ปริเวณํ อคมาสิฯ มหาโมคฺคลฺลาโนปิ ปริเวณเมว คนฺตฺวา มุหุตฺตํ วิสฺสมิตฺวา เถรสฺส สนฺติกํ อาคนฺตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิ, ปุจฺฉิตปุจฺฉิตํ ธมฺมเสนาปติ คคนตเล ปุณฺณจนฺทํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย วิสฺสเชฺชตฺวา ปากฎมกาสิฯ จตโสฺสปิ ปริสา ธมฺมํ สุณมานา นิสีทิํสุฯ ตเตฺถโก มหลฺลกเตฺถโร จิเนฺตสิ – ‘‘สจาหํ อิมิสฺสา ปริสาย มเชฺฌ สาริปุตฺตํ อาลุเฬโนฺต ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามิ, อยํ เม ปริสา ‘พหุสฺสุโต อย’นฺติ ญตฺวา สกฺการสมฺมานํ กริสฺสตี’’ติ ปริสนฺตรา อุฎฺฐาย เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกมนฺตํ ฐตฺวา ‘‘อาวุโส สาริปุตฺต, มยมฺปิ ตํ เอกํ ปญฺหํ ปุจฺฉาม, อมฺหากมฺปิ โอกาสํ กโรหิ, เทหิ เม วินิจฺฉยํ อาเวธิกาย วา นิเวธิกาย วา นิคฺคเห วา ปคฺคเห วา วิเสเส วา ปฎิวิเสเส วา’’ติ อาหฯ เถโร ตํ โอโลเกตฺวา ‘‘อยํ มหลฺลโก อิจฺฉาจาเร ฐิโต ตุโจฺฉ น กิญฺจิ ชานาตี’’ติ เตน สทฺธิํ อกเถตฺวาว ลชฺชมาโน พีชนิํ ฐเปตฺวา อาสนา โอตริตฺวา ปริเวณํ ปาวิสิ, โมคฺคลฺลานเตฺถโรปิ อตฺตโน ปริเวณเมว อคมาสิฯ
Catuppado ahaṃ, sammāti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ mahallakattheraṃ ārabbha kathesi. Ekasmiñhi divase rattiṃ dhammassavane vattamāne satthari gandhakuṭidvāre ramaṇīye sopānaphalake ṭhatvā bhikkhusaṅghassa sugatovādaṃ datvā gandhakuṭiṃ paviṭṭhe dhammasenāpati satthāraṃ vanditvā attano pariveṇaṃ agamāsi. Mahāmoggallānopi pariveṇameva gantvā muhuttaṃ vissamitvā therassa santikaṃ āgantvā pañhaṃ pucchi, pucchitapucchitaṃ dhammasenāpati gaganatale puṇṇacandaṃ uṭṭhāpento viya vissajjetvā pākaṭamakāsi. Catassopi parisā dhammaṃ suṇamānā nisīdiṃsu. Tattheko mahallakatthero cintesi – ‘‘sacāhaṃ imissā parisāya majjhe sāriputtaṃ āluḷento pañhaṃ pucchissāmi, ayaṃ me parisā ‘bahussuto aya’nti ñatvā sakkārasammānaṃ karissatī’’ti parisantarā uṭṭhāya theraṃ upasaṅkamitvā ekamantaṃ ṭhatvā ‘‘āvuso sāriputta, mayampi taṃ ekaṃ pañhaṃ pucchāma, amhākampi okāsaṃ karohi, dehi me vinicchayaṃ āvedhikāya vā nivedhikāya vā niggahe vā paggahe vā visese vā paṭivisese vā’’ti āha. Thero taṃ oloketvā ‘‘ayaṃ mahallako icchācāre ṭhito tuccho na kiñci jānātī’’ti tena saddhiṃ akathetvāva lajjamāno bījaniṃ ṭhapetvā āsanā otaritvā pariveṇaṃ pāvisi, moggallānattheropi attano pariveṇameva agamāsi.
มนุสฺสา อุฎฺฐาย ‘‘คณฺหเถตํ ตุจฺฉมหลฺลกํ, มธุรธมฺมสฺสวนํ โน โสตุํ น อทาสี’’ติ อนุพนฺธิํสุฯ โส ปลายโนฺต วิหารปจฺจเนฺต ภินฺนปทราย วจฺจกุฎิยา ปติตฺวา คูถมกฺขิโต อฎฺฐาสิฯ มนุสฺสา ตํ ทิสฺวา วิปฺปฎิสาริโน หุตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ อคมํสุฯ สตฺถา เต ทิสฺวา ‘‘กิํ อุปาสกา อเวลาย อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิ, มนุสฺสา ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ สตฺถา ‘‘น โข อุปาสกา อิทาเนเวส มหลฺลโก อุปฺปิลาวิโต หุตฺวา อตฺตโน พลํ อชานิตฺวา มหาพเลหิ สทฺธิํ ปโยเชตฺวา คูถมกฺขิโต ชาโต, ปุเพฺพเปส อุปฺปิลาวิโต หุตฺวา อตฺตโน พลํ อชานิตฺวา มหาพเลหิ สทฺธิํ ปโยเชตฺวา คูถมกฺขิโต อโหสี’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Manussā uṭṭhāya ‘‘gaṇhathetaṃ tucchamahallakaṃ, madhuradhammassavanaṃ no sotuṃ na adāsī’’ti anubandhiṃsu. So palāyanto vihārapaccante bhinnapadarāya vaccakuṭiyā patitvā gūthamakkhito aṭṭhāsi. Manussā taṃ disvā vippaṭisārino hutvā satthu santikaṃ agamaṃsu. Satthā te disvā ‘‘kiṃ upāsakā avelāya āgatatthā’’ti pucchi, manussā tamatthaṃ ārocesuṃ. Satthā ‘‘na kho upāsakā idānevesa mahallako uppilāvito hutvā attano balaṃ ajānitvā mahābalehi saddhiṃ payojetvā gūthamakkhito jāto, pubbepesa uppilāvito hutvā attano balaṃ ajānitvā mahābalehi saddhiṃ payojetvā gūthamakkhito ahosī’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต สีโห หุตฺวา หิมวนฺตปเทเส ปพฺพตคุหาย วาสํ กเปฺปสิฯ ตสฺสา อวิทูเร เอกํ สรํ นิสฺสาย พหู สูกรา นิวาสํ กเปฺปสุํฯ ตเมว สรํ นิสฺสาย ตาปสาปิ ปณฺณสาลาสุ วาสํ กเปฺปสุํฯ อเถกทิวสํ สีโห มหิํสวารณาทีสุ อญฺญตรํ วธิตฺวา ยาวทตฺถํ มํสํ ขาทิตฺวา ตํ สรํ โอตริตฺวา ปานียํ ปิวิตฺวา อุตฺตริฯ ตสฺมิํ ขเณ เอโก ถูลสูกโร ตํ สรํ นิสฺสาย โคจรํ คณฺหาติฯ สีโห ตํ ทิสฺวา ‘‘อญฺญํ เอกทิวสํ อิมํ ขาทิสฺสามิ, มํ โข ปน ทิสฺวา ปุน น อาคเจฺฉยฺยา’’ติ ตสฺส อนาคมนภเยน สรโต อุตฺตริตฺวา เอเกน ปเสฺสน คนฺตุํ อารภิฯ สูกโร โอโลเกตฺวา ‘‘เอส มํ ทิสฺวา มม ภเยน อุปคนฺตุํ อสโกฺกโนฺต ภเยน ปลายติ, อชฺช มยา อิมินา สีเหน สทฺธิํ ปโยเชตุํ วฎฺฎตี’’ติ สีสํ อุกฺขิปิตฺวา ตํ ยุทฺธตฺถาย อวฺหยโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto sīho hutvā himavantapadese pabbataguhāya vāsaṃ kappesi. Tassā avidūre ekaṃ saraṃ nissāya bahū sūkarā nivāsaṃ kappesuṃ. Tameva saraṃ nissāya tāpasāpi paṇṇasālāsu vāsaṃ kappesuṃ. Athekadivasaṃ sīho mahiṃsavāraṇādīsu aññataraṃ vadhitvā yāvadatthaṃ maṃsaṃ khāditvā taṃ saraṃ otaritvā pānīyaṃ pivitvā uttari. Tasmiṃ khaṇe eko thūlasūkaro taṃ saraṃ nissāya gocaraṃ gaṇhāti. Sīho taṃ disvā ‘‘aññaṃ ekadivasaṃ imaṃ khādissāmi, maṃ kho pana disvā puna na āgaccheyyā’’ti tassa anāgamanabhayena sarato uttaritvā ekena passena gantuṃ ārabhi. Sūkaro oloketvā ‘‘esa maṃ disvā mama bhayena upagantuṃ asakkonto bhayena palāyati, ajja mayā iminā sīhena saddhiṃ payojetuṃ vaṭṭatī’’ti sīsaṃ ukkhipitvā taṃ yuddhatthāya avhayanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๕.
5.
‘‘จตุปฺปโท อหํ สมฺม, ตฺวมฺปิ สมฺม จตุปฺปโท;
‘‘Catuppado ahaṃ samma, tvampi samma catuppado;
เอหิ สมฺม นิวตฺตสฺสุ, กิํ นุ ภีโต ปลายสี’’ติฯ
Ehi samma nivattassu, kiṃ nu bhīto palāyasī’’ti.
สีโห ตสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘สมฺม สูกร, อชฺช อมฺหากํ ตยา สทฺธิํ สงฺคาโม นตฺถิ, อิโต ปน สตฺตเม ทิวเส อิมสฺมิํเยว ฐาเน สงฺคาโม โหตู’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ สูกโร ‘‘สีเหน สทฺธิํ สงฺคาเมสฺสามี’’ติ หฎฺฐปหโฎฺฐ ตํ ปวตฺติํ ญาตกานํ อาโรเจสิฯ เต ตสฺส กถํ สุตฺวา ภีตตสิตา ‘‘อิทานิ ตฺวํ สเพฺพปิ อเมฺห นาเสสฺสสิ, อตฺตโน พลํ อชานิตฺวา สีเหน สทฺธิํ สงฺคามํ กตฺตุกาโมติ, สีโห อาคนฺตฺวา สเพฺพปิ อเมฺห ชีวิตกฺขยํ ปาเปสฺสติ, สาหสิกกมฺมํ มา กรี’’ติ อาหํสุฯ โสปิ ภีตตสิโต ‘‘อิทานิ กิํ กโรมี’’ติ ปุจฺฉิฯ สูกรา ‘‘สมฺม, ตฺวํ เอเตสํ ตาปสานํ อุจฺจารภูมิํ คนฺตฺวา ปูติคูเถ สตฺต ทิวสานิ สรีรํ ปริวเฎฺฎตฺวา สุกฺขาเปตฺวา สตฺตเม ทิวเส สรีรํ อุสฺสาวพินฺทูหิ เตเมตฺวา สีหสฺส อาคมนโต ปุริมตรํ คนฺตฺวา วาตโยคํ ญตฺวา อุปริวาเต ติฎฺฐ, สุจิชาติโก สีโห ตว สรีรคนฺธํ ฆายิตฺวา ตุยฺหํ ชยํ ทตฺวา คมิสฺสตี’’ติ อาหํสุฯ โส ตถา กตฺวา สตฺตเม ทิวเส ตตฺถ อฎฺฐาสิฯ สีโห ตสฺส สรีรคนฺธํ ฆายิตฺวา คูถมกฺขิตภาวํ ญตฺวา ‘‘สมฺม สูกร, สุนฺทโร เต เลโส จินฺติโต, สเจ ตฺวํ คูถมกฺขิโต นาภวิสฺส, อิเธว ตํ ชีวิตกฺขยํ อปาเปสฺสํ, อิทานิ ปน เต สรีรํ เนว มุเขน ฑํสิตุํ, น ปาเทน ปหริตุํ สกฺกา, ชยํ เต ทมฺมี’’ติ วตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
Sīho tassa kathaṃ sutvā ‘‘samma sūkara, ajja amhākaṃ tayā saddhiṃ saṅgāmo natthi, ito pana sattame divase imasmiṃyeva ṭhāne saṅgāmo hotū’’ti vatvā pakkāmi. Sūkaro ‘‘sīhena saddhiṃ saṅgāmessāmī’’ti haṭṭhapahaṭṭho taṃ pavattiṃ ñātakānaṃ ārocesi. Te tassa kathaṃ sutvā bhītatasitā ‘‘idāni tvaṃ sabbepi amhe nāsessasi, attano balaṃ ajānitvā sīhena saddhiṃ saṅgāmaṃ kattukāmoti, sīho āgantvā sabbepi amhe jīvitakkhayaṃ pāpessati, sāhasikakammaṃ mā karī’’ti āhaṃsu. Sopi bhītatasito ‘‘idāni kiṃ karomī’’ti pucchi. Sūkarā ‘‘samma, tvaṃ etesaṃ tāpasānaṃ uccārabhūmiṃ gantvā pūtigūthe satta divasāni sarīraṃ parivaṭṭetvā sukkhāpetvā sattame divase sarīraṃ ussāvabindūhi temetvā sīhassa āgamanato purimataraṃ gantvā vātayogaṃ ñatvā uparivāte tiṭṭha, sucijātiko sīho tava sarīragandhaṃ ghāyitvā tuyhaṃ jayaṃ datvā gamissatī’’ti āhaṃsu. So tathā katvā sattame divase tattha aṭṭhāsi. Sīho tassa sarīragandhaṃ ghāyitvā gūthamakkhitabhāvaṃ ñatvā ‘‘samma sūkara, sundaro te leso cintito, sace tvaṃ gūthamakkhito nābhavissa, idheva taṃ jīvitakkhayaṃ apāpessaṃ, idāni pana te sarīraṃ neva mukhena ḍaṃsituṃ, na pādena paharituṃ sakkā, jayaṃ te dammī’’ti vatvā dutiyaṃ gāthamāha –
๖.
6.
‘‘อสุจิ ปูติโลโมสิ, ทุคฺคโนฺธ วาสิ สูกร;
‘‘Asuci pūtilomosi, duggandho vāsi sūkara;
สเจ ยุชฺชิตุกาโมสิ, ชยํ สมฺม ททามิ เต’’ติฯ
Sace yujjitukāmosi, jayaṃ samma dadāmi te’’ti.
ตตฺถ ปูติโลโมติ มีฬฺหมกฺขิตตฺตา ทุคฺคนฺธโลโมฯ ทุคฺคโนฺธ วาสีติ อนิฎฺฐเชคุจฺฉปฎิกูลคโนฺธ หุตฺวา วายสิฯ ชยํ, สมฺม, ททามิ เตติ ‘‘ตุยฺหํ ชยํ เทมิ, อหํ ปราชิโต, คจฺฉ ตฺว’’นฺติ วตฺวา สีโห ตโตว นิวตฺติตฺวา โคจรํ คเหตฺวา สเร ปานียํ ปิวิตฺวา ปพฺพตคุหเมว คโตฯ สูกโรปิ ‘‘สีโห เม ชิโต’’ติ ญาตกานํ อาโรเจสิ ฯ เต ภีตตสิตา ‘‘ปุน เอกทิวสํ อาคจฺฉโนฺต สีโห สเพฺพว อเมฺห ชีวิตกฺขยํ ปาเปสฺสตี’’ติ ปลายิตฺวา อญฺญตฺถ อคมํสุฯ
Tattha pūtilomoti mīḷhamakkhitattā duggandhalomo. Duggandho vāsīti aniṭṭhajegucchapaṭikūlagandho hutvā vāyasi. Jayaṃ, samma, dadāmi teti ‘‘tuyhaṃ jayaṃ demi, ahaṃ parājito, gaccha tva’’nti vatvā sīho tatova nivattitvā gocaraṃ gahetvā sare pānīyaṃ pivitvā pabbataguhameva gato. Sūkaropi ‘‘sīho me jito’’ti ñātakānaṃ ārocesi . Te bhītatasitā ‘‘puna ekadivasaṃ āgacchanto sīho sabbeva amhe jīvitakkhayaṃ pāpessatī’’ti palāyitvā aññattha agamaṃsu.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สูกโร มหลฺลโก อโหสิ, สีโห ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā sūkaro mahallako ahosi, sīho pana ahameva ahosi’’nti.
สูกรชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Sūkarajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๕๓. สูกรชาตกํ • 153. Sūkarajātakaṃ