Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā

    ๒. สูกรมุขเปตวตฺถุวณฺณนา

    2. Sūkaramukhapetavatthuvaṇṇanā

    กาโย เต สพฺพโสวโณฺณติ อิทํ สตฺถริ ราชคหํ อุปนิสฺสาย เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป วิหรเนฺต อญฺญฺญาตรํ สูกรมุขเปตํ อารพฺภ วุตฺตํฯ อตีเต กิร กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน เอโก ภิกฺขุ กาเยน สญฺญโต อโหสิ, วาจาย อสญฺญโต, ภิกฺขู อโกฺกสติ ปริภาสติฯ โส กาลํ กตฺวา นิรเย นิพฺพโตฺต, เอกํ พุทฺธนฺตรํ ตตฺถ ปจฺจิตฺวา ตโต จวิตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชคหสมีเป คิชฺฌกูฎปพฺพตปาเท ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากาวเสเสน ขุปฺปิปาสาภิภูโต เปโต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตสฺส กาโย สุวณฺณวโณฺณ อโหสิ, มุขํ สูกรมุขสทิสํฯ อถายสฺมา นารโท คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเต วสโนฺต ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ ปิณฺฑาย คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค ตํ เปตํ ทิสฺวา เตน กตกมฺมํ ปุจฺฉโนฺต –

    Kāyo te sabbasovaṇṇoti idaṃ satthari rājagahaṃ upanissāya veḷuvane kalandakanivāpe viharante añññātaraṃ sūkaramukhapetaṃ ārabbha vuttaṃ. Atīte kira kassapassa bhagavato sāsane eko bhikkhu kāyena saññato ahosi, vācāya asaññato, bhikkhū akkosati paribhāsati. So kālaṃ katvā niraye nibbatto, ekaṃ buddhantaraṃ tattha paccitvā tato cavitvā imasmiṃ buddhuppāde rājagahasamīpe gijjhakūṭapabbatapāde tasseva kammassa vipākāvasesena khuppipāsābhibhūto peto hutvā nibbatti. Tassa kāyo suvaṇṇavaṇṇo ahosi, mukhaṃ sūkaramukhasadisaṃ. Athāyasmā nārado gijjhakūṭe pabbate vasanto pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā pattacīvaramādāya rājagahaṃ piṇḍāya gacchanto antarāmagge taṃ petaṃ disvā tena katakammaṃ pucchanto –

    .

    4.

    ‘‘กาโย เต สพฺพโสวโณฺณ, สพฺพา โอภาสเต ทิสา;

    ‘‘Kāyo te sabbasovaṇṇo, sabbā obhāsate disā;

    มุขํ เต สูกรเสฺสว, กิํ กมฺมมกรี ปุเร’’ติฯ –

    Mukhaṃ te sūkarasseva, kiṃ kammamakarī pure’’ti. –

    คาถมาหฯ ตตฺถ กาโย เต สพฺพโสวโณฺณติ ตว กาโย เทโห สโพฺพ สุวณฺณวโณฺณ อุตฺตตฺตกนกสนฺนิโภฯ สพฺพา โอภาสเต ทิสาติ ตสฺส ปภาย สพฺพาปิ ทิสา สมนฺตโนฺต โอภาสติ วิโชฺชตติฯ โอภาสเตติ วา อโนฺตคธโหตุอตฺถมิทํ ปทนฺติ ‘‘เต กาโย สพฺพโสวโณฺณ สพฺพา ทิสา โอภาเสติ วิโชฺชเตตี’’ติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ มุขํ เต สูกรเสฺสวาติ มุขํ ปน เต สูกรสฺส วิย, สูกรมุขสทิสํ ตว มุขนฺติ อโตฺถฯ กิํ กมฺมมกรี ปุเรติ ‘‘ตฺวํ ปุเพฺพ อตีตชาติยํ กีทิสํ กมฺมํ อกาสี’’ติ ปุจฺฉติฯ

    Gāthamāha. Tattha kāyo te sabbasovaṇṇoti tava kāyo deho sabbo suvaṇṇavaṇṇo uttattakanakasannibho. Sabbā obhāsate disāti tassa pabhāya sabbāpi disā samantanto obhāsati vijjotati. Obhāsateti vā antogadhahotuatthamidaṃ padanti ‘‘te kāyo sabbasovaṇṇo sabbā disā obhāseti vijjotetī’’ti attho daṭṭhabbo. Mukhaṃte sūkarassevāti mukhaṃ pana te sūkarassa viya, sūkaramukhasadisaṃ tava mukhanti attho. Kiṃ kammamakarī pureti ‘‘tvaṃ pubbe atītajātiyaṃ kīdisaṃ kammaṃ akāsī’’ti pucchati.

    เอวํ เถเรน โส เปโต กตกมฺมํ ปุโฎฺฐ คาถาย วิสฺสเชฺชโนฺต –

    Evaṃ therena so peto katakammaṃ puṭṭho gāthāya vissajjento –

    .

    5.

    ‘‘กาเยน สญฺญโต อาสิํ, วาจายาสิมสญฺญโต;

    ‘‘Kāyena saññato āsiṃ, vācāyāsimasaññato;

    เตน เมตาทิโส วโณฺณ, ยถา ปสฺสสิ นารทา’’ติฯ –

    Tena metādiso vaṇṇo, yathā passasi nāradā’’ti. –

    อาห ฯ ตตฺถ กาเยน สญฺญโต อาสินฺติ กายิเกน สํยเมน สํยโต กายทฺวาริเกน สํวเรน สํวุโต อโหสิํฯ วาจายาสิมสญฺญโตติ วาจาย อสญฺญโต วาจสิเกน อสํวเรน สมนฺนาคโต อโหสิํฯ เตนาติ เตน อุภเยน สํยเมน อสํยเมน จฯ เมติ มยฺหํฯ เอตาทิโส วโณฺณติ เอทิโสฯ ยถา ตฺวํ, นารท, ปจฺจกฺขโต ปสฺสสิ, เอวรูโป, กาเยน มนุสฺสสณฺฐาโน สุวณฺณวโณฺณ, มุเขน สูกรสทิโส อาสินฺติ โยชนาฯ วณฺณสโทฺท หิ อิธ ฉวิยํ สณฺฐาเน จ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Āha . Tattha kāyena saññato āsinti kāyikena saṃyamena saṃyato kāyadvārikena saṃvarena saṃvuto ahosiṃ. Vācāyāsimasaññatoti vācāya asaññato vācasikena asaṃvarena samannāgato ahosiṃ. Tenāti tena ubhayena saṃyamena asaṃyamena ca. Meti mayhaṃ. Etādiso vaṇṇoti ediso. Yathā tvaṃ, nārada, paccakkhato passasi, evarūpo, kāyena manussasaṇṭhāno suvaṇṇavaṇṇo, mukhena sūkarasadiso āsinti yojanā. Vaṇṇasaddo hi idha chaviyaṃ saṇṭhāne ca daṭṭhabbo.

    เอวํ เปโต เถเรน ปุจฺฉิโต ตมตฺถํ วิสฺสเชฺชตฺวา ตเมว การณํ กตฺวา เถรสฺส โอวาทํ เทโนฺต –

    Evaṃ peto therena pucchito tamatthaṃ vissajjetvā tameva kāraṇaṃ katvā therassa ovādaṃ dento –

    .

    6.

    ‘‘ตํ ตฺยาหํ นารท พฺรูมิ, สามํ ทิฎฺฐมิทํ ตยา;

    ‘‘Taṃ tyāhaṃ nārada brūmi, sāmaṃ diṭṭhamidaṃ tayā;

    มากาสิ มุขสา ปาปํ, มา โข สูกรมุโข อหู’’ติฯ –

    Mākāsi mukhasā pāpaṃ, mā kho sūkaramukho ahū’’ti. –

    คาถมาหฯ ตตฺถ นฺติ ตสฺมาฯ ตฺยาหนฺติ เต อหํฯ นารทาติ เถรํ อาลปติฯ พฺรูมีติ กเถมิฯ สามนฺติ สยเมวฯ อิทนฺติ อตฺตโน สรีรํ สนฺธาย วทติฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – ยสฺมา, ภเนฺต นารท, อิทํ มม สรีรํ คลโต ปฎฺฐาย เหฎฺฐา มนุสฺสสณฺฐานํ, อุปริ สูกรสณฺฐานํ, ตยา ปจฺจกฺขโตว ทิฎฺฐํ, ตสฺมา เต อหํ โอวาทวเสน วทามีติฯ กินฺติ เจติ อาห ‘‘มากาสิ มุขสา ปาปํ, มา โข สูกรมุโข อหู’’ติฯ ตตฺถ มาติ ปฎิเสเธ นิปาโตฯ มุขสาติ มุเขนฯ โขติ อวธารเณ, วาจาย ปาปกมฺมํ มากาสิ มา กโรหิฯ มา โข สูกรมุโข อหูติ อหํ วิย สูกรมุโข มา อโหสิเยวฯ สเจ ปน ตฺวํ มุขโร หุตฺวา วาจาย ปาปํ กเรยฺยาสิ, เอกํเสน สูกรมุโข ภเวยฺยาสิ, ตสฺมา มากาสิ มุขสา ปาปนฺติ ผลปฎิเสธนมุเขนปิ เหตุเมว ปฎิเสเธติฯ

    Gāthamāha. Tattha tanti tasmā. Tyāhanti te ahaṃ. Nāradāti theraṃ ālapati. Brūmīti kathemi. Sāmanti sayameva. Idanti attano sarīraṃ sandhāya vadati. Ayañhettha attho – yasmā, bhante nārada, idaṃ mama sarīraṃ galato paṭṭhāya heṭṭhā manussasaṇṭhānaṃ, upari sūkarasaṇṭhānaṃ, tayā paccakkhatova diṭṭhaṃ, tasmā te ahaṃ ovādavasena vadāmīti. Kinti ceti āha ‘‘mākāsi mukhasā pāpaṃ, mā kho sūkaramukho ahū’’ti. Tattha ti paṭisedhe nipāto. Mukhasāti mukhena. Khoti avadhāraṇe, vācāya pāpakammaṃ mākāsi mā karohi. kho sūkaramukho ahūti ahaṃ viya sūkaramukho mā ahosiyeva. Sace pana tvaṃ mukharo hutvā vācāya pāpaṃ kareyyāsi, ekaṃsena sūkaramukho bhaveyyāsi, tasmā mākāsi mukhasā pāpanti phalapaṭisedhanamukhenapi hetumeva paṭisedheti.

    อถายสฺมา นารโท ราชคเห ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต จตุปริสมเชฺฌ นิสินฺนสฺส สตฺถุโน ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สตฺถา, ‘‘นารท, ปุเพฺพว มยา โส สโตฺถ ทิโฎฺฐ’’ติ วตฺวา อเนกาการโวการํ วจีทุจฺจริตสนฺนิสฺสิตํ อาทีนวํ, วจีสุจริตปฎิสํยุตฺตญฺจ อานิสํสํ ปกาเสโนฺต ธมฺมํ เทเสสิฯ สา เทสนา สมฺปตฺตปริสาย สาตฺถิกา อโหสีติฯ

    Athāyasmā nārado rājagahe piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto catuparisamajjhe nisinnassa satthuno tamatthaṃ ārocesi. Satthā, ‘‘nārada, pubbeva mayā so sattho diṭṭho’’ti vatvā anekākāravokāraṃ vacīduccaritasannissitaṃ ādīnavaṃ, vacīsucaritapaṭisaṃyuttañca ānisaṃsaṃ pakāsento dhammaṃ desesi. Sā desanā sampattaparisāya sātthikā ahosīti.

    สูกรมุขเปตวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sūkaramukhapetavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๒. สูกรมุขเปตวตฺถุ • 2. Sūkaramukhapetavatthu


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact