Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā |
๕. สุกฺกธมฺมสุตฺตวณฺณนา
5. Sukkadhammasuttavaṇṇanā
๔๒. ปญฺจเม สุกฺกาติ น วณฺณสุกฺกตาย สุกฺกา, สุกฺกภาวาย ปน ปรมโวทานาย สํวตฺตนฺตีติ นิปฺผตฺติสุกฺกตาย สุกฺกาฯ สรเสนปิ สเพฺพ กุสลา ธมฺมา สุกฺกา เอว กณฺหภาวปฎิปกฺขโต ฯ เตสญฺหิ อุปฺปตฺติยา จิตฺตํ ปภสฺสรํ โหติ ปริสุทฺธํฯ ธมฺมาติ กุสลา ธมฺมาฯ โลกนฺติ สตฺตโลกํฯ ปาเลนฺตีติ อาธารสนฺธารเณน มริยาทํ ฐเปนฺตา รกฺขนฺติฯ หิรี จ โอตฺตปฺปญฺจาติ เอตฺถ หิริยติ หิริยิตเพฺพน, หิริยนฺติ เอเตนาติ วา หิรีฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘ยํ หิริยติ หิริยิตเพฺพน, หิริยติ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตฺติยา, อยํ วุจฺจติ หิรี’’ติ (ธ. ส. ๓๐)ฯ โอตฺตปฺปติ โอตฺตปฺปิตเพฺพน, โอตฺตปฺปนฺติ เอเตนาติ วา โอตฺตปฺปํฯ วุตฺตมฺปิเจตํ ‘‘ยํ โอตฺตปฺปติ โอตฺตปฺปิตเพฺพน, โอตฺตปฺปติ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตฺติยา, อิทํ วุจฺจติ โอตฺตปฺป’’นฺติ (ธ. ส. ๓๑)ฯ
42. Pañcame sukkāti na vaṇṇasukkatāya sukkā, sukkabhāvāya pana paramavodānāya saṃvattantīti nipphattisukkatāya sukkā. Sarasenapi sabbe kusalā dhammā sukkā eva kaṇhabhāvapaṭipakkhato . Tesañhi uppattiyā cittaṃ pabhassaraṃ hoti parisuddhaṃ. Dhammāti kusalā dhammā. Lokanti sattalokaṃ. Pālentīti ādhārasandhāraṇena mariyādaṃ ṭhapentā rakkhanti. Hirī ca ottappañcāti ettha hiriyati hiriyitabbena, hiriyanti etenāti vā hirī. Vuttampi cetaṃ ‘‘yaṃ hiriyati hiriyitabbena, hiriyati pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ samāpattiyā, ayaṃ vuccati hirī’’ti (dha. sa. 30). Ottappati ottappitabbena, ottappanti etenāti vā ottappaṃ. Vuttampicetaṃ ‘‘yaṃ ottappati ottappitabbena, ottappati pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ samāpattiyā, idaṃ vuccati ottappa’’nti (dha. sa. 31).
ตตฺถ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานา หิรี, พหิทฺธาสมุฎฺฐานํ โอตฺตปฺปํฯ อตฺตาธิปเตยฺยา หิรี, โลกาธิปเตยฺยํ โอตฺตปฺปํฯ ลชฺชาสภาวสณฺฐิตา หิรี, ภยสภาวสณฺฐิตํ โอตฺตปฺปํฯ สปฺปติสฺสวลกฺขณา หิรี, วชฺชภีรุกภยทสฺสาวิลกฺขณํ โอตฺตปฺปํฯ
Tattha ajjhattasamuṭṭhānā hirī, bahiddhāsamuṭṭhānaṃ ottappaṃ. Attādhipateyyā hirī, lokādhipateyyaṃ ottappaṃ. Lajjāsabhāvasaṇṭhitā hirī, bhayasabhāvasaṇṭhitaṃ ottappaṃ. Sappatissavalakkhaṇā hirī, vajjabhīrukabhayadassāvilakkhaṇaṃ ottappaṃ.
ตตฺถ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานํ หิริํ จตูหิ การเณหิ สมุฎฺฐาเปติ – ชาติํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา, วยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา, สูรภาวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา, พาหุสจฺจํ ปจฺจเวกฺขิตฺวาฯ กถํ? ‘‘ปาปกรณํ นาเมตํ น ชาติสมฺปนฺนานํ กมฺมํ, หีนชจฺจานํ เกวฎฺฎาทีนํ กมฺมํ, มาทิสสฺส ชาติสมฺปนฺนสฺส อิทํ กมฺมํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ เอวํ ตาว ชาติํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปาณาติปาตาทิปาปกมฺมํ อกโรโนฺต หิริํ สมุฎฺฐาเปติฯ ตถา ‘‘ปาปกรณํ นาเมตํ ทหเรหิ กตฺตพฺพกมฺมํ, มาทิสสฺส วเย ฐิตสฺส อิทํ กมฺมํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ เอวํ วยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปาณาติปาตาทิปาปกมฺมํ อกโรโนฺต หิริํ สมุฎฺฐาเปติฯ ตถา ‘‘ปาปกรณํ นาเมตํ ทุพฺพลชาติกานํ กมฺมํ, มาทิสสฺส สูรภาวสมฺปนฺนสฺส อิทํ กมฺมํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ เอวํ สูรภาวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปาณาติปาตาทิปาปกมฺมํ อกโรโนฺต หิริํ สมุฎฺฐาเปติฯ ตถา ‘‘ปาปกรณํ นาเมตํ อนฺธพาลานํ กมฺมํ, น ปณฺฑิตานํ, มาทิสสฺส ปณฺฑิตสฺส พหุสฺสุตสฺส อิทํ กมฺมํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ เอวํ พาหุสจฺจํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปาณาติปาตาทิปาปกมฺมํ อกโรโนฺต หิริํ สมุฎฺฐาเปติฯ เอวํ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานํ หิริํ จตูหิ การเณหิ สมุฎฺฐาเปติฯ สมุฎฺฐาเปตฺวา จ ปน อตฺตโน จิเตฺต หิริํ ปเวเสตฺวา ปาปกมฺมํ น กโรติฯ เอวํ หิรี อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานา นาม โหติฯ
Tattha ajjhattasamuṭṭhānaṃ hiriṃ catūhi kāraṇehi samuṭṭhāpeti – jātiṃ paccavekkhitvā, vayaṃ paccavekkhitvā, sūrabhāvaṃ paccavekkhitvā, bāhusaccaṃ paccavekkhitvā. Kathaṃ? ‘‘Pāpakaraṇaṃ nāmetaṃ na jātisampannānaṃ kammaṃ, hīnajaccānaṃ kevaṭṭādīnaṃ kammaṃ, mādisassa jātisampannassa idaṃ kammaṃ kātuṃ na yutta’’nti evaṃ tāva jātiṃ paccavekkhitvā pāṇātipātādipāpakammaṃ akaronto hiriṃ samuṭṭhāpeti. Tathā ‘‘pāpakaraṇaṃ nāmetaṃ daharehi kattabbakammaṃ, mādisassa vaye ṭhitassa idaṃ kammaṃ kātuṃ na yutta’’nti evaṃ vayaṃ paccavekkhitvā pāṇātipātādipāpakammaṃ akaronto hiriṃ samuṭṭhāpeti. Tathā ‘‘pāpakaraṇaṃ nāmetaṃ dubbalajātikānaṃ kammaṃ, mādisassa sūrabhāvasampannassa idaṃ kammaṃ kātuṃ na yutta’’nti evaṃ sūrabhāvaṃ paccavekkhitvā pāṇātipātādipāpakammaṃ akaronto hiriṃ samuṭṭhāpeti. Tathā ‘‘pāpakaraṇaṃ nāmetaṃ andhabālānaṃ kammaṃ, na paṇḍitānaṃ, mādisassa paṇḍitassa bahussutassa idaṃ kammaṃ kātuṃ na yutta’’nti evaṃ bāhusaccaṃ paccavekkhitvā pāṇātipātādipāpakammaṃ akaronto hiriṃ samuṭṭhāpeti. Evaṃ ajjhattasamuṭṭhānaṃ hiriṃ catūhi kāraṇehi samuṭṭhāpeti. Samuṭṭhāpetvā ca pana attano citte hiriṃ pavesetvā pāpakammaṃ na karoti. Evaṃ hirī ajjhattasamuṭṭhānā nāma hoti.
กถํ โอตฺตปฺปํ พหิทฺธาสมุฎฺฐานํ นาม? ‘‘สเจ ตฺวํ ปาปกมฺมํ กริสฺสสิ, จตูสุ ปริสาสุ ครหปฺปโตฺต ภวิสฺสสิฯ
Kathaṃ ottappaṃ bahiddhāsamuṭṭhānaṃ nāma? ‘‘Sace tvaṃ pāpakammaṃ karissasi, catūsu parisāsu garahappatto bhavissasi.
‘‘ครหิสฺสนฺติ ตํ วิญฺญู, อสุจิํ นาคริโก ยถา;
‘‘Garahissanti taṃ viññū, asuciṃ nāgariko yathā;
วชฺชิโต สีลวเนฺตหิ, กถํ ภิกฺขุ กริสฺสสี’’ติฯ –
Vajjito sīlavantehi, kathaṃ bhikkhu karissasī’’ti. –
ปจฺจเวกฺขโนฺต หิ พหิทฺธาสมุฎฺฐิเตน โอตฺตเปฺปน ปาปกมฺมํ น กโรติฯ เอวํ โอตฺตปฺปํ พหิทฺธาสมุฎฺฐานํ นาม โหติฯ
Paccavekkhanto hi bahiddhāsamuṭṭhitena ottappena pāpakammaṃ na karoti. Evaṃ ottappaṃ bahiddhāsamuṭṭhānaṃ nāma hoti.
กถํ หิรี อตฺตาธิปเตยฺยา นาม? อิเธกโจฺจ กุลปุโตฺต อตฺตานํ อธิปติํ เชฎฺฐกํ กตฺวา ‘‘มาทิสสฺส สทฺธาปพฺพชิตสฺส พหุสฺสุตสฺส ธุตวาทิสฺส น ยุตฺตํ ปาปกมฺมํ กาตุ’’นฺติ ปาปกมฺมํ น กโรติฯ เอวํ หิรี อตฺตาธิปเตยฺยา นาม โหติฯ เตนาห ภควา –
Kathaṃ hirī attādhipateyyā nāma? Idhekacco kulaputto attānaṃ adhipatiṃ jeṭṭhakaṃ katvā ‘‘mādisassa saddhāpabbajitassa bahussutassa dhutavādissa na yuttaṃ pāpakammaṃ kātu’’nti pāpakammaṃ na karoti. Evaṃ hirī attādhipateyyā nāma hoti. Tenāha bhagavā –
‘‘โส อตฺตานํเยว อธิปติํ กริตฺวา อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวติ, สาวชฺชํ ปชหติ, อนวชฺชํ ภาเวติ, สุทฺธมตฺตานํ ปริหรตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๔๐)ฯ
‘‘So attānaṃyeva adhipatiṃ karitvā akusalaṃ pajahati, kusalaṃ bhāveti, sāvajjaṃ pajahati, anavajjaṃ bhāveti, suddhamattānaṃ pariharatī’’ti (a. ni. 3.40).
กถํ โอตฺตปฺปํ โลกาธิปเตยฺยํ นาม? อิเธกโจฺจ กุลปุโตฺต โลกํ อธิปติํ เชฎฺฐกํ กตฺวา ปาปกมฺมํ น กโรติฯ ยถาห –
Kathaṃ ottappaṃ lokādhipateyyaṃ nāma? Idhekacco kulaputto lokaṃ adhipatiṃ jeṭṭhakaṃ katvā pāpakammaṃ na karoti. Yathāha –
‘‘มหา โข ปนายํ โลกสนฺนิวาโสฯ มหนฺตสฺมิํ โข ปน โลกสนฺนิวาเส สนฺติ สมณพฺราหฺมณา อิทฺธิมโนฺต ทิพฺพจกฺขุกา ปรจิตฺตวิทุโน , เต ทูรโตปิ ปสฺสนฺติ, อาสนฺนาปิ น ทิสฺสนฺติ, เจตสาปิ จิตฺตํ ปชานนฺติ, เตปิ มํ เอวํ ชานิสฺสนฺติ ‘ปสฺสถ โภ อิมํ กุลปุตฺตํ, สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต สมาโน โวกิโณฺณ วิหรติ ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติฯ สนฺติ เทวตา อิทฺธิมนฺตินิโย ทิพฺพจกฺขุกา ปรจิตฺตวิทุนิโย, ตา ทูรโตปิ ปสฺสนฺติ, อาสนฺนาปิ น ทิสฺสนฺติ, เจตสาปิ จิตฺตํ ปชานนฺติ, ตาปิ มํ เอวํ ชานิสฺสนฺติ ‘ปสฺสถ โภ อิมํ, กุลปุตฺตํ, สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต สมาโน โวกิโณฺณ วิหรติ ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติฯ โส โลกํเยว อธิปติํ กตฺวา อกุสลํ ปชหตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๔๐)ฯ
‘‘Mahā kho panāyaṃ lokasannivāso. Mahantasmiṃ kho pana lokasannivāse santi samaṇabrāhmaṇā iddhimanto dibbacakkhukā paracittaviduno , te dūratopi passanti, āsannāpi na dissanti, cetasāpi cittaṃ pajānanti, tepi maṃ evaṃ jānissanti ‘passatha bho imaṃ kulaputtaṃ, saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito samāno vokiṇṇo viharati pāpakehi akusalehi dhammehī’ti. Santi devatā iddhimantiniyo dibbacakkhukā paracittaviduniyo, tā dūratopi passanti, āsannāpi na dissanti, cetasāpi cittaṃ pajānanti, tāpi maṃ evaṃ jānissanti ‘passatha bho imaṃ, kulaputtaṃ, saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito samāno vokiṇṇo viharati pāpakehi akusalehi dhammehī’ti. So lokaṃyeva adhipatiṃ katvā akusalaṃ pajahatī’’ti (a. ni. 3.40).
เอวํ โลกาธิปเตยฺยํ โอตฺตปฺปํฯ
Evaṃ lokādhipateyyaṃ ottappaṃ.
ลชฺชาสภาวสณฺฐิตาติ เอตฺถ ลชฺชาติ ลชฺชนากาโร, เตน สภาเวน สณฺฐิตา หิรีฯ ภยนฺติ อปายภยํ, เตน สภาเวน สณฺฐิตํ โอตฺตปฺปํฯ ตทุภยํ ปาปปริวชฺชเน ปากฎํ โหติฯ ตตฺถ ยถา ทฺวีสุ อโยคุเฬสุ เอโก สีตโล ภเวยฺย คูถมกฺขิโต, เอโก อุโณฺห อาทิโตฺตฯ เตสุ ยถา สีตลํ คูถมกฺขิตตฺตา ชิคุจฺฉโนฺต วิญฺญุชาติโก น คณฺหาติ, อิตรํ ทาหภเยน, เอวํ ปณฺฑิโต ลชฺชาย ชิคุจฺฉโนฺต ปาปํ น กโรติ, โอตฺตเปฺปน อปายภีโต ปาปํ น กโรติฯ เอวํ ลชฺชาสภาวสณฺฐิตา หิรี, ภยสภาวสณฺฐิตํ โอตฺตปฺปํฯ
Lajjāsabhāvasaṇṭhitāti ettha lajjāti lajjanākāro, tena sabhāvena saṇṭhitā hirī. Bhayanti apāyabhayaṃ, tena sabhāvena saṇṭhitaṃ ottappaṃ. Tadubhayaṃ pāpaparivajjane pākaṭaṃ hoti. Tattha yathā dvīsu ayoguḷesu eko sītalo bhaveyya gūthamakkhito, eko uṇho āditto. Tesu yathā sītalaṃ gūthamakkhitattā jigucchanto viññujātiko na gaṇhāti, itaraṃ dāhabhayena, evaṃ paṇḍito lajjāya jigucchanto pāpaṃ na karoti, ottappena apāyabhīto pāpaṃ na karoti. Evaṃ lajjāsabhāvasaṇṭhitā hirī, bhayasabhāvasaṇṭhitaṃ ottappaṃ.
กถํ สปฺปติสฺสวลกฺขณา หิรี, วชฺชภีรุกภยทสฺสาวิลกฺขณํ โอตฺตปฺปํ? เอกโจฺจ หิ ชาติมหตฺตปจฺจเวกฺขณา, สตฺถุมหตฺตปจฺจเวกฺขณา, ทายชฺชมหตฺตปจฺจเวกฺขณา, สพฺรหฺมจาริมหตฺตปจฺจเวกฺขณาติ จตูหิ การเณหิ ตตฺถ คารเวน สปฺปติสฺสวลกฺขณํ หิริํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ปาปํ น กโรติ, เอกโจฺจ อตฺตานุวาทภยํ, ปรานุวาทภยํ, ทณฺฑภยํ, ทุคฺคติภยนฺติ จตูหิ การเณหิ วชฺชโต ภายโนฺต วชฺชภีรุกภยทสฺสาวิลกฺขณํ โอตฺตปฺปํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ปาปํ น กโรติฯ เอตฺถ จ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานาทิตา หิโรตฺตปฺปานํ ตตฺถ ตตฺถ ปากฎภาเวน วุตฺตา, น ปน เนสํ กทาจิ อญฺญมญฺญวิปฺปโยโคฯ น หิ ลชฺชนํ นิพฺภยํ, ปาปภยํ วา อลชฺชนํ อตฺถีติฯ
Kathaṃ sappatissavalakkhaṇā hirī, vajjabhīrukabhayadassāvilakkhaṇaṃ ottappaṃ? Ekacco hi jātimahattapaccavekkhaṇā, satthumahattapaccavekkhaṇā, dāyajjamahattapaccavekkhaṇā, sabrahmacārimahattapaccavekkhaṇāti catūhi kāraṇehi tattha gāravena sappatissavalakkhaṇaṃ hiriṃ samuṭṭhāpetvā pāpaṃ na karoti, ekacco attānuvādabhayaṃ, parānuvādabhayaṃ, daṇḍabhayaṃ, duggatibhayanti catūhi kāraṇehi vajjato bhāyanto vajjabhīrukabhayadassāvilakkhaṇaṃ ottappaṃ samuṭṭhāpetvā pāpaṃ na karoti. Ettha ca ajjhattasamuṭṭhānāditā hirottappānaṃ tattha tattha pākaṭabhāvena vuttā, na pana nesaṃ kadāci aññamaññavippayogo. Na hi lajjanaṃ nibbhayaṃ, pāpabhayaṃ vā alajjanaṃ atthīti.
อิเม เจ, ภิกฺขเว, เทฺว สุกฺกา ธมฺมา โลกํ น ปาเลยฺยุนฺติ ภิกฺขเว, อิเม เทฺว อนวชฺชธมฺมา ยทิ โลกํ น รเกฺขยฺยุํ, โลกปาลกา ยทิ น ภเวยฺยุํฯ นยิธ ปญฺญาเยถ มาตาติ อิธ อิมสฺมิํ โลเก ชนิกา มาตา ‘‘อยํ เม มาตา’’ติ ครุจิตฺตีการวเสน น ปญฺญาเยถ, ‘‘อยํ มาตา’’ติ น ลเพฺภยฺยฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ มาตุจฺฉาติ มาตุภคินีฯ มาตุลานีติ มาตุลภริยาฯ ครูนนฺติ มหาปิตุจูฬปิตุเชฎฺฐภาตุอาทีนํ ครุฎฺฐานิยานํฯ สเมฺภทนฺติ สงฺกรํ, มริยาทเภทํ วาฯ ยถา อเชฬกาติอาทีหิ อุปมํ ทเสฺสติฯ เอเต หิ สตฺตา ‘‘อยํ เม มาตา’’ติ วา ‘‘มาตุจฺฉา’’ติ วา ครุจิตฺตีการวเสน น ชานนฺติ, ยํ วตฺถุํ นิสฺสาย อุปฺปนฺนา, ตตฺถปิ วิปฺปฎิปชฺชนฺติฯ ตสฺมา อุปมํ อาหรโนฺต อเชฬกาทโย อาหริฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ยถา อเชฬกาทโย ติรจฺฉานา หิโรตฺตปฺปรหิตา มาตาทิสญฺญํ อกตฺวา ภินฺนมริยาทา สพฺพตฺถ สเมฺภเทน วตฺตนฺติ, เอวมยํ มนุสฺสโลโก ยทิ โลกปาลกธมฺมา น ภเวยฺยุํ, สพฺพตฺถ สเมฺภเทน วเตฺตยฺยฯ ยสฺมา ปนิเม โลกปาลกธมฺมา โลกํ ปาเลนฺติ, ตสฺมา นตฺถิ สเมฺภโทติฯ
Imece, bhikkhave, dve sukkā dhammā lokaṃ na pāleyyunti bhikkhave, ime dve anavajjadhammā yadi lokaṃ na rakkheyyuṃ, lokapālakā yadi na bhaveyyuṃ. Nayidha paññāyetha mātāti idha imasmiṃ loke janikā mātā ‘‘ayaṃ me mātā’’ti garucittīkāravasena na paññāyetha, ‘‘ayaṃ mātā’’ti na labbheyya. Sesapadesupi eseva nayo. Mātucchāti mātubhaginī. Mātulānīti mātulabhariyā. Garūnanti mahāpitucūḷapitujeṭṭhabhātuādīnaṃ garuṭṭhāniyānaṃ. Sambhedanti saṅkaraṃ, mariyādabhedaṃ vā. Yathā ajeḷakātiādīhi upamaṃ dasseti. Ete hi sattā ‘‘ayaṃ me mātā’’ti vā ‘‘mātucchā’’ti vā garucittīkāravasena na jānanti, yaṃ vatthuṃ nissāya uppannā, tatthapi vippaṭipajjanti. Tasmā upamaṃ āharanto ajeḷakādayo āhari. Ayañhettha saṅkhepattho – yathā ajeḷakādayo tiracchānā hirottapparahitā mātādisaññaṃ akatvā bhinnamariyādā sabbattha sambhedena vattanti, evamayaṃ manussaloko yadi lokapālakadhammā na bhaveyyuṃ, sabbattha sambhedena vatteyya. Yasmā panime lokapālakadhammā lokaṃ pālenti, tasmā natthi sambhedoti.
คาถาสุ เยสํ เจ หิริโอตฺตปฺปนฺติ เจติ นิปาตมตฺตํฯ เยสํ สตฺตานํ หิรี จ โอตฺตปฺปญฺจ สพฺพทาว สพฺพกาลเมว น วิชฺชติ น อุปลพฺภติฯ โวกฺกนฺตา สุกฺกมูลา เตติ เต สตฺตา กุสลมูลปเจฺฉทาวหสฺสาปิ กมฺมสฺส กรณโต กุสลกมฺมานํ ปติฎฺฐานภูตานํ หิโรตฺตปฺปานเมว วา อภาวโต กุสลโต โวกฺกมิตฺวา, อปสกฺกิตฺวา, ฐิตตฺตา โวกฺกนฺตา สุกฺกมูลา, ปุนปฺปุนํ ชายนมียนสภาวตฺตา ชาติมรณคามิโน สํสารํ นาติวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ
Gāthāsu yesaṃ ce hiriottappanti ceti nipātamattaṃ. Yesaṃ sattānaṃ hirī ca ottappañca sabbadāva sabbakālameva na vijjati na upalabbhati. Vokkantā sukkamūlā teti te sattā kusalamūlapacchedāvahassāpi kammassa karaṇato kusalakammānaṃ patiṭṭhānabhūtānaṃ hirottappānameva vā abhāvato kusalato vokkamitvā, apasakkitvā, ṭhitattā vokkantā sukkamūlā, punappunaṃ jāyanamīyanasabhāvattā jātimaraṇagāmino saṃsāraṃ nātivattantīti attho.
เยสญฺจ หิริโอตฺตปฺปนฺติ เยสํ ปน ปริสุทฺธมตีนํ สตฺตานํ หิรี จ โอตฺตปฺปญฺจาติ อิเม ธมฺมา สทา สพฺพกาลํ รตฺตินฺทิวํ นวมชฺฌิมเตฺถรกาเลสุ สมฺมา อุปคมฺม ฐิตา ปาปา ชิคุจฺฉนฺตา ภายนฺตา ตทงฺคาทิวเสน ปาปํ ปชหนฺตาฯ วิรูฬฺหพฺรหฺมจริยาติ สาสนพฺรหฺมจริเย มคฺคพฺรหฺมจริเย จ วิรูฬฺหํ อาปนฺนา, อคฺคมคฺคาธิคเมน สพฺพโส สนฺตกิเลสตาย สนฺตคุณตาย วา สโนฺต, ปุนพฺภวสฺส เขปิตตฺตา ขีณปุนพฺภวา โหนฺตีติฯ
Yesañca hiriottappanti yesaṃ pana parisuddhamatīnaṃ sattānaṃ hirī ca ottappañcāti ime dhammā sadā sabbakālaṃ rattindivaṃ navamajjhimattherakālesu sammā upagamma ṭhitā pāpā jigucchantā bhāyantā tadaṅgādivasena pāpaṃ pajahantā. Virūḷhabrahmacariyāti sāsanabrahmacariye maggabrahmacariye ca virūḷhaṃ āpannā, aggamaggādhigamena sabbaso santakilesatāya santaguṇatāya vā santo, punabbhavassa khepitattā khīṇapunabbhavā hontīti.
ปญฺจมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pañcamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๕. สุกฺกธมฺมสุตฺตํ • 5. Sukkadhammasuttaṃ