Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๘. สุกฺกสุตฺตวณฺณนา
8. Sukkasuttavaṇṇanā
๘. อฎฺฐเม ‘‘สุกฺกํ วตฺถ’’นฺติอาทีสุ วิย น วณฺณสุกฺกตาย ธมฺมานํ สุกฺกตา, อถ โข สุกฺกาภิชาติเหตุโต ปภสฺสรภาวกรณโต จาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘น วณฺณสุกฺกตายา’’ติอาทิมาหฯ สุกฺกตายาติ สุกฺกาภิชาติตายฯ หิรี ปาปธเมฺม คูถํ วิย ปสฺสนฺตี ชิคุจฺฉตีติ อาห ‘‘ปาปโต ชิคุจฺฉนลกฺขณา หิรี’’ติฯ โอตฺตปฺปํ เต อุณฺหํ วิย ปสฺสนฺตํ ตโต ภายตีติ วุตฺตํ ‘‘ภายนลกฺขณํ โอตปฺป’’นฺติฯ อิทญฺจ หิโรตฺตปฺปํ อญฺญมญฺญวิปฺปโยคี ปาปโต วิมุขภูตญฺจ, ตสฺมา เนสํ อิทํ นานากรณํ – อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานา หิรี, พหิทฺธาสมุฎฺฐานํ โอตฺตปฺปํฯ อตฺตาธิปติ หิรี, โลกาธิปติ โอตปฺปํฯ ลชฺชาสภาวสณฺฐิตา หิรี, ภยสภาวสณฺฐิตํ โอตฺตปฺปํฯ สปฺปติสฺสวลกฺขณา หิรี, วชฺชภีรุกภยทสฺสาวิลกฺขณํ โอตฺตปฺปนฺติฯ
8. Aṭṭhame ‘‘sukkaṃ vattha’’ntiādīsu viya na vaṇṇasukkatāya dhammānaṃ sukkatā, atha kho sukkābhijātihetuto pabhassarabhāvakaraṇato cāti dassento ‘‘na vaṇṇasukkatāyā’’tiādimāha. Sukkatāyāti sukkābhijātitāya. Hirī pāpadhamme gūthaṃ viya passantī jigucchatīti āha ‘‘pāpato jigucchanalakkhaṇā hirī’’ti. Ottappaṃ te uṇhaṃ viya passantaṃ tato bhāyatīti vuttaṃ ‘‘bhāyanalakkhaṇaṃ otappa’’nti. Idañca hirottappaṃ aññamaññavippayogī pāpato vimukhabhūtañca, tasmā nesaṃ idaṃ nānākaraṇaṃ – ajjhattasamuṭṭhānā hirī, bahiddhāsamuṭṭhānaṃ ottappaṃ. Attādhipati hirī, lokādhipati otappaṃ. Lajjāsabhāvasaṇṭhitā hirī, bhayasabhāvasaṇṭhitaṃ ottappaṃ. Sappatissavalakkhaṇā hirī, vajjabhīrukabhayadassāvilakkhaṇaṃ ottappanti.
ตตฺถ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานํ หิริํ จตูหิ การเณหิ สมุฎฺฐาเปติ ชาติํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา, วยํ, สูรภาวํ, พาหุสจฺจํ ปจฺจเวกฺขิตฺวาฯ กถํ? ‘‘ปาปกรณํ นาเมตํ น ชาติสมฺปนฺนานํ กมฺมํ, หีนชจฺจานํ เกวฎฺฎาทีนํ กมฺมํ, มาทิสสฺส ชาติสมฺปนฺนสฺส อิทํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ เอวํ ตาว ชาติํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปาปํ อกโรโนฺต หิริํ สมุฎฺฐาเปติฯ ตถา ‘‘ปาปกรณํ นาเมตํ ทหเรหิ กตฺตพฺพํ กมฺมํ, มาทิสสฺส วเย ฐิตสฺส อิทํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ เอวํ วยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปาปํ อกโรโนฺต หิริํ สมุฎฺฐาเปติฯ ตถา ‘‘ปาปกรณํ นาเมตํ ทุพฺพลชาติกานํ กมฺมํ, มาทิสสฺส สูรภาวสมฺปนฺนสฺส อิทํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ เอวํ สูรภาวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปาปํ อกโรโนฺต หิริํ สมุฎฺฐาเปติฯ ตถา ‘‘ปาปกมฺมํ นาเมตํ อนฺธพาลานํ กมฺมํ, น ปณฺฑิตานํ, มาทิสสฺส ปณฺฑิตสฺส พหุสฺสุตสฺส อิทํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ เอวํ พาหุสจฺจํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปาปํ อกโรโนฺต หิริํ สมุฎฺฐาเปติฯ เอวํ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานํ หิริํ จตูหิ การเณหิ สมุฎฺฐาเปติ, สมุฎฺฐาเปโนฺต จ หิริํ นิสฺสาย ปาปกมฺมํ น กโรติฯ
Tattha ajjhattasamuṭṭhānaṃ hiriṃ catūhi kāraṇehi samuṭṭhāpeti jātiṃ paccavekkhitvā, vayaṃ, sūrabhāvaṃ, bāhusaccaṃ paccavekkhitvā. Kathaṃ? ‘‘Pāpakaraṇaṃ nāmetaṃ na jātisampannānaṃ kammaṃ, hīnajaccānaṃ kevaṭṭādīnaṃ kammaṃ, mādisassa jātisampannassa idaṃ kātuṃ na yutta’’nti evaṃ tāva jātiṃ paccavekkhitvā pāpaṃ akaronto hiriṃ samuṭṭhāpeti. Tathā ‘‘pāpakaraṇaṃ nāmetaṃ daharehi kattabbaṃ kammaṃ, mādisassa vaye ṭhitassa idaṃ kātuṃ na yutta’’nti evaṃ vayaṃ paccavekkhitvā pāpaṃ akaronto hiriṃ samuṭṭhāpeti. Tathā ‘‘pāpakaraṇaṃ nāmetaṃ dubbalajātikānaṃ kammaṃ, mādisassa sūrabhāvasampannassa idaṃ kātuṃ na yutta’’nti evaṃ sūrabhāvaṃ paccavekkhitvā pāpaṃ akaronto hiriṃ samuṭṭhāpeti. Tathā ‘‘pāpakammaṃ nāmetaṃ andhabālānaṃ kammaṃ, na paṇḍitānaṃ, mādisassa paṇḍitassa bahussutassa idaṃ kātuṃ na yutta’’nti evaṃ bāhusaccaṃ paccavekkhitvā pāpaṃ akaronto hiriṃ samuṭṭhāpeti. Evaṃ ajjhattasamuṭṭhānaṃ hiriṃ catūhi kāraṇehi samuṭṭhāpeti, samuṭṭhāpento ca hiriṃ nissāya pāpakammaṃ na karoti.
กถํ พหิทฺธาสมุฎฺฐานํ โอตฺตปฺปํ? ‘‘สเจ ตฺวํ ปาปกมฺมํ กริสฺสสิ, จตูสุ ปริสาสุ ครหปฺปโตฺต ภวิสฺสสิ, ตโต ตํ สีลวโนฺต สพฺรหฺมจารี วิวชฺชิสฺสนฺตี’’ติ ปจฺจเวกฺขิตฺวา พหิทฺธาสมุฎฺฐานํ โอตฺตปฺปํ นิสฺสาย ปาปกมฺมํ น กโรติฯ เอวํ พหิทฺธาสมุฎฺฐานํ โอตฺตปฺปํฯ
Kathaṃ bahiddhāsamuṭṭhānaṃ ottappaṃ? ‘‘Sace tvaṃ pāpakammaṃ karissasi, catūsu parisāsu garahappatto bhavissasi, tato taṃ sīlavanto sabrahmacārī vivajjissantī’’ti paccavekkhitvā bahiddhāsamuṭṭhānaṃ ottappaṃ nissāya pāpakammaṃ na karoti. Evaṃ bahiddhāsamuṭṭhānaṃ ottappaṃ.
กถํ อตฺตาธิปติ หิรี? อิเธกโจฺจ กุลปุโตฺต อตฺตานํ อธิปติํ เชฎฺฐกํ กตฺวา ‘‘มาทิสสฺส สทฺธาปพฺพชิตสฺส พหุสฺสุตสฺส ธุตธรสฺส น ยุตฺตํ ปาปกมฺมํ กาตุ’’นฺติ ปาปํ น กโรติฯ เอวํ อตฺตาธิปติ หิรีฯ เตนาห ภควา ‘‘โส อตฺตานํเยว อธิปติํ กริตฺวา อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวติ, สาวชฺชํ ปชหติ, อนวชฺชํ ภาเวติ, สุทฺธํ อตฺตานํ ปริหรตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๔๐)ฯ
Kathaṃ attādhipati hirī? Idhekacco kulaputto attānaṃ adhipatiṃ jeṭṭhakaṃ katvā ‘‘mādisassa saddhāpabbajitassa bahussutassa dhutadharassa na yuttaṃ pāpakammaṃ kātu’’nti pāpaṃ na karoti. Evaṃ attādhipati hirī. Tenāha bhagavā ‘‘so attānaṃyeva adhipatiṃ karitvā akusalaṃ pajahati, kusalaṃ bhāveti, sāvajjaṃ pajahati, anavajjaṃ bhāveti, suddhaṃ attānaṃ pariharatī’’ti (a. ni. 3.40).
กถํ โลกาธิปติ โอตฺตปฺปํ? อิเธกโจฺจ กุลปุโตฺต โลกํ อธิปติํ เชฎฺฐกํ กตฺวา ‘‘สเจ โข ตฺวํ ปาปกมฺมํ กเรยฺยาสิ, สพฺรหฺมจาริโน ตาว ตํ ชานิสฺสนฺติ, มหิทฺธิกา มหานุภาวา โลเก จ สมณพฺราหฺมณา เทวตา จ, ตสฺมา เต น ยุตฺตํ ปาปํ กาตุ’’นฺติ ปาปกมฺมํ น กโรติฯ ยถาห – ‘‘มหา โข ปนายํ โลกสนฺนิวาโส, มหนฺตสฺมิํ โข ปน โลกสนฺนิวาเส สนฺติ สมณพฺราหฺมณา อิทฺธิมโนฺต ทิพฺพจกฺขุกา ปรจิตฺตวิทุโนฯ เต ทูรโตปิ ปสฺสนฺติ, อาสนฺนาปิ น ทิสฺสนฺติ, เจตสาปิ จิตฺตํ ชานนฺติ, เตปิ มํ เอวํ ชานิสฺสนฺติ ‘ปสฺสถ, โภ, อิมํ กุลปุตฺตํ, สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต สมาโน โวกิโณฺณ วิหรติ ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติฯ สนฺติ เทวตา อิทฺธิมนฺตินิโย ทิพฺพจกฺขุกา ปรจิตฺตวิทุนิโย, ตา ทูรโตปิ ปสฺสนฺติ, อาสนฺนาปิ น ทิสฺสนฺติ, เจตสาปิ จิตฺตํ ชานนฺติ, ตาปิ มํ ชานิสฺสนฺติ ‘ปสฺสถ, โภ, อิมํ กุลปุตฺตํ, สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต สมาโน โวกิโณฺณ วิหรติ ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติ…เป.… โส โลกํเยว อธิปติํ กริตฺวา อกุสลํ…เป.… ปริหรตี’’ติฯ เอวํ โลกาธิปติ โอตฺตปฺปํฯ
Kathaṃ lokādhipati ottappaṃ? Idhekacco kulaputto lokaṃ adhipatiṃ jeṭṭhakaṃ katvā ‘‘sace kho tvaṃ pāpakammaṃ kareyyāsi, sabrahmacārino tāva taṃ jānissanti, mahiddhikā mahānubhāvā loke ca samaṇabrāhmaṇā devatā ca, tasmā te na yuttaṃ pāpaṃ kātu’’nti pāpakammaṃ na karoti. Yathāha – ‘‘mahā kho panāyaṃ lokasannivāso, mahantasmiṃ kho pana lokasannivāse santi samaṇabrāhmaṇā iddhimanto dibbacakkhukā paracittaviduno. Te dūratopi passanti, āsannāpi na dissanti, cetasāpi cittaṃ jānanti, tepi maṃ evaṃ jānissanti ‘passatha, bho, imaṃ kulaputtaṃ, saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito samāno vokiṇṇo viharati pāpakehi akusalehi dhammehī’ti. Santi devatā iddhimantiniyo dibbacakkhukā paracittaviduniyo, tā dūratopi passanti, āsannāpi na dissanti, cetasāpi cittaṃ jānanti, tāpi maṃ jānissanti ‘passatha, bho, imaṃ kulaputtaṃ, saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito samāno vokiṇṇo viharati pāpakehi akusalehi dhammehī’ti…pe… so lokaṃyeva adhipatiṃ karitvā akusalaṃ…pe… pariharatī’’ti. Evaṃ lokādhipati ottappaṃ.
ลชฺชาสภาวสณฺฐิตาติ เอตฺถ ลชฺชาติ ลชฺชนากาโร, เตน สภาเวน สณฺฐิตา หิรีฯ ภยนฺติ อปายภยํ, เตน สภาเวน สณฺฐิตํ โอตฺตปฺปํฯ ตทุภยํ ปาปปริวชฺชเน ปากฎํ โหติฯ ตตฺถ ยถา ทฺวีสุ อโยคุเฬสุ เอโก สีตโล ภเวยฺย คูถมกฺขิโต, เอโก อุโณฺห อาทิโตฺตฯ เตสุ ยถา สีตลํ คูถมกฺขิตตฺตา ชิคุจฺฉโนฺต วิญฺญุชาติโก น คณฺหาติ, อิตรํ ฑาหภเยนฯ เอวํ ปณฺฑิโต ลชฺชาย ชิคุจฺฉโนฺต ปาปํ น กโรติ, โอตฺตเปฺปน อปายภยภีโต ปาปํ น กโรติ, เอวํ ลชฺชาสภาวสณฺฐิตา หิรี, ภยสภาวสณฺฐิตํ โอตฺตปฺปํฯ
Lajjāsabhāvasaṇṭhitāti ettha lajjāti lajjanākāro, tena sabhāvena saṇṭhitā hirī. Bhayanti apāyabhayaṃ, tena sabhāvena saṇṭhitaṃ ottappaṃ. Tadubhayaṃ pāpaparivajjane pākaṭaṃ hoti. Tattha yathā dvīsu ayoguḷesu eko sītalo bhaveyya gūthamakkhito, eko uṇho āditto. Tesu yathā sītalaṃ gūthamakkhitattā jigucchanto viññujātiko na gaṇhāti, itaraṃ ḍāhabhayena. Evaṃ paṇḍito lajjāya jigucchanto pāpaṃ na karoti, ottappena apāyabhayabhīto pāpaṃ na karoti, evaṃ lajjāsabhāvasaṇṭhitā hirī, bhayasabhāvasaṇṭhitaṃ ottappaṃ.
กถํ สปฺปติสฺสวลกฺขณา หิรี, วชฺชภีรุกภยทสฺสาวิลกฺขณํ โอตฺตปฺปํ? เอกโจฺจ หิ ชาติมหตฺตปจฺจเวกฺขณา, สตฺถุมหตฺตปจฺจเวกฺขณา, ทายชฺชมหตฺตปจฺจเวกฺขณา, สพฺรหฺมจาริมหตฺตปจฺจเวกฺขณาติ เอวํ จตูหิ การเณหิ ตตฺถ คารเวน สปฺปติสฺสวลกฺขณํ หิริํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ปาปํ น กโรติฯ เอกโจฺจ อตฺตานุวาทภยํ, ปรานุวาทภยํ, ทณฺฑภยํ, ทุคฺคติภยนฺติ เอวํ จตูหิ การเณหิ วชฺชโต ภายโนฺต วชฺชภีรุกภยทสฺสาวิลกฺขณํ โอตฺตปฺปํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา ปาปกมฺมํ น กโรติฯ เอตฺถ จ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานาทิตา หิโรตฺตปฺปานํ ตตฺถ ตตฺถ ปากฎภาเวน วุตฺตา, น ปน เนสํ กทาจิ อญฺญมญฺญวิปฺปโยโคฯ น หิ ลชฺชนํ นิพฺภยํ, ปาปภยํ วา อลชฺชนํ อตฺถีติฯ เอวเมตฺถ วิตฺถารโต อตฺถวณฺณนา เวทิตพฺพาฯ
Kathaṃ sappatissavalakkhaṇā hirī, vajjabhīrukabhayadassāvilakkhaṇaṃ ottappaṃ? Ekacco hi jātimahattapaccavekkhaṇā, satthumahattapaccavekkhaṇā, dāyajjamahattapaccavekkhaṇā, sabrahmacārimahattapaccavekkhaṇāti evaṃ catūhi kāraṇehi tattha gāravena sappatissavalakkhaṇaṃ hiriṃ samuṭṭhāpetvā pāpaṃ na karoti. Ekacco attānuvādabhayaṃ, parānuvādabhayaṃ, daṇḍabhayaṃ, duggatibhayanti evaṃ catūhi kāraṇehi vajjato bhāyanto vajjabhīrukabhayadassāvilakkhaṇaṃ ottappaṃ paccupaṭṭhāpetvā pāpakammaṃ na karoti. Ettha ca ajjhattasamuṭṭhānāditā hirottappānaṃ tattha tattha pākaṭabhāvena vuttā, na pana nesaṃ kadāci aññamaññavippayogo. Na hi lajjanaṃ nibbhayaṃ, pāpabhayaṃ vā alajjanaṃ atthīti. Evamettha vitthārato atthavaṇṇanā veditabbā.
สุกฺกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sukkasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๘. สุกฺกสุตฺตํ • 8. Sukkasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๘. สุกฺกสุตฺตวณฺณนา • 8. Sukkasuttavaṇṇanā