Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-อภินว-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-abhinava-ṭīkā |
สงฺฆาทิเสสกณฺฑํ
Saṅghādisesakaṇḍaṃ
ปิยวจเนน อาลปนนฺติ ปิยายิตพฺพวจเนนาลปนํ, สาธูนํ สมาลปนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สาธโว หิ ปเร ‘‘โภโนฺต’’ติ วา ‘‘เทวานํปิยา’’ติ วา ‘‘ภทฺรภว’’นฺติ วา ‘‘อายสฺมโนฺต’’ติ วา สมาลปนฺติฯ
Piyavacanenaālapananti piyāyitabbavacanenālapanaṃ, sādhūnaṃ samālapananti vuttaṃ hoti. Sādhavo hi pare ‘‘bhonto’’ti vā ‘‘devānaṃpiyā’’ti vā ‘‘bhadrabhava’’nti vā ‘‘āyasmanto’’ti vā samālapanti.
๑. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา
1. Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā
สํ-สโทฺท วิชฺชมานโตฺถติ อาห ‘‘สํวิชฺชตี’’ติฯ เจตนาติ วีติกฺกมวสปฺปวตฺตา ปุพฺพภาคเจตนา, โมจนสฺสาทเจตนาติ อโตฺถฯ อสฺสาติ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิยาฯ อญฺญปทตฺถสมาเสเนว สุกฺกวิสฺสฎฺฐิยา วุตฺตตฺตา อิก-สทฺทสฺส วิสุํ อโตฺถ นตฺถีติ อาห ‘‘สเญฺจตนาว สเญฺจตนิกา’’ติฯ อิทานิ อิก-สโทฺทว อตฺถิอตฺถํ ปกาเสตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สเญฺจตนา วา’’ติอาทิมาหฯ สํวิชฺชมานา เจตนา สเญฺจตนาฯ สุกฺกสฺสาติ สมฺภวสฺสฯ วิสฎฺฐีติ วิสฺสโคฺคฯ
Saṃ-saddo vijjamānatthoti āha ‘‘saṃvijjatī’’ti. Cetanāti vītikkamavasappavattā pubbabhāgacetanā, mocanassādacetanāti attho. Assāti sukkavissaṭṭhiyā. Aññapadatthasamāseneva sukkavissaṭṭhiyā vuttattā ika-saddassa visuṃ attho natthīti āha ‘‘sañcetanāva sañcetanikā’’ti. Idāni ika-saddova atthiatthaṃ pakāsetīti dassento ‘‘sañcetanā vā’’tiādimāha. Saṃvijjamānā cetanā sañcetanā. Sukkassāti sambhavassa. Visaṭṭhīti vissaggo.
อิทานิ ตํ ยสฺมิํ กาเล โมเจติ, เยนาธิปฺปาเยน โมเจติ, เยน โจปาเยน โมเจติ, ยญฺจ ตสฺส อธิปฺปายสฺส วตฺถุ, ตํ สพฺพํ สเงฺขปโต วิภาเวตฺวา สรูปโต ตํ วิสฎฺฐิํ ทเสฺสตุํ ‘‘ราคูปตฺถมฺภาทีสู’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ราคสฺส พลวภาโว, ราเคน วา องฺคชาตสฺสูปตฺถโมฺภ ถทฺธภาโว ราคูปตฺถโมฺภ, โส อาทิ เยสํ เต ราคูปตฺถมฺภาทโย, เตสุ ราคูปตฺถมฺภาทีสุฯ อาทิสเทฺทน (ปารา. ๒๓๘) วจฺจูปตฺถมฺภปสฺสาวูปตฺถมฺภวาตูปตฺถมฺภอุจฺจาลิงฺคปาณกทฎฺฐูปตฺถมฺภานํ คหณํฯ กมฺมญฺญตํ ปเตฺตติ โมจนกมฺมกฺขมตาย กมฺมนิยตํ ปเตฺต, อชฺฌตฺตรูปาทีสุ อุปกฺกมารหภาวํ ปเตฺตติ อโตฺถฯ อโรคสฺส ภาโว อาโรคฺยํ, ตํ อาทิ เยสํ เต อาโรคฺยาทโย, เตสุ อาโรคฺยาทีสุฯ อาทิสเทฺทน สุขเภสชฺชทานปุญฺญยญฺญสคฺคพีชวีมํสทวานํ คหณํฯ อชฺฌตฺตรูปํ อชฺฌตฺตํ อุปาทินฺนรูปํ, ตํ อาทิ เยสํ เต อชฺฌตฺตรูปาทโย, เตสุฯ อาทิสเทฺทน พหิทฺธารูปอชฺฌตฺตพหิทฺธารูปอากาเสกฎิกมฺปนานํ คหณํฯ โมจเน อสฺสาโท สุขเวทนา โมจนสฺสาโท, โมจนตฺถํ ปุพฺพภาเค ปวตฺตราโค, สมฺปยุตฺตอสฺสาทสีเสน เจตฺถ ราโค วุโตฺต, เตน สมฺปยุตฺตา เจตนา โมจนสฺสาทเจตนา, ตาย ฯ อิมินา มุจฺจนสฺสาโท (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๔๐) มุตฺตสฺสาโท เมถุนสฺสาโท ผสฺสสฺสาโท กณฺฑุวนสฺสาโท ทสฺสนสฺสาโท นิสชฺชสฺสาโท วาจสฺสาโท เคหสิตเปมํ วนภงฺคิยนฺติ อิเมหิ สมฺปยุตฺตา เจตนาโย ปฎิกฺขิปติ, ตาหิ นิมิเตฺต อุปกฺกมนฺตสฺส มุเตฺตปิ อนาปตฺติฯ ‘‘นิมิเตฺต อุปกฺกมนฺตสฺสา’’ติ อิมินา ปน อูรุมทฺทาปนาทีนิ ปฎิกฺขิปติฯ เตน หิ สติปิ โมจนสฺสาเท นิมิเตฺต อุปกฺกมาภาวโต มุเตฺตปิ อนาปตฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ สมนฺตปาสาทิกายํ ‘‘สา จ โข นิมิเตฺต อุปกฺกมนฺตเสฺสว, หตฺถปริกมฺมปาทปริกมฺมคตฺตปริกมฺมกรเณน สเจปิ อสุจิ มุจฺจติ, อนาปตฺตี’’ติฯ
Idāni taṃ yasmiṃ kāle moceti, yenādhippāyena moceti, yena copāyena moceti, yañca tassa adhippāyassa vatthu, taṃ sabbaṃ saṅkhepato vibhāvetvā sarūpato taṃ visaṭṭhiṃ dassetuṃ ‘‘rāgūpatthambhādīsū’’tiādimāha. Tattha rāgassa balavabhāvo, rāgena vā aṅgajātassūpatthambho thaddhabhāvo rāgūpatthambho, so ādi yesaṃ te rāgūpatthambhādayo, tesu rāgūpatthambhādīsu. Ādisaddena (pārā. 238) vaccūpatthambhapassāvūpatthambhavātūpatthambhauccāliṅgapāṇakadaṭṭhūpatthambhānaṃ gahaṇaṃ. Kammaññataṃ patteti mocanakammakkhamatāya kammaniyataṃ patte, ajjhattarūpādīsu upakkamārahabhāvaṃ patteti attho. Arogassa bhāvo ārogyaṃ, taṃ ādi yesaṃ te ārogyādayo, tesu ārogyādīsu. Ādisaddena sukhabhesajjadānapuññayaññasaggabījavīmaṃsadavānaṃ gahaṇaṃ. Ajjhattarūpaṃ ajjhattaṃ upādinnarūpaṃ, taṃ ādi yesaṃ te ajjhattarūpādayo, tesu. Ādisaddena bahiddhārūpaajjhattabahiddhārūpaākāsekaṭikampanānaṃ gahaṇaṃ. Mocane assādo sukhavedanā mocanassādo, mocanatthaṃ pubbabhāge pavattarāgo, sampayuttaassādasīsena cettha rāgo vutto, tena sampayuttā cetanā mocanassādacetanā, tāya . Iminā muccanassādo (pārā. aṭṭha. 2.240) muttassādo methunassādo phassassādo kaṇḍuvanassādo dassanassādo nisajjassādo vācassādo gehasitapemaṃ vanabhaṅgiyanti imehi sampayuttā cetanāyo paṭikkhipati, tāhi nimitte upakkamantassa muttepi anāpatti. ‘‘Nimitte upakkamantassā’’ti iminā pana ūrumaddāpanādīni paṭikkhipati. Tena hi satipi mocanassāde nimitte upakkamābhāvato muttepi anāpatti. Vuttañhetaṃ samantapāsādikāyaṃ ‘‘sā ca kho nimitte upakkamantasseva, hatthaparikammapādaparikammagattaparikammakaraṇena sacepi asuci muccati, anāpattī’’ti.
อาสยธาตุนานาตฺตโตติ ปิตฺตเสมฺหปุพฺพโลหิตาสยานเญฺจว ปถวีธาตุอาทีนญฺจ จตุนฺนํ ธาตูนํ, รสโสณิตาทีนํ วา สตฺตนฺนํ ธาตูนํ นานาตฺตโตฯ ฐานา จาวนาติ สุกฺกสฺส ยํ ฐานํ, ตโต จุติฯ สุกฺกสฺส หิ วตฺถิสีสํ กฎิ กาโยติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๓๗) ติธา ฐานํ ปกเปฺปนฺติฯ เอโก กิราจริโย ‘‘วตฺถิสีสํ สุกฺกสฺส ฐาน’’นฺติ อาห, เอโก ‘‘กฎี’’ติ, เอโก ‘‘สกโล กาโย’’ติฯ เตสุ ตติยสฺส ภาสิตํ สุภาสิตํฯ เกสโลมนขทนฺตานญฺหิ มํสวินิมุตฺตฎฺฐานํ, อุจฺจารปสฺสาวเขฬสิงฺฆาณิกา, ถทฺธสุกฺขจมฺมานิ จ วเชฺชตฺวา อวเสโส ฉวิมํสโลหิตานุคโต สโพฺพปิ กาโย กายปฺปสาทภาวชีวิตินฺทฺริยาพทฺธปิตฺตานํ, สมฺภวสฺส จ ฐานเมวฯ ตถา หิ ราคปริยุฎฺฐาเนนาภิภูตานํ หตฺถีนํ อุโภหิ กณฺณจูฬิกาหิ สมฺภโว นิกฺขมติฯ
Āsayadhātunānāttatoti pittasemhapubbalohitāsayānañceva pathavīdhātuādīnañca catunnaṃ dhātūnaṃ, rasasoṇitādīnaṃ vā sattannaṃ dhātūnaṃ nānāttato. Ṭhānā cāvanāti sukkassa yaṃ ṭhānaṃ, tato cuti. Sukkassa hi vatthisīsaṃ kaṭi kāyoti (pārā. aṭṭha. 2.237) tidhā ṭhānaṃ pakappenti. Eko kirācariyo ‘‘vatthisīsaṃ sukkassa ṭhāna’’nti āha, eko ‘‘kaṭī’’ti, eko ‘‘sakalo kāyo’’ti. Tesu tatiyassa bhāsitaṃ subhāsitaṃ. Kesalomanakhadantānañhi maṃsavinimuttaṭṭhānaṃ, uccārapassāvakheḷasiṅghāṇikā, thaddhasukkhacammāni ca vajjetvā avaseso chavimaṃsalohitānugato sabbopi kāyo kāyappasādabhāvajīvitindriyābaddhapittānaṃ, sambhavassa ca ṭhānameva. Tathā hi rāgapariyuṭṭhānenābhibhūtānaṃ hatthīnaṃ ubhohi kaṇṇacūḷikāhi sambhavo nikkhamati.
เอตฺถ จ ‘‘ราคูปตฺถมฺภาทีสู’’ติอาทินา (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๓๗) กาโล ทสฺสิโตฯ ราคูปตฺถมฺภาทิกาเลสุ หิ องฺคชาตํ กมฺมนิยํ โหติฯ ยสฺส กมฺมนิยเตฺต สติ โมเจติ, อิโต ปรํ อโญฺญ กาโล นตฺถิฯ น หิ วินา ราคูปตฺถมฺภาทีหิ ปุพฺพณฺหาทโย กาลเภทา โมจเน นิมิตฺตํ โหนฺติฯ ‘‘อาโรคฺยาทีสู’’ติอาทินา ปน อธิปฺปาโย ทสฺสิโตฯ เอวรูเปน หิ อธิปฺปายเภเทน โมเจติ, น อญฺญถาฯ ‘‘อชฺฌตฺตรูปาทีสู’’ติอาทินา อุปาโย ทสฺสิโตฯ อชฺฌตฺตรูเป วา หิ โมเจยฺย, พหิทฺธารูเป วา, อุภยตฺถ วา, อากาเส วา กฎิํ กเมฺปโนฺต, อิโต ปรํ อโญฺญ อุปาโย นตฺถิฯ นีลาทิวเสนา’’ติอาทีหิ ปน ทสหิ นวมสฺส อธิปฺปายสฺส วตฺถุ ทสฺสิตํฯ วีมํสโนฺต หิ นีลาทีสุ อญฺญตรวเสน วีมํสติ, น เตหิ วินิมุตฺตนฺติฯ ‘‘ฐานา จาวนา’’ติ อิมินา ปน อตฺถโต วิสฺสฎฺฐิ ทสฺสิตา ฯ ยถาห ‘‘วิสฺสฎฺฐีติ ฐานโต จาวนา วุจฺจตี’’ติ (ปารา. ๒๓๗)ฯ สา จายํ ตสฺส สุกฺกสฺส ฐานา จาวนา ราควเสนฯ วุตฺตเญฺหตํ กถาวตฺถุอฎฺฐกถายํ ‘‘สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ นาม ราคสมุฎฺฐานา โหตี’’ติ (กถา. อฎฺฐ. ๓๐๗)ฯ อญฺญตฺร สุปินนฺตาติ สุปิโน เอว สุปินโนฺต, ตํ ฐเปตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ เตนาห ‘‘ยา สุปิเน’’ติอาทิฯ สงฺฆาทิเสโสติ อิมสฺส อาปตฺตินิกายสฺส นามํฯ เตนาห ‘‘ยา อญฺญตฺร สุปินนฺตา’’ติอาทิฯ อาปตฺตินิกาโยติ อาปตฺติสมูโหฯ กิญฺจาปิ อยํ เอกาว อาปตฺติ, รุฬฺหิสเทฺทน, ปน อวยเว สมูหโวหาเรน วา ‘‘นิกาโย’’ติ วุโตฺต ‘‘เอโก เวทนากฺขโนฺธ, เอโก วิญฺญาณกฺขโนฺธ’’ติอาทีสุ วิยฯ
Ettha ca ‘‘rāgūpatthambhādīsū’’tiādinā (pārā. aṭṭha. 2.237) kālo dassito. Rāgūpatthambhādikālesu hi aṅgajātaṃ kammaniyaṃ hoti. Yassa kammaniyatte sati moceti, ito paraṃ añño kālo natthi. Na hi vinā rāgūpatthambhādīhi pubbaṇhādayo kālabhedā mocane nimittaṃ honti. ‘‘Ārogyādīsū’’tiādinā pana adhippāyo dassito. Evarūpena hi adhippāyabhedena moceti, na aññathā. ‘‘Ajjhattarūpādīsū’’tiādinā upāyo dassito. Ajjhattarūpe vā hi moceyya, bahiddhārūpe vā, ubhayattha vā, ākāse vā kaṭiṃ kampento, ito paraṃ añño upāyo natthi. Nīlādivasenā’’tiādīhi pana dasahi navamassa adhippāyassa vatthu dassitaṃ. Vīmaṃsanto hi nīlādīsu aññataravasena vīmaṃsati, na tehi vinimuttanti. ‘‘Ṭhānā cāvanā’’ti iminā pana atthato vissaṭṭhi dassitā . Yathāha ‘‘vissaṭṭhīti ṭhānato cāvanā vuccatī’’ti (pārā. 237). Sā cāyaṃ tassa sukkassa ṭhānā cāvanā rāgavasena. Vuttañhetaṃ kathāvatthuaṭṭhakathāyaṃ ‘‘sukkavissaṭṭhi nāma rāgasamuṭṭhānā hotī’’ti (kathā. aṭṭha. 307). Aññatra supinantāti supino eva supinanto, taṃ ṭhapetvāti vuttaṃ hoti. Tenāha ‘‘yā supine’’tiādi. Saṅghādisesoti imassa āpattinikāyassa nāmaṃ. Tenāha ‘‘yā aññatra supinantā’’tiādi. Āpattinikāyoti āpattisamūho. Kiñcāpi ayaṃ ekāva āpatti, ruḷhisaddena, pana avayave samūhavohārena vā ‘‘nikāyo’’ti vutto ‘‘eko vedanākkhandho, eko viññāṇakkhandho’’tiādīsu viya.
อสฺสาติ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๑๖ สํฆาทิเสสกณฺฑ) อาปตฺตินิกายสฺสฯ นนุ จ อยุโตฺตยํ นิเทฺทโส ‘‘สโงฺฆ อาทิมฺหิ เจว เสเส จ อิจฺฉิตโพฺพ อสฺสา’’ติฯ น หิ อาปตฺตินิกายสฺส อาทิมฺหิ เจว เสเส จ สโงฺฆ อิจฺฉิโต, กิญฺจรหิ วุฎฺฐานสฺสาติ อิมํ โจทนํ มนสิ นิธาย ยถา น วิรุชฺฌติ, ตถา อธิปฺปายํ วิวริตุํ ‘‘กิํ วุตฺตํ โหตี’’ติอาทิมาหฯ อาปตฺติโต วุฎฺฐานสฺส อาทิมฺหิ เจว เสเส จ อิจฺฉิโต สโงฺฆ อาปตฺติยาว อิจฺฉิโต นาม โหตีติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ อาปตฺติวุฎฺฐานนฺติ อาปตฺติโต วุฎฺฐานํ, อนาปตฺติกภาวูปคมนนฺติ อโตฺถฯ
Assāti (sārattha. ṭī. 2.16 saṃghādisesakaṇḍa) āpattinikāyassa. Nanu ca ayuttoyaṃ niddeso ‘‘saṅgho ādimhi ceva sese ca icchitabbo assā’’ti. Na hi āpattinikāyassa ādimhi ceva sese ca saṅgho icchito, kiñcarahi vuṭṭhānassāti imaṃ codanaṃ manasi nidhāya yathā na virujjhati, tathā adhippāyaṃ vivarituṃ ‘‘kiṃ vuttaṃ hotī’’tiādimāha. Āpattito vuṭṭhānassa ādimhi ceva sese ca icchito saṅgho āpattiyāva icchito nāma hotīti ayamettha adhippāyo. Āpattivuṭṭhānanti āpattito vuṭṭhānaṃ, anāpattikabhāvūpagamananti attho.
ทกโสตนฺติ ปสฺสาวมคฺคํ, องฺคชาตปฺปเทสนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ยทิ เอวํ อถ กสฺมา อฎฺฐกถายํ ‘‘ทกโสตํ โอติณฺณมเตฺต’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘ฐานโต ปน จุต’’นฺติอาทิฯ อวสฺสเมว ทกโสตํ โอตรติ อธิวาเสตฺวา อนฺตรา นิวาเรตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตาฯ ทกโสโตโรหนโต (สารตฺถ. ฎี. ๒.๒๓๖-๒๓๗) ปฎฺฐาย ปน อุปาทินฺนโต วินิมุตฺตตฺตา สมฺภวรูปํ อุตุสมุฎฺฐานเมว อวสิสฺสติ, เสสํ ติสมุฎฺฐานํ นตฺถีติ เวทิตพฺพํฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ฐานโต จุตํ ทกโสตํ โอตรติ, ตสฺมาฯ
Dakasotanti passāvamaggaṃ, aṅgajātappadesanti vuttaṃ hoti. Yadi evaṃ atha kasmā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘dakasotaṃ otiṇṇamatte’’ti vuttanti āha ‘‘ṭhānato pana cuta’’ntiādi. Avassameva dakasotaṃ otarati adhivāsetvā antarā nivāretuṃ asakkuṇeyyattā. Dakasotorohanato (sārattha. ṭī. 2.236-237) paṭṭhāya pana upādinnato vinimuttattā sambhavarūpaṃ utusamuṭṭhānameva avasissati, sesaṃ tisamuṭṭhānaṃ natthīti veditabbaṃ. Tasmāti yasmā ṭhānato cutaṃ dakasotaṃ otarati, tasmā.
อโมจนาธิปฺปายสฺสาติ เภสเชฺชน นิมิตฺตํ อาลิมฺปนฺตสฺส อุจฺจาราทีนิ วา กโรนฺตสฺสฯ สุปินํ ปสฺสนฺตสฺสาติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๓๗) ธาตุโกฺขภโต วา อนุภูตปุพฺพโต วา เทวโตปสํหารโต วา ปุพฺพนิมิตฺตโต วาติ อิเมหิ จตูหิ การเณหิ สุปินํ ปสฺสนฺตสฺสฯ กิํ ปเนตํ ปสฺสโนฺต สุโตฺต ปสฺสติ, ปฎิพุโทฺธ, อุทาหุ เนว สุโตฺต, น ปฎิพุโทฺธติ? กิเญฺจตฺถ – ยทิ ตาว สุโตฺต ปสฺสติ, อภิธมฺมวิโรโธ อาปชฺชติฯ ภวงฺคจิเตฺตน หิ สุปติ, ตํ รูปนิมิตฺตาทิอารมฺมณํ วา ราคาทิสมฺปยุตฺตํ วา น โหติฯ สุปินํ ปสฺสนฺตสฺส จ อีทิสานิ จิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ อถ ปฎิพุโทฺธ ปสฺสติ, วินยวิโรโธ อาปชฺชติฯ ยญฺหิ ปฎิพุโทฺธ ปสฺสติ, ตํ สโพฺพหาริกจิเตฺตน ปสฺสติฯ สโพฺพหาริกจิเตฺตน จ กเต วีติกฺกเม อนาปตฺติ นาม นตฺถิฯ สุปินํ ปสฺสเนฺตน ปน กเตปิ วีติกฺกเม เอกนฺตํ อนาปตฺติ เอวฯ อถ เนว สุโตฺต น ปฎิพุโทฺธ ปสฺสติ, โก นาม ปสฺสติ, เอวญฺจ สติ สุปินสฺส อภาโวว อาปชฺชตีติ? น อภาโว, กสฺมา? ยสฺมา กปิมิทฺธปเรโต ปสฺสติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘กปิมิทฺธปเรโต โข มหาราช สุปินํ ปสฺสตี’’ติ (มิ. ป. ๕.๓.๕)ฯ กปิมิทฺธปเรโตติ มกฺกฎนิทฺทาย ยุโตฺตฯ ยถา หิ มกฺกฎสฺส นิทฺทา ลหุปริวตฺตา โหติ, เอวํ ยา นิทฺทา ปุนปฺปุนํ กุสลาทิจิตฺตโวกิณฺณตฺตา ลหุปริวตฺตา, ยสฺสา ปวตฺติยํ ปุนปฺปุนํ ภวงฺคโต อุตฺตรณํ โหติ, ตาย ยุโตฺต สุปินํ ปสฺสติฯ ยสฺส จ เอวํ ปสฺสนฺตสฺส สุปิเน เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวนฺตสฺส วิย, กายสํสคฺคาทีนิ อาปชฺชนฺตสฺส วิย จ สุปินเนฺตเนว การเณน อสุจิ มุจฺจติ, ตสฺสปิ อนาปตฺติฯ สุปิเน (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๖๒) ปน อุปฺปนฺนาย อสฺสาทเจตนาย สจสฺส วิสโย โหติ, นิจฺจเลน ภวิตพฺพํ, น หเตฺถน นิมิตฺตํ กีฬาเปตพฺพํฯ กาสาวปจฺจตฺถรณรกฺขณตฺถํ ปน หตฺถปุเฎน คเหตฺวา ชคฺคนตฺถาย อุทกฎฺฐานํ คนฺตุํ วฎฺฎติฯ
Amocanādhippāyassāti bhesajjena nimittaṃ ālimpantassa uccārādīni vā karontassa. Supinaṃ passantassāti (pārā. aṭṭha. 2.237) dhātukkhobhato vā anubhūtapubbato vā devatopasaṃhārato vā pubbanimittato vāti imehi catūhi kāraṇehi supinaṃ passantassa. Kiṃ panetaṃ passanto sutto passati, paṭibuddho, udāhu neva sutto, na paṭibuddhoti? Kiñcettha – yadi tāva sutto passati, abhidhammavirodho āpajjati. Bhavaṅgacittena hi supati, taṃ rūpanimittādiārammaṇaṃ vā rāgādisampayuttaṃ vā na hoti. Supinaṃ passantassa ca īdisāni cittāni uppajjanti. Atha paṭibuddho passati, vinayavirodho āpajjati. Yañhi paṭibuddho passati, taṃ sabbohārikacittena passati. Sabbohārikacittena ca kate vītikkame anāpatti nāma natthi. Supinaṃ passantena pana katepi vītikkame ekantaṃ anāpatti eva. Atha neva sutto na paṭibuddho passati, ko nāma passati, evañca sati supinassa abhāvova āpajjatīti? Na abhāvo, kasmā? Yasmā kapimiddhapareto passati. Vuttañhetaṃ ‘‘kapimiddhapareto kho mahārāja supinaṃ passatī’’ti (mi. pa. 5.3.5). Kapimiddhaparetoti makkaṭaniddāya yutto. Yathā hi makkaṭassa niddā lahuparivattā hoti, evaṃ yā niddā punappunaṃ kusalādicittavokiṇṇattā lahuparivattā, yassā pavattiyaṃ punappunaṃ bhavaṅgato uttaraṇaṃ hoti, tāya yutto supinaṃ passati. Yassa ca evaṃ passantassa supine methunaṃ dhammaṃ paṭisevantassa viya, kāyasaṃsaggādīni āpajjantassa viya ca supinanteneva kāraṇena asuci muccati, tassapi anāpatti. Supine (pārā. aṭṭha. 2.262) pana uppannāya assādacetanāya sacassa visayo hoti, niccalena bhavitabbaṃ, na hatthena nimittaṃ kīḷāpetabbaṃ. Kāsāvapaccattharaṇarakkhaṇatthaṃ pana hatthapuṭena gahetvā jagganatthāya udakaṭṭhānaṃ gantuṃ vaṭṭati.
สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.