Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-ปุราณ-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-purāṇa-ṭīkā |
สงฺฆาทิเสสกณฺฑํ
Saṅghādisesakaṇḍaṃ
๑. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา
1. Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā
อญฺญตฺร สุปินนฺตาติ สฺวายํ ทุพฺพลวตฺถุกตฺตา เจตนาย ปฎิสนฺธิํ อากฑฺฒิตุํ อสมตฺถา, สุปิเน อุปฎฺฐิตํ นิมิตฺตญฺหิ ทุพฺพลํฯ ปวเตฺต ปน อเญฺญหิ กุสลากุสเลหิ อุปตฺถมฺภิตา วิปากํ เทติฯ กิญฺจาปิ วิปากํ เทติ, อถ โข อวิสเย อุปฺปนฺนตฺตา อโพฺพหาริกาว สุปินนฺตเจตนาติ ลิขิตํฯ ยํ ปเนตฺถ ‘‘สุปิเน อุปฎฺฐิตํ นิมิตฺตญฺหิ ทุพฺพล’’นฺติ วุตฺตํ, ตํ อเนกนฺตํ, น จ อารมฺมณทุพฺพลตาย จิตฺตปฺปวตฺติ ทุพฺพลา อตีตานาคตารมฺมณาย, ปญฺญตฺตารมฺมณาย วา อทุพฺพลตฺตาฯ ตสฺมา ทุพฺพลวตฺถุกตฺตาติ ทุพฺพลหทยวตฺถุกตฺตาติ โน ตโกฺกติ (วชิร. ฎี. ปาราชิก ๒๓๖-๒๓๗) อาจริโยฯ อวตฺถุกตาย ทุพฺพลภาโว ยุชฺชตีติ เจ? น, อวตฺถุกาย ภาวนาปภวาย อติเรกพลวสมฺภวโตฯ ภาวนาพลสมปฺปิตญฺหิ จิตฺตํ อรูปมฺปิ สมานํ อติภารมฺปิ กรชกายํ คเหตฺวา เอกจิตฺตกฺขเณเนว พฺรหฺมโลกมฺปิ ปาเปตฺวา ฐเปติ, ตปฺปฎิภาคํ อนปฺปิตมฺปิ กามาวจรจิตฺตํ กรชกายํ อากาเส ลงฺฆนสมตฺถํ กโรติฯ กิํ ปเนตฺถ ตํ อนุมานกรณํ? เยน จิตฺตเสฺสว อานุภาโวติ ปญฺญาเยยฺย จิตฺตานุภาเวน ฐปนลงฺฆนาทิกิริยาวิเสสนิพฺพตฺติทสฺสนโตฯ ปกติจิตฺตสมุฎฺฐานรูปํ วิย อสํสฎฺฐตฺตา, นิกฺขมนตฺตา จ วตฺถิสีสํ, กฎิ, กาโยติ ติธา สุกฺกสฺส ฐานํ ปกเปฺปนฺติ อาจริยาฯ สปฺปวิสํ วิย ตํ ทฎฺฐพฺพํ, น จ วิเส ฐานนิยโม, โกธวเสน ปสฺสนฺตสฺส โหติฯ เอวมสฺส น ฐานนิยโม, ราควเสน อุปกฺกมนฺตสฺส โหตีติ โน ตโกฺกติ อาจริโยฯ
Aññatrasupinantāti svāyaṃ dubbalavatthukattā cetanāya paṭisandhiṃ ākaḍḍhituṃ asamatthā, supine upaṭṭhitaṃ nimittañhi dubbalaṃ. Pavatte pana aññehi kusalākusalehi upatthambhitā vipākaṃ deti. Kiñcāpi vipākaṃ deti, atha kho avisaye uppannattā abbohārikāva supinantacetanāti likhitaṃ. Yaṃ panettha ‘‘supine upaṭṭhitaṃ nimittañhi dubbala’’nti vuttaṃ, taṃ anekantaṃ, na ca ārammaṇadubbalatāya cittappavatti dubbalā atītānāgatārammaṇāya, paññattārammaṇāya vā adubbalattā. Tasmā dubbalavatthukattāti dubbalahadayavatthukattāti no takkoti (vajira. ṭī. pārājika 236-237) ācariyo. Avatthukatāya dubbalabhāvo yujjatīti ce? Na, avatthukāya bhāvanāpabhavāya atirekabalavasambhavato. Bhāvanābalasamappitañhi cittaṃ arūpampi samānaṃ atibhārampi karajakāyaṃ gahetvā ekacittakkhaṇeneva brahmalokampi pāpetvā ṭhapeti, tappaṭibhāgaṃ anappitampi kāmāvacaracittaṃ karajakāyaṃ ākāse laṅghanasamatthaṃ karoti. Kiṃ panettha taṃ anumānakaraṇaṃ? Yena cittasseva ānubhāvoti paññāyeyya cittānubhāvena ṭhapanalaṅghanādikiriyāvisesanibbattidassanato. Pakaticittasamuṭṭhānarūpaṃ viya asaṃsaṭṭhattā, nikkhamanattā ca vatthisīsaṃ, kaṭi, kāyoti tidhā sukkassa ṭhānaṃ pakappenti ācariyā. Sappavisaṃ viya taṃ daṭṭhabbaṃ, na ca vise ṭhānaniyamo, kodhavasena passantassa hoti. Evamassa na ṭhānaniyamo, rāgavasena upakkamantassa hotīti no takkoti ācariyo.
‘‘ทกโสตํ อโนติเณฺณปี’’ติ อิทํ ‘‘โอติณฺณมเตฺต’’ติ อิมินา วิรุชฺฌตีติ เจ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ฐานโต ปน จุต’’นฺติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ – นิมิเตฺต อุปกฺกมํ กตฺวา สุกฺกํ ฐานา จาเวตฺวา ปุน วิปฺปฎิสารวเสน ทกโสโตโรหณํ นิวาเรตุํ น สกฺกา, ตถาปิ อธิวาสาธิปฺปาเยน อธิวาเสตฺวา อนฺตรา ทกโสตโต อุทฺธํ นิวาเรตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย ‘‘พหิ นิกฺขเนฺต วา’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา ฐานา จุตญฺหิ อวสฺสํ ทกโสตํ โอตรตีติ อฎฺฐกถาย อธิปฺปาโยฯ ตสฺมา อุภยํ สเมตีติ คเหตโพฺพฯ
‘‘Dakasotaṃ anotiṇṇepī’’ti idaṃ ‘‘otiṇṇamatte’’ti iminā virujjhatīti ce, taṃ dassetuṃ ‘‘ṭhānato pana cuta’’ntiādimāha. Tassattho – nimitte upakkamaṃ katvā sukkaṃ ṭhānā cāvetvā puna vippaṭisāravasena dakasotorohaṇaṃ nivāretuṃ na sakkā, tathāpi adhivāsādhippāyena adhivāsetvā antarā dakasotato uddhaṃ nivāretuṃ asakkuṇeyyatāya ‘‘bahi nikkhante vā’’ti vuttaṃ, tasmā ṭhānā cutañhi avassaṃ dakasotaṃ otaratīti aṭṭhakathāya adhippāyo. Tasmā ubhayaṃ sametīti gahetabbo.
เอตฺถาห – กสฺมา อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท ‘‘โย ปน ภิกฺขู’’ติอาทินา การโก น นิทฺทิโฎฺฐติ? วุจฺจเต – อธิปฺปายาเปกฺขาย ภาวโต การโก น นิทฺทิโฎฺฐ ตสฺส สาเปกฺขภาวทสฺสนตฺถํฯ กถํ? กณฺฑุวนาทิอธิปฺปายเจตนาวเสน เจเตนฺตสฺส กณฺฑุวนาทิอุปกฺกเมน อุปกฺกมนฺตสฺส เมถุนราควเสน อูรุอาทีสุ ทุกฺกฎวตฺถูสุ, วณาทีสุ ถุลฺลจฺจยวตฺถูสุ จ อุปกฺกมนฺตสฺส สุกฺกวิสฎฺฐิยา สติปิ น สงฺฆาทิเสโส ‘‘อนาปตฺติ ภิกฺขุ น โมจนาธิปฺปายสฺสา’’ติ (ปารา. ๒๖๓) วจนโตฯ ตสฺมา ตทตฺถทสฺสนตฺถํ อิธ การโก น นิทฺทิโฎฺฐฯ อญฺญถา ‘‘โย ปน ภิกฺขุ สเญฺจตนิกํ สุกฺกวิสฎฺฐิํ อาปเชฺชยฺย, สงฺฆาทิเสโส’’ติ นิทฺทิเฎฺฐ การเก ‘‘เจเตติ น อุปกฺกมติ มุจฺจติ, อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. ๒๖๒) วุตฺตวจนวิโรโธฯ ตถา ‘‘สเญฺจตนิกาย สุกฺกวิสฎฺฐิยา อญฺญตฺร สุปินนฺตา สงฺฆาทิเสโส’’ติ ภุเมฺม นิทฺทิเฎฺฐปิ โส เอว วิโรโธ เหตฺวตฺถนิยมสิทฺธิโตฯ ตสฺมา ตทุภยมฺปิ วจนกฺกมํ อวตฺวา ‘‘สเญฺจตนิกา สุกฺกวิสฎฺฐิ อญฺญตฺร สุปินนฺตา สงฺฆาทิเสโส’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมวจนาภาวโต เหตฺวตฺถนิยโม น กโต โหติฯ ตสฺมิํ อกเต สเญฺจตนิกา สุกฺกวิสฎฺฐิ อญฺญตฺร สุปินนฺตา สงฺฆาทิเสโสติ, อุปกฺกเม อสติ อนาปตฺตีติ อยมโตฺถ ทีปิโต โหตีติ เวทิตพฺพํฯ
Etthāha – kasmā imasmiṃ sikkhāpade ‘‘yo pana bhikkhū’’tiādinā kārako na niddiṭṭhoti? Vuccate – adhippāyāpekkhāya bhāvato kārako na niddiṭṭho tassa sāpekkhabhāvadassanatthaṃ. Kathaṃ? Kaṇḍuvanādiadhippāyacetanāvasena cetentassa kaṇḍuvanādiupakkamena upakkamantassa methunarāgavasena ūruādīsu dukkaṭavatthūsu, vaṇādīsu thullaccayavatthūsu ca upakkamantassa sukkavisaṭṭhiyā satipi na saṅghādiseso ‘‘anāpatti bhikkhu na mocanādhippāyassā’’ti (pārā. 263) vacanato. Tasmā tadatthadassanatthaṃ idha kārako na niddiṭṭho. Aññathā ‘‘yo pana bhikkhu sañcetanikaṃ sukkavisaṭṭhiṃ āpajjeyya, saṅghādiseso’’ti niddiṭṭhe kārake ‘‘ceteti na upakkamati muccati, anāpattī’’ti (pārā. 262) vuttavacanavirodho. Tathā ‘‘sañcetanikāya sukkavisaṭṭhiyā aññatra supinantā saṅghādiseso’’ti bhumme niddiṭṭhepi so eva virodho hetvatthaniyamasiddhito. Tasmā tadubhayampi vacanakkamaṃ avatvā ‘‘sañcetanikā sukkavisaṭṭhi aññatra supinantā saṅghādiseso’’ti vuttaṃ. Tattha nimittatthe bhummavacanābhāvato hetvatthaniyamo na kato hoti. Tasmiṃ akate sañcetanikā sukkavisaṭṭhi aññatra supinantā saṅghādisesoti, upakkame asati anāpattīti ayamattho dīpito hotīti veditabbaṃ.
อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท เทฺว อาปตฺติสหสฺสานิ โหนฺติฯ กถํ? อตฺตโน หตฺถาทิเภเท อชฺฌตฺตรูเป ราคูปตฺถมฺภนวเสน องฺคชาเต กมฺมนิยปฺปเตฺต อาโรคฺยตฺถาย นีลํ โมเจนฺตสฺส เอกา อาปตฺติ, อชฺฌตฺตรูเป เอว ราคูปตฺถเมฺภ ปีตกาทีนํ โมจนวเสน นวาติ ทสฯ เอวํ ‘‘สุขตฺถายา’’ติอาทีนํ นวนฺนํ วเสนาติ ราคูปตฺถเมฺภ อชฺฌตฺตรูปวเสน สตํฯ เอวเมวํ วจฺจปฺปสฺสาววาตอุจฺจาลิงฺคปาณกทฎฺฐูปตฺถเมฺภสุ จ สตํ สตํ กตฺวา สพฺพํ ปญฺจสตํฯ ยถา อชฺฌตฺตรูเป ปญฺจสตํ, เอวํ พหิทฺธารูเป วา อชฺฌตฺตพหิทฺธารูเป วา อากาเส วา กฎิํ กเมฺปโนฺตติ เทฺว สหสฺสานิ อาปตฺติโย โหนฺตีติฯ
Imasmiṃ sikkhāpade dve āpattisahassāni honti. Kathaṃ? Attano hatthādibhede ajjhattarūpe rāgūpatthambhanavasena aṅgajāte kammaniyappatte ārogyatthāya nīlaṃ mocentassa ekā āpatti, ajjhattarūpe eva rāgūpatthambhe pītakādīnaṃ mocanavasena navāti dasa. Evaṃ ‘‘sukhatthāyā’’tiādīnaṃ navannaṃ vasenāti rāgūpatthambhe ajjhattarūpavasena sataṃ. Evamevaṃ vaccappassāvavātauccāliṅgapāṇakadaṭṭhūpatthambhesu ca sataṃ sataṃ katvā sabbaṃ pañcasataṃ. Yathā ajjhattarūpe pañcasataṃ, evaṃ bahiddhārūpe vā ajjhattabahiddhārūpe vā ākāse vā kaṭiṃ kampentoti dve sahassāni āpattiyo hontīti.
สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.