Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    ๒. สงฺฆาทิเสสกณฺฑํ

    2. Saṅghādisesakaṇḍaṃ

    ๑. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา

    1. Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā

    อิทานิ ปาราชิกสํวณฺณนาสมนนฺตรา ยา เตรสกาทิสํวณฺณนา สมารทฺธา, ตสฺสาปิ –

    Idāni pārājikasaṃvaṇṇanāsamanantarā yā terasakādisaṃvaṇṇanā samāraddhā, tassāpi –

    อนากุลา อสเนฺทหา, ปริปุณฺณวินิจฺฉยา;

    Anākulā asandehā, paripuṇṇavinicchayā;

    อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนา, โหติ สารตฺถทีปนี

    Atthabyañjanasampannā, hoti sāratthadīpanī.

    เตรสกสฺสาติ เตรส สิกฺขาปทานิ ปริมาณานิ อสฺส กณฺฑสฺสาติ เตรสกํ, ตสฺส เตรสกสฺส กณฺฑสฺสาติ อโตฺถฯ

    Terasakassāti terasa sikkhāpadāni parimāṇāni assa kaṇḍassāti terasakaṃ, tassa terasakassa kaṇḍassāti attho.

    ๒๓๔. อนภิรโตติ อญฺญตฺถ คิหิภาวํ ปตฺถยมาโน วุจฺจติ, อิธ ปน กามราควเสน อุกฺกณฺฐิตตาย วิกฺขิตฺตจิตฺตตาย สมนฺนาคโต อธิเปฺปโตติ อาห วิกฺขิตฺตจิโตฺตติอาทิฯ

    234.Anabhiratoti aññattha gihibhāvaṃ patthayamāno vuccati, idha pana kāmarāgavasena ukkaṇṭhitatāya vikkhittacittatāya samannāgato adhippetoti āha vikkhittacittotiādi.

    ๒๓๖-๒๓๗. สเญฺจตนิกาติ เอตฺถ สํ-สโทฺท วิชฺชมานตฺถตาย สาตฺถโกติ ทเสฺสโนฺต อาห สํวิชฺชติ เจตนา อสฺสาติฯ ตตฺถ เจตนาติ วีติกฺกมวสปฺปวตฺตา ปุพฺพภาคเจตนาฯ อสฺสาติ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิยาฯ อิมสฺมิํ วิกเปฺป อิก-สทฺทสฺส วิสุํ อโตฺถ นตฺถีติ อาห สเญฺจตนาว สเญฺจตนิกาติฯ อิทานิ สํ-สทฺทสฺส อตฺถํ อนเปกฺขิตฺวา อิก-สโทฺทว อสฺสตฺถิอตฺถํ ปกาเสตีติ ทเสฺสโนฺต สเญฺจตนา วา อสฺสา อตฺถีติ สเญฺจตนิกาติ ทุติยวิกปฺปมาหฯ สํวิชฺชติ เจตนา อสฺสาติ ปทภาชเน วตฺตเพฺพ พฺยญฺชเน อาทรํ อกตฺวา ชานโนฺตติอาทิ วุตฺตํฯ อุปกฺกมามีติ ชานโนฺตติ โมจนตฺถํ อุปกฺกมามีติ ชานโนฺตฯ

    236-237.Sañcetanikāti ettha saṃ-saddo vijjamānatthatāya sātthakoti dassento āha saṃvijjati cetanā assāti. Tattha cetanāti vītikkamavasappavattā pubbabhāgacetanā. Assāti sukkavissaṭṭhiyā. Imasmiṃ vikappe ika-saddassa visuṃ attho natthīti āha sañcetanāva sañcetanikāti. Idāni saṃ-saddassa atthaṃ anapekkhitvā ika-saddova assatthiatthaṃ pakāsetīti dassento sañcetanā vā assā atthīti sañcetanikāti dutiyavikappamāha. Saṃvijjati cetanā assāti padabhājane vattabbe byañjane ādaraṃ akatvā jānantotiādi vuttaṃ. Upakkamāmīti jānantoti mocanatthaṃ upakkamāmīti jānanto.

    อาสยเภทโตติ ปิตฺตาทิอาสยเภทโตฯ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธานมฺปิ หิ รโญฺญปิ จกฺกวตฺติสฺส ปิตฺตเสมฺหปุพฺพโลหิตาสเยสุ จตูสุ อญฺญตโร อาสโย โหติเยว, มนฺทปญฺญานํ ปน จตฺตาโรปิ อาสยา โหนฺติฯ ธาตุนานตฺตโตติ ปถวีธาตุอาทีนํ จตุนฺนํ ธาตูนํ, จกฺขาทีนํ วา อฎฺฐารสนฺนํ ธาตูนํ, รสโสณิตาทีนํ วา ธาตูนํ นานตฺตโตฯ

    Āsayabhedatoti pittādiāsayabhedato. Buddhapaccekabuddhānampi hi raññopi cakkavattissa pittasemhapubbalohitāsayesu catūsu aññataro āsayo hotiyeva, mandapaññānaṃ pana cattāropi āsayā honti. Dhātunānattatoti pathavīdhātuādīnaṃ catunnaṃ dhātūnaṃ, cakkhādīnaṃ vā aṭṭhārasannaṃ dhātūnaṃ, rasasoṇitādīnaṃ vā dhātūnaṃ nānattato.

    วตฺถิสีสนฺติ วตฺถิปุฎสฺส อพฺภนฺตเร มตฺถกปสฺสํฯ ‘‘ราค…เป.… อสโกฺกโนฺต’’ติ ราคปริยุฎฺฐานํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ราชา ปน ‘‘สมฺภวสฺส สกลกาโย ฐาน’’นฺติ สุตปุพฺพตฺตา วีมํสนตฺถํ เอวมกาสีติ วทนฺติฯ ทกโสตนฺติ มุตฺตมคฺคํ, องฺคชาตปฺปเทสนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ทกโสโตโรหณโต ปฎฺฐาย ปน อุปาทินฺนโต วินิมุตฺตตาย สมฺภเว อุตุสมุฎฺฐานเมว รูปํ อวสิสฺสติ, เสสํ ติสมุฎฺฐานํ นตฺถีติ เวทิตพฺพํฯ อาโปธาตุยา สนฺตานวเสน ปวตฺตมานาย อวตฺถาวิเสโส สมฺภโว, โส จตุสมุฎฺฐานิโก อฎฺฐกถายํ จตุสมุฎฺฐานิเกสุ สมฺภวสฺส วุตฺตตฺตาฯ โส ปน โสฬสวสฺสกาเล อุปฺปชฺชติ, ตสฺส ราควเสน ฐานาจาวนํ โหตีติ วทนฺติ, ตสฺมา ยํ วุตฺตํ กถาวตฺถุอฎฺฐกถายํ ‘‘สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ นาม ราคสมุฎฺฐานา โหตี’’ติ, ตํ สมฺภวสฺส ฐานาจาวนํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํ, น ปน สมฺภโว จิตฺตสมุฎฺฐาโนเยวาติ ทีเปตุํ, เตเนว ตตฺถ วิสฺสฎฺฐิคฺคหณํ กตํฯ ‘‘ขีณาสวานํ ปน พฺรหฺมานญฺจ สมฺภโว นตฺถี’’ติ อาจริยธมฺมปาลเตฺถเรน วุตฺตํ, ตสฺมา ยํ วุตฺตํ กถาวตฺถุอฎฺฐกถายํ (กถา. อฎฺฐ. ๓๐๗) ‘‘ตาสํ เทวตานํ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ นาม นตฺถี’’ติ, ตมฺปิ ฐานาจาวนํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํ, น ปน เทวตานํ สพฺพโส สมฺภวสฺส อภาวํ สนฺธายฯ ฉนฺนมฺปิ ปน กามาวจรเทวตานํ กามา ปากติกาเยวฯ มนุสฺสา วิย หิ เต ทฺวยํทฺวยสมาปตฺติวเสเนว เมถุนํ ปฎิเสวนฺติ, เกวลํ ปน นิสฺสนฺทาภาโว เตสํ วตฺตโพฺพฯ ตงฺขณิกปริฬาหวูปสมาวหํ สมฺผสฺสสุขเมว หิ เตสํ กามกิจฺจํฯ เกจิ ปน ‘‘จาตุมหาราชิกตาวติํสานํเยว ทฺวยํทฺวยสมาปตฺติยา กามกิจฺจํ อิชฺฌติ, ยามานํ อญฺญมญฺญํ อาลิงฺคนมเตฺตน, ตุสิตานํ หตฺถามสนมเตฺตน, นิมฺมานรตีนํ หสิตมเตฺตน, ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ โอโลกิตมเตฺตน กามกิจฺจํ อิชฺฌตี’’ติ วทนฺติ, ตํ อฎฺฐกถายํ ปฎิกฺขิตฺตํ ตาทิสสฺส กาเมสุ วิรชฺชนสฺส เตสุ อภาวโต กามานญฺจ อุตฺตรุตฺตริ ปณีตตรปณีตตมภาวโตฯ

    Vatthisīsanti vatthipuṭassa abbhantare matthakapassaṃ. ‘‘Rāga…pe… asakkonto’’ti rāgapariyuṭṭhānaṃ sandhāya vuttaṃ. Rājā pana ‘‘sambhavassa sakalakāyo ṭhāna’’nti sutapubbattā vīmaṃsanatthaṃ evamakāsīti vadanti. Dakasotanti muttamaggaṃ, aṅgajātappadesanti vuttaṃ hoti. Dakasotorohaṇato paṭṭhāya pana upādinnato vinimuttatāya sambhave utusamuṭṭhānameva rūpaṃ avasissati, sesaṃ tisamuṭṭhānaṃ natthīti veditabbaṃ. Āpodhātuyā santānavasena pavattamānāya avatthāviseso sambhavo, so catusamuṭṭhāniko aṭṭhakathāyaṃ catusamuṭṭhānikesu sambhavassa vuttattā. So pana soḷasavassakāle uppajjati, tassa rāgavasena ṭhānācāvanaṃ hotīti vadanti, tasmā yaṃ vuttaṃ kathāvatthuaṭṭhakathāyaṃ ‘‘sukkavissaṭṭhi nāma rāgasamuṭṭhānā hotī’’ti, taṃ sambhavassa ṭhānācāvanaṃ sandhāya vuttanti veditabbaṃ, na pana sambhavo cittasamuṭṭhānoyevāti dīpetuṃ, teneva tattha vissaṭṭhiggahaṇaṃ kataṃ. ‘‘Khīṇāsavānaṃ pana brahmānañca sambhavo natthī’’ti ācariyadhammapālattherena vuttaṃ, tasmā yaṃ vuttaṃ kathāvatthuaṭṭhakathāyaṃ (kathā. aṭṭha. 307) ‘‘tāsaṃ devatānaṃ sukkavissaṭṭhi nāma natthī’’ti, tampi ṭhānācāvanaṃ sandhāya vuttanti gahetabbaṃ, na pana devatānaṃ sabbaso sambhavassa abhāvaṃ sandhāya. Channampi pana kāmāvacaradevatānaṃ kāmā pākatikāyeva. Manussā viya hi te dvayaṃdvayasamāpattivaseneva methunaṃ paṭisevanti, kevalaṃ pana nissandābhāvo tesaṃ vattabbo. Taṅkhaṇikapariḷāhavūpasamāvahaṃ samphassasukhameva hi tesaṃ kāmakiccaṃ. Keci pana ‘‘cātumahārājikatāvatiṃsānaṃyeva dvayaṃdvayasamāpattiyā kāmakiccaṃ ijjhati, yāmānaṃ aññamaññaṃ āliṅganamattena, tusitānaṃ hatthāmasanamattena, nimmānaratīnaṃ hasitamattena, paranimmitavasavattīnaṃ olokitamattena kāmakiccaṃ ijjhatī’’ti vadanti, taṃ aṭṭhakathāyaṃ paṭikkhittaṃ tādisassa kāmesu virajjanassa tesu abhāvato kāmānañca uttaruttari paṇītatarapaṇītatamabhāvato.

    ตเถวาติ ‘‘โมจนสฺสาเทน นิมิเตฺต อุปกฺกมโต’’ติอาทิํ อติทิสติฯ ‘‘วิสฺสฎฺฐีติ ฐานโต จาวนา วุจฺจตี’’ติ วุตฺตตฺตา ทกโสตํ โอติณฺณมเตฺตติ กสฺมา วุตฺตนฺติ อาห ทกโสโตโรหณเญฺจตฺถาติอาทิฯ เอตฺถาติ ตีสุปิ วาเทสุฯ อธิวาเสตฺวาติ นิมิเตฺต อุปกฺกมิตฺวา ปุน วิปฺปฎิสาเร อุปฺปเนฺน อธิวาเสตฺวาฯ อนฺตรา นิวาเรตุนฺติ ฐานโต จุตํ ทกโสตํ โอตริตุํ อทตฺวา อนฺตรา นิวาเรตุํฯ เตนาห – ฐานา จุตญฺหิ อวสฺสํ ทกโสตํ โอตรตีติ ฯ ฐานาจาวนมเตฺตเนวาติ ทกโสตํ อโนติเณฺณปีติ อธิปฺปาโยฯ เอตฺถ จ ‘‘สกโล กาโย ฐาน’’นฺติ วาเท ฐานาจาวนํ วทเนฺตน สกลสรีรโต จุตสฺสปิ ทกโสโตโรหณโต ปุเพฺพ อปฺปมตฺตกสฺส อนฺตราฬสฺส สมฺภวโต วุตฺตํฯ สกลสรีเร วา ตสฺมิํ ตสฺมิํ ปเทเส ฐิตสฺส ฐานา จุตํ สนฺธาย ‘‘ฐานาจาวนมเตฺตเนวา’’ติ วุตฺตํฯ นิมิเตฺต อุปกฺกมนฺตเสฺสวาติ โมจนสฺสาเทน อุปกฺกมนฺตสฺสฯ หตฺถปริกมฺมาทีสุ สติปิ โมจนสฺสาเท นิมิเตฺต อุปกฺกมาภาวโต นตฺถิ อาปตฺตีติ อาห ‘‘หตฺตปริกมฺม…เป.… อนาปตฺตี’’ติฯ อยํ สพฺพาจริยสาธารณวินิจฺฉโยติ ‘‘ทกโสโตโรหณเญฺจตฺถา’’ติอาทินา วุโตฺต ติณฺณมฺปิ อาจริยานํ สาธารโณ วินิจฺฉโยฯ

    Tathevāti ‘‘mocanassādena nimitte upakkamato’’tiādiṃ atidisati. ‘‘Vissaṭṭhīti ṭhānato cāvanā vuccatī’’ti vuttattā dakasotaṃ otiṇṇamatteti kasmā vuttanti āha dakasotorohaṇañcetthātiādi. Etthāti tīsupi vādesu. Adhivāsetvāti nimitte upakkamitvā puna vippaṭisāre uppanne adhivāsetvā. Antarā nivāretunti ṭhānato cutaṃ dakasotaṃ otarituṃ adatvā antarā nivāretuṃ. Tenāha – ṭhānā cutañhi avassaṃ dakasotaṃ otaratīti . Ṭhānācāvanamattenevāti dakasotaṃ anotiṇṇepīti adhippāyo. Ettha ca ‘‘sakalo kāyo ṭhāna’’nti vāde ṭhānācāvanaṃ vadantena sakalasarīrato cutassapi dakasotorohaṇato pubbe appamattakassa antarāḷassa sambhavato vuttaṃ. Sakalasarīre vā tasmiṃ tasmiṃ padese ṭhitassa ṭhānā cutaṃ sandhāya ‘‘ṭhānācāvanamattenevā’’ti vuttaṃ. Nimitte upakkamantassevāti mocanassādena upakkamantassa. Hatthaparikammādīsu satipi mocanassāde nimitte upakkamābhāvato natthi āpattīti āha ‘‘hattaparikamma…pe… anāpattī’’ti. Ayaṃ sabbācariyasādhāraṇavinicchayoti ‘‘dakasotorohaṇañcetthā’’tiādinā vutto tiṇṇampi ācariyānaṃ sādhāraṇo vinicchayo.

    โขภกรณปจฺจโย นาม วิสภาคเภสชฺชเสนาสนาหาราทิปจฺจโยฯ อตฺถกามตาย วา อนตฺถกามตาย วาติ ปสนฺนา อตฺถกามตาย, กุทฺธา อนตฺถกามตายฯ อตฺถาย วา อนตฺถาย วาติ สภาวโต ภวิตพฺพาย อตฺถาย วา อนตฺถาย วาฯ อุปสํหรนฺตีติ อตฺตโน เทวานุภาเวน อุปเนนฺติฯ โพธิสตฺตมาตา วิย ปุตฺตปฎิลาภนิมิตฺตนฺติ ตทา กิร ปุเร ปุณฺณมาย สตฺตมทิวสโต ปฎฺฐาย วิคตสุราปานํ มาลาคนฺธาทิวิภูติสมฺปนฺนํ นกฺขตฺตกีฬํ อนุภวมานา โพธิสตฺตมาตา สตฺตเม ทิวเส ปาโตว อุฎฺฐาย คโนฺธทเกน นฺหายิตฺวา สพฺพาลงฺการวิภูสิตา วรโภชนํ ภุญฺชิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา สิริสยเน นิปนฺนา นิทฺทํ โอกฺกมมานา อิมํ สุปินํ อทฺทส – จตฺตาโร กิร นํ มหาราชาโน สยเนเนว สทฺธิํ อุกฺขิปิตฺวา อโนตตฺตทหํ เนตฺวา นฺหาเปตฺวา ทิพฺพวตฺถํ นิวาเสตฺวา ทิพฺพคเนฺธหิ วิลิเมฺปตฺวา ทิพฺพปุปฺผานิ ปิฬนฺธิตฺวา ตโต อวิทูเร รชตปพฺพโต, ตสฺส อโนฺต กนกวิมานํ อตฺถิ, ตสฺมิํ ปาจีนโต สีสํ กตฺวา นิปชฺชาเปสุํฯ อถ โพธิสโตฺต เสตวรวารโณ หุตฺวา ตโต อวิทูเร เอโก สุวณฺณปพฺพโต, ตตฺถ จริตฺวา ตโต โอรุยฺห รชตปพฺพตํ อภิรุหิตฺวา กนกวิมานํ ปวิสิตฺวา มาตรํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ทกฺขิณปสฺสํ ผาเลตฺวา กุจฺฉิํ ปวิฎฺฐสทิโส อโหสิฯ อิมํ สุปินํ สนฺธาย เอตํ วุตฺตํ ‘‘โพธิสตฺตมาตา วิย ปุตฺตปฎิลาภนิมิตฺต’’นฺติฯ

    Khobhakaraṇapaccayo nāma visabhāgabhesajjasenāsanāhārādipaccayo. Atthakāmatāya vā anatthakāmatāya vāti pasannā atthakāmatāya, kuddhā anatthakāmatāya. Atthāya vā anatthāya vāti sabhāvato bhavitabbāya atthāya vā anatthāya vā. Upasaṃharantīti attano devānubhāvena upanenti. Bodhisattamātā viya puttapaṭilābhanimittanti tadā kira pure puṇṇamāya sattamadivasato paṭṭhāya vigatasurāpānaṃ mālāgandhādivibhūtisampannaṃ nakkhattakīḷaṃ anubhavamānā bodhisattamātā sattame divase pātova uṭṭhāya gandhodakena nhāyitvā sabbālaṅkāravibhūsitā varabhojanaṃ bhuñjitvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya sirigabbhaṃ pavisitvā sirisayane nipannā niddaṃ okkamamānā imaṃ supinaṃ addasa – cattāro kira naṃ mahārājāno sayaneneva saddhiṃ ukkhipitvā anotattadahaṃ netvā nhāpetvā dibbavatthaṃ nivāsetvā dibbagandhehi vilimpetvā dibbapupphāni piḷandhitvā tato avidūre rajatapabbato, tassa anto kanakavimānaṃ atthi, tasmiṃ pācīnato sīsaṃ katvā nipajjāpesuṃ. Atha bodhisatto setavaravāraṇo hutvā tato avidūre eko suvaṇṇapabbato, tattha caritvā tato oruyha rajatapabbataṃ abhiruhitvā kanakavimānaṃ pavisitvā mātaraṃ padakkhiṇaṃ katvā dakkhiṇapassaṃ phāletvā kucchiṃ paviṭṭhasadiso ahosi. Imaṃ supinaṃ sandhāya etaṃ vuttaṃ ‘‘bodhisattamātā viya puttapaṭilābhanimitta’’nti.

    ปญฺจ มหาสุปิเนติ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๕.๑๙๖) มหเนฺตหิ ปุริเสหิ ปสฺสิตพฺพโต มหนฺตานญฺจ อตฺถานํ นิมิตฺตภาวโต มหาสุปิเนฯ เต ปน ปญฺจ มหาสุปิเน เนว โลกิยมหาชโน ปสฺสติ, น มหาราชาโน, น จกฺกวตฺติราชาโน, น อคฺคสาวกา, น ปเจฺจกพุทฺธา, น สมฺมาสมฺพุทฺธา, เอโก สพฺพญฺญุโพธิสโตฺตเยว ปสฺสติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘โพธิสโตฺต วิย ปญฺจ มหาสุปิเน’’ติฯ อมฺหากญฺจ ปน โพธิสโตฺต กทา เต สุปิเน ปสฺสีติ? ‘‘เสฺว พุโทฺธ ภวิสฺสามี’’ติ จาตุทฺทสิยํ ปกฺขสฺส รตฺติวิภายนกาเล ปสฺสิฯ กาลวเสน หิ ทิวา ทิโฎฺฐ สุปิโน น สเมติ, ตถา ปฐมยาเม มชฺฌิมยาเม จฯ ปจฺฉิมยาเม พลวปจฺจูเส ปน อสิตปีตสายิเต สมฺมาปริณามคเต กายสฺมิํ โอชาย ปติฎฺฐิตาย อรุเณ อุคฺคจฺฉมาเน ทิฎฺฐสุปิโน สเมติฯ อิฎฺฐนิมิตฺตํ สุปินํ ปสฺสโนฺต อิฎฺฐํ ปฎิลภติ, อนิฎฺฐนิมิตฺตํ ปสฺสโนฺต อนิฎฺฐํ, ตสฺมา โพธิสโตฺตปิ สุปินํ ปสฺสโนฺต รตฺติวิภายนกาเล ปสฺสิฯ

    Pañcamahāsupineti (a. ni. aṭṭha. 3.5.196) mahantehi purisehi passitabbato mahantānañca atthānaṃ nimittabhāvato mahāsupine. Te pana pañca mahāsupine neva lokiyamahājano passati, na mahārājāno, na cakkavattirājāno, na aggasāvakā, na paccekabuddhā, na sammāsambuddhā, eko sabbaññubodhisattoyeva passati. Tena vuttaṃ ‘‘bodhisatto viya pañca mahāsupine’’ti. Amhākañca pana bodhisatto kadā te supine passīti? ‘‘Sve buddho bhavissāmī’’ti cātuddasiyaṃ pakkhassa rattivibhāyanakāle passi. Kālavasena hi divā diṭṭho supino na sameti, tathā paṭhamayāme majjhimayāme ca. Pacchimayāme balavapaccūse pana asitapītasāyite sammāpariṇāmagate kāyasmiṃ ojāya patiṭṭhitāya aruṇe uggacchamāne diṭṭhasupino sameti. Iṭṭhanimittaṃ supinaṃ passanto iṭṭhaṃ paṭilabhati, aniṭṭhanimittaṃ passanto aniṭṭhaṃ, tasmā bodhisattopi supinaṃ passanto rattivibhāyanakāle passi.

    เก ปน เต ปญฺจ มหาสุปินาติ? ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปุเพฺพว สโมฺพธา อนภิสมฺพุทฺธสฺส โพธิสตฺตเสฺสว สโต ปญฺจ มหาสุปินา ปาตุรเหสุํ (อ. นิ. ๕.๑๙๖) – อยํ มหาปถวี มหาสยนํ อโหสิ, หิมวา ปพฺพตราชา พิโมฺพหนํ อโหสิ, ปุรตฺถิเม สมุเทฺท วามหโตฺถ โอหิโต อโหสิ, ปจฺฉิเม สมุเทฺท ทกฺขิณหโตฺถ โอหิโต อโหสิ, ทกฺขิณสมุเทฺท อุโภ ปาทา โอหิตา อเหสุํ, อยํ ปฐโม มหาสุปิโน ปาตุรโหสิฯ

    Ke pana te pañca mahāsupināti? Tathāgatassa arahato sammāsambuddhassa pubbeva sambodhā anabhisambuddhassa bodhisattasseva sato pañca mahāsupinā pāturahesuṃ (a. ni. 5.196) – ayaṃ mahāpathavī mahāsayanaṃ ahosi, himavā pabbatarājā bimbohanaṃ ahosi, puratthime samudde vāmahattho ohito ahosi, pacchime samudde dakkhiṇahattho ohito ahosi, dakkhiṇasamudde ubho pādā ohitā ahesuṃ, ayaṃ paṭhamo mahāsupino pāturahosi.

    ปุน จปรํ ทพฺพติณสงฺขาตา ติริยา นาม ติณชาติ นงฺคลมเตฺตน รตฺตทเณฺฑน นาภิโต อุคฺคนฺตฺวา ตสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว วิทตฺถิมตฺตํ รตนมตฺตํ พฺยามมตฺตํ ยฎฺฐิมตฺตํ คาวุตมตฺตํ อฑฺฒโยชนมตฺตํ โยชนมตฺตนฺติ เอวํ อุคฺคนฺตฺวา อเนกโยชนสหสฺสํ นภํ อาหจฺจ ฐิตา อโหสิ, อยํ ทุติโย มหาสุปิโน ปาตุรโหสิฯ

    Puna caparaṃ dabbatiṇasaṅkhātā tiriyā nāma tiṇajāti naṅgalamattena rattadaṇḍena nābhito uggantvā tassa passantasseva vidatthimattaṃ ratanamattaṃ byāmamattaṃ yaṭṭhimattaṃ gāvutamattaṃ aḍḍhayojanamattaṃ yojanamattanti evaṃ uggantvā anekayojanasahassaṃ nabhaṃ āhacca ṭhitā ahosi, ayaṃ dutiyo mahāsupino pāturahosi.

    ปุน จปรํ เสตา กิมี กณฺหสีสา ปาเทหิ อุสฺสกฺกิตฺวา ยาว ชาณุมณฺฑลา ปฎิจฺฉาเทสุํ, อยํ ตติโย มหาสุปิโน ปาตุรโหสิฯ

    Puna caparaṃ setā kimī kaṇhasīsā pādehi ussakkitvā yāva jāṇumaṇḍalā paṭicchādesuṃ, ayaṃ tatiyo mahāsupino pāturahosi.

    ปุน จปรํ จตฺตาโร สกุณา นานาวณฺณา จตูหิ ทิสาหิ อาคนฺตฺวา ปาทมูเล นิปติตฺวา สพฺพเสตา สมฺปชฺชิํสุ, อยํ จตุโตฺถ มหาสุปิโน ปาตุรโหสิฯ

    Puna caparaṃ cattāro sakuṇā nānāvaṇṇā catūhi disāhi āgantvā pādamūle nipatitvā sabbasetā sampajjiṃsu, ayaṃ catuttho mahāsupino pāturahosi.

    ปุน จปรํ โพธิสโตฺต มหโต มีฬฺหปพฺพตสฺส อุปรูปริ จงฺกมติ อลิปฺปมาโน มีเฬฺหน, อยํ ปญฺจโม มหาสุปิโน ปาตุรโหสิฯ อิเม ปญฺจ มหาสุปินาฯ

    Puna caparaṃ bodhisatto mahato mīḷhapabbatassa uparūpari caṅkamati alippamāno mīḷhena, ayaṃ pañcamo mahāsupino pāturahosi. Ime pañca mahāsupinā.

    ตตฺถ ปฐโม อนุตฺตราย สมฺมาสโมฺพธิยา ปุพฺพนิมิตฺตํ, ทุติโย อริยสฺส อฎฺฐงฺคิกสฺส มคฺคสฺส เทวมนุเสฺสสุ สุปฺปกาสิตภาวสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํ, ตติโย พหูนํ โอทาตวสนานํ คิหีนํ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา สรณคมนสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํ, จตุโตฺถ ขตฺติยาทีนํ จตุนฺนํ วณฺณานํ ตถาคตปฺปเวทิเต ธมฺมวินเย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตฺวา อนุตฺตรวิมุตฺติสจฺฉิกิริยาย ปุพฺพนิมิตฺตํ, ปญฺจโม จตุนฺนํ ปจฺจยานํ ลาภิตาย เตสุ จ อนุปลิตฺตภาวสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ

    Tattha paṭhamo anuttarāya sammāsambodhiyā pubbanimittaṃ, dutiyo ariyassa aṭṭhaṅgikassa maggassa devamanussesu suppakāsitabhāvassa pubbanimittaṃ, tatiyo bahūnaṃ odātavasanānaṃ gihīnaṃ bhagavantaṃ upasaṅkamitvā saraṇagamanassa pubbanimittaṃ, catuttho khattiyādīnaṃ catunnaṃ vaṇṇānaṃ tathāgatappavedite dhammavinaye agārasmā anagāriyaṃ pabbajitvā anuttaravimuttisacchikiriyāya pubbanimittaṃ, pañcamo catunnaṃ paccayānaṃ lābhitāya tesu ca anupalittabhāvassa pubbanimittaṃ.

    อปิจ ยํ โส จกฺกวาฬมหาปถวิํ สิริสยนภูตํ อทฺทส, ตํ พุทฺธภาวสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ยํ หิมวนฺตํ ปพฺพตราชานํ พิโมฺพหนํ อทฺทส, ตํ สพฺพญฺญุตญฺญาณพิโมฺพหนสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ยํ จตฺตาโร หตฺถปาเท สมุทฺทสฺส อุปรูปริภาเคน คนฺตฺวา จกฺกวาฬมตฺถเก ฐิเต อทฺทส, ตํ ธมฺมจกฺกสฺส อปฺปฎิวตฺติยภาเว ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ยํ อตฺตานํ อุตฺตานกํ นิปนฺนํ อทฺทส, ตํ ตีสุ ภเวสุ อวกุชฺชานํ สตฺตานํ อุตฺตานมุขภาวสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ยํ อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา ปสฺสโนฺต วิย อโหสิ, ตํ ทิพฺพจกฺขุปฎิลาภสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ยํ ยาว ภวคฺคา เอกาโลกํ อโหสิ, ตํ อนาวรณญาณสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ อิติ ตํตํวิเสสาธิคมนิมิตฺตภูเต ปญฺจ มหาสุปิเน ปสฺสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘โพธิสโตฺต วิย ปญฺจ มหาสุปิเน’’ติฯ

    Apica yaṃ so cakkavāḷamahāpathaviṃ sirisayanabhūtaṃ addasa, taṃ buddhabhāvassa pubbanimittaṃ. Yaṃ himavantaṃ pabbatarājānaṃ bimbohanaṃ addasa, taṃ sabbaññutaññāṇabimbohanassa pubbanimittaṃ. Yaṃ cattāro hatthapāde samuddassa uparūparibhāgena gantvā cakkavāḷamatthake ṭhite addasa, taṃ dhammacakkassa appaṭivattiyabhāve pubbanimittaṃ. Yaṃ attānaṃ uttānakaṃ nipannaṃ addasa, taṃ tīsu bhavesu avakujjānaṃ sattānaṃ uttānamukhabhāvassa pubbanimittaṃ. Yaṃ akkhīni ummīletvā passanto viya ahosi, taṃ dibbacakkhupaṭilābhassa pubbanimittaṃ. Yaṃ yāva bhavaggā ekālokaṃ ahosi, taṃ anāvaraṇañāṇassa pubbanimittaṃ. Sesaṃ vuttanayameva. Iti taṃtaṃvisesādhigamanimittabhūte pañca mahāsupine passi. Tena vuttaṃ ‘‘bodhisatto viya pañca mahāsupine’’ti.

    โกสลราชา วิย โสฬส สุปิเนติ –

    Kosalarājā viya soḷasa supineti –

    ‘‘อุสภา รุกฺขา คาวิโย ควา จ,

    ‘‘Usabhā rukkhā gāviyo gavā ca,

    อโสฺส กํโส สิงฺคาลี จ กุโมฺภ;

    Asso kaṃso siṅgālī ca kumbho;

    โปกฺขรณี จ อปากจนฺทนํ,

    Pokkharaṇī ca apākacandanaṃ,

    ลาพูนิ สีทนฺติ สิลา ปฺลวนฺติฯ

    Lābūni sīdanti silā plavanti.

    ‘‘มณฺฑูกิโย กณฺหสเปฺป คิลนฺติ,

    ‘‘Maṇḍūkiyo kaṇhasappe gilanti,

    กากํ สุวณฺณา ปริวารยนฺติ;

    Kākaṃ suvaṇṇā parivārayanti;

    ตสา วกา เอฬกานํ ภยา หี’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๗๗) –

    Tasā vakā eḷakānaṃ bhayā hī’’ti. (jā. 1.1.77) –

    อิเม โสฬส สุปิเน ปสฺสโนฺต โกสลราชา วิยฯ

    Ime soḷasa supine passanto kosalarājā viya.

    . เอกทิวสํ กิร โกสลราชา รตฺติํ นิทฺทูปคโต ปจฺฉิมยาเม โสฬส สุปิเน ปสฺสิ (ชา. อฎฺฐ. ๑.๑.มหาสุปินชาตกวณฺณนา)ฯ ตตฺถ จตฺตาโร อญฺชนวณฺณา กาฬอุสภา ‘‘ยุชฺฌิสฺสามา’’ติ จตูหิ ทิสาหิ ราชงฺคณํ อาคนฺตฺวา ‘‘อุสภยุทฺธํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ มหาชเน สนฺนิปติเต ยุชฺฌนาการํ ทเสฺสตฺวา นทิตฺวา คชฺชิตฺวา อยุชฺฌิตฺวาว ปฎิกฺกนฺตาฯ อิมํ ปฐมํ สุปินํ อทฺทสฯ

    1. Ekadivasaṃ kira kosalarājā rattiṃ niddūpagato pacchimayāme soḷasa supine passi (jā. aṭṭha. 1.1.mahāsupinajātakavaṇṇanā). Tattha cattāro añjanavaṇṇā kāḷausabhā ‘‘yujjhissāmā’’ti catūhi disāhi rājaṅgaṇaṃ āgantvā ‘‘usabhayuddhaṃ passissāmā’’ti mahājane sannipatite yujjhanākāraṃ dassetvā naditvā gajjitvā ayujjhitvāva paṭikkantā. Imaṃ paṭhamaṃ supinaṃ addasa.

    . ขุทฺทกา รุกฺขา เจว คจฺฉา จ ปถวิํ ภินฺทิตฺวา วิทตฺถิมตฺตมฺปิ รตนมตฺตมฺปิ อนุคฺคนฺตฺวาว ปุปฺผนฺติ เจว ผลนฺติ จฯ อิมํ ทุติยํ อทฺทสฯ

    2. Khuddakā rukkhā ceva gacchā ca pathaviṃ bhinditvā vidatthimattampi ratanamattampi anuggantvāva pupphanti ceva phalanti ca. Imaṃ dutiyaṃ addasa.

    . คาวิโย ตทหุชาตานํ วจฺฉานํ ขีรํ ปิวนฺติโย อทฺทสฯ อยํ ตติโย สุปิโนฯ

    3. Gāviyo tadahujātānaṃ vacchānaṃ khīraṃ pivantiyo addasa. Ayaṃ tatiyo supino.

    . ธุรวาเห อาโรหปริณาหสมฺปเนฺน มหาโคเณ ยุคปรมฺปราย อโยเชตฺวา ตรุเณ โคทเมฺม ธุเร โยเชเนฺต อทฺทส, เต ธุรํ วหิตุํ อสโกฺกนฺตา ฉเฑฺฑตฺวา อฎฺฐํสุ, สกฎานิ นปฺปวตฺติํสุฯ อยํ จตุโตฺถ สุปิโนฯ

    4. Dhuravāhe ārohapariṇāhasampanne mahāgoṇe yugaparamparāya ayojetvā taruṇe godamme dhure yojente addasa, te dhuraṃ vahituṃ asakkontā chaḍḍetvā aṭṭhaṃsu, sakaṭāni nappavattiṃsu. Ayaṃ catuttho supino.

    . เอกํ อุภโตมุขํ อสฺสํ อทฺทส, ตสฺส อุโภสุ ปเสฺสสุ ยวสีสํ เทนฺติ, โส ทฺวีหิปิ มุเขหิ ขาทติฯ อยํ ปญฺจโม สุปิโนฯ

    5. Ekaṃ ubhatomukhaṃ assaṃ addasa, tassa ubhosu passesu yavasīsaṃ denti, so dvīhipi mukhehi khādati. Ayaṃ pañcamo supino.

    . มหาชโน สตสหสฺสคฺฆนกํ สุวณฺณปาติํ สมฺมชฺชิตฺวา ‘‘อิธ ปสฺสาวํ กโรหี’’ติ เอกสฺส ชรสิงฺคาลสฺส อุปนาเมสิ, ตํ ตตฺถ ปสฺสาวํ กโรนฺตํ อทฺทสฯ อยํ ฉโฎฺฐ สุปิโนฯ

    6. Mahājano satasahassagghanakaṃ suvaṇṇapātiṃ sammajjitvā ‘‘idha passāvaṃ karohī’’ti ekassa jarasiṅgālassa upanāmesi, taṃ tattha passāvaṃ karontaṃ addasa. Ayaṃ chaṭṭho supino.

    . เอโก ปุริโส รชฺชุํ วเฎฺฎตฺวา ปาทมูเล นิกฺขิปติ, เตน นิสินฺนปีฐสฺส เหฎฺฐา สยิตา ฉาตสิงฺคาลี ตสฺส อชานนฺตเสฺสว ตํ ขาทติฯ อิมํ สตฺตมํ สุปินํ อทฺทสฯ

    7. Eko puriso rajjuṃ vaṭṭetvā pādamūle nikkhipati, tena nisinnapīṭhassa heṭṭhā sayitā chātasiṅgālī tassa ajānantasseva taṃ khādati. Imaṃ sattamaṃ supinaṃ addasa.

    . ราชทฺวาเร พหูหิ ตุจฺฉกุเมฺภหิ ปริวาเรตฺวา ฐปิตํ เอกํ มหนฺตํ ปูริตกุมฺภํ อทฺทส, จตฺตาโรปิ ปน วณฺณา จตูหิ ทิสาหิ จตูหิ อนุทิสาหิ จ ฆเฎหิ อุทกํ อาหริตฺวา ปูริตกุมฺภเมว ปูเรนฺติ, ปูริตปูริตํ อุทกํ อุตฺตริตฺวา ปลายติ, เตปิ ปุนปฺปุนํ ตเตฺถว อุทกํ อาสิญฺจนฺติ, ตุจฺฉกุเมฺภ โอโลเกนฺตาปิ นตฺถิฯ อยํ อฎฺฐโม สุปิโนฯ

    8. Rājadvāre bahūhi tucchakumbhehi parivāretvā ṭhapitaṃ ekaṃ mahantaṃ pūritakumbhaṃ addasa, cattāropi pana vaṇṇā catūhi disāhi catūhi anudisāhi ca ghaṭehi udakaṃ āharitvā pūritakumbhameva pūrenti, pūritapūritaṃ udakaṃ uttaritvā palāyati, tepi punappunaṃ tattheva udakaṃ āsiñcanti, tucchakumbhe olokentāpi natthi. Ayaṃ aṭṭhamo supino.

    . เอกํ ปญฺจปทุมสญฺฉนฺนํ คมฺภีรํ สพฺพโตติตฺถํ โปกฺขรณิํ อทฺทส, สมนฺตโต ทฺวิปทจตุปฺปทา โอตริตฺวา ตตฺถ ปานียํ ปิวนฺติ, ตสฺสา มเชฺฌ คมฺภีรฎฺฐาเน อุทกํ อาวิลํ, ตีรปฺปเทเส ทฺวิปทจตุปฺปทานํ อกฺกมนฎฺฐาเน อจฺฉํ วิปฺปสนฺนํ อนาวิลํฯ อยํ นวโม สุปิโนฯ

    9. Ekaṃ pañcapadumasañchannaṃ gambhīraṃ sabbatotitthaṃ pokkharaṇiṃ addasa, samantato dvipadacatuppadā otaritvā tattha pānīyaṃ pivanti, tassā majjhe gambhīraṭṭhāne udakaṃ āvilaṃ, tīrappadese dvipadacatuppadānaṃ akkamanaṭṭhāne acchaṃ vippasannaṃ anāvilaṃ. Ayaṃ navamo supino.

    ๑๐. เอกิสฺสาเยว จ กุมฺภิยา ปจฺจมานํ โอทนํ อปากํ อทฺทส, ‘‘อปาก’’นฺติ วิจาเรตฺวา วิภชิตฺวา ฐปิตํ วิย ตีหากาเรหิ ปจฺจมานํ เอกสฺมิํ ปเสฺส อติกิลิโนฺน โหติ, เอกสฺมิํ อุตฺตณฺฑุโล, เอกสฺมิํ สุปโกฺกติฯ อยํ ทสโม สุปิโนฯ

    10. Ekissāyeva ca kumbhiyā paccamānaṃ odanaṃ apākaṃ addasa, ‘‘apāka’’nti vicāretvā vibhajitvā ṭhapitaṃ viya tīhākārehi paccamānaṃ ekasmiṃ passe atikilinno hoti, ekasmiṃ uttaṇḍulo, ekasmiṃ supakkoti. Ayaṃ dasamo supino.

    ๑๑. สตสหสฺสคฺฆนกํ จนฺทนสารํ ปูติตเกฺกน วิกฺกิณเนฺต อทฺทสฯ อยํ เอกาทสโม สุปิโนฯ

    11. Satasahassagghanakaṃ candanasāraṃ pūtitakkena vikkiṇante addasa. Ayaṃ ekādasamo supino.

    ๑๒. ตุจฺฉลาพูนิ อุทเก สีทนฺตานิ อทฺทสฯ อยํ ทฺวาทสโม สุปิโนฯ

    12. Tucchalābūni udake sīdantāni addasa. Ayaṃ dvādasamo supino.

    ๑๓. มหนฺตมหนฺตา กูฎาคารปฺปมาณา ฆนสิลา นาวา วิย อุทเก ปฺลวมานา อทฺทสฯ อยํ เตรสโม สุปิโนฯ

    13. Mahantamahantā kūṭāgārappamāṇā ghanasilā nāvā viya udake plavamānā addasa. Ayaṃ terasamo supino.

    ๑๔. ขุทฺทกมธุกปุปฺผปฺปมาณา มณฺฑูกิโย มหเนฺต กณฺหสเปฺป เวเคน อนุพนฺธิตฺวา อุปฺปลนาเฬ วิย ฉินฺทิตฺวา มํสํ ขาทิตฺวา คิลนฺติโย อทฺทสฯ อยํ จุทฺทสโม สุปิโนฯ

    14. Khuddakamadhukapupphappamāṇā maṇḍūkiyo mahante kaṇhasappe vegena anubandhitvā uppalanāḷe viya chinditvā maṃsaṃ khāditvā gilantiyo addasa. Ayaṃ cuddasamo supino.

    ๑๕. ทสหิ อสทฺธเมฺมหิ สมนฺนาคตํ คามโคจรํ กากํ กญฺจนวณฺณวณฺณตาย ‘‘สุวณฺณา’’ติ ลทฺธนาเม สุวณฺณราชหํเส ปริวาเรเนฺต อทฺทสฯ อยํ ปนฺนรสโม สุปิโนฯ

    15. Dasahi asaddhammehi samannāgataṃ gāmagocaraṃ kākaṃ kañcanavaṇṇavaṇṇatāya ‘‘suvaṇṇā’’ti laddhanāme suvaṇṇarājahaṃse parivārente addasa. Ayaṃ pannarasamo supino.

    ๑๖. ปุเพฺพ ทีปิโน เอฬเก ขาทนฺติ, เต ปน เอฬเก ทีปิโน อนุพนฺธิตฺวา มุรามุราติ ขาทเนฺต อทฺทส, อถเญฺญ ตสา วกา เอฬเก ทูรโตว ทิสฺวา ตสิตา ตาสปฺปตฺตา หุตฺวา เอฬกานํ ภยา ปลายิตฺวา คุมฺพคหนานิ ปวิสิตฺวา นิลียิํสุฯ อยํ โสฬสโม สุปิโนฯ

    16. Pubbe dīpino eḷake khādanti, te pana eḷake dīpino anubandhitvā murāmurāti khādante addasa, athaññe tasā vakā eḷake dūratova disvā tasitā tāsappattā hutvā eḷakānaṃ bhayā palāyitvā gumbagahanāni pavisitvā nilīyiṃsu. Ayaṃ soḷasamo supino.

    . ตตฺถ อธมฺมิกานํ ราชูนํ อธมฺมิกานญฺจ มนุสฺสานํ กาเล โลเก วิปริวตฺตมาเน กุสเล โอสเนฺน อกุสเล อุสฺสเนฺน โลกสฺส ปริหีนกาเล เทโว น สมฺมา วสฺสิสฺสติ, เมฆปาทา ฉิชฺชิสฺสนฺติ, สสฺสานิ มิลายิสฺสนฺติ, ทุพฺภิกฺขํ ภวิสฺสติ, วสฺสิตุกามา วิย จตูหิ ทิสาหิ เมฆา อุฎฺฐหิตฺวา อิตฺถิกาหิ อาตเป ปตฺถฎานํ วีหิอาทีนํ เตมนภเยน อโนฺต ปเวสิตกาเล ปุริเสสุ กุทาลปิฎเก อาทาย อาฬิพนฺธนตฺถาย นิกฺขเนฺตสุ วสฺสนาการํ ทเสฺสตฺวา คชฺชิตฺวา วิชฺชุลตา นิจฺฉาเรตฺวา อุสภา วิย อยุชฺฌิตฺวา อวสฺสิตฺวาว ปลายิสฺสนฺติฯ อยํ ปฐมสฺส วิปาโกฯ

    1. Tattha adhammikānaṃ rājūnaṃ adhammikānañca manussānaṃ kāle loke viparivattamāne kusale osanne akusale ussanne lokassa parihīnakāle devo na sammā vassissati, meghapādā chijjissanti, sassāni milāyissanti, dubbhikkhaṃ bhavissati, vassitukāmā viya catūhi disāhi meghā uṭṭhahitvā itthikāhi ātape patthaṭānaṃ vīhiādīnaṃ temanabhayena anto pavesitakāle purisesu kudālapiṭake ādāya āḷibandhanatthāya nikkhantesu vassanākāraṃ dassetvā gajjitvā vijjulatā nicchāretvā usabhā viya ayujjhitvā avassitvāva palāyissanti. Ayaṃ paṭhamassa vipāko.

    . โลกสฺส ปริหีนกาเล มนุสฺสานํ ปริตฺตายุกกาเล สตฺตา ติพฺพราคา ภวิสฺสนฺติ, อสมฺปตฺตวยาว กุมาริโย ปุริสนฺตรํ คนฺตฺวา อุตุนิโย เจว คพฺภินิโย จ หุตฺวา ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒิสฺสนฺติฯ ขุทฺทกรุกฺขานํ ปุปฺผํ วิย หิ ตาสํ อุตุนิภาโว, ผลํ วิย จ ปุตฺตธีตโร ภวิสฺสนฺติฯ อยํ ทุติยสฺส วิปาโกฯ

    2. Lokassa parihīnakāle manussānaṃ parittāyukakāle sattā tibbarāgā bhavissanti, asampattavayāva kumāriyo purisantaraṃ gantvā utuniyo ceva gabbhiniyo ca hutvā puttadhītāhi vaḍḍhissanti. Khuddakarukkhānaṃ pupphaṃ viya hi tāsaṃ utunibhāvo, phalaṃ viya ca puttadhītaro bhavissanti. Ayaṃ dutiyassa vipāko.

    . มนุสฺสานํ เชฎฺฐาปจายิกกมฺมสฺส นฎฺฐกาเล สตฺตา มาตาปิตูสุ วา สสฺสุสสุเรสุ วา ลชฺชํ อนุปฎฺฐเปตฺวา สยเมว กุฎุมฺพํ สํวิทหนฺตาว ฆาสจฺฉาทนมตฺตมฺปิ มหลฺลกานํ ทาตุกามา ทสฺสนฺติ, อทาตุกามา น ทสฺสนฺติ, มหลฺลกา อนาถา หุตฺวา อสยํวสี ทารเก อาราเธตฺวา ชีวิสฺสนฺติ ตทหุชาตานํ วจฺฉานํ ขีรํ ปิวนฺติโย มหาคาวิโย วิยฯ อยํ ตติยสฺส วิปาโกฯ

    3. Manussānaṃ jeṭṭhāpacāyikakammassa naṭṭhakāle sattā mātāpitūsu vā sassusasuresu vā lajjaṃ anupaṭṭhapetvā sayameva kuṭumbaṃ saṃvidahantāva ghāsacchādanamattampi mahallakānaṃ dātukāmā dassanti, adātukāmā na dassanti, mahallakā anāthā hutvā asayaṃvasī dārake ārādhetvā jīvissanti tadahujātānaṃ vacchānaṃ khīraṃ pivantiyo mahāgāviyo viya. Ayaṃ tatiyassa vipāko.

    . อธมฺมิกราชูนํ กาเล อธมฺมิกราชาโน ปณฺฑิตานํ ปเวณิกุสลานํ กมฺมนิตฺถรณสมตฺถานํ มหามตฺตานํ ยสํ น ทสฺสนฺติ, ธมฺมสภายํ วินิจฺฉยฎฺฐาเนปิ ปณฺฑิเต โวหารกุสเล มหลฺลเก อมเจฺจ น ฐเปสฺสนฺติฯ ตพฺพิปรีตานํ ปน ตรุณตรุณานํ ยสํ ทสฺสนฺติ, ตถารูเป เอว จ วินิจฺฉยฎฺฐาเน ฐเปสฺสนฺติ, เต ราชกมฺมานิ เจว ยุตฺตายุตฺตญฺจ อชานนฺตา เนว ตํ ยสํ อุกฺขิปิตุํ สกฺขิสฺสนฺติ, น ราชกมฺมานิ นิตฺถริตุํ, เต อสโกฺกนฺตา กมฺมธุรํ ฉเฑฺฑสฺสนฺติ, มหลฺลกาปิ ปณฺฑิตา อมจฺจา ยสํ อลภนฺตา กิจฺจานิ นิตฺถริตุํ สมตฺถาปิ ‘‘กิํ อมฺหากํ เอเตหิ, มยํ พาหิรกา ชาตา, อพฺภนฺตริกา ตรุณทารกา ชานิสฺสนฺตี’’ติ อุปฺปนฺนานิ กมฺมานิ น กริสฺสนฺติ, เอวํ สพฺพถาปิ เตสํ ราชูนํ หานิเยว ภวิสฺสติ, ธุรํ วหิตุํ อสมตฺถานํ วจฺฉทมฺมานํ ธุเร โยชิตกาโล วิย, ธุรวาหานญฺจ มหาโคณานํ ยุคปรมฺปราย อโยชิตกาโล วิย ภวิสฺสติฯ อยํ จตุตฺถสฺส วิปาโกฯ

    4. Adhammikarājūnaṃ kāle adhammikarājāno paṇḍitānaṃ paveṇikusalānaṃ kammanittharaṇasamatthānaṃ mahāmattānaṃ yasaṃ na dassanti, dhammasabhāyaṃ vinicchayaṭṭhānepi paṇḍite vohārakusale mahallake amacce na ṭhapessanti. Tabbiparītānaṃ pana taruṇataruṇānaṃ yasaṃ dassanti, tathārūpe eva ca vinicchayaṭṭhāne ṭhapessanti, te rājakammāni ceva yuttāyuttañca ajānantā neva taṃ yasaṃ ukkhipituṃ sakkhissanti, na rājakammāni nittharituṃ, te asakkontā kammadhuraṃ chaḍḍessanti, mahallakāpi paṇḍitā amaccā yasaṃ alabhantā kiccāni nittharituṃ samatthāpi ‘‘kiṃ amhākaṃ etehi, mayaṃ bāhirakā jātā, abbhantarikā taruṇadārakā jānissantī’’ti uppannāni kammāni na karissanti, evaṃ sabbathāpi tesaṃ rājūnaṃ hāniyeva bhavissati, dhuraṃ vahituṃ asamatthānaṃ vacchadammānaṃ dhure yojitakālo viya, dhuravāhānañca mahāgoṇānaṃ yugaparamparāya ayojitakālo viya bhavissati. Ayaṃ catutthassa vipāko.

    . อธมฺมิกราชกาเลเยว อธมฺมิกพาลราชาโน อธมฺมิเก โลลมนุเสฺส วินิจฺฉเย ฐเปสฺสนฺติ, เต ปาปปุเญฺญสุ อนาทรา พาลา สภายํ นิสีทิตฺวา วินิจฺฉยํ เทนฺตา อุภินฺนมฺปิ อตฺถปจฺจตฺถิกานํ หตฺถโต ลญฺชํ คเหตฺวา ขาทิสฺสนฺติ อโสฺส วิย ทฺวีหิ มุเขหิ ยวสีสํฯ อยํ ปญฺจมสฺส วิปาโกฯ

    5. Adhammikarājakāleyeva adhammikabālarājāno adhammike lolamanusse vinicchaye ṭhapessanti, te pāpapuññesu anādarā bālā sabhāyaṃ nisīditvā vinicchayaṃ dentā ubhinnampi atthapaccatthikānaṃ hatthato lañjaṃ gahetvā khādissanti asso viya dvīhi mukhehi yavasīsaṃ. Ayaṃ pañcamassa vipāko.

    . อธมฺมิกาเยว วิชาติราชาโน ชาติสมฺปนฺนานํ กุลปุตฺตานํ อาสงฺกาย ยสํ น ทสฺสนฺติ, อกุลีเน วเฑฺฒสฺสนฺติ, เอวํ มหากุลานิ ทุคฺคตานิ ภวิสฺสนฺติ, ลามกกุลานิ อิสฺสรานิฯ เต จ กุลีนา ปุริสา ชีวิตุํ อสโกฺกนฺตา ‘‘อิเม นิสฺสาย ชีวิสฺสามา’’ติ อกุลีนานํ ธีตโร ทสฺสนฺติ, อิติ ตาสํ กุลธีตานํ อกุลีเนหิ สทฺธิํ สํวาโส ชรสิงฺคาลสฺส สุวณฺณปาติยํ ปสฺสาวกรณสทิโส ภวิสฺสติฯ อยํ ฉฎฺฐสฺส วิปาโกฯ

    6. Adhammikāyeva vijātirājāno jātisampannānaṃ kulaputtānaṃ āsaṅkāya yasaṃ na dassanti, akulīne vaḍḍhessanti, evaṃ mahākulāni duggatāni bhavissanti, lāmakakulāni issarāni. Te ca kulīnā purisā jīvituṃ asakkontā ‘‘ime nissāya jīvissāmā’’ti akulīnānaṃ dhītaro dassanti, iti tāsaṃ kuladhītānaṃ akulīnehi saddhiṃ saṃvāso jarasiṅgālassa suvaṇṇapātiyaṃ passāvakaraṇasadiso bhavissati. Ayaṃ chaṭṭhassa vipāko.

    . คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล อิตฺถิโย ปุริสโลลา สุราโลลา อลงฺการโลลา วิสิขาโลลา อามิสโลลา ภวิสฺสนฺติ ทุสฺสีลา ทุราจาราฯ ตา สามิเกหิ กสิโครกฺขาทีนิ กมฺมานิ กตฺวา กิเจฺฉน กสิเรน สมฺภตํ ธนํ ชาเรหิ สทฺธิํ สุรํ ปิวนฺติโย มาลาคนฺธวิเลปนํ ธารยมานา อโนฺตเคเห อจฺจายิกมฺปิ กิจฺจํ อโนโลเกตฺวา เคหปริเกฺขปสฺส อุปริภาเคนปิ ฉิทฺทฎฺฐาเนหิปิ ชาเร อุปธารยมานา เสฺว วปิตพฺพยุตฺตกํ พีชมฺปิ โกเฎฺฎตฺวา ยาคุภตฺตขชฺชกานิ สเชฺชตฺวา ขาทมานา วิลุมฺปิสฺสนฺติ เหฎฺฐาปีฐกนิปนฺนกฉาตกสิงฺคาลี วิย วเฎฺฎตฺวา วเฎฺฎตฺวา ปาทมูเล นิกฺขิตฺตรชฺชุํฯ อยํ สตฺตมสฺส วิปาโกฯ

    7. Gacchante gacchante kāle itthiyo purisalolā surālolā alaṅkāralolā visikhālolā āmisalolā bhavissanti dussīlā durācārā. Tā sāmikehi kasigorakkhādīni kammāni katvā kicchena kasirena sambhataṃ dhanaṃ jārehi saddhiṃ suraṃ pivantiyo mālāgandhavilepanaṃ dhārayamānā antogehe accāyikampi kiccaṃ anoloketvā gehaparikkhepassa uparibhāgenapi chiddaṭṭhānehipi jāre upadhārayamānā sve vapitabbayuttakaṃ bījampi koṭṭetvā yāgubhattakhajjakāni sajjetvā khādamānā vilumpissanti heṭṭhāpīṭhakanipannakachātakasiṅgālī viya vaṭṭetvā vaṭṭetvā pādamūle nikkhittarajjuṃ. Ayaṃ sattamassa vipāko.

    . คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล โลโก ปริหายิสฺสติ, รฎฺฐํ นิโรชํ ภวิสฺสติ, ราชาโน ทุคฺคตา กปณา ภวิสฺสนฺติฯ โย อิสฺสโร ภวิสฺสติ, ตสฺส ภณฺฑาคาเร สตสหสฺสมตฺตา กหาปณา ภวิสฺสนฺติ, เต เอวํ ทุคฺคตา สเพฺพ ชนปเท อตฺตโน กมฺมํ การยิสฺสนฺติ, อุปทฺทุตา มนุสฺสา สเก กมฺมเนฺต ฉเฑฺฑตฺวา ราชูนํเยว อตฺถาย ปุพฺพณฺณาปรณฺณานิ วปนฺตา รกฺขนฺตา ลายนฺตา มทฺทนฺตา ปเวเสนฺตา อุจฺฉุเขตฺตานิ กโรนฺตา ยนฺตานิ วาเหนฺตา ผาณิตาทีนิ ปจนฺตา ปุปฺผาราเม ผลาราเม จ กโรนฺตา ตตฺถ ตตฺถ นิปฺผนฺนานิ ปุปฺผผลาทีนิ อาหริตฺวา รโญฺญ โกฎฺฐาคารเมว ปูเรสฺสนฺติ, อตฺตโน เคเหสุ ตุจฺฉโกเฎฺฐ โอโลเกนฺตาปิ น ภวิสฺสนฺติ, ตุจฺฉตุจฺฉกุเมฺภ อโนโลเกตฺวา ปูริตกุมฺภปูรณสทิสเมว ภวิสฺสติฯ อยํ อฎฺฐมสฺส วิปาโกฯ

    8. Gacchante gacchante kāle loko parihāyissati, raṭṭhaṃ nirojaṃ bhavissati, rājāno duggatā kapaṇā bhavissanti. Yo issaro bhavissati, tassa bhaṇḍāgāre satasahassamattā kahāpaṇā bhavissanti, te evaṃ duggatā sabbe janapade attano kammaṃ kārayissanti, upaddutā manussā sake kammante chaḍḍetvā rājūnaṃyeva atthāya pubbaṇṇāparaṇṇāni vapantā rakkhantā lāyantā maddantā pavesentā ucchukhettāni karontā yantāni vāhentā phāṇitādīni pacantā pupphārāme phalārāme ca karontā tattha tattha nipphannāni pupphaphalādīni āharitvā rañño koṭṭhāgārameva pūressanti, attano gehesu tucchakoṭṭhe olokentāpi na bhavissanti, tucchatucchakumbhe anoloketvā pūritakumbhapūraṇasadisameva bhavissati. Ayaṃ aṭṭhamassa vipāko.

    . คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล ราชาโน อธมฺมิกา ภวิสฺสนฺติ, ฉนฺทาทิวเสน อคติํ คจฺฉนฺตา รชฺชํ กาเรสฺสนฺติ, ธเมฺมน วินิจฺฉยํ นาม น ทสฺสนฺติ, ลญฺชวิตฺตกา ภวิสฺสนฺติ ธนโลลา, รฎฺฐวาสิเกสุ เตสํ ขนฺติเมตฺตานุทฺทยํ นาม น ภวิสฺสติ, กกฺขฬา ผรุสา อุจฺฉุยเนฺต อุจฺฉุคณฺฐิกา วิย มนุเสฺส ปีเฬนฺตา นานปฺปการํ พลิํ อุปฺปาเทตฺวา ธนํ คณฺหิสฺสนฺติ, มนุสฺสา พลิปีฬิตา กิญฺจิ ทาตุํ อสโกฺกนฺตา คามนิคมาทโย ฉเฑฺฑตฺวา ปจฺจนฺตํ คนฺตฺวา วาสํ กเปฺปสฺสนฺติ, มชฺฌิมชนปโท สุโญฺญ ภวิสฺสติ, ปจฺจโนฺต ฆนวาโส เสยฺยถาปิ โปกฺขรณิยา มเชฺฌ อุทกํ อาวิลํ ปริยเนฺต วิปฺปสนฺนํฯ อยํ นวมสฺส วิปาโกฯ

    9. Gacchante gacchante kāle rājāno adhammikā bhavissanti, chandādivasena agatiṃ gacchantā rajjaṃ kāressanti, dhammena vinicchayaṃ nāma na dassanti, lañjavittakā bhavissanti dhanalolā, raṭṭhavāsikesu tesaṃ khantimettānuddayaṃ nāma na bhavissati, kakkhaḷā pharusā ucchuyante ucchugaṇṭhikā viya manusse pīḷentā nānappakāraṃ baliṃ uppādetvā dhanaṃ gaṇhissanti, manussā balipīḷitā kiñci dātuṃ asakkontā gāmanigamādayo chaḍḍetvā paccantaṃ gantvā vāsaṃ kappessanti, majjhimajanapado suñño bhavissati, paccanto ghanavāso seyyathāpi pokkharaṇiyā majjhe udakaṃ āvilaṃ pariyante vippasannaṃ. Ayaṃ navamassa vipāko.

    ๑๐. คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล ราชาโน อธมฺมิกา ภวิสฺสนฺติ, เตสุ อธมฺมิเกสุ ราชยุตฺตาปิ พฺราหฺมณคหปติกาปิ เนคมชานปทาปีติ สมณพฺราหฺมเณ อุปาทาย สเพฺพ มนุสฺสา อธมฺมิกา ภวิสฺสนฺติ, ตโต เตสํ อารกฺขเทวตา พลิปฎิคฺคาหิกเทวตา รุกฺขเทวตา อากาสฎฺฐกเทวตาติ เอวํ เทวตาปิ อธมฺมิกา ภวิสฺสนฺติ, อธมฺมิกราชูนํ รเชฺช วาตา วิสมา ขรา วายิสฺสนฺติ, เต อากาสฎฺฐกวิมานานิ กเมฺปสฺสนฺติ, เตสุ กมฺปิเตสุ เทวตา กุปิตา เทวํ วสฺสิตุํ น ทสฺสนฺติ, วสฺสมาโนปิ สกลรเฎฺฐ เอกปฺปหาเรเนว น วสฺสิสฺสติ, วสฺสมาโนปิ สพฺพตฺถ กสิกมฺมสฺส วา วปฺปกมฺมสฺส วา อุปกาโร หุตฺวา น วสฺสิสฺสติฯ ยถา จ รเฎฺฐ, เอวํ ชนปเทปิ คาเมปิ เอกตฬากสฺสเรปิ เอกปฺปหาเรเนว น วสฺสิสฺสติ, ตฬากสฺส อุปริภาเค วสฺสโนฺต เหฎฺฐาภาเค น วสฺสิสฺสติ, เหฎฺฐา วสฺสโนฺต อุปริ น วสฺสิสฺสติ, เอกสฺมิํ ภาเค สสฺสํ อติวเสฺสน นสฺสิสฺสติ, เอกสฺมิํ อวสฺสโนฺต มิลายิสฺสติ, เอกสฺมิํ สมฺมา วสฺสมาโน สมฺปาเทสฺสติ, เอวํ เอกสฺส รโญฺญ รเชฺช วุตฺตา สสฺสา ติปฺปการา ภวิสฺสนฺติ เอกกุมฺภิยา โอทโน วิยฯ อยํ ทสมสฺส วิปาโกฯ

    10. Gacchante gacchante kāle rājāno adhammikā bhavissanti, tesu adhammikesu rājayuttāpi brāhmaṇagahapatikāpi negamajānapadāpīti samaṇabrāhmaṇe upādāya sabbe manussā adhammikā bhavissanti, tato tesaṃ ārakkhadevatā balipaṭiggāhikadevatā rukkhadevatā ākāsaṭṭhakadevatāti evaṃ devatāpi adhammikā bhavissanti, adhammikarājūnaṃ rajje vātā visamā kharā vāyissanti, te ākāsaṭṭhakavimānāni kampessanti, tesu kampitesu devatā kupitā devaṃ vassituṃ na dassanti, vassamānopi sakalaraṭṭhe ekappahāreneva na vassissati, vassamānopi sabbattha kasikammassa vā vappakammassa vā upakāro hutvā na vassissati. Yathā ca raṭṭhe, evaṃ janapadepi gāmepi ekataḷākassarepi ekappahāreneva na vassissati, taḷākassa uparibhāge vassanto heṭṭhābhāge na vassissati, heṭṭhā vassanto upari na vassissati, ekasmiṃ bhāge sassaṃ ativassena nassissati, ekasmiṃ avassanto milāyissati, ekasmiṃ sammā vassamāno sampādessati, evaṃ ekassa rañño rajje vuttā sassā tippakārā bhavissanti ekakumbhiyā odano viya. Ayaṃ dasamassa vipāko.

    ๑๑. คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล สาสเน ปริหายเนฺต ปจฺจยโลลา อลชฺชิกา พหู ภิกฺขู ภวิสฺสนฺติ, เต ภควตา ปจฺจยโลลุปฺปํ นิมฺมเถตฺวา กถิตธมฺมเทสนํ จีวราทิจตุปจฺจยเหตุ ปเรสํ เทเสสฺสนฺติ, ปจฺจเยหิ มุจฺฉิตฺวา นิรตฺถกปเกฺข ฐิตา นิพฺพานาภิมุขํ กตฺวา เทเสตุํ น สกฺขิสฺสนฺติ, เกวลํ ‘‘ปทพฺยญฺชนสมฺปตฺติเญฺจว มธุรสทฺทญฺจ สุตฺวา มหคฺฆานิ จีวรานิ ทสฺสนฺติ’’อิเจฺจวํ เทเสสฺสนฺติฯ อปเร อนฺตรวีถิจตุกฺกราชทฺวาราทีสุ นิสีทิตฺวา กหาปณอฑฺฒกหาปณปาทมาสกรูปาทีนิปิ นิสฺสาย เทเสสฺสนฺติฯ อิติ ภควตา นิพฺพานคฺฆนกํ กตฺวา เทสิตํ ธมฺมํ จตุปจฺจยตฺถาย เจว กหาปณอฑฺฒกหาปณาทิอตฺถาย จ วิกฺกิณิตฺวา เทเสนฺตา สตสหสฺสคฺฆนกํ จนฺทนสารํ ปูติตเกฺกน วิกฺกิณนฺตา วิย ภวิสฺสนฺติฯ อยํ เอกาทสมสฺส วิปาโกฯ

    11. Gacchante gacchante kāle sāsane parihāyante paccayalolā alajjikā bahū bhikkhū bhavissanti, te bhagavatā paccayaloluppaṃ nimmathetvā kathitadhammadesanaṃ cīvarādicatupaccayahetu paresaṃ desessanti, paccayehi mucchitvā niratthakapakkhe ṭhitā nibbānābhimukhaṃ katvā desetuṃ na sakkhissanti, kevalaṃ ‘‘padabyañjanasampattiñceva madhurasaddañca sutvā mahagghāni cīvarāni dassanti’’iccevaṃ desessanti. Apare antaravīthicatukkarājadvārādīsu nisīditvā kahāpaṇaaḍḍhakahāpaṇapādamāsakarūpādīnipi nissāya desessanti. Iti bhagavatā nibbānagghanakaṃ katvā desitaṃ dhammaṃ catupaccayatthāya ceva kahāpaṇaaḍḍhakahāpaṇādiatthāya ca vikkiṇitvā desentā satasahassagghanakaṃ candanasāraṃ pūtitakkena vikkiṇantā viya bhavissanti. Ayaṃ ekādasamassa vipāko.

    ๑๒. อธมฺมิกราชกาเล โลเก วิปริวตฺตเนฺตเยว ราชาโน ชาติสมฺปนฺนานํ กุลปุตฺตานํ ยสํ น ทสฺสนฺติ, อกุลีนานเญฺญว ทสฺสนฺติ, เต อิสฺสรา ภวิสฺสนฺติ, อิตเร ทลิทฺทาฯ ราชสมฺมุเขปิ ราชทฺวาเรปิ อมจฺจสมฺมุเขปิ วินิจฺฉยฎฺฐาเนปิ ตุจฺฉลาพุสทิสานํ อกุลีนานํเยว กถา โอสีทิตฺวา ฐิตา วิย นิจฺจลา สุปฺปติฎฺฐิตา ภวิสฺสติ, สงฺฆสนฺนิปาเตปิ สงฺฆกมฺมคณกมฺมฎฺฐาเนสุ เจว ปตฺตจีวรปริเวณาทิวินิจฺฉยฎฺฐาเนสุ จ ทุสฺสีลานํ ปาปปุคฺคลานํเยว กถา นิยฺยานิกา ภวิสฺสติ, น ลชฺชิภิกฺขูนนฺติ เอวํ สพฺพถาปิ ตุจฺฉลาพูนํ สีทนกาโล วิย ภวิสฺสติฯ อยํ ทฺวาทสมสฺส วิปาโกฯ

    12. Adhammikarājakāle loke viparivattanteyeva rājāno jātisampannānaṃ kulaputtānaṃ yasaṃ na dassanti, akulīnānaññeva dassanti, te issarā bhavissanti, itare daliddā. Rājasammukhepi rājadvārepi amaccasammukhepi vinicchayaṭṭhānepi tucchalābusadisānaṃ akulīnānaṃyeva kathā osīditvā ṭhitā viya niccalā suppatiṭṭhitā bhavissati, saṅghasannipātepi saṅghakammagaṇakammaṭṭhānesu ceva pattacīvarapariveṇādivinicchayaṭṭhānesu ca dussīlānaṃ pāpapuggalānaṃyeva kathā niyyānikā bhavissati, na lajjibhikkhūnanti evaṃ sabbathāpi tucchalābūnaṃ sīdanakālo viya bhavissati. Ayaṃ dvādasamassa vipāko.

    ๑๓. ตาทิเสเยว กาเล อธมฺมิกราชาโน อกุลีนานํ ยสํ ทสฺสนฺติ, เต อิสฺสรา ภวิสฺสนฺติ, กุลีนา ทุคฺคตาฯ เตสุ น เกจิ คารวํ กริสฺสนฺติ, อิตเรสุเยว กริสฺสนฺติ, ราชสมฺมุเข วา อมจฺจสมฺมุเข วา วินิจฺฉยฎฺฐาเน วา วินิจฺฉยกุสลานํ ฆนสิลาสทิสานํ กุลปุตฺตานํ กถา น โอคาหิตฺวา ปติฎฺฐหิสฺสติฯ เตสุ กเถเนฺตสุ ‘‘กิํ อิเม กเถนฺตี’’ติ อิตเร ปริหาสเมว กริสฺสนฺติ, ภิกฺขุสนฺนิปาเตปิ วุตฺตปฺปกาเรสุ ฐาเนสุ เนว เปสเล ภิกฺขู ครุกาตเพฺพ มญฺญิสฺสนฺติ, นาปิ เนสํ กถา ปริโยคาหิตฺวา ปติฎฺฐหิสฺสติ, สิลานํ ปฺลวกาโล วิย ภวิสฺสติฯ อยํ เตรสมสฺส วิปาโกฯ

    13. Tādiseyeva kāle adhammikarājāno akulīnānaṃ yasaṃ dassanti, te issarā bhavissanti, kulīnā duggatā. Tesu na keci gāravaṃ karissanti, itaresuyeva karissanti, rājasammukhe vā amaccasammukhe vā vinicchayaṭṭhāne vā vinicchayakusalānaṃ ghanasilāsadisānaṃ kulaputtānaṃ kathā na ogāhitvā patiṭṭhahissati. Tesu kathentesu ‘‘kiṃ ime kathentī’’ti itare parihāsameva karissanti, bhikkhusannipātepi vuttappakāresu ṭhānesu neva pesale bhikkhū garukātabbe maññissanti, nāpi nesaṃ kathā pariyogāhitvā patiṭṭhahissati, silānaṃ plavakālo viya bhavissati. Ayaṃ terasamassa vipāko.

    ๑๔. โลเก ปริหายเนฺตเยว มนุสฺสา ติพฺพราคาทิชาติกา กิเลสานุวตฺตกา หุตฺวา ตรุณตรุณานํ อตฺตโน ภริยานํ วเส วตฺติสฺสนฺติ, เคเห ทาสกมฺมกราทโยปิ โคมหิํสาทโยปิ หิรญฺญสุวณฺณมฺปิ สพฺพํ ตาสํเยว อายตฺตํ ภวิสฺสติ, ‘‘อสุกหิรญฺญสุวณฺณํ วา ปริเจฺฉทาทิชาตํ วา กห’’นฺติ วุเตฺต ‘‘ยตฺถ วา ตตฺถ วา โหตุ, กิํ ตุยฺหิมินา พฺยาปาเรน, ตฺวํ มยฺหํ ฆเร สนฺตํ วา อสนฺตํ วา ชานิตุกาโม ชาโต’’ติ วตฺวา นานปฺปกาเรหิ อโกฺกสิตฺวา มุขสตฺตีหิ โกเฎฺฎตฺวา ทาสเจฎกํ วิย วเส กตฺวา อตฺตโน อิสฺสริยํ ปวเตฺตสฺสนฺติ, เอวํ มธุกปุปฺผปฺปมาณมณฺฑูกโปติกานํ อาสีวิเส กณฺหสเปฺป คิลนกาโล วิย ภวิสฺสติฯ อยํ จุทฺทสมสฺส วิปาโกฯ

    14. Loke parihāyanteyeva manussā tibbarāgādijātikā kilesānuvattakā hutvā taruṇataruṇānaṃ attano bhariyānaṃ vase vattissanti, gehe dāsakammakarādayopi gomahiṃsādayopi hiraññasuvaṇṇampi sabbaṃ tāsaṃyeva āyattaṃ bhavissati, ‘‘asukahiraññasuvaṇṇaṃ vā paricchedādijātaṃ vā kaha’’nti vutte ‘‘yattha vā tattha vā hotu, kiṃ tuyhiminā byāpārena, tvaṃ mayhaṃ ghare santaṃ vā asantaṃ vā jānitukāmo jāto’’ti vatvā nānappakārehi akkositvā mukhasattīhi koṭṭetvā dāsaceṭakaṃ viya vase katvā attano issariyaṃ pavattessanti, evaṃ madhukapupphappamāṇamaṇḍūkapotikānaṃ āsīvise kaṇhasappe gilanakālo viya bhavissati. Ayaṃ cuddasamassa vipāko.

    ๑๕. ทุพฺพลราชกาเล ราชาโน หตฺถิสิปฺปาทีสุ อกุสลา ยุเทฺธสุ อวิสารทา ภวิสฺสนฺติ, เต อตฺตโน ราชาธิปจฺจํ อาสงฺกมานา สมานชาติกานํ กุลปุตฺตานํ อิสฺสริยํ อทตฺวา อตฺตโน ปาทมูลิกนฺหาปกกปฺปกาทีนํ ทสฺสนฺติ, ชาติโคตฺตสมฺปนฺนา กุลปุตฺตา ราชกุเล ปติฎฺฐํ อลภมานา ชีวิกํ กเปฺปตุํ อสมตฺถา หุตฺวา อิสฺสริยฎฺฐาเน ชาติโคตฺตหีเน อกุลีเน อุปฎฺฐหนฺตา วิจริสฺสนฺติ, สุวณฺณราชหํเสหิ กากสฺส ปริวาริตกาโล วิย ภวิสฺสติฯ อยํ ปนฺนรสมสฺส วิปาโกฯ

    15. Dubbalarājakāle rājāno hatthisippādīsu akusalā yuddhesu avisāradā bhavissanti, te attano rājādhipaccaṃ āsaṅkamānā samānajātikānaṃ kulaputtānaṃ issariyaṃ adatvā attano pādamūlikanhāpakakappakādīnaṃ dassanti, jātigottasampannā kulaputtā rājakule patiṭṭhaṃ alabhamānā jīvikaṃ kappetuṃ asamatthā hutvā issariyaṭṭhāne jātigottahīne akulīne upaṭṭhahantā vicarissanti, suvaṇṇarājahaṃsehi kākassa parivāritakālo viya bhavissati. Ayaṃ pannarasamassa vipāko.

    ๑๖. อธมฺมิกราชกาเลเยว จ อกุลีนาว ราชวลฺลภา อิสฺสรา ภวิสฺสนฺติ, กุลีนา อปฺปญฺญาตา ทุคฺคตาฯ เต ราชวลฺลภา ราชานํ อตฺตโน กถํ คาหาเปตฺวา วินิจฺฉยฎฺฐานาทีสุ พลวโนฺต หุตฺวา ทุพฺพลานํ ปเวณิอาคตานิ เขตฺตวตฺถุอาทีนิ ‘‘อมฺหากํ สนฺตกานิ เอตานี’’ติ อภิยุญฺชิตฺวา เต ‘‘น ตุมฺหากํ, อมฺหาก’’นฺติ อาคนฺตฺวา วินิจฺฉยฎฺฐานาทีสุ วิวทเนฺต เวตฺตลตาทีหิ ปหาราเปตฺวา คีวายํ คเหตฺวา อปกฑฺฒาเปตฺวา ‘‘อตฺตโน ปมาณํ น ชานาถ, อเมฺหหิ สทฺธิํ วิวทถ, อิทานิ โว รโญฺญ กเถตฺวา หตฺถปาทเจฺฉทาทีนิ กาเรสฺสามา’’ติ สนฺตเชฺชสฺสนฺติ, เต เตสํ ภเยน อตฺตโน สนฺตกานิ เขตฺตวตฺถูนิ ‘‘ตุมฺหากํเยว ตานิ, คณฺหถา’’ติ นิยฺยาเตตฺวา อตฺตโน เคหานิ ปวิสิตฺวา ภีตา นิปชฺชิสฺสนฺติฯ ปาปภิกฺขูปิ เปสเล ภิกฺขู ยถารุจิ วิเหเฐสฺสนฺติ, เปสลา ภิกฺขู ปฎิสรณํ อลภมานา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา คหนฎฺฐาเนสุ นิลียิสฺสนฺติ, เอวํ หีนชเจฺจหิ เจว ปาปภิกฺขูหิ จ อุปทฺทุตานํ ชาติมนฺตกุลปุตฺตานเญฺจว เปสลภิกฺขูนญฺจ เอฬกานํ ภเยน ตสวกานํ ปลายนกาโล วิย ภวิสฺสติ ฯ อยํ โสฬสมสฺส วิปาโกฯ เอวํ ตสฺส ตสฺส อตฺถสฺส ปุพฺพนิมิตฺตภูเต โสฬส สุปิเน ปสฺสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘โกสลราชา วิย โสฬส สุปิเน’’ติฯ เอตฺถ จ ปุพฺพนิมิตฺตโต อตฺตโน อตฺถานตฺถนิมิตฺตํ สุปินํ ปสฺสโนฺต อตฺตโน กมฺมานุภาเวน ปสฺสติ, โกสลราชา วิย โลกสฺส อตฺถานตฺถนิมิตฺตํ สุปินํ ปสฺสโนฺต ปน สพฺพสตฺตสาธารณกมฺมานุภาเวน ปสฺสตีติ เวทิตพฺพํฯ

    16. Adhammikarājakāleyeva ca akulīnāva rājavallabhā issarā bhavissanti, kulīnā appaññātā duggatā. Te rājavallabhā rājānaṃ attano kathaṃ gāhāpetvā vinicchayaṭṭhānādīsu balavanto hutvā dubbalānaṃ paveṇiāgatāni khettavatthuādīni ‘‘amhākaṃ santakāni etānī’’ti abhiyuñjitvā te ‘‘na tumhākaṃ, amhāka’’nti āgantvā vinicchayaṭṭhānādīsu vivadante vettalatādīhi pahārāpetvā gīvāyaṃ gahetvā apakaḍḍhāpetvā ‘‘attano pamāṇaṃ na jānātha, amhehi saddhiṃ vivadatha, idāni vo rañño kathetvā hatthapādacchedādīni kāressāmā’’ti santajjessanti, te tesaṃ bhayena attano santakāni khettavatthūni ‘‘tumhākaṃyeva tāni, gaṇhathā’’ti niyyātetvā attano gehāni pavisitvā bhītā nipajjissanti. Pāpabhikkhūpi pesale bhikkhū yathāruci viheṭhessanti, pesalā bhikkhū paṭisaraṇaṃ alabhamānā araññaṃ pavisitvā gahanaṭṭhānesu nilīyissanti, evaṃ hīnajaccehi ceva pāpabhikkhūhi ca upaddutānaṃ jātimantakulaputtānañceva pesalabhikkhūnañca eḷakānaṃ bhayena tasavakānaṃ palāyanakālo viya bhavissati . Ayaṃ soḷasamassa vipāko. Evaṃ tassa tassa atthassa pubbanimittabhūte soḷasa supine passi. Tena vuttaṃ – ‘‘kosalarājā viya soḷasa supine’’ti. Ettha ca pubbanimittato attano atthānatthanimittaṃ supinaṃ passanto attano kammānubhāvena passati, kosalarājā viya lokassa atthānatthanimittaṃ supinaṃ passanto pana sabbasattasādhāraṇakammānubhāvena passatīti veditabbaṃ.

    กุทฺธา หิ เทวตาติ นาคมหาวิหาเร มหาเถรสฺส กุทฺธา เทวตา วิยฯ โรหเณ กิร นาคมหาวิหาเร มหาเถโร ภิกฺขุสงฺฆํ อนปโลเกตฺวาว เอกํ นาครุกฺขํ ฉินฺทาเปสิฯ รุเกฺข อธิวตฺถา เทวตา เถรสฺส กุทฺธา ปฐมเมว นํ สจฺจสุปิเนน ปโลเภตฺวา ปจฺฉา ‘‘อิโต เต สตฺตทิวสมตฺถเก อุปฎฺฐาโก ราชา มริสฺสตี’’ติ สุปิเน อาโรเจสิฯ เถโร ตํ กถํ อาหริตฺวา ราโชโรธานํ อาจิกฺขิฯ ตา เอกปฺปหาเรเนว มหาวิรวํ วิรวิํสุฯ ราชา ‘‘กิํ เอต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ตา ‘เอวํ เถเรน วุตฺต’’นฺติ อาโรจยิํสุฯ ราชา ทิวเส คณาเปตฺวา สตฺตาเห วีติวเตฺต เถรสฺส หตฺถปาเท ฉินฺทาเปสิฯ เอกนฺตสจฺจเมว โหตีติ ผลสฺส สจฺจภาวโต วุตฺตํ, ทสฺสนํ ปน วิปลฺลตฺถเมวฯ เตเนว ปหีนวิปลฺลาสา ปุพฺพนิมิตฺตภูตมฺปิ สุปินํ น ปสฺสนฺติ, ทฺวีหิ ตีหิ วา การเณหิ กทาจิ สุปินํ ปสฺสนฺตีติ อาห ‘‘สํสคฺคเภทโต’’ติฯ ‘‘อเสกฺขา น ปสฺสนฺติ ปหีนวิปลฺลาสตฺตา’’ติ วจนโต จตุนฺนมฺปิ การณานํ วิปลฺลาโส เอว มูลการณนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Kuddhā hi devatāti nāgamahāvihāre mahātherassa kuddhā devatā viya. Rohaṇe kira nāgamahāvihāre mahāthero bhikkhusaṅghaṃ anapaloketvāva ekaṃ nāgarukkhaṃ chindāpesi. Rukkhe adhivatthā devatā therassa kuddhā paṭhamameva naṃ saccasupinena palobhetvā pacchā ‘‘ito te sattadivasamatthake upaṭṭhāko rājā marissatī’’ti supine ārocesi. Thero taṃ kathaṃ āharitvā rājorodhānaṃ ācikkhi. Tā ekappahāreneva mahāviravaṃ viraviṃsu. Rājā ‘‘kiṃ eta’’nti pucchi. Tā ‘evaṃ therena vutta’’nti ārocayiṃsu. Rājā divase gaṇāpetvā sattāhe vītivatte therassa hatthapāde chindāpesi. Ekantasaccameva hotīti phalassa saccabhāvato vuttaṃ, dassanaṃ pana vipallatthameva. Teneva pahīnavipallāsā pubbanimittabhūtampi supinaṃ na passanti, dvīhi tīhi vā kāraṇehi kadāci supinaṃ passantīti āha ‘‘saṃsaggabhedato’’ti. ‘‘Asekkhā na passanti pahīnavipallāsattā’’ti vacanato catunnampi kāraṇānaṃ vipallāso eva mūlakāraṇanti daṭṭhabbaṃ.

    นฺติ สุปินกาเล ปวตฺตํ ภวงฺคจิตฺตํฯ รูปนิมิตฺตาทิอารมฺมณนฺติ กมฺมนิมิตฺตคตินิมิตฺตโต อญฺญํ รูปนิมิตฺตาทิอารมฺมณํ น โหติฯ อีทิสานีติ ปจฺจกฺขโต อนุภูตปุพฺพปริกปฺปิตรูปาทิอารมฺมณานิ เจว ราคาทิสมฺปยุตฺตานิ จฯ สโพฺพหาริกจิเตฺตนาติ ปกติจิเตฺตนฯ ทฺวีหิ อเนฺตหิ มุโตฺตติ กุสลากุสลสงฺขาเตหิ ทฺวีหิ อเนฺตหิ มุโตฺตฯ อาวชฺชนตทารมฺมณกฺขเณติ อิทํ ยาว ตทารมฺมณุปฺปตฺติ, ตาว ปวตฺตํ จิตฺตวารํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘สุปิเนเนว ทิฎฺฐํ วิย เม, สุตํ วิย เมติ กถนกาเล ปน อพฺยากโตเยว อาวชฺชนมตฺตเสฺสว อุปฺปชฺชนโต’’ติ วทนฺติฯ เอวํ วทเนฺตหิ ปญฺจทฺวาเร ทุติยโมฆวาเร วิย มโนทฺวาเรปิ อาวชฺชนํ ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ อุปฺปชฺชิตฺวา ชวนฎฺฐาเน ฐตฺวา ภวงฺคํ โอตรตีติ อธิเปฺปตนฺติ ทฎฺฐพฺพํ เอกจิตฺตกฺขณิกสฺส อาวชฺชนสฺส อุปฺปตฺติยํ ‘‘ทิฎฺฐํ วิย เม, สุตํ วิย เม’’ติ กปฺปนาย อสมฺภวโตฯ

    Tanti supinakāle pavattaṃ bhavaṅgacittaṃ. Rūpanimittādiārammaṇanti kammanimittagatinimittato aññaṃ rūpanimittādiārammaṇaṃ na hoti. Īdisānīti paccakkhato anubhūtapubbaparikappitarūpādiārammaṇāni ceva rāgādisampayuttāni ca. Sabbohārikacittenāti pakaticittena. Dvīhi antehi muttoti kusalākusalasaṅkhātehi dvīhi antehi mutto. Āvajjanatadārammaṇakkhaṇeti idaṃ yāva tadārammaṇuppatti, tāva pavattaṃ cittavāraṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Supineneva diṭṭhaṃ viya me, sutaṃ viya meti kathanakāle pana abyākatoyeva āvajjanamattasseva uppajjanato’’ti vadanti. Evaṃ vadantehi pañcadvāre dutiyamoghavāre viya manodvārepi āvajjanaṃ dvattikkhattuṃ uppajjitvā javanaṭṭhāne ṭhatvā bhavaṅgaṃ otaratīti adhippetanti daṭṭhabbaṃ ekacittakkhaṇikassa āvajjanassa uppattiyaṃ ‘‘diṭṭhaṃ viya me, sutaṃ viya me’’ti kappanāya asambhavato.

    เอตฺถ จ ‘‘สุปินเนฺตปิ ตทารมฺมณวจนโต ปจฺจุปฺปนฺนวเสน วา อตีตวเสน วา สภาวธมฺมาปิ สุปินเนฺต อารมฺมณํ โหนฺตี’’ติ วทนฺติฯ ‘‘ยทิปิ สุปินเนฺต วิภูตํ หุตฺวา อุปฎฺฐิเต รูปาทิวตฺถุมฺหิ ตทารมฺมณํ วุตฺตํ, ตถาปิ สุปินเนฺต อุปฎฺฐิตนิมิตฺตสฺส ปริกปฺปวเสน คเหตพฺพตาย ทุพฺพลภาวโต ทุพฺพลวตฺถุกตฺตาติ วุตฺต’’นฺติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ เกจิ ปน ‘‘กรชกายสฺส นิรุสฺสาหสนฺตภาวปฺปตฺติโต ตนฺนิสฺสิตํ หทยวตฺถุ น สุปฺปสนฺนํ โหติ, ตโต ตนฺนิสฺสิตาปิ จิตฺตุปฺปตฺติ น สุปฺปสนฺนา อสุปฺปสนฺนวฎฺฎินิสฺสิตทีปปฺปภา วิย, ตสฺมา ทุพฺพลวตฺถุกตฺตาติ เอตฺถ ทุพฺพลหทยวตฺถุกตฺตา’’ติ อตฺถํ วทนฺติ, วีมํสิตฺวา ยุตฺตตรํ คเหตพฺพํฯ

    Ettha ca ‘‘supinantepi tadārammaṇavacanato paccuppannavasena vā atītavasena vā sabhāvadhammāpi supinante ārammaṇaṃ hontī’’ti vadanti. ‘‘Yadipi supinante vibhūtaṃ hutvā upaṭṭhite rūpādivatthumhi tadārammaṇaṃ vuttaṃ, tathāpi supinante upaṭṭhitanimittassa parikappavasena gahetabbatāya dubbalabhāvato dubbalavatthukattāti vutta’’nti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Keci pana ‘‘karajakāyassa nirussāhasantabhāvappattito tannissitaṃ hadayavatthu na suppasannaṃ hoti, tato tannissitāpi cittuppatti na suppasannā asuppasannavaṭṭinissitadīpappabhā viya, tasmā dubbalavatthukattāti ettha dubbalahadayavatthukattā’’ti atthaṃ vadanti, vīmaṃsitvā yuttataraṃ gahetabbaṃ.

    สุปินนฺตเจตนาติ มโนทฺวาริกชวนวเสน ปวตฺตา สุปินเนฺต เจตนาฯ สุปินญฺหิ ปสฺสโนฺต มโนทฺวาริเกเนว ชวเนน ปสฺสติ, น ปญฺจทฺวาริเกนฯ ปฎิพุชฺฌโนฺต จ มโนทฺวาริเกเนว ปฎิพุชฺฌติ, น ปญฺจทฺวาริเกนฯ นิทฺทายนฺตสฺส หิ มหาวฎฺฎิํ ชาเลตฺวา ทีเป จกฺขุสมีปํ อุปนีเต ปฐมํ จกฺขุทฺวาริกํ อาวชฺชนํ ภวงฺคํ น อาวเฎฺฎติ, มโนทฺวาริกเมว อาวเฎฺฎติ, อถ ชวนํ ชวิตฺวา ภวงฺคํ โอตรติฯ ทุติยวาเร จกฺขุทฺวาริกํ อาวชฺชนํ ภวงฺคํ อาวเฎฺฎติ, ตโต จกฺขุวิญฺญาณาทีนิ ชวนปริโยสานานิ ปวตฺตนฺติ, ตทนนฺตรํ ภวงฺคํ ปวตฺตติฯ ตติยวาเร มโนทฺวาริกอาวชฺชเนน ภวเงฺค อาวฎฺฎิเต มโนทฺวาริกชวนํ ชวติ, เตน จิเตฺตน ‘‘กิํ อยํ อิมสฺมิํ ฐาเน อาโลโก’’ติ ชานาติฯ ตถา นิทฺทายนฺตสฺส กณฺณสมีเป ตูริเยสุ ปคฺคหิเตสุ ฆานสมีเป สุคเนฺธสุ วา ทุคฺคเนฺธสุ วา ปุเปฺผสุ อุปนีเตสุ มุเข สปฺปิมฺหิ วา ผาณิเต วา ปกฺขิเตฺต ปิฎฺฐิยํ ปาณินา ปหาเร ทิเนฺน ปฐมํ โสตทฺวาริกาทีนิ อาวชฺชนานิ ภวงฺคํ น อาวเฎฺฎนฺติ , มโนทฺวาริกเมว อาวเฎฺฎติ, อถ ชวนํ ชวิตฺวา ภวงฺคํ โอตรติฯ ทุติยวาเร โสตทฺวาริกาทีนิ อาวชฺชนานิ ภวงฺคํ อาวเฎฺฎนฺติ, ตโต โสตฆานชิวฺหากายวิญฺญาณาทีนิ ชวนปริโยสานานิ ปวตฺตนฺติ, ตทนนฺตรํ ภวงฺคํ ปวตฺตติฯ ตติยวาเร มโนทฺวาริกอาวชฺชเนน ภวเงฺค อาวฎฺฎิเต มโนทฺวาริกชวนํ ชวติ, เตน จิเตฺตน ญตฺวา ‘‘กิํ อยํ อิมสฺมิํ ฐาเน สโทฺท, สงฺขสโทฺท เภริสโทฺท’’ติ วา ‘‘กิํ อยํ อิมสฺมิํ ฐาเน คโนฺธ, มูลคโนฺธ สารคโนฺธ’’ติ วา ‘‘กิํ อิทํ มยฺหํ มุเข ปกฺขิตฺตํ, สปฺปิ ผาณิต’’นฺติ วา ‘‘เกนมฺหิ ปิฎฺฐิยํ ปหโฎ, อติถโทฺธ เม ปหาโร’’ติ วา วตฺตา โหติ, เอวํ มโนทฺวาริกชวเนเนว ปฎิพุชฺฌติ, น ปญฺจทฺวาริเกนฯ สุปินมฺปิ เตเนว ปสฺสติ, น ปญฺจทฺวาริเกนฯ

    Supinantacetanāti manodvārikajavanavasena pavattā supinante cetanā. Supinañhi passanto manodvārikeneva javanena passati, na pañcadvārikena. Paṭibujjhanto ca manodvārikeneva paṭibujjhati, na pañcadvārikena. Niddāyantassa hi mahāvaṭṭiṃ jāletvā dīpe cakkhusamīpaṃ upanīte paṭhamaṃ cakkhudvārikaṃ āvajjanaṃ bhavaṅgaṃ na āvaṭṭeti, manodvārikameva āvaṭṭeti, atha javanaṃ javitvā bhavaṅgaṃ otarati. Dutiyavāre cakkhudvārikaṃ āvajjanaṃ bhavaṅgaṃ āvaṭṭeti, tato cakkhuviññāṇādīni javanapariyosānāni pavattanti, tadanantaraṃ bhavaṅgaṃ pavattati. Tatiyavāre manodvārikaāvajjanena bhavaṅge āvaṭṭite manodvārikajavanaṃ javati, tena cittena ‘‘kiṃ ayaṃ imasmiṃ ṭhāne āloko’’ti jānāti. Tathā niddāyantassa kaṇṇasamīpe tūriyesu paggahitesu ghānasamīpe sugandhesu vā duggandhesu vā pupphesu upanītesu mukhe sappimhi vā phāṇite vā pakkhitte piṭṭhiyaṃ pāṇinā pahāre dinne paṭhamaṃ sotadvārikādīni āvajjanāni bhavaṅgaṃ na āvaṭṭenti , manodvārikameva āvaṭṭeti, atha javanaṃ javitvā bhavaṅgaṃ otarati. Dutiyavāre sotadvārikādīni āvajjanāni bhavaṅgaṃ āvaṭṭenti, tato sotaghānajivhākāyaviññāṇādīni javanapariyosānāni pavattanti, tadanantaraṃ bhavaṅgaṃ pavattati. Tatiyavāre manodvārikaāvajjanena bhavaṅge āvaṭṭite manodvārikajavanaṃ javati, tena cittena ñatvā ‘‘kiṃ ayaṃ imasmiṃ ṭhāne saddo, saṅkhasaddo bherisaddo’’ti vā ‘‘kiṃ ayaṃ imasmiṃ ṭhāne gandho, mūlagandho sāragandho’’ti vā ‘‘kiṃ idaṃ mayhaṃ mukhe pakkhittaṃ, sappi phāṇita’’nti vā ‘‘kenamhi piṭṭhiyaṃ pahaṭo, atithaddho me pahāro’’ti vā vattā hoti, evaṃ manodvārikajavaneneva paṭibujjhati, na pañcadvārikena. Supinampi teneva passati, na pañcadvārikena.

    อสฺสาติ อสฺส อาปตฺตินิกายสฺสฯ นนุ จ อยุโตฺตยํ นิเทฺทโส ‘‘สโงฺฆ อาทิมฺหิ เจว เสเส จ อิจฺฉิตโพฺพ อสฺสา’’ติฯ น หิ อาปตฺตินิกายสฺส อาทิมฺหิ เจว เสเส จ สโงฺฆ อิจฺฉิโต, กิญฺจรหิ วุฎฺฐานสฺสาติ อิมํ โจทนํ มนสิ สนฺนิธาย ยถา น วิรุชฺฌติ, ตถา อธิปฺปายํ วิวรโนฺต ‘‘กิํ วุตฺตํ โหตี’’ติอาทิมาหฯ อาปตฺติโต วุฎฺฐานสฺส อาทิมฺหิ เจว เสเส จ อิจฺฉิโต สโงฺฆ อาปตฺติยาว อิจฺฉิโต นาม โหตีติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ อาปตฺติวุฎฺฐานนฺติ อาปตฺติโต วุฎฺฐานํ, อนาปตฺติกภาวูปคมนนฺติ อโตฺถฯ วจนการณนฺติ ‘‘สงฺฆาทิเสโส’’ติ เอวํ วจเน การณํฯ สมุทาเย นิรุโฬฺห นิกาย-สโทฺท ตเทกเทเส ปวตฺตมาโนปิ ตาย เอว รุฬฺหิยา ปวตฺตตีติ อาห รุฬีสเทฺทนาติฯ อถ วา กิญฺจิ นิมิตฺตํ คเหตฺวา สติปิ อญฺญสฺมิํ ตํนิมิตฺตยุเตฺต กิสฺมิญฺจิเทว วิสเย สมฺมุติยา จิรกาลตาวเสน นิมิตฺตวิรเหปิ ปวตฺตนิรุโฬฺห รุฬฺหี นามฯ ยถา มหิยํ เสตีติ มหิํโส, คจฺฉตีติ โคติ, เอวํ นิกาย-สทฺทสฺสปิ รุฬฺหิภาโว เวทิตโพฺพฯ เอกสฺมิมฺปิ วิสิเฎฺฐ สติปิ สามญฺญา วิย สมุทาเย ปวตฺตโวหาโร อวยเวปิ ปวตฺตตีติ อาห อวยเว สมูหโวหาเรน วาติฯ นวมสฺส อธิปฺปายสฺสาติ วีมํสาธิปฺปายสฺสฯ

    Assāti assa āpattinikāyassa. Nanu ca ayuttoyaṃ niddeso ‘‘saṅgho ādimhi ceva sese ca icchitabbo assā’’ti. Na hi āpattinikāyassa ādimhi ceva sese ca saṅgho icchito, kiñcarahi vuṭṭhānassāti imaṃ codanaṃ manasi sannidhāya yathā na virujjhati, tathā adhippāyaṃ vivaranto ‘‘kiṃ vuttaṃ hotī’’tiādimāha. Āpattito vuṭṭhānassa ādimhi ceva sese ca icchito saṅgho āpattiyāva icchito nāma hotīti ayamettha adhippāyo. Āpattivuṭṭhānanti āpattito vuṭṭhānaṃ, anāpattikabhāvūpagamananti attho. Vacanakāraṇanti ‘‘saṅghādiseso’’ti evaṃ vacane kāraṇaṃ. Samudāye niruḷho nikāya-saddo tadekadese pavattamānopi tāya eva ruḷhiyā pavattatīti āha ruḷīsaddenāti. Atha vā kiñci nimittaṃ gahetvā satipi aññasmiṃ taṃnimittayutte kismiñcideva visaye sammutiyā cirakālatāvasena nimittavirahepi pavattaniruḷho ruḷhī nāma. Yathā mahiyaṃ setīti mahiṃso, gacchatīti goti, evaṃ nikāya-saddassapi ruḷhibhāvo veditabbo. Ekasmimpi visiṭṭhe satipi sāmaññā viya samudāye pavattavohāro avayavepi pavattatīti āha avayave samūhavohārena vāti. Navamassa adhippāyassāti vīmaṃsādhippāyassa.

    ๒๓๘-๒๓๙. โลมา เอเตสํ สนฺตีติ โลมสา, พหุโลมาติ วุตฺตํ โหติฯ อโรโค ภวิสฺสามีติ ราคปริฬาหวูปสมโต นิโรโค ภวิสฺสามิฯ โมจเนนาติ โมจนตฺถาย อุปกฺกมกรเณนฯ อุปกฺกมกรณเญฺหตฺถ โมจนนฺติ อธิเปฺปตํ โมเจติ เอเตนาติ กตฺวาฯ พีชํ ภวิสฺสตีติ โจฬคฺคหณาทิกมฺมํ สนฺธาย วุตฺตํฯ

    238-239. Lomā etesaṃ santīti lomasā, bahulomāti vuttaṃ hoti. Arogo bhavissāmīti rāgapariḷāhavūpasamato nirogo bhavissāmi. Mocanenāti mocanatthāya upakkamakaraṇena. Upakkamakaraṇañhettha mocananti adhippetaṃ moceti etenāti katvā. Bījaṃ bhavissatīti coḷaggahaṇādikammaṃ sandhāya vuttaṃ.

    ๒๔๐. เทฺว อาปตฺติสหสฺสานีติ ขณฺฑจกฺกาทิเภทํ อนามสิตฺวา วุตฺตํ, อิจฺฉเนฺตน ปน ขณฺฑจกฺกาทิเภเทนปิ อาปตฺติคณนา กาตพฺพาฯ มิสฺสกจกฺกนฺติ อุภโตวฑฺฒนกํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เอตฺถ จ นีลญฺจ ปีตกญฺจาติอาทินา เอกกฺขเณ อเนกวณฺณานํ โมจนาธิปฺปายวจนํ ยถาธิปฺปาเยน โมจนํ ภวตุ วา มา วา, อิมินาปิ อธิปฺปาเยน อุปกฺกมิตฺวา โมเจนฺตสฺส อาปตฺติ โหตีติ ทสฺสนตฺถํฯ น หิ เอกสฺมิํ ขเณ นีลาทีนํ สเพฺพสมฺปิ มุตฺติ สมฺภวติฯ อญฺญํ วทตีติ อตฺตโน โทสํ อุชุํ วตฺตุํ อสโกฺกโนฺต ปุน ปุโฎฺฐ อญฺญํ ภณติฯ

    240.Dveāpattisahassānīti khaṇḍacakkādibhedaṃ anāmasitvā vuttaṃ, icchantena pana khaṇḍacakkādibhedenapi āpattigaṇanā kātabbā. Missakacakkanti ubhatovaḍḍhanakaṃ sandhāya vuttaṃ. Ettha ca nīlañca pītakañcātiādinā ekakkhaṇe anekavaṇṇānaṃ mocanādhippāyavacanaṃ yathādhippāyena mocanaṃ bhavatu vā mā vā, imināpi adhippāyena upakkamitvā mocentassa āpatti hotīti dassanatthaṃ. Na hi ekasmiṃ khaṇe nīlādīnaṃ sabbesampi mutti sambhavati. Aññaṃ vadatīti attano dosaṃ ujuṃ vattuṃ asakkonto puna puṭṭho aññaṃ bhaṇati.

    โมจนสฺสาโทติ โมจนสฺส ปุพฺพภาเค ปวตฺตอสฺสาโทฯ เตเนว ‘‘โมเจตุํ อสฺสาโท โมจนสฺสาโท’’ติ วุตฺตํฯ เคหสฺสิตเปมนฺติ เอตฺถ เคห-สเทฺทน เคเห ฐิตา มาตุภคินีอาทโย อชฺฌตฺติกญาตกา คหิตาฯ เตสุ มาตุเปมาทิวเสน อุปฺปโนฺน สิเนโห เคหสฺสิตเปมํ, อญฺญตฺถ ปน เคหสฺสิตเปมนฺติ ปญฺจกามคุณิกราโค วุจฺจติฯ สมฺปยุตฺตอสฺสาทสีเสนาติ ราคสมฺปยุตฺตสุขเวทนามุเขนฯ เอเกน ปเทนาติ เคหสฺสิตเปม-ปเทนฯ

    Mocanassādoti mocanassa pubbabhāge pavattaassādo. Teneva ‘‘mocetuṃ assādo mocanassādo’’ti vuttaṃ. Gehassitapemanti ettha geha-saddena gehe ṭhitā mātubhaginīādayo ajjhattikañātakā gahitā. Tesu mātupemādivasena uppanno sineho gehassitapemaṃ, aññattha pana gehassitapemanti pañcakāmaguṇikarāgo vuccati. Sampayuttaassādasīsenāti rāgasampayuttasukhavedanāmukhena. Ekena padenāti gehassitapema-padena.

    ตเถวาติ โมจนสฺสาทเจตนาย เอวฯ ปุพฺพภาเค โมจนสฺสาทวเสน กตปฺปโยคํ อวิชหิตฺวาว สยิตตฺตา ‘‘สเจ ปน…เป.… สงฺฆาทิเสโส’’ติ วุตฺตํฯ ปุน สุทฺธจิเตฺต อุปฺปเนฺน ตสฺส ปโยคสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺตา ‘‘สุทฺธจิโตฺต…เป.… อนาปตฺตี’’ติ วุตฺตํฯ ชคฺคนตฺถายาติ โธวนตฺถายฯ อโนกาสนฺติ องฺคชาตปฺปเทสํฯ

    Tathevāti mocanassādacetanāya eva. Pubbabhāge mocanassādavasena katappayogaṃ avijahitvāva sayitattā ‘‘sace pana…pe… saṅghādiseso’’ti vuttaṃ. Puna suddhacitte uppanne tassa payogassa paṭippassaddhattā ‘‘suddhacitto…pe… anāpattī’’ti vuttaṃ. Jagganatthāyāti dhovanatthāya. Anokāsanti aṅgajātappadesaṃ.

    ๒๖๓-๒๖๔. เคหสฺสิตกามวิตกฺกนฺติ ปญฺจกามคุณสนฺนิสฺสิตํ กามวิตกฺกํฯ วตฺถิํ ทฬฺหํ คเหตฺวาติ องฺคชาตสฺส อเคฺค ปสฺสาวนิคฺคมนฎฺฐาเน จมฺมํ ทฬฺหํ คเหตฺวาฯ นิมิเตฺต อุปกฺกมาภาวโต ‘‘โมจนสฺสาทาธิปฺปายสฺสปิ มุเตฺต อนาปตฺตี’’ติ วุตฺตํฯ

    263-264.Gehassitakāmavitakkanti pañcakāmaguṇasannissitaṃ kāmavitakkaṃ. Vatthiṃ daḷhaṃ gahetvāti aṅgajātassa agge passāvaniggamanaṭṭhāne cammaṃ daḷhaṃ gahetvā. Nimitte upakkamābhāvato ‘‘mocanassādādhippāyassapi mutte anāpattī’’ti vuttaṃ.

    ๒๖๕. ‘‘เอหิ เม ตฺวํ, อาวุโส, สามเณราติ อาณตฺติยา อเญฺญน กโตปิ ปโยโค อตฺตนาว กโต นาม โหตีติ กตฺวา อาปตฺติ วุตฺตาฯ ยทิ ปน อนาณโตฺต สยเมว กโรติ, องฺคปาริปูริยา อภาวโต อนาปตฺตี’’ติ วทนฺติฯ สุตฺตสามเณรวตฺถุสฺมิํ อสุจิมฺหิ มุเตฺตปิ องฺคชาตสฺส คหณปจฺจยา ทุกฺกฎํ วุตฺตํ, น ปน มุตฺตปจฺจยาฯ

    265. ‘‘Ehi me tvaṃ, āvuso, sāmaṇerāti āṇattiyā aññena katopi payogo attanāva kato nāma hotīti katvā āpatti vuttā. Yadi pana anāṇatto sayameva karoti, aṅgapāripūriyā abhāvato anāpattī’’ti vadanti. Suttasāmaṇeravatthusmiṃ asucimhi muttepi aṅgajātassa gahaṇapaccayā dukkaṭaṃ vuttaṃ, na pana muttapaccayā.

    ๒๖๖. กายตฺถมฺภนวตฺถุสฺมิํ จลนวเสน ยถา องฺคชาเตปิ อุปกฺกโม สมฺภวติ, ตถาปิ วิชมฺภิตตฺตา อาปตฺติ วุตฺตาฯ ‘‘ปจฺฉโต วา’’ติ วจนโต อุโภสุ ปเสฺสสุ กฎิยํ อูรุปฺปเทโสปิ คหิโตเยวาติ ทฎฺฐพฺพํ, ตสฺมา อุโภสุปิ ปเสฺสสุ ฐตฺวา อิมสฺมิํ โอกาเส นิมิตฺตนฺติ อุปนิชฺฌายนฺตสฺสปิ อาปตฺติเยวฯ ‘‘องฺคชาต’’นฺติ วจนโต นิมิตฺตนฺติ ปสฺสาวมโคฺคว วุโตฺตฯ อุมฺมีลนนิมีลนวเสน ปน น กาเรตโพฺพติ อุมฺมีลนนิมีลนปฺปโยควสเอน อาปตฺติเภโท น กาเรตโพฺพติ อโตฺถฯ อเนกกฺขตฺตุมฺปิ อุมฺมีเลตฺวา นิมีเลตฺวา อุปนิชฺฌายนฺตสฺส เอกเมว ทุกฺกฎนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อกฺขีนิ อวิปฺผเนฺทตฺวา อภิมุขํ สมฺปตฺตสฺส มาตุคามสฺส นิมิโตฺตโลกเนปิ อาปตฺติเยวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘ทารุธีตลิกเลปจิตฺตานํ องฺคชาตุปนิชฺฌาเนปิ ทุกฺกฎ’’นฺติ วทนฺติฯ

    266.Kāyatthambhanavatthusmiṃ calanavasena yathā aṅgajātepi upakkamo sambhavati, tathāpi vijambhitattā āpatti vuttā. ‘‘Pacchato vā’’ti vacanato ubhosu passesu kaṭiyaṃ ūruppadesopi gahitoyevāti daṭṭhabbaṃ, tasmā ubhosupi passesu ṭhatvā imasmiṃ okāse nimittanti upanijjhāyantassapi āpattiyeva. ‘‘Aṅgajāta’’nti vacanato nimittanti passāvamaggova vutto. Ummīlananimīlanavasena pana na kāretabboti ummīlananimīlanappayogavasaena āpattibhedo na kāretabboti attho. Anekakkhattumpi ummīletvā nimīletvā upanijjhāyantassa ekameva dukkaṭanti vuttaṃ hoti. Akkhīni avipphandetvā abhimukhaṃ sampattassa mātugāmassa nimittolokanepi āpattiyevāti daṭṭhabbaṃ. ‘‘Dārudhītalikalepacittānaṃ aṅgajātupanijjhānepi dukkaṭa’’nti vadanti.

    ๒๖๗. ปุปฺผาวลีติ กีฬาวิเสสสฺสาธิวจนํฯ ตํ กีฬนฺตา นทีอาทีสุ ฉินฺนตฎํ อุทเกน จิกฺขลฺลํ กตฺวา ตตฺถ อุโภ ปาเท ปสาเรตฺวา นิสินฺนา ปปตนฺติฯ ‘‘ปุปฺผาวลิย’’นฺติปิ ปาโฐฯ ปเวเสนฺตสฺสาติ ทฺวิกมฺมกตฺตา วาลิกํ องฺคชาตนฺติ อุภยตฺถาปิ อุปโยควจนํ กตํฯ วาลิกนฺติ วาลิกายาติ อโตฺถฯ เจตนา, อุปกฺกโม, มุจฺจนนฺติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิ เวทิตพฺพานิฯ

    267.Pupphāvalīti kīḷāvisesassādhivacanaṃ. Taṃ kīḷantā nadīādīsu chinnataṭaṃ udakena cikkhallaṃ katvā tattha ubho pāde pasāretvā nisinnā papatanti. ‘‘Pupphāvaliya’’ntipi pāṭho. Pavesentassāti dvikammakattā vālikaṃ aṅgajātanti ubhayatthāpi upayogavacanaṃ kataṃ. Vālikanti vālikāyāti attho. Cetanā, upakkamo, muccananti imānettha tīṇi aṅgāni veditabbāni.

    สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทํ • 1. Sukkavissaṭṭhisikkhāpadaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๑. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact