Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā

    ๒. สงฺฆาทิเสสกโณฺฑ

    2. Saṅghādisesakaṇḍo

    ๑. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา

    1. Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā

    ๒๓๕. ‘‘โอกฺกมนฺตาน’’นฺติ ปาโฐฯ เอตฺถาห – ‘‘โย ปน ภิกฺขู’’ติ การโก อิธ กสฺมา น นิทฺทิโฎฺฐติ? อภิ-นิเทฺทเสน อิมสฺส สาเปกฺขาภาวทสฺสนตฺถํฯ กถํ? กณฺฑุวนาทิอธิปฺปายเจตนาวเสน เจเตนฺตสฺส กณฺฑุวนาทิอุปกฺกเมน อุปกฺกมนฺตสฺส, เมถุนราควเสน อูรุอาทีสุ ทุกฺกฎวตฺถูสุ, วณาทีสุ ถุลฺลจฺจยวตฺถูสุ จ อุปกฺกมนฺตสฺส สุกฺกวิสฺสฎฺฐิยา สติปิ น สงฺฆาทิเสโสฯ โมจนสฺสาทสงฺขาตาธิปฺปายาเปกฺขาว สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ สติ อุปกฺกเม, น อญฺญถา ‘‘อนาปตฺติ น โมจนาธิปฺปายสฺสา’’ติ วจนโตฯ ตสฺมา ตทตฺถทสฺสนตฺถํ อิธ การโก น นิทฺทิโฎฺฐ, อญฺญถา ‘‘โย ปน ภิกฺขุ สเญฺจตนิกํ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิํ อาปเชฺชยฺยา’’ติ การเก นิทฺทิเฎฺฐ ‘‘เจเตติ น อุปกฺกมติ มุจฺจติ, อนาปตฺตี’’ติ วุตฺตวจนวิโรโธฯ ‘‘สเญฺจตนิกาย สุกฺกวิสฺสฎฺฐิยา อญฺญตฺร สุปินนฺตา’’ติ ภุเมฺม นิทฺทิเฎฺฐปิ โสว วิโรโธ อาปชฺชติ, ตสฺมา ตทุภยวจนกฺกมํ อวตฺวา ‘‘สเญฺจตนิกา สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ อญฺญตฺร สุปินนฺตา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมวจนาภาวโต เหตุตฺถนิยโม น กโต โหติฯ ตสฺมิํ อกเต สเญฺจตนิกา สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ อญฺญตฺร สุปินนฺตา สงฺฆาทิเสสาปตฺติ, อุปกฺกเม อสติ อนาปตฺตีติ อยมโตฺถ ทีปิโตติ เวทิตพฺพํฯ

    235. ‘‘Okkamantāna’’nti pāṭho. Etthāha – ‘‘yo pana bhikkhū’’ti kārako idha kasmā na niddiṭṭhoti? Abhi-niddesena imassa sāpekkhābhāvadassanatthaṃ. Kathaṃ? Kaṇḍuvanādiadhippāyacetanāvasena cetentassa kaṇḍuvanādiupakkamena upakkamantassa, methunarāgavasena ūruādīsu dukkaṭavatthūsu, vaṇādīsu thullaccayavatthūsu ca upakkamantassa sukkavissaṭṭhiyā satipi na saṅghādiseso. Mocanassādasaṅkhātādhippāyāpekkhāva sukkavissaṭṭhi sati upakkame, na aññathā ‘‘anāpatti na mocanādhippāyassā’’ti vacanato. Tasmā tadatthadassanatthaṃ idha kārako na niddiṭṭho, aññathā ‘‘yo pana bhikkhu sañcetanikaṃ sukkavissaṭṭhiṃ āpajjeyyā’’ti kārake niddiṭṭhe ‘‘ceteti na upakkamati muccati, anāpattī’’ti vuttavacanavirodho. ‘‘Sañcetanikāya sukkavissaṭṭhiyā aññatra supinantā’’ti bhumme niddiṭṭhepi sova virodho āpajjati, tasmā tadubhayavacanakkamaṃ avatvā ‘‘sañcetanikā sukkavissaṭṭhi aññatra supinantā’’ti vuttaṃ. Tattha nimittatthe bhummavacanābhāvato hetutthaniyamo na kato hoti. Tasmiṃ akate sañcetanikā sukkavissaṭṭhi aññatra supinantā saṅghādisesāpatti, upakkame asati anāpattīti ayamattho dīpitoti veditabbaṃ.

    ๒๓๖-๗. สเญฺจตนิกาติ เอตฺถ ปฐมวิคฺคเหน อุปสคฺคสฺส สาตฺถกตา ทสฺสิตา, ทุติเยน อิกปจฺจยสฺสฯ วาตปิตฺตเสมฺหรุหิราทิอาสยเภทโตติ อโตฺถฯ ธาตูติ เอตฺถ ‘‘ปถวีธาตุอาทโย จตโสฺส, จกฺขุธาตุอาทโย วา อฎฺฐารสา’’ติ คณฺฐิปเท ลิขิตํฯ วตฺถิสีสนฺติ วตฺถิปุฎสฺส สีสํฯ ‘‘องฺคชาตสฺส มูลํ อธิเปฺปตํ, น อคฺคสีส’’นฺติ วทนฺติฯ ตเถวาติ ‘‘นิมิเตฺต อุปกฺกมโต’’ติอาทิํ คณฺหาติฯ ตโต มุจฺจิตฺวาติ ‘‘น สกลกายโต, ตสฺมา ปน ฐานา จุตมเตฺต โหตู’’ติ คณฺฐิปเท ลิขิตํฯ ‘‘ทกโสตํ โอติณฺณมเตฺต’’ติ อิมินา น สเมตีติ เจ ? ตโต ทกโสโตโรหณเญฺจตฺถาติอาทิ วุจฺจติฯ ตสฺสโตฺถ – นิมิเตฺต อุปกฺกมํ กตฺวา สุกฺกํ ฐานา จาเวตฺวา ปุน วิปฺปฎิสารวเสน ทกโสโตโรหณํ นิวาเรตุํ อธิวาเสมีติฯ ตโต พหิ นิกฺขมเนฺต อธิวาเสตุํ น สกฺกา, ตถาปิ อธิวาสนาธิปฺปาเยน อธิวาเสตฺวา อนฺตรา ทกโสตโต อุทฺธํ นิวาเรตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย ‘‘อนิกฺขเนฺต วา’’ติ วุตฺตํฯ กสฺมา? ฐานา จุตญฺหิ อวสฺสํ ทกโสตํ โอตรตีติ อฎฺฐกถาธิปฺปาโย คณฺฐิปทาธิปฺปาเยน สเมติฯ ตโต มุจฺจิตฺวาติ สกฎฺฐานโตฯ สกสรีรโต หิ พหิ นิกฺขนฺตเมว โหติ, ตโต ‘‘พหิ นิกฺขเนฺต วา อนิกฺขเนฺต วา’’ติ วจนํ วิรุเชฺฌยฺยฯ ยสฺมา ปน ตมฺหา ตมฺหา สรีรปเทสา จุตํ อวสฺสํ ทกโสตํ โอตรติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ทกโสตํ โอติณฺณมเตฺต’’ติ, อิมินา จ อาปตฺติยา ปากฎกาลํ ทเสฺสติ, กิํ วุตฺตํ โหติ? โมจนสฺสาเทน นิมิเตฺต อุปกฺกมโต สุกฺกํ พหุตรมฺปิ สรีรปเทสา จุตํ ตตฺถ ตตฺถ ลคฺคาวเสสํ ยตฺตกํ เอกา ขุทฺทกมกฺขิกา ปิเวยฺย, ตตฺตเก ทกโสตํ โอติณฺณมเตฺต สงฺฆาทิเสสาปตฺติฯ วุตฺตญฺหิ กงฺขาวิตรณิยํ (กงฺขา. อฎฺฐ. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา) ‘‘ทกโสตํ อโนติเณฺณปิ สงฺฆาทิเสโส’’ติอาทิฯ ตตฺตกสฺส พหิ นิกฺขมนํ อสลฺลเกฺขโนฺต ‘‘เจเตติ อุปกฺกมติ น มุจฺจติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ วจนโต ถุลฺลจฺจยนฺติ สญฺญาย เทเสโนฺตปิ น มุจฺจติ, ปสฺสาวมฺปิ วณฺณตํ ปสฺสิตฺวา วตฺถิโกสคตสฺส ปิจฺฉิลตาย วา ญตฺวา สงฺฆาทิเสสโต วุฎฺฐาตพฺพํฯ อยเมตฺถ ตติยเตฺถรวาเท ยุตฺติฯ สพฺพาจริยา อิเม เอว ตโย เถรา, เตสมฺปิ ทกโสโตโรหณํ นิมิเตฺต อุปกฺกมนนฺติ อยํ ทุติโย วินิจฺฉโย สาธารณโต เอตฺถ, เอวํ อุปติสฺสเตฺถโร วทติ กิรฯ

    236-7.Sañcetanikāti ettha paṭhamaviggahena upasaggassa sātthakatā dassitā, dutiyena ikapaccayassa. Vātapittasemharuhirādiāsayabhedatoti attho. Dhātūti ettha ‘‘pathavīdhātuādayo catasso, cakkhudhātuādayo vā aṭṭhārasā’’ti gaṇṭhipade likhitaṃ. Vatthisīsanti vatthipuṭassa sīsaṃ. ‘‘Aṅgajātassa mūlaṃ adhippetaṃ, na aggasīsa’’nti vadanti. Tathevāti ‘‘nimitte upakkamato’’tiādiṃ gaṇhāti. Tato muccitvāti ‘‘na sakalakāyato, tasmā pana ṭhānā cutamatte hotū’’ti gaṇṭhipade likhitaṃ. ‘‘Dakasotaṃ otiṇṇamatte’’ti iminā na sametīti ce ? Tato dakasotorohaṇañcetthātiādi vuccati. Tassattho – nimitte upakkamaṃ katvā sukkaṃ ṭhānā cāvetvā puna vippaṭisāravasena dakasotorohaṇaṃ nivāretuṃ adhivāsemīti. Tato bahi nikkhamante adhivāsetuṃ na sakkā, tathāpi adhivāsanādhippāyena adhivāsetvā antarā dakasotato uddhaṃ nivāretuṃ asakkuṇeyyatāya ‘‘anikkhante vā’’ti vuttaṃ. Kasmā? Ṭhānā cutañhi avassaṃ dakasotaṃ otaratīti aṭṭhakathādhippāyo gaṇṭhipadādhippāyena sameti. Tato muccitvāti sakaṭṭhānato. Sakasarīrato hi bahi nikkhantameva hoti, tato ‘‘bahi nikkhante vā anikkhante vā’’ti vacanaṃ virujjheyya. Yasmā pana tamhā tamhā sarīrapadesā cutaṃ avassaṃ dakasotaṃ otarati, tasmā vuttaṃ ‘‘dakasotaṃ otiṇṇamatte’’ti, iminā ca āpattiyā pākaṭakālaṃ dasseti, kiṃ vuttaṃ hoti? Mocanassādena nimitte upakkamato sukkaṃ bahutarampi sarīrapadesā cutaṃ tattha tattha laggāvasesaṃ yattakaṃ ekā khuddakamakkhikā piveyya, tattake dakasotaṃ otiṇṇamatte saṅghādisesāpatti. Vuttañhi kaṅkhāvitaraṇiyaṃ (kaṅkhā. aṭṭha. sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā) ‘‘dakasotaṃ anotiṇṇepi saṅghādiseso’’tiādi. Tattakassa bahi nikkhamanaṃ asallakkhento ‘‘ceteti upakkamati na muccati, āpatti thullaccayassā’’ti vacanato thullaccayanti saññāya desentopi na muccati, passāvampi vaṇṇataṃ passitvā vatthikosagatassa picchilatāya vā ñatvā saṅghādisesato vuṭṭhātabbaṃ. Ayamettha tatiyattheravāde yutti. Sabbācariyā ime eva tayo therā, tesampi dakasotorohaṇaṃ nimitte upakkamananti ayaṃ dutiyo vinicchayo sādhāraṇato ettha, evaṃ upatissatthero vadati kira.

    ฐานา จุตญฺหิ อวสฺสํ ทกโสตํ โอตรตีติ กตฺวา ‘‘ฐานา จาวนมเตฺตเนเวตฺถ อาปตฺติ เวทิตพฺพา’’ติ วุตฺตํฯ ทกโสตํ โอติเณฺณ เอว อาปตฺติฯ สุกฺกสฺส หิ สกลํ สรีรํ ฐานํ, อโนติเณฺณ ฐานา จุตํ นาม น โหตีติ วีมํสิตพฺพํฯ อาภิธมฺมิกตฺตา เถรสฺส ‘‘สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ นาม ราคสมุฎฺฐานา โหตี’’ติ (กถา. อฎฺฐ. ๓๐๗) กถาวตฺถุฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา สมฺภโว จิตฺตสมุฎฺฐาโน, ‘‘ตํ อสุจิํ เอกเทสํ มุเขน อคฺคเหสิ, เอกเทสํ องฺคชาเต ปกฺขิปี’’ติ (ปารา. ๕๐๓) วจนโต อุตุสมุฎฺฐาโน จ ทิสฺสติ, โส จ โข อวีตราคเสฺสว ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส ยํ อรหโต อสุจิ มุเจฺจยฺยา’’ติ (มหาว. ๓๕๓; กถา. ๓๑๓) วจนโตฯ ปรูปาหารฎฺฐกถายํ ‘‘อตฺถิ ตสฺส อาสโยติ ตสฺส สุกฺกสฺส อุจฺจารปสฺสาวานํ วิย ปติฎฺฐาโนกาโส อตฺถี’’ติ (กถา. อฎฺฐ. ๓๐๙) จนโต ตสฺส อาสโยติ สิทฺธํฯ ปากติกจิตฺตสมุฎฺฐานรูปํ วิย อสํสฎฺฐตฺตา, นิกฺขมนโต จ ‘‘วตฺถิสีสํ, กฎิ, กาโย’’ติ ติธา สุกฺกสฺส ฐานํ ปกเปฺปนฺติ อาจริยาฯ สปฺปวิสํ วิย ตํ ทฎฺฐพฺพํ, น จ วิสสฺส ฐานนิยโม, โกธวเสน ผุสนฺตสฺส โหติ, เอวมสฺส น จ ฐานนิยโม, ราควเสน อุปกฺกมนฺตสฺส โหตีติ ตโกฺกฯ

    Ṭhānā cutañhi avassaṃ dakasotaṃ otaratīti katvā ‘‘ṭhānā cāvanamattenevettha āpatti veditabbā’’ti vuttaṃ. Dakasotaṃ otiṇṇe eva āpatti. Sukkassa hi sakalaṃ sarīraṃ ṭhānaṃ, anotiṇṇe ṭhānā cutaṃ nāma na hotīti vīmaṃsitabbaṃ. Ābhidhammikattā therassa ‘‘sukkavissaṭṭhi nāma rāgasamuṭṭhānā hotī’’ti (kathā. aṭṭha. 307) kathāvatthuṭṭhakathāyaṃ vuttattā sambhavo cittasamuṭṭhāno, ‘‘taṃ asuciṃ ekadesaṃ mukhena aggahesi, ekadesaṃ aṅgajāte pakkhipī’’ti (pārā. 503) vacanato utusamuṭṭhāno ca dissati, so ca kho avītarāgasseva ‘‘aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso yaṃ arahato asuci mucceyyā’’ti (mahāva. 353; kathā. 313) vacanato. Parūpāhāraṭṭhakathāyaṃ ‘‘atthi tassa āsayoti tassa sukkassa uccārapassāvānaṃ viya patiṭṭhānokāso atthī’’ti (kathā. aṭṭha. 309) canato tassa āsayoti siddhaṃ. Pākatikacittasamuṭṭhānarūpaṃ viya asaṃsaṭṭhattā, nikkhamanato ca ‘‘vatthisīsaṃ, kaṭi, kāyo’’ti tidhā sukkassa ṭhānaṃ pakappenti ācariyā. Sappavisaṃ viya taṃ daṭṭhabbaṃ, na ca visassa ṭhānaniyamo, kodhavasena phusantassa hoti, evamassa na ca ṭhānaniyamo, rāgavasena upakkamantassa hotīti takko.

    โขภกรณปจฺจโย นาม เภสชฺชเสนาสนาหาราทิปจฺจโยฯ สํสคฺคเภทโตปีติ เอเตสุ ทฺวีหิปิ ตีหิปิฯ ปหีนวิปลฺลาสตฺตาติ เอตฺถ ยํ กิญฺจิ สุปินเนฺตน เสกฺขปุถุชฺชนา ปสฺสนฺติ, ตํ สพฺพํ วิปลฺลตฺถํ อภูตเมวาติ อาปชฺชติฯ ตโต ‘‘ยํ ปน ปุพฺพนิมิตฺตโต ปสฺสติฯ ตํ เอกนฺตสจฺจเมว โหตี’’ติ อิทํ วิรุชฺฌติ, ตสฺมา น วิสยํ สนฺธาย วุตฺตํฯ โส หิ สโจฺจ วา โหติ, อลิโก วาติ กตฺวา ตเญฺจ สนฺธาย วุตฺตํ สิยา, ‘‘อเสกฺขา ปหีนวิปลฺลาสตฺตา สจฺจเมว ปสฺสนฺติ, นาสจฺจ’’นฺติ วตฺตพฺพํ สิยาฯ กินฺตุ ทสฺสนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตญฺหิ อภูตํ, อปสฺสโนฺตปิ หิ ปสฺสโนฺต วิย อสุณโนฺตปิ สุณโนฺต วิย อมุนโนฺตปิ มุนโนฺต วิย โหติฯ สจฺจมฺปิ วิปสฺสตีติ โน ตโกฺกติ อาจริโยฯ ตํ รูปนิมิตฺตาทิอารมฺมณํ น โหติ, อาคนฺตุกปจฺจุปฺปนฺนํ รูปนิมิตฺตาทิอารมฺมณํ สนฺธาย วุตฺตํฯ กมฺมนิมิตฺตคตินิมิตฺตภูตานิ หิ รูปนิมิตฺตาทีนิ ภวงฺคสฺส อารมฺมณานิ โหนฺติ เอวฯ ตตฺถ กมฺมนิมิตฺตมตีตเมว, คตินิมิตฺตํ โถกํ กาลํ ปจฺจุปฺปนฺนํ สิยาฯ

    Khobhakaraṇapaccayo nāma bhesajjasenāsanāhārādipaccayo. Saṃsaggabhedatopīti etesu dvīhipi tīhipi. Pahīnavipallāsattāti ettha yaṃ kiñci supinantena sekkhaputhujjanā passanti, taṃ sabbaṃ vipallatthaṃ abhūtamevāti āpajjati. Tato ‘‘yaṃ pana pubbanimittato passati. Taṃ ekantasaccameva hotī’’ti idaṃ virujjhati, tasmā na visayaṃ sandhāya vuttaṃ. So hi sacco vā hoti, aliko vāti katvā tañce sandhāya vuttaṃ siyā, ‘‘asekkhā pahīnavipallāsattā saccameva passanti, nāsacca’’nti vattabbaṃ siyā. Kintu dassanaṃ sandhāya vuttaṃ. Tañhi abhūtaṃ, apassantopi hi passanto viya asuṇantopi suṇanto viya amunantopi munanto viya hoti. Saccampi vipassatīti no takkoti ācariyo. Taṃ rūpanimittādiārammaṇaṃ na hoti, āgantukapaccuppannaṃ rūpanimittādiārammaṇaṃ sandhāya vuttaṃ. Kammanimittagatinimittabhūtāni hi rūpanimittādīni bhavaṅgassa ārammaṇāni honti eva. Tattha kammanimittamatītameva, gatinimittaṃ thokaṃ kālaṃ paccuppannaṃ siyā.

    อีทิสานีติ ปจฺจกฺขโต อนุภูตปุพฺพปริกปฺปิตาคนฺตุกปจฺจุปฺปนฺนรูปนิมิตฺตาทิอารมฺมณานิ, ราคาทิสมฺปยุตฺตานิ จาติ อโตฺถฯ มกฺกฎสฺส นิทฺทา ลหุปริวตฺตา โหติฯ โส หิ รุกฺขสาขโต ปตนภยา อภิกฺขณํ อุมฺมีลติ จ สุปติ จฯ มนุสฺสา กิญฺจาปิ ปุนปฺปุนํ อุมฺมีลนฺติ สุพฺยตฺตตรํ ปฎิพุทฺธา วิย ปสฺสนฺติ, อถ โข ปฎิพุทฺธานํ ปุนปฺปุนํ ภวโงฺคตรณํ วิย สุปินกาเลปิ เตสํ ภวโงฺคตรณํ โหติ, เยน ‘‘สุปตี’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘ภวงฺคจิเตฺตน หิ สุปตี’’ติ วจนโต ภวโงฺคตรณํ กรชกายสฺส นิรุสฺสาหสนฺตภาวูปนิสฺสยตฺตา ‘‘นิทฺทา’’ติ วุจฺจติฯ สา กรชกายสฺส ทุพฺพลภาเวน สุปินทสฺสนกาเล ภวงฺคโต อุตฺตรเณ สติปิ นิรุสฺสาหสนฺตภาวปฺปตฺติยา ‘‘ปวตฺตตี’’ติ จ วุจฺจติ, ยโต สตฺตา ‘‘ปฎิพุทฺธา’’ติ น วุจฺจนฺติ, กรชกายสฺส นิรุสฺสาหสนฺตสภาวปฺปตฺติโต จ ตนฺนิสฺสิตํ หทยวตฺถุ น สุปฺปสนฺนํ โหติ, ตโต ตนฺนิสฺสิตาปิ จิตฺตปฺปวตฺติ อสุปฺปสนฺนวฎฺฎินิสฺสิตทีปปฺปภา วิยฯ เตเนว อฎฺฐกถายํ ‘‘สฺวายํ ทุพฺพลวตฺถุกตฺตา เจตนาย ปฎิสนฺธิํ อากฑฺฒิตุํ อสมโตฺถ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Īdisānīti paccakkhato anubhūtapubbaparikappitāgantukapaccuppannarūpanimittādiārammaṇāni, rāgādisampayuttāni cāti attho. Makkaṭassa niddā lahuparivattā hoti. So hi rukkhasākhato patanabhayā abhikkhaṇaṃ ummīlati ca supati ca. Manussā kiñcāpi punappunaṃ ummīlanti subyattataraṃ paṭibuddhā viya passanti, atha kho paṭibuddhānaṃ punappunaṃ bhavaṅgotaraṇaṃ viya supinakālepi tesaṃ bhavaṅgotaraṇaṃ hoti, yena ‘‘supatī’’ti vuccati. ‘‘Bhavaṅgacittena hi supatī’’ti vacanato bhavaṅgotaraṇaṃ karajakāyassa nirussāhasantabhāvūpanissayattā ‘‘niddā’’ti vuccati. Sā karajakāyassa dubbalabhāvena supinadassanakāle bhavaṅgato uttaraṇe satipi nirussāhasantabhāvappattiyā ‘‘pavattatī’’ti ca vuccati, yato sattā ‘‘paṭibuddhā’’ti na vuccanti, karajakāyassa nirussāhasantasabhāvappattito ca tannissitaṃ hadayavatthu na suppasannaṃ hoti, tato tannissitāpi cittappavatti asuppasannavaṭṭinissitadīpappabhā viya. Teneva aṭṭhakathāyaṃ ‘‘svāyaṃ dubbalavatthukattā cetanāya paṭisandhiṃ ākaḍḍhituṃ asamattho’’tiādi vuttaṃ.

    คณฺฐิปเท ปน ‘‘ทุพฺพลวตฺถุกตฺตาติ สุปิเน อุปฎฺฐิตํ นิมิตฺตมฺปิ ทุพฺพล’’นฺติ ลิขิตํฯ ตํ อเนกตฺถํ สพฺพมฺปิ นิมิตฺตํ โหติ, น จ ทุพฺพลารมฺมณวตฺถุกตฺตา เจตนา, ตาย จิตฺตปฺปวตฺติ ทุพฺพลา อตีตานาคตารมฺมณาย, ปญฺญตฺตารมฺมณาย วา อทุพฺพลตฺตา, อวตฺถุกาย ทุพฺพลภาโว น ยุชฺชติ เจตนาย อวตฺถุกาย ภาวนาปภาวายาติเรกพลสพฺภาวโตฯ ภาวนาพลสมปฺปิตญฺหิ จิตฺตํ อรูปมฺปิ สมานํ อติภาริยมฺปิ กรชกายํ คเหตฺวา เอกจิตฺตกฺขเณเนว พฺรหฺมโลกํ ปาเปตฺวา ฐเปติฯ ตปฺปฎิภาคํ อนปฺปิตมฺปิ กามาวจรจิตฺตํ กรชกายํ อากาเส ลงฺฆนสมตฺถํ กโรติ, ปเคเวตรํฯ กิํ ปเนตฺถ ตํ อนุมานการณํ, เยน จิตฺตเสฺสว อานุภาโวติ ปญฺญาเยยฺย จิตฺตานุภาเวน วา ลทฺธาเสวนาทิกิริยาวิเสสนิพฺพตฺติทสฺสนโต, ตสฺมา ทุพฺพลวตฺถุกตฺตาติ ทุพฺพลหทยวตฺถุกตฺตาติ อาจริยสฺส ตโกฺกฯ อตฺตโน มนฺทติกฺขากาเรน ตนฺนิสฺสิตสฺส จิตฺตสฺส มนฺทติกฺขภาวนิปฺผาทนสมตฺถเญฺจ, หทยวตฺถุ จกฺขุโสตาทิวตฺถุ วิย อินฺทฺริยํ ภเวยฺย, น เจตํ อินฺทฺริยํฯ ยโต ธมฺมสงฺคเห อุปาทายรูปปาฬิยํ อุเทฺทสารหํ น ชาตํฯ อนินฺทฺริยตฺตา หิ ตํ กายินฺทฺริยสฺส อนนฺตรํ น อุทฺทิฎฺฐํ, วตฺถุรูปตฺตา จ อวตฺถุรูปสฺส ชีวิตินฺทฺริยสฺส อนนฺตรมฺปิ น อุทฺทิฎฺฐํ, ตสฺมา ยํ วุตฺตํ ‘‘ตสฺส อสุปฺปสนฺนตฺตา ตนฺนิสฺสิตา จ จิตฺตปฺปวตฺติ อสุปฺปสนฺนา โหตี’’ติ, ตํ น สิทฺธนฺติ เจ? สิทฺธเมว อนินฺทฺริยานมฺปิ สปฺปายาสปฺปายอุตุอาหาราทีนํ ปจฺจยานํ สมาโยคโต, จิตฺตปฺปวตฺติยา วิการทสฺสนโต, ปจฺจกฺขตฺตา จฯ ยสฺมา อปฺปฎิพุโทฺธปิ ปฎิพุทฺธํ วิย อตฺตานํ มญฺญตีติฯ เอตฺตาวตา กรชกายสฺส นิรุสฺสาหสนฺตภาวาการวิเสโส นิทฺทา นามฯ สา จิตฺตสฺส ภวโงฺคตรณาการวิเสเสน โหติ, ตาย สมนฺนาคโต สโตฺต ภวงฺคโต อุตฺติโณฺณ สุปินํ ปสฺสติ, โส ‘‘กปิมิทฺธปเรโต’’ติ วุจฺจติ, โส สุโตฺต อปฺปฎิพุโทฺธ โหตีติ อยมโตฺถ สาธิโต โหติฯ

    Gaṇṭhipade pana ‘‘dubbalavatthukattāti supine upaṭṭhitaṃ nimittampi dubbala’’nti likhitaṃ. Taṃ anekatthaṃ sabbampi nimittaṃ hoti, na ca dubbalārammaṇavatthukattā cetanā, tāya cittappavatti dubbalā atītānāgatārammaṇāya, paññattārammaṇāya vā adubbalattā, avatthukāya dubbalabhāvo na yujjati cetanāya avatthukāya bhāvanāpabhāvāyātirekabalasabbhāvato. Bhāvanābalasamappitañhi cittaṃ arūpampi samānaṃ atibhāriyampi karajakāyaṃ gahetvā ekacittakkhaṇeneva brahmalokaṃ pāpetvā ṭhapeti. Tappaṭibhāgaṃ anappitampi kāmāvacaracittaṃ karajakāyaṃ ākāse laṅghanasamatthaṃ karoti, pagevetaraṃ. Kiṃ panettha taṃ anumānakāraṇaṃ, yena cittasseva ānubhāvoti paññāyeyya cittānubhāvena vā laddhāsevanādikiriyāvisesanibbattidassanato, tasmā dubbalavatthukattāti dubbalahadayavatthukattāti ācariyassa takko. Attano mandatikkhākārena tannissitassa cittassa mandatikkhabhāvanipphādanasamatthañce, hadayavatthu cakkhusotādivatthu viya indriyaṃ bhaveyya, na cetaṃ indriyaṃ. Yato dhammasaṅgahe upādāyarūpapāḷiyaṃ uddesārahaṃ na jātaṃ. Anindriyattā hi taṃ kāyindriyassa anantaraṃ na uddiṭṭhaṃ, vatthurūpattā ca avatthurūpassa jīvitindriyassa anantarampi na uddiṭṭhaṃ, tasmā yaṃ vuttaṃ ‘‘tassa asuppasannattā tannissitā ca cittappavatti asuppasannā hotī’’ti, taṃ na siddhanti ce? Siddhameva anindriyānampi sappāyāsappāyautuāhārādīnaṃ paccayānaṃ samāyogato, cittappavattiyā vikāradassanato, paccakkhattā ca. Yasmā appaṭibuddhopi paṭibuddhaṃ viya attānaṃ maññatīti. Ettāvatā karajakāyassa nirussāhasantabhāvākāraviseso niddā nāma. Sā cittassa bhavaṅgotaraṇākāravisesena hoti, tāya samannāgato satto bhavaṅgato uttiṇṇo supinaṃ passati, so ‘‘kapimiddhapareto’’ti vuccati, so sutto appaṭibuddho hotīti ayamattho sādhito hoti.

    ยสฺมา ภวงฺควารนิรนฺตรตาย อจฺจนฺตสุโตฺต นาม โหติ, ตสฺมา ‘‘ยทิ ตาว สุโตฺต ปสฺสติ, อภิธมฺมวิโรโธ อาปชฺชตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน นิทฺทากฺขเณ น ปฎิพุโทฺธ นาม โหติ, ตสฺมา ‘‘อถ ปฎิพุโทฺธ ปสฺสติ, วินยวิโรโธ’’ติอาทิ วุตฺตํ, ยสฺมา จ อขีณนิโทฺท, อโนติณฺณภวโงฺค จ อตฺถิ, ตสฺมา ‘‘กปิมิทฺธปเรโต ปสฺสตี’’ติ วุตฺตํฯ อญฺญถา อยํ เนว สุโตฺต น ปฎิพุโทฺธ, อตฺตนา ตํ นิทฺทํ อโนกฺกโนฺต อาปเชฺชยฺยฯ เอตฺตาวตา จ อภิธโมฺม, วินโย, นาคเสนเตฺถรวจนํ ยุตฺติ จาติ สพฺพํ อญฺญมญฺญสํสนฺทิตํ โหติฯ ตตฺถ กปิมิทฺธปเรโตติ ภวงฺคโต อุตฺติณฺณนิทฺทาปเรโตฯ สา หิ อิธ กปิมิทฺธํ นามฯ ‘‘ตตฺถ กตมํ มิทฺธํ? ยา กายสฺส อกลฺยตา อกมฺมญฺญตา…เป.… สุปนํ, อิทํ วุจฺจติ มิทฺธ’’นฺติ (ธ. ส. ๑๑๖๓) เอวมาคตํฯ อิทญฺหิ อรูปํ, อิมสฺส ผลภูโต กรชกายสฺส อกลฺยตา’ปจลายิกาสุปิ นิทฺทาวิเสโส การโณปจาเรน ‘‘กปิมิทฺธ’’นฺติ ปวุจฺจติฯ ยเญฺจว ‘‘กปิมิทฺธปเรโต โข, มหาราช, สุปินํ ปสฺสตี’’ติ (มิ. ป. ๕.๓.๕ โถกํ วิสทิสํ) วุตฺตนฺติฯ

    Yasmā bhavaṅgavāranirantaratāya accantasutto nāma hoti, tasmā ‘‘yadi tāva sutto passati, abhidhammavirodho āpajjatī’’tiādi vuttaṃ. Yasmā pana niddākkhaṇe na paṭibuddho nāma hoti, tasmā ‘‘atha paṭibuddho passati, vinayavirodho’’tiādi vuttaṃ, yasmā ca akhīṇaniddo, anotiṇṇabhavaṅgo ca atthi, tasmā ‘‘kapimiddhapareto passatī’’ti vuttaṃ. Aññathā ayaṃ neva sutto na paṭibuddho, attanā taṃ niddaṃ anokkanto āpajjeyya. Ettāvatā ca abhidhammo, vinayo, nāgasenattheravacanaṃ yutti cāti sabbaṃ aññamaññasaṃsanditaṃ hoti. Tattha kapimiddhaparetoti bhavaṅgato uttiṇṇaniddāpareto. Sā hi idha kapimiddhaṃ nāma. ‘‘Tattha katamaṃ middhaṃ? Yā kāyassa akalyatā akammaññatā…pe… supanaṃ, idaṃ vuccati middha’’nti (dha. sa. 1163) evamāgataṃ. Idañhi arūpaṃ, imassa phalabhūto karajakāyassa akalyatā’pacalāyikāsupi niddāviseso kāraṇopacārena ‘‘kapimiddha’’nti pavuccati. Yañceva ‘‘kapimiddhapareto kho, mahārāja, supinaṃ passatī’’ti (mi. pa. 5.3.5 thokaṃ visadisaṃ) vuttanti.

    ยํ ตํ อาปตฺติวุฎฺฐานนฺติ เอตฺถ เยน วินยกเมฺมน ตโต วุฎฺฐานํ โหติ, ตํ อิธ อาปตฺติวุฎฺฐานํ นามฯ อวยเว สมูหโวหาเรน วาติ เอตฺถ สาขเจฺฉทโก รุกฺขเจฺฉทโกติ วุจฺจตีติอาทิ นิทสฺสนํ, เวทนากฺขนฺธาทิ รุฬฺหีสทฺทสฺส นิทสฺสนํฯ น จ มยาติ วีมํสนปทสฺส ตสฺส กิริยํ สนฺธาย, โมจเน จ สนฺนิฎฺฐานํ สนฺธาย มุจฺจนปกติยา จาติ วุตฺตํฯ

    Yaṃtaṃ āpattivuṭṭhānanti ettha yena vinayakammena tato vuṭṭhānaṃ hoti, taṃ idha āpattivuṭṭhānaṃ nāma. Avayave samūhavohārena vāti ettha sākhacchedako rukkhacchedakoti vuccatītiādi nidassanaṃ, vedanākkhandhādi ruḷhīsaddassa nidassanaṃ. Na ca mayāti vīmaṃsanapadassa tassa kiriyaṃ sandhāya, mocane ca sanniṭṭhānaṃ sandhāya muccanapakatiyā cāti vuttaṃ.

    ๒๔๐. เคหนฺติ ปญฺจกามคุณาฯ วนภงฺคิยนฺติ ปาภติกํฯ สมฺปยุตฺตสุขเวทนามุเขน ราโคว ‘‘อสฺสาโท’’ติ วุโตฺตฯ สุปนฺตสฺส จาติ อิทํ กปิมิทฺธปเรโต วิย ภวงฺคสนฺตติํ อวิจฺฉินฺทิตฺวา สุปนฺตํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ, วีมํสิตพฺพํฯ ชคฺคนตฺถายาติ โสธนตฺถายฯ

    240.Gehanti pañcakāmaguṇā. Vanabhaṅgiyanti pābhatikaṃ. Sampayuttasukhavedanāmukhena rāgova ‘‘assādo’’ti vutto. Supantassa cāti idaṃ kapimiddhapareto viya bhavaṅgasantatiṃ avicchinditvā supantaṃ sandhāya vuttanti, vīmaṃsitabbaṃ. Jagganatthāyāti sodhanatthāya.

    ๒๖๖. ‘‘ทารุธีตลิกเลปจิตฺตานํ องฺคชาตปฎินิชฺฌาเนปิ ทุกฺกฎ’’นฺติ วทนฺติฯ ‘‘อุปฺปเนฺน ปริฬาเห โมจนราคโช’’ติ ลิขนฺติฯ วาลิกาย วา ‘‘หตฺถิกามํ นสฺสตี’’ติ เอตฺถ วิย ‘‘อาปตฺติ ตฺว’’นฺติ สพฺพตฺถ ปาโฐฯ ‘‘เอหิ เม ตฺวํ, อาวุโส สามเณร, องฺคชาตํ คณฺหาหี’’ติ อาคตตฺตา ‘‘วจีกมฺม’’นฺติปิ วตฺตุํ ยุตฺตํ วิย ทิสฺสติฯ เอวํ สเนฺต อญฺญํ ‘‘เอวํ กโรหี’’ติ อาณตฺติยาปิ อาปตฺติ สิยาติ สงฺกรํ โหติฯ ตสฺมา น วุตฺตนฺติ คเหตพฺพนฺติ เกจิฯ

    266. ‘‘Dārudhītalikalepacittānaṃ aṅgajātapaṭinijjhānepi dukkaṭa’’nti vadanti. ‘‘Uppanne pariḷāhe mocanarāgajo’’ti likhanti. Vālikāya vā ‘‘hatthikāmaṃ nassatī’’ti ettha viya ‘‘āpatti tva’’nti sabbattha pāṭho. ‘‘Ehi me tvaṃ, āvuso sāmaṇera, aṅgajātaṃ gaṇhāhī’’ti āgatattā ‘‘vacīkamma’’ntipi vattuṃ yuttaṃ viya dissati. Evaṃ sante aññaṃ ‘‘evaṃ karohī’’ti āṇattiyāpi āpatti siyāti saṅkaraṃ hoti. Tasmā na vuttanti gahetabbanti keci.

    ๒๖๗. ‘‘ปุปฺผาวลิยํ สาสวฬิย’’นฺติ ทุวิโธ กิรฯ

    267. ‘‘Pupphāvaliyaṃ sāsavaḷiya’’nti duvidho kira.

    สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทํ • 1. Sukkavissaṭṭhisikkhāpadaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๑. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๑. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact