Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๑๙] ๓. สุลสาชาตกวณฺณนา
[419] 3. Sulasājātakavaṇṇanā
อิทํ สุวณฺณกายูรนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อนาถปิณฺฑิกสฺส ทาสิํ อารพฺภ กเถสิฯ สา กิร เอกสฺมิํ อุสฺสวทิวเส ทาสิคเณน สทฺธิํ อุยฺยานํ คจฺฉนฺตี อตฺตโน สามินิํ ปุญฺญลกฺขณเทวิํ อาภรณํ ยาจิฯ สา ตสฺสา สตสหสฺสมูลํ อตฺตโน อาภรณํ อทาสิฯ สา ตํ ปิฬนฺธิตฺวา ทาสิคเณน สทฺธิํ อุยฺยานํ ปาวิสิฯ อเถโก โจโร ตสฺสา อาภรเณ โลภํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘อิมํ มาเรตฺวา อาภรณํ หริสฺสามี’’ติ ตาย สทฺธิํ สลฺลปโนฺต อุยฺยานํ คนฺตฺวา ตสฺสา มจฺฉมํสสุราทีนิ อทาสิฯ สา ‘‘กิเลสวเสน เทติ มเญฺญ’’ติ คเหตฺวา อุยฺยานกีฬํ กีฬิตฺวา วีมํสนตฺถาย สายนฺหสมเย นิปเนฺน ทาสิคเณ อุฎฺฐาย ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ โส ‘‘ภเทฺท, อิมํ ฐานํ อปฺปฎิจฺฉนฺนํ, โถกํ ปุรโต คจฺฉามา’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา อิตรา ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน สกฺกา รหสฺสกมฺมํ กาตุํ, อยํ ปน นิสฺสํสยํ มํ มาเรตฺวา ปิฬนฺธนภณฺฑํ หริตุกาโม ภวิสฺสติ, โหตุ, สิกฺขาเปสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘สามิ, สุรามเทน เม สุกฺขํ สรีรํ, ปานียํ ตาว มํ ปาเยหี’’ติ เอกํ กูปํ เนตฺวา ‘‘อิโต เม ปานียํ โอสิญฺจา’’ติ รชฺชุญฺจ ฆฎญฺจ ทเสฺสสิฯ โจโร รชฺชุํ กูเป โอตาเรสิ, อถ นํ โอนมิตฺวา อุทกํ โอสิญฺจนฺตํ มหพฺพลทาสี อุโภหิ หเตฺถหิ อาณิสทํ ปหริตฺวา กูเป ขิปิตฺวา ‘‘น ตฺวํ เอตฺตเกน มริสฺสสี’’ติ เอกํ มหนฺตํ อิฎฺฐกํ มตฺถเก อาสุมฺภิฯ โส ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปโตฺตฯ สาปิ นครํ ปวิสิตฺวา สามินิยา อาภรณํ ททมานา ‘‘มนมฺหิ อชฺช อิมํ อาภรณํ นิสฺสาย มตา’’ติ สพฺพํ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิ, สาปิ อนาถปิณฺฑิกสฺส อาโรเจสิ, อนาถปิณฺฑิโก ตถาคตสฺส อาโรเจสิฯ สตฺถา ‘‘น โข, คหปติ, อิทาเนว สา ทาสี ฐานุปฺปตฺติกาย ปญฺญาย สมนฺนาคตา, ปุเพฺพปิ สมนฺนาคตาว, น จ อิทาเนว ตาย โส มาริโต, ปุเพฺพปิ นํ มาเรสิเยวา’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Idaṃsuvaṇṇakāyūranti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ anāthapiṇḍikassa dāsiṃ ārabbha kathesi. Sā kira ekasmiṃ ussavadivase dāsigaṇena saddhiṃ uyyānaṃ gacchantī attano sāminiṃ puññalakkhaṇadeviṃ ābharaṇaṃ yāci. Sā tassā satasahassamūlaṃ attano ābharaṇaṃ adāsi. Sā taṃ piḷandhitvā dāsigaṇena saddhiṃ uyyānaṃ pāvisi. Atheko coro tassā ābharaṇe lobhaṃ uppādetvā ‘‘imaṃ māretvā ābharaṇaṃ harissāmī’’ti tāya saddhiṃ sallapanto uyyānaṃ gantvā tassā macchamaṃsasurādīni adāsi. Sā ‘‘kilesavasena deti maññe’’ti gahetvā uyyānakīḷaṃ kīḷitvā vīmaṃsanatthāya sāyanhasamaye nipanne dāsigaṇe uṭṭhāya tassa santikaṃ agamāsi. So ‘‘bhadde, imaṃ ṭhānaṃ appaṭicchannaṃ, thokaṃ purato gacchāmā’’ti āha. Taṃ sutvā itarā ‘‘imasmiṃ ṭhāne sakkā rahassakammaṃ kātuṃ, ayaṃ pana nissaṃsayaṃ maṃ māretvā piḷandhanabhaṇḍaṃ haritukāmo bhavissati, hotu, sikkhāpessāmi na’’nti cintetvā ‘‘sāmi, surāmadena me sukkhaṃ sarīraṃ, pānīyaṃ tāva maṃ pāyehī’’ti ekaṃ kūpaṃ netvā ‘‘ito me pānīyaṃ osiñcā’’ti rajjuñca ghaṭañca dassesi. Coro rajjuṃ kūpe otāresi, atha naṃ onamitvā udakaṃ osiñcantaṃ mahabbaladāsī ubhohi hatthehi āṇisadaṃ paharitvā kūpe khipitvā ‘‘na tvaṃ ettakena marissasī’’ti ekaṃ mahantaṃ iṭṭhakaṃ matthake āsumbhi. So tattheva jīvitakkhayaṃ patto. Sāpi nagaraṃ pavisitvā sāminiyā ābharaṇaṃ dadamānā ‘‘manamhi ajja imaṃ ābharaṇaṃ nissāya matā’’ti sabbaṃ taṃ pavattiṃ ārocesi, sāpi anāthapiṇḍikassa ārocesi, anāthapiṇḍiko tathāgatassa ārocesi. Satthā ‘‘na kho, gahapati, idāneva sā dāsī ṭhānuppattikāya paññāya samannāgatā, pubbepi samannāgatāva, na ca idāneva tāya so mārito, pubbepi naṃ māresiyevā’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต สุลสา นาม นครโสภินี ปญฺจสตวณฺณทาสิปริวารา อโหสิ, สหเสฺสน รตฺติํ คจฺฉติฯ ตสฺมิํเยว นคเร สตฺตุโก นาม โจโร อโหสิ นาคพโล, รตฺติภาเค อิสฺสรฆรานิ ปวิสิตฺวา ยถารุจิํ วิลุมฺปติฯ นาครา สนฺนิปติตฺวา รโญฺญ อุปโกฺกสิํสุฯ ราชา นครคุตฺติกํ อาณาเปตฺวา ตตฺถ ตตฺถ คุมฺพํ ฐปาเปตฺวา โจรํ คณฺหาเปตฺวา ‘‘สีสมสฺส ฉินฺทถา’’ติ อาหฯ ตํ ปจฺฉาพาหํ พนฺธิตฺวา จตุเกฺก จตุเกฺก กสาหิ ตาเฬตฺวา อาฆาตนํ เนนฺติฯ ‘‘โจโร กิร คหิโต’’ติ สกลนครํ สงฺขุภิฯ ตทา สุลสา วาตปาเน ฐตฺวา อนฺตรวีถิํ โอโลเกนฺตี ตํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิตฺตา หุตฺวา ‘‘สเจ อิมํ โจโรติ คหิตปุริสํ โมเจตุํ สกฺขิสฺสามิ, อิทํ กิลิฎฺฐกมฺมํ อกตฺวา อิมินาว สทฺธิํ สมคฺควาสํ กเปฺปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เหฎฺฐา กณเวรชาตเก (ชา. ๑.๔.๖๙ อาทโย) วุตฺตนเยเนว นครคุตฺติกสฺส สหสฺสํ เปเสตฺวา ตํ โมเจตฺวา เตน สทฺธิํ สโมฺมทมานา สมคฺควาสํ วสิฯ โจโร ติณฺณํ จตุนฺนํ มาสานํ อจฺจเยน จิเนฺตสิ ‘‘อหํ อิมสฺมิํเยว ฐาเน วสิตุํ น สกฺขิสฺสามิ, ตุจฺฉหเตฺถน ปลายิตุมฺปิ น สกฺกา, สุลสาย ปิฬนฺธนภณฺฑํ สตสหสฺสํ อคฺฆติ, สุลสํ มาเรตฺวา อิทํ คณฺหิสฺสามี’’ติฯ อถ นํ เอกทิวสํ อาห – ‘‘ภเทฺท, อหํ ตทา ราชปุริเสหิ นียมาโน อสุกปพฺพตมตฺถเก รุกฺขเทวตาย พลิกมฺมํ ปฎิสฺสุณิํ, สา มํ พลิกมฺมํ อลภมานา ภายาเปติ, พลิกมฺมมสฺสา กโรมา’’ติฯ ‘‘สาธุ, สามิ, สเชฺชตฺวา เปเสหี’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, เปเสตุํ น วฎฺฎติ, มยํ อุโภปิ สพฺพาภรณปฎิมณฺฑิตา มหเนฺตน ปริวาเรน คนฺตฺวา ทสฺสามา’’ติฯ ‘‘สาธุ, สามิ, ตถา กโรมา’’ติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente sulasā nāma nagarasobhinī pañcasatavaṇṇadāsiparivārā ahosi, sahassena rattiṃ gacchati. Tasmiṃyeva nagare sattuko nāma coro ahosi nāgabalo, rattibhāge issaragharāni pavisitvā yathāruciṃ vilumpati. Nāgarā sannipatitvā rañño upakkosiṃsu. Rājā nagaraguttikaṃ āṇāpetvā tattha tattha gumbaṃ ṭhapāpetvā coraṃ gaṇhāpetvā ‘‘sīsamassa chindathā’’ti āha. Taṃ pacchābāhaṃ bandhitvā catukke catukke kasāhi tāḷetvā āghātanaṃ nenti. ‘‘Coro kira gahito’’ti sakalanagaraṃ saṅkhubhi. Tadā sulasā vātapāne ṭhatvā antaravīthiṃ olokentī taṃ disvā paṭibaddhacittā hutvā ‘‘sace imaṃ coroti gahitapurisaṃ mocetuṃ sakkhissāmi, idaṃ kiliṭṭhakammaṃ akatvā imināva saddhiṃ samaggavāsaṃ kappessāmī’’ti cintetvā heṭṭhā kaṇaverajātake (jā. 1.4.69 ādayo) vuttanayeneva nagaraguttikassa sahassaṃ pesetvā taṃ mocetvā tena saddhiṃ sammodamānā samaggavāsaṃ vasi. Coro tiṇṇaṃ catunnaṃ māsānaṃ accayena cintesi ‘‘ahaṃ imasmiṃyeva ṭhāne vasituṃ na sakkhissāmi, tucchahatthena palāyitumpi na sakkā, sulasāya piḷandhanabhaṇḍaṃ satasahassaṃ agghati, sulasaṃ māretvā idaṃ gaṇhissāmī’’ti. Atha naṃ ekadivasaṃ āha – ‘‘bhadde, ahaṃ tadā rājapurisehi nīyamāno asukapabbatamatthake rukkhadevatāya balikammaṃ paṭissuṇiṃ, sā maṃ balikammaṃ alabhamānā bhāyāpeti, balikammamassā karomā’’ti. ‘‘Sādhu, sāmi, sajjetvā pesehī’’ti. ‘‘Bhadde, pesetuṃ na vaṭṭati, mayaṃ ubhopi sabbābharaṇapaṭimaṇḍitā mahantena parivārena gantvā dassāmā’’ti. ‘‘Sādhu, sāmi, tathā karomā’’ti.
อถ นํ ตถา กาเรตฺวา ปพฺพตปาทํ คตกาเล อาห – ‘‘ภเทฺท, มหาชนํ ทิสฺวา เทวตา พลิกมฺมํ น สมฺปฎิจฺฉิสฺสติ, มยํ อุโภว อภิรุหิตฺวา เทมา’’ติฯ โส ตาย ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิโต ตํ พลิปาติํ อุกฺขิปาเปตฺวา สยํ สนฺนทฺธปญฺจาวุโธ หุตฺวา ปพฺพตมตฺถกํ อภิรุหิตฺวา เอกํ สตโปริสปปาตํ นิสฺสาย ชาตรุกฺขมูเล พลิภาชนํ ฐปาเปตฺวา ‘‘ภเทฺท, นาหํ พลิกมฺมตฺถาย อาคโต, ตํ ปน มาเรตฺวา ปิฬนฺธนํ เต คเหตฺวา คมิสฺสามีติ อาคโตมฺหิ, ตว ปิฬนฺธนํ โอมุญฺจิตฺวา อุตฺตรสาฎเกน ภณฺฑิกํ กโรหี’’ติ อาหฯ ‘‘สามิ, มํ กสฺมา มาเรสี’’ติ? ‘‘ธนการณา’’ติฯ ‘‘สามิ, มยา กตคุณํ อนุสฺสร, อหํ ตํ พนฺธิตฺวา นียมานํ เสฎฺฐิปุเตฺตน ปริวเตฺตตฺวา พหุํ ธนํ ทตฺวา ชีวิตํ ลภาเปสิํ, เทวสิกํ สหสฺสํ ลภมานาปิ อญฺญํ ปุริสํ น โอโลเกมิ, เอวญฺหิ ตว อุปการิกํ มา มํ มาเรหิ, พหุญฺจ เต ธนํ ทสฺสามิ, ตว ทาสี จ ภวิสฺสามี’’ติ ยาจนฺตี ปฐมํ คาถมาห –
Atha naṃ tathā kāretvā pabbatapādaṃ gatakāle āha – ‘‘bhadde, mahājanaṃ disvā devatā balikammaṃ na sampaṭicchissati, mayaṃ ubhova abhiruhitvā demā’’ti. So tāya ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchito taṃ balipātiṃ ukkhipāpetvā sayaṃ sannaddhapañcāvudho hutvā pabbatamatthakaṃ abhiruhitvā ekaṃ sataporisapapātaṃ nissāya jātarukkhamūle balibhājanaṃ ṭhapāpetvā ‘‘bhadde, nāhaṃ balikammatthāya āgato, taṃ pana māretvā piḷandhanaṃ te gahetvā gamissāmīti āgatomhi, tava piḷandhanaṃ omuñcitvā uttarasāṭakena bhaṇḍikaṃ karohī’’ti āha. ‘‘Sāmi, maṃ kasmā māresī’’ti? ‘‘Dhanakāraṇā’’ti. ‘‘Sāmi, mayā kataguṇaṃ anussara, ahaṃ taṃ bandhitvā nīyamānaṃ seṭṭhiputtena parivattetvā bahuṃ dhanaṃ datvā jīvitaṃ labhāpesiṃ, devasikaṃ sahassaṃ labhamānāpi aññaṃ purisaṃ na olokemi, evañhi tava upakārikaṃ mā maṃ mārehi, bahuñca te dhanaṃ dassāmi, tava dāsī ca bhavissāmī’’ti yācantī paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๘.
18.
‘‘อิทํ สุวณฺณกายูรํ, มุตฺตา เวฬุริยา พหู;
‘‘Idaṃ suvaṇṇakāyūraṃ, muttā veḷuriyā bahū;
สพฺพํ หรสฺสุ ภทฺทเนฺต, มญฺจ ทาสีติ สาวยา’’ติฯ
Sabbaṃ harassu bhaddante, mañca dāsīti sāvayā’’ti.
ตตฺถ กายูรนฺติ คีวายํ ปิฬนฺธนปสาธนํ กายูรํฯ สาวยาติ มหาชนมเชฺฌ สาเวตฺวา ทาสิํ กตฺวา คณฺหาติฯ
Tattha kāyūranti gīvāyaṃ piḷandhanapasādhanaṃ kāyūraṃ. Sāvayāti mahājanamajjhe sāvetvā dāsiṃ katvā gaṇhāti.
ตโต สตฺตุเกน –
Tato sattukena –
๑๙.
19.
‘‘โอโรปยสฺสุ กลฺยาณิ, มา พาฬฺหํ ปริเทวสิ;
‘‘Oropayassu kalyāṇi, mā bāḷhaṃ paridevasi;
น จาหํ อภิชานามิ, อหนฺตฺวา ธนมาภต’’นฺติฯ –
Na cāhaṃ abhijānāmi, ahantvā dhanamābhata’’nti. –
อตฺตโน อชฺฌาสยานุรูปํ ทุติยคาถาย วุตฺตาย สุลสา ฐานุปฺปตฺติการณํ ปฎิลภิตฺวา ‘‘อยํ โจโร มยฺหํ ชีวิตํ น ทสฺสติ, อุปาเยน นํ ปฐมตรํ ปปาเต ปาเตตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา คาถาทฺวยมาห –
Attano ajjhāsayānurūpaṃ dutiyagāthāya vuttāya sulasā ṭhānuppattikāraṇaṃ paṭilabhitvā ‘‘ayaṃ coro mayhaṃ jīvitaṃ na dassati, upāyena naṃ paṭhamataraṃ papāte pātetvā jīvitakkhayaṃ pāpessāmī’’ti cintetvā gāthādvayamāha –
๒๐.
20.
‘‘ยโต สรามิ อตฺตานํ, ยโต ปตฺตาสฺมิ วิญฺญุตํ;
‘‘Yato sarāmi attānaṃ, yato pattāsmi viññutaṃ;
น จาหํ อภิชานามิ, อญฺญํ ปิยตรํ ตยาฯ
Na cāhaṃ abhijānāmi, aññaṃ piyataraṃ tayā.
๒๑.
21.
‘‘เอหิ ตํ อุปคูหิสฺสํ, กริสฺสญฺจ ปทกฺขิณํ;
‘‘Ehi taṃ upagūhissaṃ, karissañca padakkhiṇaṃ;
น หิ ทานิ ปุน อตฺถิ, มม ตุยฺหญฺจ สงฺคโม’’ติฯ
Na hi dāni puna atthi, mama tuyhañca saṅgamo’’ti.
สตฺตุโก ตสฺสาธิปฺปายํ อชานโนฺต ‘‘สาธุ, ภเทฺท, เอหิ อุปคูหสฺสุ ม’’นฺติ อาหฯ สุลสา ตํ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อุปคูหิตฺวา ‘‘อิทานิ ตํ, สามิ, จตูสุ ปเสฺสสุ วนฺทิสฺสามี’’ติ วตฺวา ปาทปิฎฺฐิยํ สีสํ ฐเปตฺวา พาหุปเสฺส วนฺทิตฺวา ปจฺฉิมปสฺสํ คนฺตฺวา วนฺทมานา วิย หุตฺวา นาคพลา คณิกา โจรํ ทฺวีสุ ปจฺฉาปาเทสุ คเหตฺวา เหฎฺฐา สีสํ กตฺวา สตโปริเส นรเก ขิปิฯ โส ตเตฺถว จุณฺณวิจุณฺณํ ปตฺวา มริฯ ตํ กิริยํ ทิสฺวา ปพฺพตมตฺถเก นิพฺพตฺตเทวตา อิมา คาถา อภาสิ –
Sattuko tassādhippāyaṃ ajānanto ‘‘sādhu, bhadde, ehi upagūhassu ma’’nti āha. Sulasā taṃ tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā upagūhitvā ‘‘idāni taṃ, sāmi, catūsu passesu vandissāmī’’ti vatvā pādapiṭṭhiyaṃ sīsaṃ ṭhapetvā bāhupasse vanditvā pacchimapassaṃ gantvā vandamānā viya hutvā nāgabalā gaṇikā coraṃ dvīsu pacchāpādesu gahetvā heṭṭhā sīsaṃ katvā sataporise narake khipi. So tattheva cuṇṇavicuṇṇaṃ patvā mari. Taṃ kiriyaṃ disvā pabbatamatthake nibbattadevatā imā gāthā abhāsi –
๒๒.
22.
‘‘น หิ สเพฺพสุ ฐาเนสุ, ปุริโส โหติ ปณฺฑิโต;
‘‘Na hi sabbesu ṭhānesu, puriso hoti paṇḍito;
อิตฺถีปิ ปณฺฑิตา โหติ, ตตฺถ ตตฺถ วิจกฺขณาฯ
Itthīpi paṇḍitā hoti, tattha tattha vicakkhaṇā.
๒๓.
23.
‘‘น หิ สเพฺพสุ ฐาเนสุ, ปุริโส โหติ ปณฺฑิโต;
‘‘Na hi sabbesu ṭhānesu, puriso hoti paṇḍito;
อิตฺถีปิ ปณฺฑิตา โหติ, ลหุํ อตฺถํ วิจินฺติกาฯ
Itthīpi paṇḍitā hoti, lahuṃ atthaṃ vicintikā.
๒๔.
24.
‘‘ลหุญฺจ วต ขิปฺปญฺจ, นิกเฎฺฐ สมเจตยิ;
‘‘Lahuñca vata khippañca, nikaṭṭhe samacetayi;
มิคํ ปุณฺณายเตเนว, สุลสา สตฺตุกํ วธิฯ
Migaṃ puṇṇāyateneva, sulasā sattukaṃ vadhi.
๒๕.
25.
‘‘โยธ อุปฺปติตํ อตฺถํ, น ขิปฺปมนุพุชฺฌติ;
‘‘Yodha uppatitaṃ atthaṃ, na khippamanubujjhati;
โส หญฺญติ มนฺทมติ, โจโรว คิริคพฺภเรฯ
So haññati mandamati, corova girigabbhare.
๒๖.
26.
‘‘โย จ อุปฺปติตํ อตฺถํ, ขิปฺปเมว นิโพธติ;
‘‘Yo ca uppatitaṃ atthaṃ, khippameva nibodhati;
มุจฺจเต สตฺตุสมฺพาธา, สุลสา สตฺตุกามิวา’’ติฯ
Muccate sattusambādhā, sulasā sattukāmivā’’ti.
ตตฺถ ปณฺฑิตา โหตีติ อิตฺถีปิ ปณฺฑิตา ตตฺถ ตตฺถ วิจกฺขณา โหติ, อถ วา อิตฺถี ปณฺฑิตา เจว ตตฺถ ตตฺถ วิจกฺขณา จ โหติฯ ลหุํ อตฺถํ วิจินฺติกาติ ลหุํ ขิปฺปํ อตฺถํ วิจินฺติกาฯ ลหุญฺจ วตาติ อทนฺธญฺจ วตฯ ขิปฺปญฺจาติ อจิเรเนวฯ นิกเฎฺฐ สมเจตยีติ สนฺติเก ฐิตาว ตสฺส มรณูปายํ จิเนฺตสิฯ ปุณฺณายเตเนวาติ ปูริตธนุสฺมิํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา เฉโก มิคลุทฺทโก สกณฺฑปุณฺณธนุสฺมิํ ขิปฺปํ มิคํ วธติ, เอวํ สุลสา สตฺตุกํ วธีติฯ โยธาติ โย อิมสฺมิํ สตฺตโลเกฯ นิโพธตีติ ชานาติฯ สตฺตุกามิวาติ สตฺตุกา อิว, ยถา สุลสา มุตฺตา, เอวํ มุจฺจตีติ อโตฺถฯ
Tattha paṇḍitā hotīti itthīpi paṇḍitā tattha tattha vicakkhaṇā hoti, atha vā itthī paṇḍitā ceva tattha tattha vicakkhaṇā ca hoti. Lahuṃ atthaṃ vicintikāti lahuṃ khippaṃ atthaṃ vicintikā. Lahuñca vatāti adandhañca vata. Khippañcāti acireneva. Nikaṭṭhe samacetayīti santike ṭhitāva tassa maraṇūpāyaṃ cintesi. Puṇṇāyatenevāti pūritadhanusmiṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā cheko migaluddako sakaṇḍapuṇṇadhanusmiṃ khippaṃ migaṃ vadhati, evaṃ sulasā sattukaṃ vadhīti. Yodhāti yo imasmiṃ sattaloke. Nibodhatīti jānāti. Sattukāmivāti sattukā iva, yathā sulasā muttā, evaṃ muccatīti attho.
อิติ สุลสา โจรํ วธิตฺวา ปพฺพตา โอรุยฺห อตฺตโน ปริชนสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อยฺยปุโตฺต กห’’นฺติ ปุฎฺฐา ‘‘มา ตํ ปุจฺฉถา’’ติ วตฺวา รถํ อภิรุหิตฺวา นครเมว ปาวิสิฯ
Iti sulasā coraṃ vadhitvā pabbatā oruyha attano parijanassa santikaṃ gantvā ‘‘ayyaputto kaha’’nti puṭṭhā ‘‘mā taṃ pucchathā’’ti vatvā rathaṃ abhiruhitvā nagarameva pāvisi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา เต อุโภปิ อิเมเยว อเหสุํ, เทวตา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā te ubhopi imeyeva ahesuṃ, devatā pana ahameva ahosi’’nti.
สุลสาชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Sulasājātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๑๙. สุลสาชาตกํ • 419. Sulasājātakaṃ