Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๕. สุนกฺขตฺตสุตฺตํ
5. Sunakkhattasuttaṃ
๕๕. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฎาคารสาลายํฯ เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุเลหิ ภิกฺขูหิ ภควโต สนฺติเก อญฺญา พฺยากตา โหติ – ‘‘‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานามา’’ติฯ อโสฺสสิ โข สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต – ‘‘สมฺพหุเลหิ กิร ภิกฺขูหิ ภควโต สนฺติเก อญฺญา พฺยากตา โหติ – ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานามา’’ติฯ อถ โข สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘สุตํ เมตํ, ภเนฺต – ‘สมฺพหุเลหิ กิร ภิกฺขูหิ ภควโต สนฺติเก อญฺญา พฺยากตา – ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานามา’’ติฯ ‘‘เย เต, ภเนฺต, ภิกฺขู ภควโต สนฺติเก อญฺญํ พฺยากํสุ – ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานามา’’ติ, กจฺจิ เต, ภเนฺต, ภิกฺขู สมฺมเทว อญฺญํ พฺยากํสุ อุทาหุ สเนฺตเตฺถกเจฺจ ภิกฺขู อธิมาเนน อญฺญํ พฺยากํสูติ?
55. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā vesāliyaṃ viharati mahāvane kūṭāgārasālāyaṃ. Tena kho pana samayena sambahulehi bhikkhūhi bhagavato santike aññā byākatā hoti – ‘‘‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāmā’’ti. Assosi kho sunakkhatto licchaviputto – ‘‘sambahulehi kira bhikkhūhi bhagavato santike aññā byākatā hoti – ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāmā’’ti. Atha kho sunakkhatto licchaviputto yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho sunakkhatto licchaviputto bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘sutaṃ metaṃ, bhante – ‘sambahulehi kira bhikkhūhi bhagavato santike aññā byākatā – khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāmā’’ti. ‘‘Ye te, bhante, bhikkhū bhagavato santike aññaṃ byākaṃsu – ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāmā’’ti, kacci te, bhante, bhikkhū sammadeva aññaṃ byākaṃsu udāhu santetthekacce bhikkhū adhimānena aññaṃ byākaṃsūti?
๕๖. ‘‘เย เต, สุนกฺขตฺต, ภิกฺขู มม สนฺติเก อญฺญํ พฺยากํสุ – ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานามา’’ติ ฯ ‘‘สเนฺตเตฺถกเจฺจ ภิกฺขู สมฺมเทว อญฺญํ พฺยากํสุ, สนฺติ ปนิเธกเจฺจ ภิกฺขู อธิมาเนนปิ 1 อญฺญํ พฺยากํสุฯ ตตฺร, สุนกฺขตฺต, เย เต ภิกฺขู สมฺมเทว อญฺญํ พฺยากํสุ เตสํ ตํ ตเถว โหติ; เย ปน เต ภิกฺขู อธิมาเนน อญฺญํ พฺยากํสุ ตตฺร, สุนกฺขตฺต, ตถาคตสฺส เอวํ โหติ – ‘ธมฺมํ เนสํ เทเสสฺส’นฺติ 2ฯ เอวเญฺจตฺถ, สุนกฺขตฺต, ตถาคตสฺส โหติ – ‘ธมฺมํ เนสํ เทเสสฺส’นฺติฯ อถ จ ปนิเธกเจฺจ โมฆปุริสา ปญฺหํ อภิสงฺขริตฺวา อภิสงฺขริตฺวา ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉนฺติฯ ตตฺร, สุนกฺขตฺต, ยมฺปิ ตถาคตสฺส เอวํ โหติ – ‘ธมฺมํ เนสํ เทเสสฺส’นฺติ ตสฺสปิ โหติ อญฺญถตฺต’’นฺติฯ ‘‘เอตสฺส ภควา กาโล, เอตสฺส สุคต กาโล, ยํ ภควา ธมฺมํ เทเสยฺยฯ ภควโต สุตฺวา ภิกฺขู ธาเรสฺสนฺตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ, สุนกฺขตฺต สุณาหิ, สาธุกํ มนสิ กโรหิ ; ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ ภควา เอตทโวจ –
56. ‘‘Ye te, sunakkhatta, bhikkhū mama santike aññaṃ byākaṃsu – ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāmā’’ti . ‘‘Santetthekacce bhikkhū sammadeva aññaṃ byākaṃsu, santi panidhekacce bhikkhū adhimānenapi 3 aññaṃ byākaṃsu. Tatra, sunakkhatta, ye te bhikkhū sammadeva aññaṃ byākaṃsu tesaṃ taṃ tatheva hoti; ye pana te bhikkhū adhimānena aññaṃ byākaṃsu tatra, sunakkhatta, tathāgatassa evaṃ hoti – ‘dhammaṃ nesaṃ desessa’nti 4. Evañcettha, sunakkhatta, tathāgatassa hoti – ‘dhammaṃ nesaṃ desessa’nti. Atha ca panidhekacce moghapurisā pañhaṃ abhisaṅkharitvā abhisaṅkharitvā tathāgataṃ upasaṅkamitvā pucchanti. Tatra, sunakkhatta, yampi tathāgatassa evaṃ hoti – ‘dhammaṃ nesaṃ desessa’nti tassapi hoti aññathatta’’nti. ‘‘Etassa bhagavā kālo, etassa sugata kālo, yaṃ bhagavā dhammaṃ deseyya. Bhagavato sutvā bhikkhū dhāressantī’’ti. ‘‘Tena hi, sunakkhatta suṇāhi, sādhukaṃ manasi karohi ; bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho sunakkhatto licchaviputto bhagavato paccassosi. Bhagavā etadavoca –
๕๗. ‘‘ปญฺจ โข อิเม, สุนกฺขตฺต, กามคุณาฯ กตเม ปญฺจ? จกฺขุวิเญฺญยฺยา รูปา อิฎฺฐา กนฺตา มนาปา ปิยรูปา กามูปสํหิตา รชนียา, โสตวิเญฺญยฺยา สทฺทา…เป.… ฆานวิเญฺญยฺยา คนฺธา… ชิวฺหาวิเญฺญยฺยา รสา… กายวิเญฺญยฺยา โผฎฺฐพฺพา อิฎฺฐา กนฺตา มนาปา ปิยรูปา กามูปสํหิตา รชนียา – อิเม โข, สุนกฺขตฺต, ปญฺจ กามคุณาฯ
57. ‘‘Pañca kho ime, sunakkhatta, kāmaguṇā. Katame pañca? Cakkhuviññeyyā rūpā iṭṭhā kantā manāpā piyarūpā kāmūpasaṃhitā rajanīyā, sotaviññeyyā saddā…pe… ghānaviññeyyā gandhā… jivhāviññeyyā rasā… kāyaviññeyyā phoṭṭhabbā iṭṭhā kantā manāpā piyarūpā kāmūpasaṃhitā rajanīyā – ime kho, sunakkhatta, pañca kāmaguṇā.
๕๘. ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, สุนกฺขตฺต, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ ปุริสปุคฺคโล โลกามิสาธิมุโตฺต อสฺสฯ โลกามิสาธิมุตฺตสฺส โข, สุนกฺขตฺต, ปุริสปุคฺคลสฺส ตปฺปติรูปี เจว กถา สณฺฐาติ, ตทนุธมฺมญฺจ อนุวิตเกฺกติ, อนุวิจาเรติ, ตญฺจ ปุริสํ ภชติ, เตน จ วิตฺติํ อาปชฺชติ; อาเนญฺชปฎิสํยุตฺตาย จ ปน กถาย กจฺฉมานาย น สุสฺสูสติ, น โสตํ โอทหติ, น อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐาเปติ 5, น จ ตํ ปุริสํ ภชติ, น จ เตน วิตฺติํ อาปชฺชติฯ เสยฺยถาปิ, สุนกฺขตฺต, ปุริโส สกมฺหา คามา วา นิคมา วา จิรวิปฺปวุโตฺถ อสฺสฯ โส อญฺญตรํ ปุริสํ ปเสฺสยฺย ตมฺหา คามา วา นิคมา วา อจิรปกฺกนฺตํฯ โส ตํ ปุริสํ ตสฺส คามสฺส วา นิคมสฺส วา เขมตญฺจ สุภิกฺขตญฺจ อปฺปาพาธตญฺจ ปุเจฺฉยฺย; ตสฺส โส ปุริโส ตสฺส คามสฺส วา นิคมสฺส วา เขมตญฺจ สุภิกฺขตญฺจ อปฺปาพาธตญฺจ สํเสยฺยฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, สุนกฺขตฺต, อปิ นุ โส ปุริโส ตสฺส ปุริสสฺส สุสฺสูเสยฺย, โสตํ โอทเหยฺย, อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐาเปยฺย, ตญฺจ ปุริสํ ภเชยฺย, เตน จ วิตฺติํ อาปเชฺชยฺยา’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เอวเมว โข, สุนกฺขตฺต, ฐานเมตํ วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ ปุริสปุคฺคโล โลกามิสาธิมุโตฺต อสฺสฯ โลกามิสาธิมุตฺตสฺส โข, สุนกฺขตฺต, ปุริสปุคฺคลสฺส ตปฺปติรูปี เจว กถา สณฺฐาติ, ตทนุธมฺมญฺจ อนุวิตเกฺกติ, อนุวิจาเรติ, ตญฺจ ปุริสํ ภชติ, เตน จ วิตฺติํ อาปชฺชติ; อาเนญฺชปฎิสํยุตฺตาย จ ปน กถาย กจฺฉมานาย น สุสฺสูสติ, น โสตํ โอทหติ, น อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐาเปติ, น จ ตํ ปุริสํ ภชติ, น จ เตน วิตฺติํ อาปชฺชติฯ โส เอวมสฺส เวทิตโพฺพ – ‘อาเนญฺชสํโยชเนน หิ โข วิสํยุโตฺต 6 โลกามิสาธิมุโตฺต ปุริสปุคฺคโล’’’ติฯ
58. ‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, sunakkhatta, vijjati yaṃ idhekacco purisapuggalo lokāmisādhimutto assa. Lokāmisādhimuttassa kho, sunakkhatta, purisapuggalassa tappatirūpī ceva kathā saṇṭhāti, tadanudhammañca anuvitakketi, anuvicāreti, tañca purisaṃ bhajati, tena ca vittiṃ āpajjati; āneñjapaṭisaṃyuttāya ca pana kathāya kacchamānāya na sussūsati, na sotaṃ odahati, na aññā cittaṃ upaṭṭhāpeti 7, na ca taṃ purisaṃ bhajati, na ca tena vittiṃ āpajjati. Seyyathāpi, sunakkhatta, puriso sakamhā gāmā vā nigamā vā ciravippavuttho assa. So aññataraṃ purisaṃ passeyya tamhā gāmā vā nigamā vā acirapakkantaṃ. So taṃ purisaṃ tassa gāmassa vā nigamassa vā khematañca subhikkhatañca appābādhatañca puccheyya; tassa so puriso tassa gāmassa vā nigamassa vā khematañca subhikkhatañca appābādhatañca saṃseyya. Taṃ kiṃ maññasi, sunakkhatta, api nu so puriso tassa purisassa sussūseyya, sotaṃ odaheyya, aññā cittaṃ upaṭṭhāpeyya, tañca purisaṃ bhajeyya, tena ca vittiṃ āpajjeyyā’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Evameva kho, sunakkhatta, ṭhānametaṃ vijjati yaṃ idhekacco purisapuggalo lokāmisādhimutto assa. Lokāmisādhimuttassa kho, sunakkhatta, purisapuggalassa tappatirūpī ceva kathā saṇṭhāti, tadanudhammañca anuvitakketi, anuvicāreti, tañca purisaṃ bhajati, tena ca vittiṃ āpajjati; āneñjapaṭisaṃyuttāya ca pana kathāya kacchamānāya na sussūsati, na sotaṃ odahati, na aññā cittaṃ upaṭṭhāpeti, na ca taṃ purisaṃ bhajati, na ca tena vittiṃ āpajjati. So evamassa veditabbo – ‘āneñjasaṃyojanena hi kho visaṃyutto 8 lokāmisādhimutto purisapuggalo’’’ti.
๕๙. ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, สุนกฺขตฺต, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ ปุริสปุคฺคโล อาเนญฺชาธิมุโตฺต อสฺสฯ อาเนญฺชาธิมุตฺตสฺส โข, สุนกฺขตฺต, ปุริสปุคฺคลสฺส ตปฺปติรูปี เจว กถา สณฺฐาติ, ตทนุธมฺมญฺจ อนุวิตเกฺกติ, อนุวิจาเรติ, ตญฺจ ปุริสํ ภชติ, เตน จ วิตฺติํ อาปชฺชติ; โลกามิสปฎิสํยุตฺตาย จ ปน กถาย กจฺฉมานาย น สุสฺสูสติ, น โสตํ โอทหติ, น อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐาเปติ, น จ ตํ ปุริสํ ภชติ, น จ เตน วิตฺติํ อาปชฺชติฯ เสยฺยถาปิ, สุนกฺขตฺต, ปณฺฑุปลาโส พนฺธนา ปวุโตฺต อภโพฺพ หริตตฺตาย; เอวเมว โข, สุนกฺขตฺต, อาเนญฺชาธิมุตฺตสฺส ปุริสปุคฺคลสฺส เย โลกามิสสํโยชเน เส ปวุเตฺตฯ โส เอวมสฺส เวทิตโพฺพ – ‘โลกามิสสํโยชเนน หิ โข วิสํยุโตฺต อาเนญฺชาธิมุโตฺต ปุริสปุคฺคโล’’’ติฯ
59. ‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, sunakkhatta, vijjati yaṃ idhekacco purisapuggalo āneñjādhimutto assa. Āneñjādhimuttassa kho, sunakkhatta, purisapuggalassa tappatirūpī ceva kathā saṇṭhāti, tadanudhammañca anuvitakketi, anuvicāreti, tañca purisaṃ bhajati, tena ca vittiṃ āpajjati; lokāmisapaṭisaṃyuttāya ca pana kathāya kacchamānāya na sussūsati, na sotaṃ odahati, na aññā cittaṃ upaṭṭhāpeti, na ca taṃ purisaṃ bhajati, na ca tena vittiṃ āpajjati. Seyyathāpi, sunakkhatta, paṇḍupalāso bandhanā pavutto abhabbo haritattāya; evameva kho, sunakkhatta, āneñjādhimuttassa purisapuggalassa ye lokāmisasaṃyojane se pavutte. So evamassa veditabbo – ‘lokāmisasaṃyojanena hi kho visaṃyutto āneñjādhimutto purisapuggalo’’’ti.
๖๐. ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, สุนกฺขตฺต, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ ปุริสปุคฺคโล อากิญฺจญฺญายตนาธิมุโตฺต อสฺสฯ อากิญฺจญฺญายตนาธิมุตฺตสฺส โข, สุนกฺขตฺต, ปุริสปุคฺคลสฺส ตปฺปติรูปี เจว กถา สณฺฐาติ, ตทนุธมฺมญฺจ อนุวิตเกฺกติ, อนุวิจาเรติ, ตญฺจ ปุริสํ ภชติ, เตน จ วิตฺติํ อาปชฺชติ ; อาเนญฺชปฎิสํยุตฺตาย จ ปน กถาย กจฺฉมานาย น สุสฺสูสติ, น โสตํ โอทหติ, น อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐาเปติ , น จ ตํ ปุริสํ ภชติ, น จ เตน วิตฺติํ อาปชฺชติฯ เสยฺยถาปิ, สุนกฺขตฺต, ปุถุสิลา เทฺวธาภินฺนา อปฺปฎิสนฺธิกา โหติ; เอวเมว โข, สุนกฺขตฺต, อากิญฺจญฺญายตนาธิมุตฺตสฺส ปุริสปุคฺคลสฺส เย อาเนญฺชสํโยชเน เส ภิเนฺนฯ โส เอวมสฺส เวทิตโพฺพ – ‘อาเนญฺชสํโยชเนน หิ โข วิสํยุโตฺต อากิญฺจญฺญายตนาธิมุโตฺต ปุริสปุคฺคโล’’’ติฯ
60. ‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, sunakkhatta, vijjati yaṃ idhekacco purisapuggalo ākiñcaññāyatanādhimutto assa. Ākiñcaññāyatanādhimuttassa kho, sunakkhatta, purisapuggalassa tappatirūpī ceva kathā saṇṭhāti, tadanudhammañca anuvitakketi, anuvicāreti, tañca purisaṃ bhajati, tena ca vittiṃ āpajjati ; āneñjapaṭisaṃyuttāya ca pana kathāya kacchamānāya na sussūsati, na sotaṃ odahati, na aññā cittaṃ upaṭṭhāpeti , na ca taṃ purisaṃ bhajati, na ca tena vittiṃ āpajjati. Seyyathāpi, sunakkhatta, puthusilā dvedhābhinnā appaṭisandhikā hoti; evameva kho, sunakkhatta, ākiñcaññāyatanādhimuttassa purisapuggalassa ye āneñjasaṃyojane se bhinne. So evamassa veditabbo – ‘āneñjasaṃyojanena hi kho visaṃyutto ākiñcaññāyatanādhimutto purisapuggalo’’’ti.
๖๑. ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, สุนกฺขตฺต, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ ปุริสปุคฺคโล เนวสญฺญานาสญฺญายตนาธิมุโตฺต อสฺสฯ เนวสญฺญานาสญฺญายตนาธิมุตฺตสฺส โข, สุนกฺขตฺต, ปุริสปุคฺคลสฺส ตปฺปติรูปี เจว กถา สณฺฐาติ, ตทนุธมฺมญฺจ อนุวิตเกฺกติ, อนุวิจาเรติ, ตญฺจ ปุริสํ ภชติ, เตน จ วิตฺติํ อาปชฺชติ; อากิญฺจญฺญายตนปฎิสํยุตฺตาย จ ปน กถาย กจฺฉมานาย น สุสฺสูสติ, น โสตํ โอทหติ, น อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐาเปติ, น จ ตํ ปุริสํ ภชติ, น จ เตน วิตฺติํ อาปชฺชติฯ เสยฺยถาปิ, สุนกฺขตฺต, ปุริโส มนุญฺญโภชนํ ภุตฺตาวี ฉเฑฺฑยฺย 9ฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, สุนกฺขตฺต, อปิ นุ ตสฺส ปุริสสฺส ตสฺมิํ ภเตฺต 10 ปุน โภตฺตุกมฺยตา อสฺสา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ตํ กิสฺส เหตุ’’? ‘‘อทุญฺหิ, ภเนฺต, ภตฺตํ 11 ปฎิกูลสมฺมต’’นฺติฯ ‘‘เอวเมว โข, สุนกฺขตฺต, เนวสญฺญานาสญฺญายตนาธิมุตฺตสฺส ปุริสปุคฺคลสฺส เย อากิญฺจญฺญายตนสํโยชเน เส วเนฺตฯ โส เอวมสฺส เวทิตโพฺพ – ‘อากิญฺจญฺญายตนสํโยชเนน หิ โข วิสํยุโตฺต เนวสญฺญานาสญฺญายตนาธิมุโตฺต ปุริสปุคฺคโล’ติฯ
61. ‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, sunakkhatta, vijjati yaṃ idhekacco purisapuggalo nevasaññānāsaññāyatanādhimutto assa. Nevasaññānāsaññāyatanādhimuttassa kho, sunakkhatta, purisapuggalassa tappatirūpī ceva kathā saṇṭhāti, tadanudhammañca anuvitakketi, anuvicāreti, tañca purisaṃ bhajati, tena ca vittiṃ āpajjati; ākiñcaññāyatanapaṭisaṃyuttāya ca pana kathāya kacchamānāya na sussūsati, na sotaṃ odahati, na aññā cittaṃ upaṭṭhāpeti, na ca taṃ purisaṃ bhajati, na ca tena vittiṃ āpajjati. Seyyathāpi, sunakkhatta, puriso manuññabhojanaṃ bhuttāvī chaḍḍeyya 12. Taṃ kiṃ maññasi, sunakkhatta, api nu tassa purisassa tasmiṃ bhatte 13 puna bhottukamyatā assā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Taṃ kissa hetu’’? ‘‘Aduñhi, bhante, bhattaṃ 14 paṭikūlasammata’’nti. ‘‘Evameva kho, sunakkhatta, nevasaññānāsaññāyatanādhimuttassa purisapuggalassa ye ākiñcaññāyatanasaṃyojane se vante. So evamassa veditabbo – ‘ākiñcaññāyatanasaṃyojanena hi kho visaṃyutto nevasaññānāsaññāyatanādhimutto purisapuggalo’ti.
๖๒. ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, สุนกฺขตฺต, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ ปุริสปุคฺคโล สมฺมา นิพฺพานาธิมุโตฺต อสฺสฯ สมฺมา นิพฺพานาธิมุตฺตสฺส โข, สุนกฺขตฺต, ปุริสปุคฺคลสฺส ตปฺปติรูปี เจว กถา สณฺฐาติ, ตทนุธมฺมญฺจ อนุวิตเกฺกติ, อนุวิจาเรติ, ตญฺจ ปุริสํ ภชติ, เตน จ วิตฺติํ อาปชฺชติ; เนวสญฺญานาสญฺญายตนปฎิสํยุตฺตาย จ ปน กถาย กจฺฉมานาย น สุสฺสูสติ, น โสตํ โอทหติ, น อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐาเปติ, น จ ตํ ปุริสํ ภชติ, น จ เตน วิตฺติํ อาปชฺชติฯ เสยฺยถาปิ, สุนกฺขตฺต, ตาโล มตฺถกจฺฉิโนฺน อภโพฺพ ปุน วิรุฬฺหิยา; เอวเมว โข, สุนกฺขตฺต, สมฺมา นิพฺพานาธิมุตฺตสฺส ปุริสปุคฺคลสฺส เย เนวสญฺญานาสญฺญายตนสํโยชเน เส อุจฺฉินฺนมูเล ตาลาวตฺถุกเต อนภาวํกเต 15 อายติํ อนุปฺปาทธเมฺมฯ โส เอวมสฺส เวทิตโพฺพ – ‘เนวสญฺญานาสญฺญายตนสํโยชเนน หิ โข วิสํยุโตฺต สมฺมา นิพฺพานาธิมุโตฺต ปุริสปุคฺคโล’’’ติฯ
62. ‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, sunakkhatta, vijjati yaṃ idhekacco purisapuggalo sammā nibbānādhimutto assa. Sammā nibbānādhimuttassa kho, sunakkhatta, purisapuggalassa tappatirūpī ceva kathā saṇṭhāti, tadanudhammañca anuvitakketi, anuvicāreti, tañca purisaṃ bhajati, tena ca vittiṃ āpajjati; nevasaññānāsaññāyatanapaṭisaṃyuttāya ca pana kathāya kacchamānāya na sussūsati, na sotaṃ odahati, na aññā cittaṃ upaṭṭhāpeti, na ca taṃ purisaṃ bhajati, na ca tena vittiṃ āpajjati. Seyyathāpi, sunakkhatta, tālo matthakacchinno abhabbo puna viruḷhiyā; evameva kho, sunakkhatta, sammā nibbānādhimuttassa purisapuggalassa ye nevasaññānāsaññāyatanasaṃyojane se ucchinnamūle tālāvatthukate anabhāvaṃkate 16 āyatiṃ anuppādadhamme. So evamassa veditabbo – ‘nevasaññānāsaññāyatanasaṃyojanena hi kho visaṃyutto sammā nibbānādhimutto purisapuggalo’’’ti.
๖๓. ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, สุนกฺขตฺต, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวมสฺส – ‘ตณฺหา โข สลฺลํ สมเณน วุตฺตํ, อวิชฺชาวิสโทโส, ฉนฺทราคพฺยาปาเทน รุปฺปติฯ ตํ เม ตณฺหาสลฺลํ ปหีนํ, อปนีโต อวิชฺชาวิสโทโส, สมฺมา นิพฺพานาธิมุโตฺตหมสฺมี’ติฯ เอวํมานิ 17 อสฺส อตถํ สมานํ 18ฯ โส ยานิ สมฺมา นิพฺพานาธิมุตฺตสฺส อสปฺปายานิ ตานิ อนุยุเญฺชยฺย; อสปฺปายํ จกฺขุนา รูปทสฺสนํ อนุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ โสเตน สทฺทํ อนุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ ฆาเนน คนฺธํ อนุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ ชิวฺหาย รสํ อนุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ กาเยน โผฎฺฐพฺพํ อนุยุเญฺชยฺย , อสปฺปายํ มนสา ธมฺมํ อนุยุเญฺชยฺยฯ ตสฺส อสปฺปายํ จกฺขุนา รูปทสฺสนํ อนุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ โสเตน สทฺทํ อนุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ ฆาเนน คนฺธํ อนุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ ชิวฺหาย รสํ อนุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ กาเยน โผฎฺฐพฺพํ อนุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ มนสา ธมฺมํ อนุยุตฺตสฺส ราโค จิตฺตํ อนุทฺธํเสยฺยฯ โส ราคานุทฺธํสิเตน จิเตฺตน มรณํ วา นิคเจฺฉยฺย มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ
63. ‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, sunakkhatta, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evamassa – ‘taṇhā kho sallaṃ samaṇena vuttaṃ, avijjāvisadoso, chandarāgabyāpādena ruppati. Taṃ me taṇhāsallaṃ pahīnaṃ, apanīto avijjāvisadoso, sammā nibbānādhimuttohamasmī’ti. Evaṃmāni 19 assa atathaṃ samānaṃ 20. So yāni sammā nibbānādhimuttassa asappāyāni tāni anuyuñjeyya; asappāyaṃ cakkhunā rūpadassanaṃ anuyuñjeyya, asappāyaṃ sotena saddaṃ anuyuñjeyya, asappāyaṃ ghānena gandhaṃ anuyuñjeyya, asappāyaṃ jivhāya rasaṃ anuyuñjeyya, asappāyaṃ kāyena phoṭṭhabbaṃ anuyuñjeyya , asappāyaṃ manasā dhammaṃ anuyuñjeyya. Tassa asappāyaṃ cakkhunā rūpadassanaṃ anuyuttassa, asappāyaṃ sotena saddaṃ anuyuttassa, asappāyaṃ ghānena gandhaṃ anuyuttassa, asappāyaṃ jivhāya rasaṃ anuyuttassa, asappāyaṃ kāyena phoṭṭhabbaṃ anuyuttassa, asappāyaṃ manasā dhammaṃ anuyuttassa rāgo cittaṃ anuddhaṃseyya. So rāgānuddhaṃsitena cittena maraṇaṃ vā nigaccheyya maraṇamattaṃ vā dukkhaṃ.
‘‘เสยฺยถาปิ, สุนกฺขตฺต, ปุริโส สเลฺลน วิโทฺธ อสฺส สวิเสน คาฬฺหูปเลปเนนฯ ตสฺส มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ภิสกฺกํ สลฺลกตฺตํ อุปฎฺฐาเปยฺยุํฯ ตสฺส โส ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต สเตฺถน วณมุขํ ปริกเนฺตยฺยฯ สเตฺถน วณมุขํ ปริกนฺติตฺวา เอสนิยา สลฺลํ เอเสยฺยฯ เอสนิยา สลฺลํ เอสิตฺวา สลฺลํ อพฺพุเหยฺย, อปเนยฺย วิสโทสํ สอุปาทิเสสํฯ สอุปาทิเสโสติ 21 ชานมาโน โส เอวํ วเทยฺย – ‘อโมฺภ ปุริส, อุพฺภตํ โข เต สลฺลํ, อปนีโต วิสโทโส สอุปาทิเสโส 22ฯ อนลญฺจ เต อนฺตรายายฯ สปฺปายานิ เจว โภชนานิ ภุเญฺชยฺยาสิ, มา เต อสปฺปายานิ โภชนานิ ภุญฺชโต วโณ อสฺสาวี อสฺสฯ กาเลน กาลญฺจ วณํ โธเวยฺยาสิ, กาเลน กาลํ วณมุขํ อาลิเมฺปยฺยาสิ, มา เต น กาเลน กาลํ วณํ โธวโต น กาเลน กาลํ วณมุขํ อาลิมฺปโต ปุพฺพโลหิตํ วณมุขํ ปริโยนนฺธิฯ มา จ วาตาตเป จาริตฺตํ อนุยุญฺชิ, มา เต วาตาตเป จาริตฺตํ อนุยุตฺตสฺส รโชสูกํ วณมุขํ อนุทฺธํเสสิฯ วณานุรกฺขี จ, อโมฺภ ปุริส, วิหเรยฺยาสิ วณสาโรปี’ติ 23ฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อุพฺภตํ โข เม สลฺลํ, อปนีโต วิสโทโส อนุปาทิเสโสฯ อนลญฺจ เม อนฺตรายายา’ติฯ โส อสปฺปายานิ เจว โภชนานิ ภุเญฺชยฺยฯ ตสฺส อสปฺปายานิ โภชนานิ ภุญฺชโต วโณ อสฺสาวี อสฺสฯ น จ กาเลน กาลํ วณํ โธเวยฺย, น จ กาเลน กาลํ วณมุขํ อาลิเมฺปยฺยฯ ตสฺส น กาเลน กาลํ วณํ โธวโต, น กาเลน กาลํ วณมุขํ อาลิมฺปโต ปุพฺพโลหิตํ วณมุขํ ปริโยนเนฺธยฺยฯ วาตาตเป จ จาริตฺตํ อนุยุเญฺชยฺยฯ ตสฺส วาตาตเป จาริตฺตํ อนุยุตฺตสฺส รโชสูกํ วณมุขํ อนุทฺธํเสยฺยฯ น จ วณานุรกฺขี วิหเรยฺย น วณสาโรปีฯ ตสฺส อิมิสฺสา จ อสปฺปายกิริยาย, อสุจิ วิสโทโส อปนีโต สอุปาทิเสโส ตทุภเยน วโณ ปุถุตฺตํ คเจฺฉยฺยฯ โส ปุถุตฺตํ คเตน วเณน มรณํ วา นิคเจฺฉยฺย มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ
‘‘Seyyathāpi, sunakkhatta, puriso sallena viddho assa savisena gāḷhūpalepanena. Tassa mittāmaccā ñātisālohitā bhisakkaṃ sallakattaṃ upaṭṭhāpeyyuṃ. Tassa so bhisakko sallakatto satthena vaṇamukhaṃ parikanteyya. Satthena vaṇamukhaṃ parikantitvā esaniyā sallaṃ eseyya. Esaniyā sallaṃ esitvā sallaṃ abbuheyya, apaneyya visadosaṃ saupādisesaṃ. Saupādisesoti 24 jānamāno so evaṃ vadeyya – ‘ambho purisa, ubbhataṃ kho te sallaṃ, apanīto visadoso saupādiseso 25. Analañca te antarāyāya. Sappāyāni ceva bhojanāni bhuñjeyyāsi, mā te asappāyāni bhojanāni bhuñjato vaṇo assāvī assa. Kālena kālañca vaṇaṃ dhoveyyāsi, kālena kālaṃ vaṇamukhaṃ ālimpeyyāsi, mā te na kālena kālaṃ vaṇaṃ dhovato na kālena kālaṃ vaṇamukhaṃ ālimpato pubbalohitaṃ vaṇamukhaṃ pariyonandhi. Mā ca vātātape cārittaṃ anuyuñji, mā te vātātape cārittaṃ anuyuttassa rajosūkaṃ vaṇamukhaṃ anuddhaṃsesi. Vaṇānurakkhī ca, ambho purisa, vihareyyāsi vaṇasāropī’ti 26. Tassa evamassa – ‘ubbhataṃ kho me sallaṃ, apanīto visadoso anupādiseso. Analañca me antarāyāyā’ti. So asappāyāni ceva bhojanāni bhuñjeyya. Tassa asappāyāni bhojanāni bhuñjato vaṇo assāvī assa. Na ca kālena kālaṃ vaṇaṃ dhoveyya, na ca kālena kālaṃ vaṇamukhaṃ ālimpeyya. Tassa na kālena kālaṃ vaṇaṃ dhovato, na kālena kālaṃ vaṇamukhaṃ ālimpato pubbalohitaṃ vaṇamukhaṃ pariyonandheyya. Vātātape ca cārittaṃ anuyuñjeyya. Tassa vātātape cārittaṃ anuyuttassa rajosūkaṃ vaṇamukhaṃ anuddhaṃseyya. Na ca vaṇānurakkhī vihareyya na vaṇasāropī. Tassa imissā ca asappāyakiriyāya, asuci visadoso apanīto saupādiseso tadubhayena vaṇo puthuttaṃ gaccheyya. So puthuttaṃ gatena vaṇena maraṇaṃ vā nigaccheyya maraṇamattaṃ vā dukkhaṃ.
‘‘เอวเมว โข, สุนกฺขตฺต, ฐานเมตํ วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวมสฺส – ‘ตณฺหา โข สลฺลํ สมเณน วุตฺตํ, อวิชฺชาวิสโทโส ฉนฺทราคพฺยาปาเทน รุปฺปติฯ ตํ เม ตณฺหาสลฺลํ ปหีนํ, อปนีโต อวิชฺชาวิสโทโส, สมฺมา นิพฺพานาธิมุโตฺตหมสฺมี’ติฯ เอวํมานิ อสฺส อตถํ สมานํฯ โส ยานิ สมฺมา นิพฺพานาธิมุตฺตสฺส อสปฺปายานิ ตานิ อนุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ จกฺขุนา รูปทสฺสนํ อนุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ โสเตน สทฺทํ อนุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ ฆาเนน คนฺธํ อนุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ ชิวฺหาย รสํ อนุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ กาเยน โผฎฺฐพฺพํ อนุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ มนสา ธมฺมํ อนุยุเญฺชยฺยฯ ตสฺส อสปฺปายํ จกฺขุนา รูปทสฺสนํ อนุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ โสเตน สทฺทํ อนุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ ฆาเนน คนฺธํ อนุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ ชิวฺหาย รสํ อนุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ กาเยน โผฎฺฐพฺพํ อนุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ มนสา ธมฺมํ อนุยุตฺตสฺส ราโค จิตฺตํ อนุทฺธํเสยฺยฯ โส ราคานุทฺธํสิเตน จิเตฺตน มรณํ วา นิคเจฺฉยฺย มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ มรณเญฺหตํ, สุนกฺขตฺต, อริยสฺส วินเย โย สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตติ; มรณมตฺตเญฺหตํ, สุนกฺขตฺต, ทุกฺขํ ยํ อญฺญตรํ สํกิลิฎฺฐํ อาปตฺติํ อาปชฺชติฯ
‘‘Evameva kho, sunakkhatta, ṭhānametaṃ vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evamassa – ‘taṇhā kho sallaṃ samaṇena vuttaṃ, avijjāvisadoso chandarāgabyāpādena ruppati. Taṃ me taṇhāsallaṃ pahīnaṃ, apanīto avijjāvisadoso, sammā nibbānādhimuttohamasmī’ti. Evaṃmāni assa atathaṃ samānaṃ. So yāni sammā nibbānādhimuttassa asappāyāni tāni anuyuñjeyya, asappāyaṃ cakkhunā rūpadassanaṃ anuyuñjeyya, asappāyaṃ sotena saddaṃ anuyuñjeyya, asappāyaṃ ghānena gandhaṃ anuyuñjeyya, asappāyaṃ jivhāya rasaṃ anuyuñjeyya, asappāyaṃ kāyena phoṭṭhabbaṃ anuyuñjeyya, asappāyaṃ manasā dhammaṃ anuyuñjeyya. Tassa asappāyaṃ cakkhunā rūpadassanaṃ anuyuttassa, asappāyaṃ sotena saddaṃ anuyuttassa, asappāyaṃ ghānena gandhaṃ anuyuttassa, asappāyaṃ jivhāya rasaṃ anuyuttassa, asappāyaṃ kāyena phoṭṭhabbaṃ anuyuttassa, asappāyaṃ manasā dhammaṃ anuyuttassa rāgo cittaṃ anuddhaṃseyya. So rāgānuddhaṃsitena cittena maraṇaṃ vā nigaccheyya maraṇamattaṃ vā dukkhaṃ. Maraṇañhetaṃ, sunakkhatta, ariyassa vinaye yo sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattati; maraṇamattañhetaṃ, sunakkhatta, dukkhaṃ yaṃ aññataraṃ saṃkiliṭṭhaṃ āpattiṃ āpajjati.
๖๔. ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, สุนกฺขตฺต, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวมสฺส – ‘ตณฺหา โข สลฺลํ สมเณน วุตฺตํ, อวิชฺชาวิสโทโส ฉนฺทราคพฺยาปาเทน รุปฺปติฯ ตํ เม ตณฺหาสลฺลํ ปหีนํ, อปนีโต อวิชฺชาวิสโทโส, สมฺมา นิพฺพานาธิมุโตฺตหมสฺมี’ติฯ สมฺมา นิพฺพานาธิมุตฺตเสฺสว สโต โส ยานิ สมฺมา นิพฺพานาธิมุตฺตสฺส อสปฺปายานิ ตานิ นานุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ จกฺขุนา รูปทสฺสนํ นานุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ โสเตน สทฺทํ นานุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ ฆาเนน คนฺธํ นานุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ ชิวฺหาย รสํ นานุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ กาเยน โผฎฺฐพฺพํ นานุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ มนสา ธมฺมํ นานุยุเญฺชยฺยฯ ตสฺส อสปฺปายํ จกฺขุนา รูปทสฺสนํ นานุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ โสเตน สทฺทํ นานุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ ฆาเนน คนฺธํ นานุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ ชิวฺหาย รสํ นานุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ กาเยน โผฎฺฐพฺพํ นานุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ มนสา ธมฺมํ นานุยุตฺตสฺส ราโค จิตฺตํ นานุทฺธํเสยฺยฯ โส น ราคานุทฺธํสิเตน จิเตฺตน เนว มรณํ วา นิคเจฺฉยฺย น มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ
64. ‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, sunakkhatta, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evamassa – ‘taṇhā kho sallaṃ samaṇena vuttaṃ, avijjāvisadoso chandarāgabyāpādena ruppati. Taṃ me taṇhāsallaṃ pahīnaṃ, apanīto avijjāvisadoso, sammā nibbānādhimuttohamasmī’ti. Sammā nibbānādhimuttasseva sato so yāni sammā nibbānādhimuttassa asappāyāni tāni nānuyuñjeyya, asappāyaṃ cakkhunā rūpadassanaṃ nānuyuñjeyya, asappāyaṃ sotena saddaṃ nānuyuñjeyya, asappāyaṃ ghānena gandhaṃ nānuyuñjeyya, asappāyaṃ jivhāya rasaṃ nānuyuñjeyya, asappāyaṃ kāyena phoṭṭhabbaṃ nānuyuñjeyya, asappāyaṃ manasā dhammaṃ nānuyuñjeyya. Tassa asappāyaṃ cakkhunā rūpadassanaṃ nānuyuttassa, asappāyaṃ sotena saddaṃ nānuyuttassa, asappāyaṃ ghānena gandhaṃ nānuyuttassa, asappāyaṃ jivhāya rasaṃ nānuyuttassa, asappāyaṃ kāyena phoṭṭhabbaṃ nānuyuttassa, asappāyaṃ manasā dhammaṃ nānuyuttassa rāgo cittaṃ nānuddhaṃseyya. So na rāgānuddhaṃsitena cittena neva maraṇaṃ vā nigaccheyya na maraṇamattaṃ vā dukkhaṃ.
‘‘เสยฺยถาปิ, สุนกฺขตฺต, ปุริโส สเลฺลน วิโทฺธ อสฺส สวิเสน คาฬฺหูปเลปเนนฯ ตสฺส มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ภิสกฺกํ สลฺลกตฺตํ อุปฎฺฐาเปยฺยุํฯ ตสฺส โส ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต สเตฺถน วณมุขํ ปริกเนฺตยฺยฯ สเตฺถน วณมุขํ ปริกนฺติตฺวา เอสนิยา สลฺลํ เอเสยฺยฯ เอสนิยา สลฺลํ เอสิตฺวา สลฺลํ อพฺพุเหยฺย, อปเนยฺย วิสโทสํ อนุปาทิเสสํฯ อนุปาทิเสโสติ ชานมาโน โส เอวํ วเทยฺย – ‘อโมฺภ ปุริส, อุพฺภตํ โข เต สลฺลํ, อปนีโต วิสโทโส อนุปาทิเสโสฯ อนลญฺจ เต อนฺตรายายฯ สปฺปายานิ เจว โภชนานิ ภุเญฺชยฺยาสิ, มา เต อสปฺปายานิ โภชนานิ ภุญฺชโต วโณ อสฺสาวี อสฺสฯ กาเลน กาลญฺจ วณํ โธเวยฺยาสิ, กาเลน กาลํ วณมุขํ อาลิเมฺปยฺยาสิฯ มา เต น กาเลน กาลํ วณํ โธวโต น กาเลน กาลํ วณมุขํ อาลิมฺปโต ปุพฺพโลหิตํ วณมุขํ ปริโยนนฺธิฯ มา จ วาตาตเป จาริตฺตํ อนุยุญฺชิ, มา เต วาตาตเป จาริตฺตํ อนุยุตฺตสฺส รโชสูกํ วณมุขํ อนุทฺธํเสสิ ฯ วณานุรกฺขี จ, อโมฺภ ปุริส, วิหเรยฺยาสิ วณสาโรปี’ติฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อุพฺภตํ โข เม สลฺลํ, อปนีโต วิสโทโส อนุปาทิเสโสฯ อนลญฺจ เม อนฺตรายายา’ติฯ โส สปฺปายานิ เจว โภชนานิ ภุเญฺชยฺยฯ ตสฺส สปฺปายานิ โภชนานิ ภุญฺชโต วโณ น อสฺสาวี อสฺสฯ กาเลน กาลญฺจ วณํ โธเวยฺย, กาเลน กาลํ วณมุขํ อาลิเมฺปยฺยฯ ตสฺส กาเลน กาลํ วณํ โธวโต กาเลน กาลํ วณมุขํ อาลิมฺปโต น ปุพฺพโลหิตํ วณมุขํ ปริโยนเนฺธยฺยฯ น จ วาตาตเป จาริตฺตํ อนุยุเญฺชยฺยฯ ตสฺส วาตาตเป จาริตฺตํ อนนุยุตฺตสฺส รโชสูกํ วณมุขํ นานุทฺธํเสยฺยฯ วณานุรกฺขี จ วิหเรยฺย วณสาโรปีฯ ตสฺส อิมิสฺสา จ สปฺปายกิริยาย อสุ จ 27 วิสโทโส อปนีโต อนุปาทิเสโส ตทุภเยน วโณ วิรุเหยฺยฯ โส รุเฬฺหน วเณน สญฺฉวินา เนว มรณํ วา นิคเจฺฉยฺย น มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ
‘‘Seyyathāpi, sunakkhatta, puriso sallena viddho assa savisena gāḷhūpalepanena. Tassa mittāmaccā ñātisālohitā bhisakkaṃ sallakattaṃ upaṭṭhāpeyyuṃ. Tassa so bhisakko sallakatto satthena vaṇamukhaṃ parikanteyya. Satthena vaṇamukhaṃ parikantitvā esaniyā sallaṃ eseyya. Esaniyā sallaṃ esitvā sallaṃ abbuheyya, apaneyya visadosaṃ anupādisesaṃ. Anupādisesoti jānamāno so evaṃ vadeyya – ‘ambho purisa, ubbhataṃ kho te sallaṃ, apanīto visadoso anupādiseso. Analañca te antarāyāya. Sappāyāni ceva bhojanāni bhuñjeyyāsi, mā te asappāyāni bhojanāni bhuñjato vaṇo assāvī assa. Kālena kālañca vaṇaṃ dhoveyyāsi, kālena kālaṃ vaṇamukhaṃ ālimpeyyāsi. Mā te na kālena kālaṃ vaṇaṃ dhovato na kālena kālaṃ vaṇamukhaṃ ālimpato pubbalohitaṃ vaṇamukhaṃ pariyonandhi. Mā ca vātātape cārittaṃ anuyuñji, mā te vātātape cārittaṃ anuyuttassa rajosūkaṃ vaṇamukhaṃ anuddhaṃsesi . Vaṇānurakkhī ca, ambho purisa, vihareyyāsi vaṇasāropī’ti. Tassa evamassa – ‘ubbhataṃ kho me sallaṃ, apanīto visadoso anupādiseso. Analañca me antarāyāyā’ti. So sappāyāni ceva bhojanāni bhuñjeyya. Tassa sappāyāni bhojanāni bhuñjato vaṇo na assāvī assa. Kālena kālañca vaṇaṃ dhoveyya, kālena kālaṃ vaṇamukhaṃ ālimpeyya. Tassa kālena kālaṃ vaṇaṃ dhovato kālena kālaṃ vaṇamukhaṃ ālimpato na pubbalohitaṃ vaṇamukhaṃ pariyonandheyya. Na ca vātātape cārittaṃ anuyuñjeyya. Tassa vātātape cārittaṃ ananuyuttassa rajosūkaṃ vaṇamukhaṃ nānuddhaṃseyya. Vaṇānurakkhī ca vihareyya vaṇasāropī. Tassa imissā ca sappāyakiriyāya asu ca 28 visadoso apanīto anupādiseso tadubhayena vaṇo viruheyya. So ruḷhena vaṇena sañchavinā neva maraṇaṃ vā nigaccheyya na maraṇamattaṃ vā dukkhaṃ.
‘‘เอวเมว โข, สุนกฺขตฺต, ฐานเมตํ วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวมสฺส – ‘ตณฺหา โข สลฺลํ สมเณน วุตฺตํ, อวิชฺชาวิสโทโส ฉนฺทราคพฺยาปาเทน รุปฺปติฯ ตํ เม ตณฺหาสลฺลํ ปหีนํ, อปนีโต อวิชฺชาวิสโทโส, สมฺมา นิพฺพานาธิมุโตฺตหมสฺมี’ติฯ สมฺมา นิพฺพานาธิมุตฺตเสฺสว สโต โส ยานิ สมฺมา นิพฺพานาธิมุตฺตสฺส อสปฺปายานิ ตานิ นานุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ จกฺขุนา รูปทสฺสนํ นานุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ โสเตน สทฺทํ นานุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ ฆาเนน คนฺธํ นานุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ ชิวฺหาย รสํ นานุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ กาเยน โผฎฺฐพฺพํ นานุยุเญฺชยฺย, อสปฺปายํ มนสา ธมฺมํ นานุยุเญฺชยฺยฯ ตสฺส อสปฺปายํ จกฺขุนา รูปทสฺสนํ นานุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ โสเตน สทฺทํ นานุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ ฆาเนน คนฺธํ นานุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ ชิวฺหาย รสํ นานุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ กาเยน โผฎฺฐพฺพํ นานุยุตฺตสฺส, อสปฺปายํ มนสา ธมฺมํ นานุยุตฺตสฺส, ราโค จิตฺตํ นานุทฺธํเสยฺยฯ โส น ราคานุทฺธํสิเตน จิเตฺตน เนว มรณํ วา นิคเจฺฉยฺย น มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ
‘‘Evameva kho, sunakkhatta, ṭhānametaṃ vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evamassa – ‘taṇhā kho sallaṃ samaṇena vuttaṃ, avijjāvisadoso chandarāgabyāpādena ruppati. Taṃ me taṇhāsallaṃ pahīnaṃ, apanīto avijjāvisadoso, sammā nibbānādhimuttohamasmī’ti. Sammā nibbānādhimuttasseva sato so yāni sammā nibbānādhimuttassa asappāyāni tāni nānuyuñjeyya, asappāyaṃ cakkhunā rūpadassanaṃ nānuyuñjeyya, asappāyaṃ sotena saddaṃ nānuyuñjeyya, asappāyaṃ ghānena gandhaṃ nānuyuñjeyya, asappāyaṃ jivhāya rasaṃ nānuyuñjeyya, asappāyaṃ kāyena phoṭṭhabbaṃ nānuyuñjeyya, asappāyaṃ manasā dhammaṃ nānuyuñjeyya. Tassa asappāyaṃ cakkhunā rūpadassanaṃ nānuyuttassa, asappāyaṃ sotena saddaṃ nānuyuttassa, asappāyaṃ ghānena gandhaṃ nānuyuttassa, asappāyaṃ jivhāya rasaṃ nānuyuttassa, asappāyaṃ kāyena phoṭṭhabbaṃ nānuyuttassa, asappāyaṃ manasā dhammaṃ nānuyuttassa, rāgo cittaṃ nānuddhaṃseyya. So na rāgānuddhaṃsitena cittena neva maraṇaṃ vā nigaccheyya na maraṇamattaṃ vā dukkhaṃ.
๖๕. ‘‘อุปมา โข เม อยํ, สุนกฺขตฺต, กตา อตฺถสฺส วิญฺญาปนายฯ อยํเยเวตฺถ อโตฺถ – วโณติ โข, สุนกฺขตฺต, ฉเนฺนตํ อชฺฌตฺติกานํ อายตนานํ อธิวจนํ; วิสโทโสติ โข, สุนกฺขตฺต, อวิชฺชาเยตํ อธิวจนํ; สลฺลนฺติ โข, สุนกฺขตฺต, ตณฺหาเยตํ อธิวจนํ; เอสนีติ โข, สุนกฺขตฺต, สติยาเยตํ อธิวจนํ; สตฺถนฺติ โข, สุนกฺขตฺต, อริยาเยตํ ปญฺญาย อธิวจนํ; ภิสโกฺก สลฺลกโตฺตติ โข, สุนกฺขตฺต, ตถาคตเสฺสตํ อธิวจนํ อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
65. ‘‘Upamā kho me ayaṃ, sunakkhatta, katā atthassa viññāpanāya. Ayaṃyevettha attho – vaṇoti kho, sunakkhatta, channetaṃ ajjhattikānaṃ āyatanānaṃ adhivacanaṃ; visadosoti kho, sunakkhatta, avijjāyetaṃ adhivacanaṃ; sallanti kho, sunakkhatta, taṇhāyetaṃ adhivacanaṃ; esanīti kho, sunakkhatta, satiyāyetaṃ adhivacanaṃ; satthanti kho, sunakkhatta, ariyāyetaṃ paññāya adhivacanaṃ; bhisakko sallakattoti kho, sunakkhatta, tathāgatassetaṃ adhivacanaṃ arahato sammāsambuddhassa.
‘‘โส วต, สุนกฺขตฺต, ภิกฺขุ ฉสุ ผสฺสายตเนสุ สํวุตการี ‘อุปธิ ทุกฺขสฺส มูล’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา นิรุปธิ อุปธิสงฺขเย วิมุโตฺต อุปธิสฺมิํ วา กายํ อุปสํหริสฺสติ จิตฺตํ วา อุปฺปาเทสฺสตีติ – เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ เสยฺยถาปิ, สุนกฺขตฺต, อาปานียกํโส วณฺณสมฺปโนฺน คนฺธสมฺปโนฺน รสสมฺปโนฺน; โส จ โข วิเสน สํสโฎฺฐฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ชีวิตุกาโม อมริตุกาโม สุขกาโม ทุกฺขปฎิกูโลฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, สุนกฺขตฺต, อปิ นุ โส ปุริโส อมุํ อาปานียกํสํ ปิเวยฺย ยํ ชญฺญา – ‘อิมาหํ ปิวิตฺวา มรณํ วา นิคจฺฉามิ มรณมตฺตํ วา ทุกฺข’’’นฺติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เอวเมว โข, สุนกฺขตฺต, โส วต ภิกฺขุ ฉสุ ผสฺสายตเนสุ สํวุตการี ‘อุปธิ ทุกฺขสฺส มูล’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา นิรุปธิ อุปธิสงฺขเย วิมุโตฺต อุปธิสฺมิํ วา กายํ อุปสํหริสฺสติ จิตฺตํ วา อุปฺปาเทสฺสตีติ – เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ เสยฺยถาปิ, สุนกฺขตฺต, อาสีวิโส 29 โฆรวิโสฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ชีวิตุกาโม อมริตุกาโม สุขกาโม ทุกฺขปฎิกูโลฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, สุนกฺขตฺต, อปิ นุ โส ปุริโส อมุสฺส อาสีวิสสฺส โฆรวิสสฺส หตฺถํ วา องฺคุฎฺฐํ วา ทชฺชา 30 ยํ ชญฺญา – ‘อิมินาหํ ทโฎฺฐ มรณํ วา นิคจฺฉามิ มรณมตฺตํ วา ทุกฺข’’’นฺติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เอวเมว โข, สุนกฺขตฺต, โส วต ภิกฺขุ ฉสุ ผสฺสายตเนสุ สํวุตการี ‘อุปธิ ทุกฺขสฺส มูล’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา นิรุปธิ อุปธิสงฺขเย วิมุโตฺต อุปธิสฺมิํ วา กายํ อุปสํหริสฺสติ จิตฺตํ วา อุปฺปาเทสฺสตีติ – เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติฯ
‘‘So vata, sunakkhatta, bhikkhu chasu phassāyatanesu saṃvutakārī ‘upadhi dukkhassa mūla’nti – iti viditvā nirupadhi upadhisaṅkhaye vimutto upadhismiṃ vā kāyaṃ upasaṃharissati cittaṃ vā uppādessatīti – netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Seyyathāpi, sunakkhatta, āpānīyakaṃso vaṇṇasampanno gandhasampanno rasasampanno; so ca kho visena saṃsaṭṭho. Atha puriso āgaccheyya jīvitukāmo amaritukāmo sukhakāmo dukkhapaṭikūlo. Taṃ kiṃ maññasi, sunakkhatta, api nu so puriso amuṃ āpānīyakaṃsaṃ piveyya yaṃ jaññā – ‘imāhaṃ pivitvā maraṇaṃ vā nigacchāmi maraṇamattaṃ vā dukkha’’’nti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Evameva kho, sunakkhatta, so vata bhikkhu chasu phassāyatanesu saṃvutakārī ‘upadhi dukkhassa mūla’nti – iti viditvā nirupadhi upadhisaṅkhaye vimutto upadhismiṃ vā kāyaṃ upasaṃharissati cittaṃ vā uppādessatīti – netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Seyyathāpi, sunakkhatta, āsīviso 31 ghoraviso. Atha puriso āgaccheyya jīvitukāmo amaritukāmo sukhakāmo dukkhapaṭikūlo. Taṃ kiṃ maññasi, sunakkhatta, api nu so puriso amussa āsīvisassa ghoravisassa hatthaṃ vā aṅguṭṭhaṃ vā dajjā 32 yaṃ jaññā – ‘imināhaṃ daṭṭho maraṇaṃ vā nigacchāmi maraṇamattaṃ vā dukkha’’’nti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Evameva kho, sunakkhatta, so vata bhikkhu chasu phassāyatanesu saṃvutakārī ‘upadhi dukkhassa mūla’nti – iti viditvā nirupadhi upadhisaṅkhaye vimutto upadhismiṃ vā kāyaṃ upasaṃharissati cittaṃ vā uppādessatīti – netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamano sunakkhatto licchaviputto bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.
สุนกฺขตฺตสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ปญฺจมํฯ
Sunakkhattasuttaṃ niṭṭhitaṃ pañcamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. สุนกฺขตฺตสุตฺตวณฺณนา • 5. Sunakkhattasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. สุนกฺขตฺตสุตฺตวณฺณนา • 5. Sunakkhattasuttavaṇṇanā