Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๘. สุนฺทรีสุตฺตวณฺณนา

    8. Sundarīsuttavaṇṇanā

    ๓๘. อฎฺฐเม สกฺกโตติอาทีนํ ปทานํ อโตฺถ เหฎฺฐา วณฺณิโตเยวฯ อสหมานาติ น สหมานา, อุสูยนฺตาติ อโตฺถฯ ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ สกฺการํ อสหมานาติ สมฺพโนฺธฯ

    38. Aṭṭhame sakkatotiādīnaṃ padānaṃ attho heṭṭhā vaṇṇitoyeva. Asahamānāti na sahamānā, usūyantāti attho. Bhikkhusaṅghassa ca sakkāraṃ asahamānāti sambandho.

    สุนฺทรีติ ตสฺสา นามํฯ สา กิร ตสฺมิํ กาเล สพฺพปริพฺพาชิกาสุ อภิรูปา ทสฺสนียา ปาสาทิกา ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตา, เตเนว สา ‘‘สุนฺทรี’’ติ ปญฺญายิตฺถฯ สา จ อนตีตโยพฺพนา อสํยตสมาจาราว โหติ, ตสฺมา เต สุนฺทริํ ปริพฺพาชิกํ ปาปกเมฺม อุโยฺยเชสุํฯ เต หิ อญฺญติตฺถิยา พุทฺธุปฺปาทโต ปฎฺฐาย สยํ หตลาภสกฺการา เหฎฺฐา อโกฺกสสุตฺตวณฺณนายํ อาคตนเยน ภควโต ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ อุฬารํ อปริมิตํ ลาภสกฺการํ ปวตฺตมานํ ทิสฺวา อิสฺสาปกตา เอกโต หุตฺวา สมฺมนฺตยิํสุ – มยํ สมณสฺส โคตมสฺส อุปฺปนฺนกาลโต ปฎฺฐาย นฎฺฐา หตลาภสกฺการา, น โน โกจิ อตฺถิภาวมฺปิ ชานาติ, กิํ นิสฺสาย นุ โข โลโก สมเณ โคตเม อภิปฺปสโนฺน อุฬารํ สกฺการสมฺมานํ อุปเนตีติ? ตเตฺถโก อาห – ‘‘อุจฺจากุลปฺปสุโต อสมฺภินฺนาย มหาสมฺมตปฺปเวณิยา ชาโต’’ติ, อปโร ‘‘อภิชาติยํ ตสฺส อเนกานิ อจฺฉริยานิ ปาตุภูตานี’’ติ, อโญฺญ ‘‘กาลเทวิลํ วนฺทาเปตุํ อุปนีตสฺส ปาทา ปริวตฺติตฺวา ตสฺส ชฎาสุ ปติฎฺฐิตา’’ติ, อปโร ‘‘วปฺปมงฺคลกาเล ชมฺพุจฺฉายาย สยาปิตสฺส วีติกฺกเนฺตปิ มชฺฌนฺหิเก ชมฺพุจฺฉายา อปริวตฺติตฺวา ฐิตา’’ติ, อโญฺญ ‘‘อภิรูโป ทสฺสนีโย ปาสาทิโก รูปสมฺปตฺติยา’’ติ, อปโร ‘‘ชิณฺณาตุรมตปพฺพชิตสงฺขาตนิมิเตฺต ทิสฺวา สํเวคชาโต อาคามินํ จกฺกวตฺติรชฺชํ ปหาย ปพฺพชิโต’’ติฯ เอวํ อปริมาณกาเล สมฺภตํ อนญฺญสาธารณํ ภควโต ปุญฺญญาณสมฺภารํ อุกฺกํสปารมิปฺปตฺตํ นิรุปมํ สเลฺลขปฺปฎิปทํ อนุตฺตรญฺจ ญาณปหานสมฺปทาทิพุทฺธานุภาวํ อชานนฺตา อตฺตนา ยถาทิฎฺฐํ ยถาสุตํ ธรมานํ ตํ ตํ ภควโต พหุมานการณํ กิเตฺตตฺวา อพหุมานการณํ ปริเยสิตฺวา อปสฺสนฺตา ‘‘เกน นุ โข การเณน มยํ สมณสฺส โคตมสฺส อยสํ อุปฺปาเทตฺวา ลาภสกฺการํ นาเสยฺยามา’’ติฯ เตสุ เอโก ติขิณมนฺตี เอวมาห – ‘‘อโมฺภ อิมสฺมิํ สตฺตโลเก มาตุคามสุเข อสตฺตสตฺตา นาม นตฺถิ, อยญฺจ สมโณ โคตโม อภิรูโป เทวสโม ตรุโณ, อตฺตโน สมรูปํ มาตุคามํ ลภิตฺวา สเชฺชยฺยฯ อถาปิ น สเชฺชยฺย, ชนสฺส ปน สงฺกิโย ภเวยฺย, หนฺท มยํ สุนฺทริํ ปริพฺพาชิกํ ตถา อุโยฺยเชม, ยถา สมณสฺส โคตมสฺส อยโส ปถวิยํ ปตฺถเรยฺยา’’ติฯ

    Sundarīti tassā nāmaṃ. Sā kira tasmiṃ kāle sabbaparibbājikāsu abhirūpā dassanīyā pāsādikā paramāya vaṇṇapokkharatāya samannāgatā, teneva sā ‘‘sundarī’’ti paññāyittha. Sā ca anatītayobbanā asaṃyatasamācārāva hoti, tasmā te sundariṃ paribbājikaṃ pāpakamme uyyojesuṃ. Te hi aññatitthiyā buddhuppādato paṭṭhāya sayaṃ hatalābhasakkārā heṭṭhā akkosasuttavaṇṇanāyaṃ āgatanayena bhagavato bhikkhusaṅghassa ca uḷāraṃ aparimitaṃ lābhasakkāraṃ pavattamānaṃ disvā issāpakatā ekato hutvā sammantayiṃsu – mayaṃ samaṇassa gotamassa uppannakālato paṭṭhāya naṭṭhā hatalābhasakkārā, na no koci atthibhāvampi jānāti, kiṃ nissāya nu kho loko samaṇe gotame abhippasanno uḷāraṃ sakkārasammānaṃ upanetīti? Tattheko āha – ‘‘uccākulappasuto asambhinnāya mahāsammatappaveṇiyā jāto’’ti, aparo ‘‘abhijātiyaṃ tassa anekāni acchariyāni pātubhūtānī’’ti, añño ‘‘kāladevilaṃ vandāpetuṃ upanītassa pādā parivattitvā tassa jaṭāsu patiṭṭhitā’’ti, aparo ‘‘vappamaṅgalakāle jambucchāyāya sayāpitassa vītikkantepi majjhanhike jambucchāyā aparivattitvā ṭhitā’’ti, añño ‘‘abhirūpo dassanīyo pāsādiko rūpasampattiyā’’ti, aparo ‘‘jiṇṇāturamatapabbajitasaṅkhātanimitte disvā saṃvegajāto āgāminaṃ cakkavattirajjaṃ pahāya pabbajito’’ti. Evaṃ aparimāṇakāle sambhataṃ anaññasādhāraṇaṃ bhagavato puññañāṇasambhāraṃ ukkaṃsapāramippattaṃ nirupamaṃ sallekhappaṭipadaṃ anuttarañca ñāṇapahānasampadādibuddhānubhāvaṃ ajānantā attanā yathādiṭṭhaṃ yathāsutaṃ dharamānaṃ taṃ taṃ bhagavato bahumānakāraṇaṃ kittetvā abahumānakāraṇaṃ pariyesitvā apassantā ‘‘kena nu kho kāraṇena mayaṃ samaṇassa gotamassa ayasaṃ uppādetvā lābhasakkāraṃ nāseyyāmā’’ti. Tesu eko tikhiṇamantī evamāha – ‘‘ambho imasmiṃ sattaloke mātugāmasukhe asattasattā nāma natthi, ayañca samaṇo gotamo abhirūpo devasamo taruṇo, attano samarūpaṃ mātugāmaṃ labhitvā sajjeyya. Athāpi na sajjeyya, janassa pana saṅkiyo bhaveyya, handa mayaṃ sundariṃ paribbājikaṃ tathā uyyojema, yathā samaṇassa gotamassa ayaso pathaviyaṃ patthareyyā’’ti.

    ตํ สุตฺวา อิตเร ‘‘อิทํ สุฎฺฐุ ตยา จินฺติตํ, เอวญฺหิ กเต สมโณ โคตโม อยสเกน อุปทฺทุโต สีสํ อุกฺขิปิตุํ อสโกฺกโนฺต เยน วา เตน วา ปลายิสฺสตี’’ติ สเพฺพว เอกชฺฌาสยา หุตฺวา ตถา อุโยฺยเชตุํ สุนฺทริยา สนฺติกํ อคมํสุฯ สา เต ทิสฺวา ‘‘กิํ ตุเมฺห เอกโต อาคตตฺถา’’ติ อาหฯ ติตฺถิยา อนาลปนฺตา อารามปริยเนฺต ปฎิจฺฉเนฺน ฐาเน นิสีทิํสุฯ สา ตตฺถ คนฺตฺวา ปุนปฺปุนํ อาลปนฺตี ปฎิวจนํ อลภิตฺวา กิํ ตุมฺหากํ อปรชฺฌํ? กสฺมา เม ปฎิวจนํ น เทถาติ? ตถา หิ ปน ตฺวํ อเมฺห วิเหฐิยมาเน อชฺฌุเปกฺขสีติ ฯ โก ตุเมฺห วิเหเฐตีติ? ‘‘กิํ ปน ตฺวํ น ปสฺสสิ, สมณํ โคตมํ อเมฺห วิเหเฐตฺวา หตลาภสกฺกาเร กตฺวา วิจรนฺต’’นฺติ วตฺวา ‘‘ตตฺถ มยา กิํ กาตพฺพ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ ตฺวํ อภิกฺขณํ เชตวนสมีปํ คนฺตฺวา มหาชนสฺส เอวเญฺจวญฺจ วเทยฺยาสี’’ติ อาหํสุฯ สาปิ ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา ภควโต สกฺการํ อสหมานา’’ติอาทิฯ

    Taṃ sutvā itare ‘‘idaṃ suṭṭhu tayā cintitaṃ, evañhi kate samaṇo gotamo ayasakena upadduto sīsaṃ ukkhipituṃ asakkonto yena vā tena vā palāyissatī’’ti sabbeva ekajjhāsayā hutvā tathā uyyojetuṃ sundariyā santikaṃ agamaṃsu. Sā te disvā ‘‘kiṃ tumhe ekato āgatatthā’’ti āha. Titthiyā anālapantā ārāmapariyante paṭicchanne ṭhāne nisīdiṃsu. Sā tattha gantvā punappunaṃ ālapantī paṭivacanaṃ alabhitvā kiṃ tumhākaṃ aparajjhaṃ? Kasmā me paṭivacanaṃ na dethāti? Tathā hi pana tvaṃ amhe viheṭhiyamāne ajjhupekkhasīti . Ko tumhe viheṭhetīti? ‘‘Kiṃ pana tvaṃ na passasi, samaṇaṃ gotamaṃ amhe viheṭhetvā hatalābhasakkāre katvā vicaranta’’nti vatvā ‘‘tattha mayā kiṃ kātabba’’nti vutte ‘‘tena hi tvaṃ abhikkhaṇaṃ jetavanasamīpaṃ gantvā mahājanassa evañcevañca vadeyyāsī’’ti āhaṃsu. Sāpi ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Tena vuttaṃ – ‘‘aññatitthiyā paribbājakā bhagavatosakkāraṃ asahamānā’’tiādi.

    ตตฺถ อุสฺสหสีติ สโกฺกสิฯ อตฺถนฺติ หิตํ กิจฺจํ วาฯ กฺยาหนฺติ กิํ อหํฯ ยสฺมา เต ติตฺถิยา ตสฺสา อญฺญาตกาปิ สมานา ปพฺพชฺชสมฺพนฺธมเตฺตน สงฺคณฺหิตุํ ญาตกา วิย หุตฺวา ‘‘อุสฺสหสิ ตฺวํ ภคินิ ญาตีนํ อตฺถํ กาตุ’’นฺติ อาหํสุฯ ตสฺมา สาปิ มิคํ วลฺลิ วิย ปาเท ลคฺคา ชีวิตมฺปิ เม ปริจฺจตฺตํ ญาตีนํ อตฺถายาติ อาหฯ

    Tattha ussahasīti sakkosi. Atthanti hitaṃ kiccaṃ vā. Kyāhanti kiṃ ahaṃ. Yasmā te titthiyā tassā aññātakāpi samānā pabbajjasambandhamattena saṅgaṇhituṃ ñātakā viya hutvā ‘‘ussahasi tvaṃ bhagini ñātīnaṃ atthaṃ kātu’’nti āhaṃsu. Tasmā sāpi migaṃ valli viya pāde laggā jīvitampi me pariccattaṃ ñātīnaṃ atthāyāti āha.

    เตน หีติ ‘‘ยสฺมา ตฺวํ ‘ชีวิตมฺปิ เม ตุมฺหากํ อตฺถาย ปริจฺจตฺต’นฺติ วทสิ, ตฺวญฺจ ปฐมวเย ฐิตา อภิรูปา โสภคฺคปฺปตฺตา จ, ตสฺมา ยถา ตํ นิสฺสาย สมณสฺส โคตมสฺส อยโส อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตถา กเรยฺยาสี’’ติ วตฺวา ‘‘อภิกฺขณํ เชตวนํ คจฺฉาหี’’ติ อุโยฺยเชสุํฯ สาปิ โข พาลา กกจทนฺตปนฺติยา ปุปฺผาวลิกีฬํ กีฬิตุกามา วิย, ปภินฺนมทํ จณฺฑหตฺถิํ โสณฺฑาย ปรามสนฺตี วิย, นลาเฎน มจฺจุํ คณฺหนฺตี วิย ติตฺถิยานํ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มาลาคนฺธวิเลปนตมฺพูลมุขวาสาทีนิ คเหตฺวา มหาชนสฺส สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา นครํ ปวิสนกาเล เชตวนาภิมุขี คจฺฉนฺตี ‘‘กหํ คจฺฉสี’’ติ จ ปุฎฺฐา ‘‘สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติกํ, อหญฺหิ เตน สทฺธิํ เอกคนฺธกุฎิยํ วสามี’’ติ วตฺวา อญฺญตรสฺมิํ ติตฺถิยาราเม วสิตฺวา ปาโตว เชตวนมคฺคํ โอตริตฺวา นคราภิมุขี อาคจฺฉนฺตี ‘‘กิํ สุนฺทริ กหํ คตาสี’’ติ จ ปุฎฺฐา ‘‘สมเณน โคตเมน สทฺธิํ เอกคนฺธกุฎิยํ วสิตฺวา ตํ กิเลสรติยา รมาเปตฺวา อาคตามฺหี’’ติ วทติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอวํ อยฺยาติ โข สุนฺทรี ปริพฺพาชิกา เตสํ อญฺญติตฺถิยานํ ปริพฺพาชกานํ ปฎิสฺสุตฺวา อภิกฺขณํ เชตวนํ อคมาสี’’ติฯ

    Tena hīti ‘‘yasmā tvaṃ ‘jīvitampi me tumhākaṃ atthāya pariccatta’nti vadasi, tvañca paṭhamavaye ṭhitā abhirūpā sobhaggappattā ca, tasmā yathā taṃ nissāya samaṇassa gotamassa ayaso uppajjissati, tathā kareyyāsī’’ti vatvā ‘‘abhikkhaṇaṃ jetavanaṃ gacchāhī’’ti uyyojesuṃ. Sāpi kho bālā kakacadantapantiyā pupphāvalikīḷaṃ kīḷitukāmā viya, pabhinnamadaṃ caṇḍahatthiṃ soṇḍāya parāmasantī viya, nalāṭena maccuṃ gaṇhantī viya titthiyānaṃ vacanaṃ sampaṭicchitvā mālāgandhavilepanatambūlamukhavāsādīni gahetvā mahājanassa satthu dhammadesanaṃ sutvā nagaraṃ pavisanakāle jetavanābhimukhī gacchantī ‘‘kahaṃ gacchasī’’ti ca puṭṭhā ‘‘samaṇassa gotamassa santikaṃ, ahañhi tena saddhiṃ ekagandhakuṭiyaṃ vasāmī’’ti vatvā aññatarasmiṃ titthiyārāme vasitvā pātova jetavanamaggaṃ otaritvā nagarābhimukhī āgacchantī ‘‘kiṃ sundari kahaṃ gatāsī’’ti ca puṭṭhā ‘‘samaṇena gotamena saddhiṃ ekagandhakuṭiyaṃ vasitvā taṃ kilesaratiyā ramāpetvā āgatāmhī’’ti vadati. Tena vuttaṃ – ‘‘evaṃ ayyāti kho sundarī paribbājikā tesaṃ aññatitthiyānaṃ paribbājakānaṃ paṭissutvā abhikkhaṇaṃ jetavanaṃ agamāsī’’ti.

    ติตฺถิยา กติปาหสฺส อจฺจเยน ธุตฺตานํ กหาปเณ ทตฺวา ‘‘คจฺฉถ, สุนฺทริํ มาเรตฺวา สมณสฺส โคตมสฺส คนฺธกุฎิยา อวิทูเร มาลากจวรนฺตเร นิกฺขิปิตฺวา เอถา’’ติ วทิํสุฯ เต ตถา อกํสุฯ ตโต ติตฺถิยา ‘‘สุนฺทริํ น ปสฺสามา’’ติ โกลาหลํ กตฺวา รโญฺญ อาโรเจตฺวา ‘‘กตฺถ ปน ตุเมฺห ปริสงฺกถา’’ติ รญฺญา วุตฺตา อิเมสุ ทิวเสสุ เชตวเน วสติ, ตตฺถสฺสา ปวตฺติํ น ชานามาติฯ ‘‘เตน หิ คจฺฉถ, นํ ตตฺถ วิจินถา’’ติ รญฺญา อนุญฺญาตา อตฺตโน อุปฎฺฐาเก คเหตฺวา เชตวนํ คนฺตฺวา วิจินนฺตา วิย หุตฺวา มาลากจวรํ พฺยูหิตฺวา ตสฺสา สรีรํ มญฺจกํ อาโรเปตฺวา นครํ ปเวเสตฺวา ‘‘สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา ‘สตฺถุนา กตํ ปาปกมฺมํ ปฎิจฺฉาเทสฺสามา’ติ สุนฺทริํ มาเรตฺวา มาลากจวรนฺตเร นิกฺขิปิํสู’’ติ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชาปิ อนุปปริกฺขิตฺวา ‘‘เตน หิ คจฺฉถ, นครํ อาหิณฺฑถา’’ติ อาหฯ เต นครวีถีสุ ‘‘ปสฺสถ สมณานํ สกฺยปุตฺติยานํ กมฺม’’นฺติอาทีนิ วทนฺตา วิจริตฺวา ปุน รโญฺญ นิเวสนทฺวารํ อคมํสุฯ ราชา สุนฺทริยา สรีรํ อามกสุสาเน อฎฺฎกํ อาโรเปตฺวา รกฺขาเปสิฯ สาวตฺถิวาสิโน ฐเปตฺวา อริยสาวเก เยภุเยฺยน ‘‘ปสฺสถ สมณานํ สกฺยปุตฺติยานํ กมฺม’’นฺติอาทีนิ วตฺวา อโนฺตนคเร พหินคเร จ ภิกฺขู อโกฺกสนฺตา วิจริํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ยทา เต อญฺญิํสุ ติตฺถิยา ปริพฺพาชกา ‘โวทิฎฺฐา โข สุนฺทรี’’’ติอาทิฯ

    Titthiyā katipāhassa accayena dhuttānaṃ kahāpaṇe datvā ‘‘gacchatha, sundariṃ māretvā samaṇassa gotamassa gandhakuṭiyā avidūre mālākacavarantare nikkhipitvā ethā’’ti vadiṃsu. Te tathā akaṃsu. Tato titthiyā ‘‘sundariṃ na passāmā’’ti kolāhalaṃ katvā rañño ārocetvā ‘‘kattha pana tumhe parisaṅkathā’’ti raññā vuttā imesu divasesu jetavane vasati, tatthassā pavattiṃ na jānāmāti. ‘‘Tena hi gacchatha, naṃ tattha vicinathā’’ti raññā anuññātā attano upaṭṭhāke gahetvā jetavanaṃ gantvā vicinantā viya hutvā mālākacavaraṃ byūhitvā tassā sarīraṃ mañcakaṃ āropetvā nagaraṃ pavesetvā ‘‘samaṇassa gotamassa sāvakā ‘satthunā kataṃ pāpakammaṃ paṭicchādessāmā’ti sundariṃ māretvā mālākacavarantare nikkhipiṃsū’’ti rañño ārocesuṃ. Rājāpi anupaparikkhitvā ‘‘tena hi gacchatha, nagaraṃ āhiṇḍathā’’ti āha. Te nagaravīthīsu ‘‘passatha samaṇānaṃ sakyaputtiyānaṃ kamma’’ntiādīni vadantā vicaritvā puna rañño nivesanadvāraṃ agamaṃsu. Rājā sundariyā sarīraṃ āmakasusāne aṭṭakaṃ āropetvā rakkhāpesi. Sāvatthivāsino ṭhapetvā ariyasāvake yebhuyyena ‘‘passatha samaṇānaṃ sakyaputtiyānaṃ kamma’’ntiādīni vatvā antonagare bahinagare ca bhikkhū akkosantā vicariṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘yadā te aññiṃsu titthiyā paribbājakā ‘vodiṭṭhā kho sundarī’’’tiādi.

    ตตฺถ อญฺญิํสูติ ชานิํสุฯ โวทิฎฺฐาติ พฺยปทิฎฺฐา, เชตวนํ อาคจฺฉนฺตี จ คจฺฉนฺตี จ วิเสสโต ทิฎฺฐา, พหุลํ ทิฎฺฐาติ อโตฺถฯ ปริขากูเปติ ทีฆิกาวาเฎ ฯ ยา สา, มหาราช, สุนฺทรีติ, มหาราช, ยา สา อิมสฺมิํ นคเร รูปสุนฺทรตาย ‘‘สุนฺทรี’’ติ ปากฎา อภิญฺญาตา ปริพฺพาชิกาฯ สา โน น ทิสฺสตีติ สา อมฺหากํ จกฺขุ วิย ชีวิตํ วิย จ ปิยายิตพฺพา, อิทานิ น ทิสฺสติฯ ยถานิกฺขิตฺตนฺติ ปุริเส อาณาเปตฺวา มาลากจวรนฺตเร อตฺตนา ยถาฐปิตํฯ ‘‘ยถานิขาต’’นฺติปิ ปาโฐ, ปถวิยํ นิขาตปฺปการนฺติ อโตฺถฯ

    Tattha aññiṃsūti jāniṃsu. Vodiṭṭhāti byapadiṭṭhā, jetavanaṃ āgacchantī ca gacchantī ca visesato diṭṭhā, bahulaṃ diṭṭhāti attho. Parikhākūpeti dīghikāvāṭe . Yā sā, mahārāja, sundarīti, mahārāja, yā sā imasmiṃ nagare rūpasundaratāya ‘‘sundarī’’ti pākaṭā abhiññātā paribbājikā. Sā no na dissatīti sā amhākaṃ cakkhu viya jīvitaṃ viya ca piyāyitabbā, idāni na dissati. Yathānikkhittanti purise āṇāpetvā mālākacavarantare attanā yathāṭhapitaṃ. ‘‘Yathānikhāta’’ntipi pāṭho, pathaviyaṃ nikhātappakāranti attho.

    รถิยาย รถิยนฺติ วีถิโต วีถิํฯ วีถีติ หิ วินิวิชฺฌนกรจฺฉาฯ สิงฺฆาฎกนฺติ ติโกณรจฺฉาฯ อลชฺชิโนติ น ลชฺชิโน, ปาปชิคุจฺฉาวิรหิตาติ อโตฺถฯ ทุสฺสีลาติ นิสฺสีลาฯ ปาปธมฺมาติ ลามกสภาวา นิหีนาจาราฯ มุสาวาทิโนติ ทุสฺสีลา สมานา ‘‘สีลวโนฺต มย’’นฺติ อลิกวาทิตาย มุสาวาทิโนฯ อพฺรหฺมจาริโนติ ‘‘เมถุนปฺปฎิเสวิตาย อเสฎฺฐจาริโน อิเม หิ นามา’’ติ หีเฬนฺตา วทนฺติฯ ธมฺมจาริโนติ กุสลธมฺมจาริโนฯ สมจาริโนติ กายกมฺมาทิสมจาริโนฯ กลฺยาณธมฺมาติ สุนฺทรสภาวา, ปฎิชานิสฺสนฺติ นามาติ สมฺพโนฺธฯ นามสทฺทโยเคน หิ เอตฺถ ปฎิชานิสฺสนฺตีติ อนาคตกาลวจนํฯ สามญฺญนฺติ สมณภาโว สมิตปาปตาฯ พฺรหฺมญฺญนฺติ เสฎฺฐภาโว พาหิตปาปตาฯ กุโตติ เกน การเณนฯ อปคตาติ อเปตา ปริภฎฺฐาฯ ปุริสกิจฺจนฺติ เมถุนปฺปฎิเสวนํ สนฺธาย วทนฺติฯ

    Rathiyāya rathiyanti vīthito vīthiṃ. Vīthīti hi vinivijjhanakaracchā. Siṅghāṭakanti tikoṇaracchā. Alajjinoti na lajjino, pāpajigucchāvirahitāti attho. Dussīlāti nissīlā. Pāpadhammāti lāmakasabhāvā nihīnācārā. Musāvādinoti dussīlā samānā ‘‘sīlavanto maya’’nti alikavāditāya musāvādino. Abrahmacārinoti ‘‘methunappaṭisevitāya aseṭṭhacārino ime hi nāmā’’ti hīḷentā vadanti. Dhammacārinoti kusaladhammacārino. Samacārinoti kāyakammādisamacārino. Kalyāṇadhammāti sundarasabhāvā, paṭijānissanti nāmāti sambandho. Nāmasaddayogena hi ettha paṭijānissantīti anāgatakālavacanaṃ. Sāmaññanti samaṇabhāvo samitapāpatā. Brahmaññanti seṭṭhabhāvo bāhitapāpatā. Kutoti kena kāraṇena. Apagatāti apetā paribhaṭṭhā. Purisakiccanti methunappaṭisevanaṃ sandhāya vadanti.

    อถ ภิกฺขู ตํ ปวตฺติํ ภควโต อาโรเจสุํฯ สตฺถา ‘‘เตน หิ, ภิกฺขเว, ตุเมฺหปิ เต มนุเสฺส อิมาย คาถาย ปฎิโจเทถา’’ติ วตฺวา ‘‘อภูตวาที’’ติ คาถมาหฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อถ โข สมฺพหุลา…เป.… นิหีนกมฺมา มนุชา ปรตฺถา’’ติฯ ตตฺถ เนโส, ภิกฺขเว, สโทฺท จิรํ ภวิสฺสตีติ อิทํ สตฺถา ตสฺส อยสสฺส นิปฺผตฺติํ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน ชานิตฺวา ภิกฺขู สมสฺสาเสโนฺต อาหฯ

    Atha bhikkhū taṃ pavattiṃ bhagavato ārocesuṃ. Satthā ‘‘tena hi, bhikkhave, tumhepi te manusse imāya gāthāya paṭicodethā’’ti vatvā ‘‘abhūtavādī’’ti gāthamāha. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘atha kho sambahulā…pe… nihīnakammā manujā paratthā’’ti. Tattha neso, bhikkhave, saddo ciraṃbhavissatīti idaṃ satthā tassa ayasassa nipphattiṃ sabbaññutaññāṇena jānitvā bhikkhū samassāsento āha.

    คาถายํ อภูตวาทีติ ปรสฺส โทสํ อทิสฺวาว มุสาวาทํ กตฺวา อภูเตน อตเจฺฉน ปรํ อพฺภาจิกฺขโนฺตฯ โย วาปิ กตฺวาติ โย วา ปน ปาปกมฺมํ กตฺวา ‘‘นาหํ เอตํ กโรมี’’ติ อาหฯ เปจฺจ สมา ภวนฺตีติ เต อุโภปิ ชนา อิโต ปรโลกํ คนฺตฺวา นิรยูปคมเนน คติยา สมา ภวนฺติฯ คติเยว หิ เนสํ ปริจฺฉินฺนา, อายู ปน อปริจฺฉินฺนาฯ พหุกญฺหิ ปาปํ กตฺวา จิรํ นิรเย ปจฺจติ, ปริตฺตกํ กตฺวา อปฺปมตฺตกเมว กาลํ ปจฺจติฯ ยสฺมา ปน เนสํ อุภินฺนมฺปิ ลามกเมว กมฺมํ, เตน วุตฺตํ – นิหีนกมฺมา มนุชา ปรตฺถาติฯ ‘‘ปรตฺถา’’ติ อิมสฺส ปน ปทสฺส ปุรโต ‘‘เปจฺจา’’ติปเทน สมฺพโนฺธ, เปจฺจ ปรตฺถ อิโต คนฺตฺวา เต นิหีนกมฺมา ปรโลเก สมา ภวนฺตีติ อโตฺถฯ

    Gāthāyaṃ abhūtavādīti parassa dosaṃ adisvāva musāvādaṃ katvā abhūtena atacchena paraṃ abbhācikkhanto. Yo vāpi katvāti yo vā pana pāpakammaṃ katvā ‘‘nāhaṃ etaṃ karomī’’ti āha. Pecca samā bhavantīti te ubhopi janā ito paralokaṃ gantvā nirayūpagamanena gatiyā samā bhavanti. Gatiyeva hi nesaṃ paricchinnā, āyū pana aparicchinnā. Bahukañhi pāpaṃ katvā ciraṃ niraye paccati, parittakaṃ katvā appamattakameva kālaṃ paccati. Yasmā pana nesaṃ ubhinnampi lāmakameva kammaṃ, tena vuttaṃ – nihīnakammā manujā paratthāti. ‘‘Paratthā’’ti imassa pana padassa purato ‘‘peccā’’tipadena sambandho, pecca parattha ito gantvā te nihīnakammā paraloke samā bhavantīti attho.

    ปริยาปุณิตฺวาติ อุคฺคเหตฺวาฯ อการกาติ อปราธสฺส น การกาฯ นยิเมหิ กตนฺติ เอวํ กิร เนสมโหสิ – อิเมหิ สมเณหิ สกฺยปุตฺติเยหิ อทฺธา ตํ ปาปกมฺมํ น กตํ, ยํ อญฺญติตฺถิยา อุโคฺฆสิตฺวา สกลนครํ อาหิณฺฑิํสุ, ยสฺมา อิเม อเมฺหสุ เอวํ อสพฺภาหิ ผรุสาหิ วาจาหิ อพฺภาจิกฺขเนฺตสุปิ น กิญฺจิ วิการํ ทเสฺสนฺติ, ขนฺติโสรจฺจญฺจ น วิชหนฺติ, เกวลํ ปน ‘‘อภูตวาที นิรยํ อุเปตี’’ติ ธมฺมํเยว วทนฺตา สปนฺติเยว, อิเม สมณา สกฺยปุตฺติยา อเมฺห อนุปธาเรตฺวา อพฺภาจิกฺขเนฺต สปนฺติ, สปถํ กโรนฺตา วิย วทนฺติ ฯ อถ วา ‘‘โย วาปิ กตฺวา ‘น กโรมิ’ จาหา’’ติ วทนฺตา สปนฺติ, อตฺตโน อการกภาวํ โพเธตุํ อมฺหากํ สปถํ กโรนฺติ อิเมติ อโตฺถฯ

    Pariyāpuṇitvāti uggahetvā. Akārakāti aparādhassa na kārakā. Nayimehi katanti evaṃ kira nesamahosi – imehi samaṇehi sakyaputtiyehi addhā taṃ pāpakammaṃ na kataṃ, yaṃ aññatitthiyā ugghositvā sakalanagaraṃ āhiṇḍiṃsu, yasmā ime amhesu evaṃ asabbhāhi pharusāhi vācāhi abbhācikkhantesupi na kiñci vikāraṃ dassenti, khantisoraccañca na vijahanti, kevalaṃ pana ‘‘abhūtavādī nirayaṃ upetī’’ti dhammaṃyeva vadantā sapantiyeva, ime samaṇā sakyaputtiyā amhe anupadhāretvā abbhācikkhante sapanti, sapathaṃ karontā viya vadanti . Atha vā ‘‘yo vāpi katvā ‘na karomi’ cāhā’’ti vadantā sapanti, attano akārakabhāvaṃ bodhetuṃ amhākaṃ sapathaṃ karonti imeti attho.

    เตสญฺหิ มนุสฺสานํ ภควตา ภาสิตคาถาย สวนสมนนฺตรเมว พุทฺธานุภาเวน สารชฺชํ โอกฺกมิ, สํเวโค อุปฺปชฺชิ ‘‘นยิทํ อเมฺหหิ ปจฺจกฺขโต ทิฎฺฐํ, สุตํ นาม ตถาปิ โหติ, อญฺญถาปิ โหติ, เอเต จ อญฺญติตฺถิยา อิเมสํ อนตฺถกามา อหิตกามา, ตสฺมา เต สทฺธาย นยิทํ อเมฺหหิ วตฺตพฺพํ, ทุชฺชานา หิ สมณา’’ติฯ เต ตโต ปฎฺฐาย ตโต โอรมิํสุฯ

    Tesañhi manussānaṃ bhagavatā bhāsitagāthāya savanasamanantarameva buddhānubhāvena sārajjaṃ okkami, saṃvego uppajji ‘‘nayidaṃ amhehi paccakkhato diṭṭhaṃ, sutaṃ nāma tathāpi hoti, aññathāpi hoti, ete ca aññatitthiyā imesaṃ anatthakāmā ahitakāmā, tasmā te saddhāya nayidaṃ amhehi vattabbaṃ, dujjānā hi samaṇā’’ti. Te tato paṭṭhāya tato oramiṃsu.

    ราชาปิ เยหิ สุนฺทรี มาริตา, เตสํ ชานนตฺถํ ปุริเส อาณาเปสิฯ อถ เต ธุตฺตา เตหิ กหาปเณหิ สุรํ ปิวนฺตา อญฺญมญฺญํ กลหํ กริํสุฯ เตสุ หิ เอโก เอกํ อาห – ‘‘ตฺวํ สุนฺทริํ เอกปฺปหาเรน มาเรตฺวา มาลากจวรนฺตเร ขิปิตฺวา ตโต ลทฺธกหาปเณหิ สุรํ ปิวสิ, โหตุ โหตู’’ติฯ ราชปุริสา ตํ สุตฺวา เต ธุเตฺต คเหตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ ราชา ‘‘ตุเมฺหหิ สา มาริตา’’ติ เต ธุเตฺต ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘เกหิ มาราปิตา’’ติ? ‘‘อญฺญติตฺถิเยหิ, เทวา’’ติฯ ราชา ติตฺถิเย ปโกฺกสาเปตฺวา ตมตฺถํ ปฎิชานาเปตฺวา, ‘‘อยํ สุนฺทรี ตสฺส สมณสฺส โคตมสฺส อวณฺณํ อาโรเปตุกาเมหิ อเมฺหหิ มาราปิตา, เนว โคตมสฺส, น โคตมสาวกานํ โทโส อตฺถิ, อมฺหากเมว โทโสติ เอวํ วทนฺตา นครํ อาหิณฺฑถา’’ติ อาณาเปสิฯ เต ตถา อกํสุฯ มหาชโน สมฺมเทว สทฺทหิฯ ติตฺถิยานํ ธิกฺการํ อกาสิ, ติตฺถิยา มนุสฺสวธทณฺฑํ ปาปุณิํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย พุทฺธสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ ภิโยฺยโสมตฺตาย สกฺการสมฺมาโน มหา อโหสิฯ ภิกฺขู อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาตา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา อตฺตมนา ปฎิเวเทสุํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู…เป.… อนฺตรหิโต โส, ภเนฺต, สโทฺท’’ติฯ

    Rājāpi yehi sundarī māritā, tesaṃ jānanatthaṃ purise āṇāpesi. Atha te dhuttā tehi kahāpaṇehi suraṃ pivantā aññamaññaṃ kalahaṃ kariṃsu. Tesu hi eko ekaṃ āha – ‘‘tvaṃ sundariṃ ekappahārena māretvā mālākacavarantare khipitvā tato laddhakahāpaṇehi suraṃ pivasi, hotu hotū’’ti. Rājapurisā taṃ sutvā te dhutte gahetvā rañño dassesuṃ. Rājā ‘‘tumhehi sā māritā’’ti te dhutte pucchi. ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Kehi mārāpitā’’ti? ‘‘Aññatitthiyehi, devā’’ti. Rājā titthiye pakkosāpetvā tamatthaṃ paṭijānāpetvā, ‘‘ayaṃ sundarī tassa samaṇassa gotamassa avaṇṇaṃ āropetukāmehi amhehi mārāpitā, neva gotamassa, na gotamasāvakānaṃ doso atthi, amhākameva dosoti evaṃ vadantā nagaraṃ āhiṇḍathā’’ti āṇāpesi. Te tathā akaṃsu. Mahājano sammadeva saddahi. Titthiyānaṃ dhikkāraṃ akāsi, titthiyā manussavadhadaṇḍaṃ pāpuṇiṃsu. Tato paṭṭhāya buddhassa bhikkhusaṅghassa ca bhiyyosomattāya sakkārasammāno mahā ahosi. Bhikkhū acchariyabbhutacittajātā bhagavantaṃ abhivādetvā attamanā paṭivedesuṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho sambahulā bhikkhū…pe… antarahito so, bhante, saddo’’ti.

    กสฺมา ปน ภควา ‘‘ติตฺถิยานํ อิทํ กมฺม’’นฺติ ภิกฺขูนํ นาโรเจสิ? อริยานํ ตาว อาโรจเนน ปโยชนํ นตฺถิ, ปุถุชฺชเนสุ ปน ‘‘เย น สทฺทเหยฺยุํ, เตสํ ตํ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวเตฺตยฺยา’’ติ นาโรเจสิฯ อปิเจตํ พุทฺธานํ อนาจิณฺณํ, ยํ อนาคตสฺส อีทิสสฺส วตฺถุสฺส อาจิกฺขนํฯ ปรานุเทฺทสิกเมว หิ ภควา สํกิเลสปกฺขํ วิภาเวติ , กมฺมญฺจ กโตกาสํ น สกฺกา นิวเตฺตตุนฺติ อพฺภกฺขานํ ตนฺนิมิตฺตญฺจ ภควา อชฺฌุเปกฺขโนฺต นิสีทิฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Kasmā pana bhagavā ‘‘titthiyānaṃ idaṃ kamma’’nti bhikkhūnaṃ nārocesi? Ariyānaṃ tāva ārocanena payojanaṃ natthi, puthujjanesu pana ‘‘ye na saddaheyyuṃ, tesaṃ taṃ dīgharattaṃ ahitāya dukkhāya saṃvatteyyā’’ti nārocesi. Apicetaṃ buddhānaṃ anāciṇṇaṃ, yaṃ anāgatassa īdisassa vatthussa ācikkhanaṃ. Parānuddesikameva hi bhagavā saṃkilesapakkhaṃ vibhāveti , kammañca katokāsaṃ na sakkā nivattetunti abbhakkhānaṃ tannimittañca bhagavā ajjhupekkhanto nisīdi. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘น อนฺตลิเกฺข น สมุทฺทมเชฺฌ,

    ‘‘Na antalikkhe na samuddamajjhe,

    น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส;

    Na pabbatānaṃ vivaraṃ pavissa;

    น วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส,

    Na vijjatī so jagatippadeso,

    ยตฺถฎฺฐิโต มุเจฺจยฺย ปาปกมฺมา’’ติฯ (ธ. ป. ๑๒๗; มิ. ป. ๔.๒.๔);

    Yatthaṭṭhito mucceyya pāpakammā’’ti. (dha. pa. 127; mi. pa. 4.2.4);

    เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ มมฺมเจฺฉทนวเสนาปิ พาลชเนหิ ปวตฺติตํ ทุรุตฺตวจนํ ขนฺติพลสมนฺนาคตสฺส ธีรสฺส ทุตฺติติกฺขา นาม นตฺถีติ อิมมตฺถํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ อิมํ อธิวาสนขนฺติพลวิภาวนํ อุทานํ อุทาเนสิฯ

    Etamatthaṃ viditvāti mammacchedanavasenāpi bālajanehi pavattitaṃ duruttavacanaṃ khantibalasamannāgatassa dhīrassa duttitikkhā nāma natthīti imamatthaṃ sabbākārato viditvā. Imaṃ udānanti imaṃ adhivāsanakhantibalavibhāvanaṃ udānaṃ udānesi.

    ตตฺถ ตุทนฺติ วาจาย ชนา อสญฺญตา, สเรหิ สงฺคามคตํว กุญฺชรนฺติ กายิกสํวราทีสุ กสฺสจิปิ สํวรสฺส อภาเวน อสํยตา อวินีตา พาลชนา สเรหิ สายเกหิ สงฺคามคตํ ยุทฺธคตํ กุญฺชรํว หตฺถินาคํ ปฎิโยธา วิย วาจาสตฺตีหิ ตุทนฺติ วิชฺฌนฺติ, อยํ เตสํ สภาโว ฯ สุตฺวาน วากฺยํ ผรุสํ อุทีริตํ, อธิวาสเย ภิกฺขุ อทุฎฺฐจิโตฺตติ ตํ ปน เตหิ พาลชเนหิ อุทีริตํ ภาสิตํ มมฺมฆฎฺฎนวเสน ปวตฺติตํ ผรุสํ วากฺยํ วจนํ อภูตํ ภูตโต นิเพฺพเฐโนฺต มม กกจูปมโอวาทํ (ม. นิ. ๑.๒๒๒ อาทโย) อนุสฺสรโนฺต อีสกมฺปิ อทุฎฺฐจิโตฺต หุตฺวา ‘‘สํสารสภาโว เอโส’’ติ สํสาเร ภยํ อิกฺขณสีโล ภิกฺขุ อธิวาสเย, อธิวาสนขนฺติยํ ฐตฺวา ขเมยฺยาติ อโตฺถฯ

    Tattha tudanti vācāya janā asaññatā, sarehi saṅgāmagataṃvakuñjaranti kāyikasaṃvarādīsu kassacipi saṃvarassa abhāvena asaṃyatā avinītā bālajanā sarehi sāyakehi saṅgāmagataṃ yuddhagataṃ kuñjaraṃva hatthināgaṃ paṭiyodhā viya vācāsattīhi tudanti vijjhanti, ayaṃ tesaṃ sabhāvo . Sutvāna vākyaṃ pharusaṃ udīritaṃ, adhivāsaye bhikkhu aduṭṭhacittoti taṃ pana tehi bālajanehi udīritaṃ bhāsitaṃ mammaghaṭṭanavasena pavattitaṃ pharusaṃ vākyaṃ vacanaṃ abhūtaṃ bhūtato nibbeṭhento mama kakacūpamaovādaṃ (ma. ni. 1.222 ādayo) anussaranto īsakampi aduṭṭhacitto hutvā ‘‘saṃsārasabhāvo eso’’ti saṃsāre bhayaṃ ikkhaṇasīlo bhikkhu adhivāsaye, adhivāsanakhantiyaṃ ṭhatvā khameyyāti attho.

    เอตฺถาห – กิํ ปน ตํ กมฺมํ, ยํ อปริมาณกาลํ สกฺกจฺจํ อุปจิตวิปุลปุญฺญสมฺภาโร สตฺถา เอวํ ทารุณํ อภูตพฺภกฺขานํ ปาปุณีติ? วุจฺจเต – อยํ โส ภควา โพธิสตฺตภูโต อตีตชาติยํ มุนาฬิ นาม ธุโตฺต หุตฺวา ปาปชนเสวี อโยนิโสมนสิการพหุโล วิจรติฯ โส เอกทิวสํ สุรภิํ นาม ปเจฺจกสมฺพุทฺธํ นครํ ปิณฺฑาย ปวิสิตุํ จีวรํ ปารุปนฺตํ ปสฺสิฯ ตสฺมิญฺจ สมเย อญฺญตรา อิตฺถี ตสฺส อวิทูเรน คจฺฉติฯ ธุโตฺต ‘‘อพฺรหฺมจารี อยํ สมโณ’’ติ อพฺภาจิกฺขิฯ โส เตน กเมฺมน พหูนิ วสฺสสตสหสฺสานิ นิรเย ปจฺจิตฺวา ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากาวเสเสน อิทานิ พุโทฺธ หุตฺวาปิ สุนฺทริยา การณา อภูตพฺภกฺขานํ ปาปุณิฯ ยถา เจตํ, เอวํ จิญฺจมาณวิกาทีนํ วิการกิตฺถีนํ ภควโต อพฺภกฺขานาทีนิ ทุกฺขานิ ปตฺตานิ, สพฺพานิ ปุเพฺพ กตสฺส กมฺมสฺส วิปากาวเสสานิ, ยานิ ‘‘กมฺมปิโลติกานี’’ติ วุจฺจนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ อปทาเน (อป. เถร ๑.๓๙.๖๔-๙๖) –

    Etthāha – kiṃ pana taṃ kammaṃ, yaṃ aparimāṇakālaṃ sakkaccaṃ upacitavipulapuññasambhāro satthā evaṃ dāruṇaṃ abhūtabbhakkhānaṃ pāpuṇīti? Vuccate – ayaṃ so bhagavā bodhisattabhūto atītajātiyaṃ munāḷi nāma dhutto hutvā pāpajanasevī ayonisomanasikārabahulo vicarati. So ekadivasaṃ surabhiṃ nāma paccekasambuddhaṃ nagaraṃ piṇḍāya pavisituṃ cīvaraṃ pārupantaṃ passi. Tasmiñca samaye aññatarā itthī tassa avidūrena gacchati. Dhutto ‘‘abrahmacārī ayaṃ samaṇo’’ti abbhācikkhi. So tena kammena bahūni vassasatasahassāni niraye paccitvā tasseva kammassa vipākāvasesena idāni buddho hutvāpi sundariyā kāraṇā abhūtabbhakkhānaṃ pāpuṇi. Yathā cetaṃ, evaṃ ciñcamāṇavikādīnaṃ vikārakitthīnaṃ bhagavato abbhakkhānādīni dukkhāni pattāni, sabbāni pubbe katassa kammassa vipākāvasesāni, yāni ‘‘kammapilotikānī’’ti vuccanti. Vuttañhetaṃ apadāne (apa. thera 1.39.64-96) –

    ‘‘อโนตตฺตสราสเนฺน, รมณีเย สิลาตเล;

    ‘‘Anotattasarāsanne, ramaṇīye silātale;

    นานารตนปโชฺชเต, นานาคนฺธวนนฺตเรฯ

    Nānāratanapajjote, nānāgandhavanantare.

    ‘‘มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน, ปเรโต โลกนายโก;

    ‘‘Mahatā bhikkhusaṅghena, pareto lokanāyako;

    อาสีโน พฺยากรี ตตฺถ, ปุพฺพกมฺมานิ อตฺตโนฯ

    Āsīno byākarī tattha, pubbakammāni attano.

    ‘‘สุณาถ ภิกฺขโว มยฺหํ, ยํ กมฺมํ ปกตํ มยา;

    ‘‘Suṇātha bhikkhavo mayhaṃ, yaṃ kammaṃ pakataṃ mayā;

    ปิโลติกสฺส กมฺมสฺส, พุทฺธเตฺตปิ วิปจฺจติฯ

    Pilotikassa kammassa, buddhattepi vipaccati.

    .

    1.

    ‘‘มุนาฬิ นามหํ ธุโตฺต, ปุเพฺพ อญฺญาสุ ชาติสุ;

    ‘‘Munāḷi nāmahaṃ dhutto, pubbe aññāsu jātisu;

    ปเจฺจกพุทฺธํ สุรภิํ, อพฺภาจิกฺขิํ อทูสกํฯ

    Paccekabuddhaṃ surabhiṃ, abbhācikkhiṃ adūsakaṃ.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, นิรเย สํสริํ จิรํ;

    ‘‘Tena kammavipākena, niraye saṃsariṃ ciraṃ;

    พหู วสฺสสหสฺสานิ, ทุกฺขํ เวเทมิ เวทนํฯ

    Bahū vassasahassāni, dukkhaṃ vedemi vedanaṃ.

    ‘‘เตน กมฺมาวเสเสน, อิธ ปจฺฉิมเก ภเว;

    ‘‘Tena kammāvasesena, idha pacchimake bhave;

    อพฺภกฺขานํ มยา ลทฺธํ, สุนฺทริกาย การณาฯ

    Abbhakkhānaṃ mayā laddhaṃ, sundarikāya kāraṇā.

    .

    2.

    ‘‘สพฺพาภิภุสฺส พุทฺธสฺส, นโนฺท นามาสิ สาวโก;

    ‘‘Sabbābhibhussa buddhassa, nando nāmāsi sāvako;

    ตํ อพฺภกฺขาย นิรเย, จิรํ สํสริตํ มยาฯ

    Taṃ abbhakkhāya niraye, ciraṃ saṃsaritaṃ mayā.

    ‘‘ทส วสฺสสหสฺสานิ, นิรเย สํสริํ จิรํ;

    ‘‘Dasa vassasahassāni, niraye saṃsariṃ ciraṃ;

    มนุสฺสภาวํ ลทฺธาหํ, อพฺภกฺขานํ พหุํ ลภิํฯ

    Manussabhāvaṃ laddhāhaṃ, abbhakkhānaṃ bahuṃ labhiṃ.

    ‘‘เตน กมฺมาวเสเสน, จิญฺจมาณวิกา มมํ;

    ‘‘Tena kammāvasesena, ciñcamāṇavikā mamaṃ;

    อพฺภาจิกฺขิ อภูเตน, ชนกายสฺส อคฺคโตฯ

    Abbhācikkhi abhūtena, janakāyassa aggato.

    .

    3.

    ‘‘พฺราหฺมโณ สุตวา อาสิํ, อหํ สกฺกตปูชิโต;

    ‘‘Brāhmaṇo sutavā āsiṃ, ahaṃ sakkatapūjito;

    มหาวเน ปญฺจสเต, มเนฺต วาเจมิ มาณเวฯ

    Mahāvane pañcasate, mante vācemi māṇave.

    ‘‘ตตฺถาคโต อิสี ภีโม, ปญฺจาภิโญฺญ มหิทฺธิโก;

    ‘‘Tatthāgato isī bhīmo, pañcābhiñño mahiddhiko;

    ตญฺจาหํ อาคตํ ทิสฺวา, อพฺภาจิกฺขิํ อทูสกํฯ

    Tañcāhaṃ āgataṃ disvā, abbhācikkhiṃ adūsakaṃ.

    ‘‘ตโตหํ อวจํ สิเสฺส, กามโภคี อยํ อิสิ;

    ‘‘Tatohaṃ avacaṃ sisse, kāmabhogī ayaṃ isi;

    มยฺหมฺปิ ภาสมานสฺส, อนุโมทิํสุ มาณวาฯ

    Mayhampi bhāsamānassa, anumodiṃsu māṇavā.

    ‘‘ตโต มาณวกา สเพฺพ, ภิกฺขมานํ กุเล กุเล;

    ‘‘Tato māṇavakā sabbe, bhikkhamānaṃ kule kule;

    มหาชนสฺส อาหํสุ, กามโภคี อยํ อิสิฯ

    Mahājanassa āhaṃsu, kāmabhogī ayaṃ isi.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, ปญฺจ ภิกฺขุสตา อิเม;

    ‘‘Tena kammavipākena, pañca bhikkhusatā ime;

    อพฺภกฺขานํ ลภุํ สเพฺพ, สุนฺทริกาย การณาฯ

    Abbhakkhānaṃ labhuṃ sabbe, sundarikāya kāraṇā.

    .

    4.

    ‘‘เวมาตุภาติกํ ปุเพฺพ, ธนเหตุ หนิํ อหํ;

    ‘‘Vemātubhātikaṃ pubbe, dhanahetu haniṃ ahaṃ;

    ปกฺขิปิํคิริทุคฺคสฺมิํ, สิลาย จ อปิํสยิํฯ

    Pakkhipiṃgiriduggasmiṃ, silāya ca apiṃsayiṃ.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, เทวทโตฺต สิลํ ขิปิ;

    ‘‘Tena kammavipākena, devadatto silaṃ khipi;

    องฺคุฎฺฐํ ปิํสยี ปาเท, มม ปาสาณสกฺขราฯ

    Aṅguṭṭhaṃ piṃsayī pāde, mama pāsāṇasakkharā.

    .

    5.

    ‘‘ปุเรหํ ทารโก หุตฺวา, กีฬมาโน มหาปเถ;

    ‘‘Purehaṃ dārako hutvā, kīḷamāno mahāpathe;

    ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวาน, มเคฺค สกลิกํ ขิปิํฯ

    Paccekabuddhaṃ disvāna, magge sakalikaṃ khipiṃ.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, อิธ ปจฺฉิมเก ภเว;

    ‘‘Tena kammavipākena, idha pacchimake bhave;

    วธตฺถํ มํ เทวทโตฺต, อภิมาเร ปโยชยิฯ

    Vadhatthaṃ maṃ devadatto, abhimāre payojayi.

    .

    6.

    ‘‘หตฺถาโรโห ปุเร อาสิํ, ปเจฺจกมุนิมุตฺตมํ;

    ‘‘Hatthāroho pure āsiṃ, paccekamunimuttamaṃ;

    ปิณฺฑาย วิจรนฺตํ ตํ, อาสาเทสิํ คเชนหํฯ

    Piṇḍāya vicarantaṃ taṃ, āsādesiṃ gajenahaṃ.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, ภโนฺต นาฬาคิรี คโช;

    ‘‘Tena kammavipākena, bhanto nāḷāgirī gajo;

    คิริพฺพเช ปุรวเร, ทารุโณ สมุปาคมิฯ

    Giribbaje puravare, dāruṇo samupāgami.

    .

    7.

    ‘‘ราชาหํ ปตฺถิโว อาสิํ, สตฺติยา ปุริเส หนิํ;

    ‘‘Rājāhaṃ patthivo āsiṃ, sattiyā purise haniṃ;

    เตน กมฺมวิปาเกน, นิรเย ปจฺจิสํ ภุสํฯ

    Tena kammavipākena, niraye paccisaṃ bhusaṃ.

    ‘‘กมฺมุโน ตสฺส เสเสน, โสทานิ สกลํ มม;

    ‘‘Kammuno tassa sesena, sodāni sakalaṃ mama;

    ปาเท ฉวิํ ปกเปฺปสิ, น หิ กมฺมํ วินสฺสติฯ

    Pāde chaviṃ pakappesi, na hi kammaṃ vinassati.

    .

    8.

    ‘‘อหํ เกวฎฺฎคามสฺมิํ, อหุํ เกวฎฺฎทารโก;

    ‘‘Ahaṃ kevaṭṭagāmasmiṃ, ahuṃ kevaṭṭadārako;

    มจฺฉเก ฆาติเต ทิสฺวา, ชนยิํ โสมนสฺสกํฯ

    Macchake ghātite disvā, janayiṃ somanassakaṃ.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, สีสทุกฺขํ อหู มม;

    ‘‘Tena kammavipākena, sīsadukkhaṃ ahū mama;

    สกฺกา จ สเพฺพ หญฺญิํสุ, ยทา หนิ วิฎฎูโภฯ

    Sakkā ca sabbe haññiṃsu, yadā hani viṭaṭūbho.

    .

    9.

    ‘‘ผุสฺสสฺสาหํ ปาวจเน, สาวเก ปริภาสยิํ;

    ‘‘Phussassāhaṃ pāvacane, sāvake paribhāsayiṃ;

    ยวํ ขาทถ ภุญฺชถ, มา จ ภุญฺชถ สาลโยฯ

    Yavaṃ khādatha bhuñjatha, mā ca bhuñjatha sālayo.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, เตมาสํ ขาทิตํ ยวํ;

    ‘‘Tena kammavipākena, temāsaṃ khāditaṃ yavaṃ;

    นิมนฺติโต พฺราหฺมเณน, เวรญฺชายํ วสิํ ตทาฯ

    Nimantito brāhmaṇena, verañjāyaṃ vasiṃ tadā.

    ๑๐.

    10.

    ‘‘นิพฺพุเทฺธ วตฺตมานมฺหิ, มลฺลปุตฺตํ นิเหฐยิํ;

    ‘‘Nibbuddhe vattamānamhi, mallaputtaṃ niheṭhayiṃ;

    เตน กมฺมวิปาเกน, ปิฎฺฐิทุกฺขํ อหู มมฯ

    Tena kammavipākena, piṭṭhidukkhaṃ ahū mama.

    ๑๑.

    11.

    ‘‘ติกิจฺฉโก อหํ อาสิํ, เสฎฺฐิปุตฺตํ วิเรจยิํ;

    ‘‘Tikicchako ahaṃ āsiṃ, seṭṭhiputtaṃ virecayiṃ;

    เตน กมฺมวิปาเกน, โหติ ปกฺขนฺทิกา มมฯ

    Tena kammavipākena, hoti pakkhandikā mama.

    ๑๒.

    12.

    ‘‘อวจาหํ โชติปาโล, กสฺสปํ สุคตํ ตทา;

    ‘‘Avacāhaṃ jotipālo, kassapaṃ sugataṃ tadā;

    กุโต นุ โพธิ มุณฺฑสฺส, โพธิ ปรมทุลฺลภาฯ

    Kuto nu bodhi muṇḍassa, bodhi paramadullabhā.

    ‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, อจริํ ทุกฺกรํ พหุํ;

    ‘‘Tena kammavipākena, acariṃ dukkaraṃ bahuṃ;

    ฉพฺพสฺสานุรุเวลายํ, ตโต โพธิํ อปาปุณิํฯ

    Chabbassānuruvelāyaṃ, tato bodhiṃ apāpuṇiṃ.

    ‘‘นาหํ เอเตน มเคฺคน, ปาปุณิํ โพธิมุตฺตมํ;

    ‘‘Nāhaṃ etena maggena, pāpuṇiṃ bodhimuttamaṃ;

    กุมฺมเคฺคน คเวสิสฺสํ, ปุพฺพกเมฺมน วาริโตฯ

    Kummaggena gavesissaṃ, pubbakammena vārito.

    ‘‘ปุญฺญปาปปริกฺขีโณ, สพฺพสนฺตาปวชฺชิโต;

    ‘‘Puññapāpaparikkhīṇo, sabbasantāpavajjito;

    อโสโก อนุปายาโส, นิพฺพายิสฺสมนาสโวฯ

    Asoko anupāyāso, nibbāyissamanāsavo.

    ‘‘เอวํ ชิโน วิยากาสิ, ภิกฺขุสงฺฆสฺส อคฺคโต;

    ‘‘Evaṃ jino viyākāsi, bhikkhusaṅghassa aggato;

    สพฺพาภิญฺญาพลปฺปโตฺต, อโนตตฺตมหาสเร’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๖๔-๙๖);

    Sabbābhiññābalappatto, anotattamahāsare’’ti. (apa. thera 1.39.64-96);

    อฎฺฐมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Aṭṭhamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๘. สุนฺทรีสุตฺตํ • 8. Sundarīsuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact