Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๒. สุนีตเตฺถรคาถาวณฺณนา
2. Sunītattheragāthāvaṇṇanā
นีเจ กุลมฺหีติอาทิกา อายสฺมโต สุนีตเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว ปุญฺญานิ อุปจินิตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต พุทฺธสฺส สุญฺญกาเล กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต พาลชเนหิ สทฺธิํ กีฬาปสุโต หุตฺวา วิจรโนฺต เอกํ ปเจฺจกพุทฺธํ คาเม ปิณฺฑาย จรนฺตํ ทิสฺวา, ‘‘กิํ ตุยฺหํ สพฺพโส วณิตสรีรสฺส วิย สกลํ กายํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ภิกฺขาจรเณน, นนุ นาม กสิวาณิชฺชาทีหิ ชีวิกา กเปฺปตพฺพา? ตานิ เจ กาตุํ น สโกฺกสิ, ฆเร ฆเร มุตฺตกรีสาทีนิ นีหรโนฺต ปจฺฉา วตฺถุโสธเนน ชีวาหี’’ติ อโกฺกสิฯ โส เตน กเมฺมน นิรเย ปจฺจิตฺวา ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากาวเสเสน มนุสฺสโลเกปิ พหูนิ ชาติสตานิ ปุปฺผฉฑฺฑกกุเล นิพฺพตฺติตฺวา ตถา ชีวิกํ กเปฺปสิฯ อิมสฺมิญฺจ พุทฺธุปฺปาเท ปุปฺผฉฑฺฑกกุเล เอว นิพฺพโตฺต อุกฺการโสธนกเมฺมน ชีวิกํ กเปฺปติ ฆาสจฺฉาทนมตฺตมฺปิ อลภโนฺตฯ
Nīcekulamhītiādikā āyasmato sunītattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave puññāni upacinitvā devamanussesu saṃsaranto buddhassa suññakāle kulagehe nibbattitvā vayappatto bālajanehi saddhiṃ kīḷāpasuto hutvā vicaranto ekaṃ paccekabuddhaṃ gāme piṇḍāya carantaṃ disvā, ‘‘kiṃ tuyhaṃ sabbaso vaṇitasarīrassa viya sakalaṃ kāyaṃ paṭicchādetvā bhikkhācaraṇena, nanu nāma kasivāṇijjādīhi jīvikā kappetabbā? Tāni ce kātuṃ na sakkosi, ghare ghare muttakarīsādīni nīharanto pacchā vatthusodhanena jīvāhī’’ti akkosi. So tena kammena niraye paccitvā tasseva kammassa vipākāvasesena manussalokepi bahūni jātisatāni pupphachaḍḍakakule nibbattitvā tathā jīvikaṃ kappesi. Imasmiñca buddhuppāde pupphachaḍḍakakule eva nibbatto ukkārasodhanakammena jīvikaṃ kappeti ghāsacchādanamattampi alabhanto.
อถ ภควา ปจฺฉิมยาเม พุทฺธาจิณฺณํ มหากรุณาสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา ตโต วุฎฺฐาย พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต สุนีตสฺส หทยพฺภนฺตเร ฆเฎ ปทีปํ วิย ปชฺชลนฺตํ อรหตฺตูปนิสฺสยํ ทิสฺวา วิภาตาย รตฺติยา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ราชคหํ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐฯ ยสฺสํ วีถิยํ สุนีโต อุกฺการโสธนกมฺมํ กโรติ, ตํ วีถิํ ปฎิปชฺชิฯ สุนีโตปิ ตตฺถ ตตฺถ วิฆาสุจฺจารสงฺการาทิกํ ราสิํ กตฺวา ปิฎเกสุ ปกฺขิปิตฺวา กาเชนาทาย ปริหรโนฺต ภิกฺขุสงฺฆปริวุตํ สตฺถารํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา สารชฺชมาโน สมฺภมากุลหทโย คมนมคฺคํ นิลียโนกาสญฺจ อลภโนฺต กาชํ ภิตฺติปเสฺส ฐเปตฺวา เอเกน ปเสฺสน อนุปวิสโนฺต วิย ภิตฺติํ อลฺลีโน ปญฺชลิโก อฎฺฐาสิฯ ‘‘ภิตฺติฉิเทฺทน อปกฺกมิตุกาโม อโหสี’’ติปิ วทนฺติฯ
Atha bhagavā pacchimayāme buddhāciṇṇaṃ mahākaruṇāsamāpattiṃ samāpajjitvā tato vuṭṭhāya buddhacakkhunā lokaṃ volokento sunītassa hadayabbhantare ghaṭe padīpaṃ viya pajjalantaṃ arahattūpanissayaṃ disvā vibhātāya rattiyā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya bhikkhusaṅghaparivuto rājagahaṃ piṇḍāya paviṭṭho. Yassaṃ vīthiyaṃ sunīto ukkārasodhanakammaṃ karoti, taṃ vīthiṃ paṭipajji. Sunītopi tattha tattha vighāsuccārasaṅkārādikaṃ rāsiṃ katvā piṭakesu pakkhipitvā kājenādāya pariharanto bhikkhusaṅghaparivutaṃ satthāraṃ āgacchantaṃ disvā sārajjamāno sambhamākulahadayo gamanamaggaṃ nilīyanokāsañca alabhanto kājaṃ bhittipasse ṭhapetvā ekena passena anupavisanto viya bhittiṃ allīno pañjaliko aṭṭhāsi. ‘‘Bhittichiddena apakkamitukāmo ahosī’’tipi vadanti.
สตฺถา ตสฺส สมีปํ ปตฺวา ‘‘อยํ อตฺตโน กุสลมูลสโญฺจทิตํ อุปคตํ มํ สารชฺชมาโน ชาติยา กมฺมสฺส จ นิหีนตาย สมฺมุขีภาวมฺปิ ลชฺชติ, หนฺทสฺส เวสารชฺชํ อุปฺปาเทสฺสามี’’ติ กรวีกรุตมญฺชุนา สกลนครนินฺนาทวร-คมฺภีเรน พฺรหฺมสฺสเรน ‘‘สุนีตา’’ติ อาลปิตฺวา ‘‘กิํ อิมาย ทุกฺขชีวิกาย ปพฺพชิตุํ สกฺขิสฺสตี’’ติ อาหฯ สุนีโต เตน สตฺถุ วจเนน อมเตน วิย อภิสิโตฺต อุฬารํ ปีติโสมนสฺสํ ปฎิสํเวเทโนฺต ‘‘ภควา, สเจ มาทิสาปิ อิธ ปพฺพชฺชํ ลภนฺติ, กสฺมาหํ น ปพฺพชิสฺสามิ, ปพฺพาเชถ มํ ภควา’’ติ อาห ฯ สตฺถา ‘‘เอหิ, ภิกฺขู’’ติ อาหฯ โส ตาวเทว เอหิภิกฺขุภาเวน ปพฺพชฺชํ อุปสมฺปทญฺจ ลภิตฺวา อิทฺธิมยปตฺตจีวรธโร วสฺสสฎฺฐิกเตฺถโร วิย หุตฺวา สตฺถุ สนฺติเก อฎฺฐาสิฯ ภควา ตํ วิหารํ เนตฺวา กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิฯ โส ปฐมํ อฎฺฐ สมาปตฺติโย, ปญฺจ จ อภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ฉฬภิโญฺญ อโหสิฯ ตํ สกฺกาทโย เทวา พฺรหฺมาโน จ อุปสงฺกมิตฺวา นมสฺสิํสุฯ เตน วุตฺตํ –
Satthā tassa samīpaṃ patvā ‘‘ayaṃ attano kusalamūlasañcoditaṃ upagataṃ maṃ sārajjamāno jātiyā kammassa ca nihīnatāya sammukhībhāvampi lajjati, handassa vesārajjaṃ uppādessāmī’’ti karavīkarutamañjunā sakalanagaraninnādavara-gambhīrena brahmassarena ‘‘sunītā’’ti ālapitvā ‘‘kiṃ imāya dukkhajīvikāya pabbajituṃ sakkhissatī’’ti āha. Sunīto tena satthu vacanena amatena viya abhisitto uḷāraṃ pītisomanassaṃ paṭisaṃvedento ‘‘bhagavā, sace mādisāpi idha pabbajjaṃ labhanti, kasmāhaṃ na pabbajissāmi, pabbājetha maṃ bhagavā’’ti āha . Satthā ‘‘ehi, bhikkhū’’ti āha. So tāvadeva ehibhikkhubhāvena pabbajjaṃ upasampadañca labhitvā iddhimayapattacīvaradharo vassasaṭṭhikatthero viya hutvā satthu santike aṭṭhāsi. Bhagavā taṃ vihāraṃ netvā kammaṭṭhānaṃ ācikkhi. So paṭhamaṃ aṭṭha samāpattiyo, pañca ca abhiññāyo nibbattetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā chaḷabhiñño ahosi. Taṃ sakkādayo devā brahmāno ca upasaṅkamitvā namassiṃsu. Tena vuttaṃ –
‘‘ตา เทวตา สตฺตสตา อุฬารา, พฺรหฺมา จ อิโนฺท อุปสงฺกมิตฺวา;
‘‘Tā devatā sattasatā uḷārā, brahmā ca indo upasaṅkamitvā;
อาชานียํ ชาติชราภิภูตํ, สุนีตํ นมสฺสนฺติ ปสนฺนจิตฺตา’’ติอาทิฯ
Ājānīyaṃ jātijarābhibhūtaṃ, sunītaṃ namassanti pasannacittā’’tiādi.
ภควา ตํเยว เทวสงฺฆปุรกฺขตํ ทิสฺวา สิตํ กตฺวา ปสํสโนฺต ‘‘ตเปน พฺรหฺมจริเยนา’’ติ คาถาย ธมฺมํ เทเสสิฯ อถ นํ สมฺพหุลา ภิกฺขู สีหนาทํ นทาเปตุกามา, ‘‘อาวุโส สุนีต, กสฺมา กุลา ตฺวํ ปพฺพชิโต, กถํ วา ปพฺพชิโต, กถญฺจ สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ โส ตํ สพฺพํ ปกาเสโนฺต –
Bhagavā taṃyeva devasaṅghapurakkhataṃ disvā sitaṃ katvā pasaṃsanto ‘‘tapena brahmacariyenā’’ti gāthāya dhammaṃ desesi. Atha naṃ sambahulā bhikkhū sīhanādaṃ nadāpetukāmā, ‘‘āvuso sunīta, kasmā kulā tvaṃ pabbajito, kathaṃ vā pabbajito, kathañca saccāni paṭivijjhī’’ti pucchiṃsu. So taṃ sabbaṃ pakāsento –
๖๒๐.
620.
‘‘นีเจ กุลมฺหิ ชาโตหํ, ทลิโทฺท อปฺปโภชโน;
‘‘Nīce kulamhi jātohaṃ, daliddo appabhojano;
หีนกมฺมํ มมํ อาสิ, อโหสิํ ปุปฺผฉฑฺฑโกฯ
Hīnakammaṃ mamaṃ āsi, ahosiṃ pupphachaḍḍako.
๖๒๑.
621.
‘‘ชิคุจฺฉิโต มนุสฺสานํ, ปริภูโต จ วมฺภิโต;
‘‘Jigucchito manussānaṃ, paribhūto ca vambhito;
นีจํ มนํ กริตฺวาน, วนฺทิสฺสํ พหุกํ ชนํฯ
Nīcaṃ manaṃ karitvāna, vandissaṃ bahukaṃ janaṃ.
๖๒๒.
622.
‘‘อถทฺทสาสิํ สมฺพุทฺธํ, ภิกฺขุสงฺฆปุรกฺขตํ;
‘‘Athaddasāsiṃ sambuddhaṃ, bhikkhusaṅghapurakkhataṃ;
ปวิสนฺตํ มหาวีรํ, มคธานํ ปุรุตฺตมํฯ
Pavisantaṃ mahāvīraṃ, magadhānaṃ puruttamaṃ.
๖๒๓.
623.
‘‘นิกฺขิปิตฺวาน พฺยาภงฺคิํ, วนฺทิตุํ อุปสงฺกมิํ;
‘‘Nikkhipitvāna byābhaṅgiṃ, vandituṃ upasaṅkamiṃ;
มเมว อนุกมฺปาย, อฎฺฐาสิ ปุริสุตฺตโมฯ
Mameva anukampāya, aṭṭhāsi purisuttamo.
๖๒๔.
624.
‘‘วนฺทิตฺวา สตฺถุโน ปาเท, เอกมนฺตํ ฐิโต ตทา;
‘‘Vanditvā satthuno pāde, ekamantaṃ ṭhito tadā;
ปพฺพชฺชํ อหมายาจิํ, สพฺพสตฺตานมุตฺตมํฯ
Pabbajjaṃ ahamāyāciṃ, sabbasattānamuttamaṃ.
๖๒๕.
625.
‘‘ตโต การุณิโก สตฺถา, สพฺพโลกานุกมฺปโก;
‘‘Tato kāruṇiko satthā, sabbalokānukampako;
‘เอหิ ภิกฺขู’ติ มํ อาห, สา เม อาสูปสมฺปทาฯ
‘Ehi bhikkhū’ti maṃ āha, sā me āsūpasampadā.
๖๒๖. ‘‘โสหํ เอโก อรญฺญสฺมิํ, วิหรโนฺต อตนฺทิโตฯ
626. ‘‘Sohaṃ eko araññasmiṃ, viharanto atandito.
อกาสิํ สตฺถุ วจนํ, ยถา มํ โอวที ชิโนฯ
Akāsiṃ satthu vacanaṃ, yathā maṃ ovadī jino.
๖๒๗.
627.
‘‘รตฺติยา ปฐมํ ยามํ, ปุพฺพชาติมนุสฺสริํ;
‘‘Rattiyā paṭhamaṃ yāmaṃ, pubbajātimanussariṃ;
รตฺติยา มชฺฌิมํ ยามํ, ทิพฺพจกฺขุํ วิโสธยิํ;
Rattiyā majjhimaṃ yāmaṃ, dibbacakkhuṃ visodhayiṃ;
รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม, ตโมขนฺธํ ปทาลยิํฯ
Rattiyā pacchime yāme, tamokhandhaṃ padālayiṃ.
๖๒๘.
628.
‘‘ตโต รตฺยาวิวสาเน, สูริยุคฺคมนํ ปติ; (ชา. ๑.๑๑.๗๙);
‘‘Tato ratyāvivasāne, sūriyuggamanaṃ pati; (Jā. 1.11.79);
อิโนฺท พฺรหฺมา จ อาคนฺตฺวา, มํ นมสฺสิํสุ ปญฺชลีฯ
Indo brahmā ca āgantvā, maṃ namassiṃsu pañjalī.
๖๒๙.
629.
‘‘นโม เต ปุริสาชญฺญ, นโม เต ปุริสุตฺตม;
‘‘Namo te purisājañña, namo te purisuttama;
ยสฺส เต อาสวา ขีณา, ทกฺขิเณโยฺยสิ มาริสฯ
Yassa te āsavā khīṇā, dakkhiṇeyyosi mārisa.
๖๓๐.
630.
‘‘ตโต ทิสฺวาน มํ สตฺถา, เทวสงฺฆปุรกฺขตํ;
‘‘Tato disvāna maṃ satthā, devasaṅghapurakkhataṃ;
สิตํ ปาตุกริตฺวาน, อิมมตฺถํ อภาสถฯ
Sitaṃ pātukaritvāna, imamatthaṃ abhāsatha.
๖๓๑.
631.
‘‘ตเปน พฺรหฺมจริเยน, สํยเมน ทเมน จ;
‘‘Tapena brahmacariyena, saṃyamena damena ca;
เอเตน พฺราหฺมโณ โหติ, เอตํ พฺราหฺมณมุตฺตม’’นฺติฯ –
Etena brāhmaṇo hoti, etaṃ brāhmaṇamuttama’’nti. –
อิมาหิ คาถาหิ สีหนาทํ นทิฯ
Imāhi gāthāhi sīhanādaṃ nadi.
ตตฺถ นีเจติ ลามเก สพฺพนิหีเนฯ อุจฺจนีจภาโว หิ นาม สตฺตานํ อุปาทายุปาทาย, อยํ ปน สพฺพนิหีเน ปุกฺกุสกุเล อุปฺปนฺนตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘นีเจ กุลมฺหิ ชาโต’’ติ อาหฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘นีเจติ ลามเก สพฺพนิหีเน’’ติฯ ทลิโทฺทติ ทุคฺคโต, ทลิทฺทาปิ เกจิ กทาจิ ฆาสจฺฉาทนสฺส ลาภิโน, อกสิรวุตฺติโน โหนฺติ, อหํ ปน สพฺพกาลํ กสิรวุตฺติตาย หีโน อุทฺธนํ อุปฎฺฐปิตอุกฺขลิโก ทสฺสนยุตฺตํ เถวกมฺปิ อปสฺสิํ เยวาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อปฺปโภชโน’’ติ อาหฯ นีจกุลิกา ทลิทฺทาปิ เกจิ อนีจกมฺมาชีวา โหนฺติ, มยฺหํ ปน น ตถาติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘หีนกมฺมํ มมํ อาสี’’ติฯ กีทิสนฺติ เจ? อโหสิํ ปุปฺผฉฑฺฑโก, หตฺถวิกลสฺส หตฺถวาติ วิย อุปจารวเสนายํ อิมสฺส สมญฺญา อโหสิ ยทิทํ ‘‘ปุปฺผฉฑฺฑโก’’ติฯ มิลาตปุปฺผสนฺถรวณฺณตาย วา อุกฺการภูมิยา เอวํ วุโตฺตฯ
Tattha nīceti lāmake sabbanihīne. Uccanīcabhāvo hi nāma sattānaṃ upādāyupādāya, ayaṃ pana sabbanihīne pukkusakule uppannataṃ dassento ‘‘nīce kulamhi jāto’’ti āha. Tena vuttaṃ – ‘‘nīceti lāmake sabbanihīne’’ti. Daliddoti duggato, daliddāpi keci kadāci ghāsacchādanassa lābhino, akasiravuttino honti, ahaṃ pana sabbakālaṃ kasiravuttitāya hīno uddhanaṃ upaṭṭhapitaukkhaliko dassanayuttaṃ thevakampi apassiṃ yevāti dassento ‘‘appabhojano’’ti āha. Nīcakulikā daliddāpi keci anīcakammājīvā honti, mayhaṃ pana na tathāti dassento āha ‘‘hīnakammaṃ mamaṃ āsī’’ti. Kīdisanti ce? Ahosiṃ pupphachaḍḍako, hatthavikalassa hatthavāti viya upacāravasenāyaṃ imassa samaññā ahosi yadidaṃ ‘‘pupphachaḍḍako’’ti. Milātapupphasantharavaṇṇatāya vā ukkārabhūmiyā evaṃ vutto.
ชิคุจฺฉิโตติ ชาติยา เจว กมฺมุนา จ หีฬิโตฯ มนุสฺสานนฺติ มนุเสฺสหิฯ ปริภูโตติ อวญฺญาโตฯ วมฺภิโตติ ขุํสิโตฯ นีจํ มนํ กริตฺวานาติ อเญฺญ มนุเสฺส สิเนรุํ วิย อุกฺขิปิตฺวา เตสํ ปาทปํสุโตปิ อตฺตานํ นิหีนํ กตฺวา ปวตฺติยา นีจํ นิหีนํ มนํ กตฺวาฯ วนฺทิสฺสํ พหุกํ ชนนฺติ ปุถุมหาชนํ ทิฎฺฐทิฎฺฐกาเล วนฺทิํ สิรสิ อญฺชลิํ กโรโนฺต ปณามิํฯ
Jigucchitoti jātiyā ceva kammunā ca hīḷito. Manussānanti manussehi. Paribhūtoti avaññāto. Vambhitoti khuṃsito. Nīcaṃ manaṃ karitvānāti aññe manusse sineruṃ viya ukkhipitvā tesaṃ pādapaṃsutopi attānaṃ nihīnaṃ katvā pavattiyā nīcaṃ nihīnaṃ manaṃ katvā. Vandissaṃbahukaṃ jananti puthumahājanaṃ diṭṭhadiṭṭhakāle vandiṃ sirasi añjaliṃ karonto paṇāmiṃ.
อถาติ อธิการนฺตรทีปเน นิปาโตฯ อทฺทสาสินฺติ อทฺทกฺขิํฯ มคธานนฺติ มคธา นาม ชานปทิโน ราชกุมารา, เตสํ นิวาโส เอโกปิ ชนปโท รุฬฺหิยา ‘‘มคธาน’’นฺติ วุโตฺต, มคธชนปทสฺสาติ อโตฺถฯ ปุรุตฺตมนฺติ อุตฺตมํ นครํฯ
Athāti adhikārantaradīpane nipāto. Addasāsinti addakkhiṃ. Magadhānanti magadhā nāma jānapadino rājakumārā, tesaṃ nivāso ekopi janapado ruḷhiyā ‘‘magadhāna’’nti vutto, magadhajanapadassāti attho. Puruttamanti uttamaṃ nagaraṃ.
พฺยาภงฺคินฺติ กาชํฯ ปพฺพชฺชํ อหมายาจินฺติ, ‘‘สุนีต, ปพฺพชิตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติ สตฺถารา โอกาเส กเต อหํ ปพฺพชฺชํ อยาจิํฯ อาสูปสมฺปทาติ ‘‘เอหิ, ภิกฺขู’’ติ สตฺถุ วจนมเตฺตน อาสิ อุปสมฺปทาฯ ยถา มํ โอวทีติ ‘‘เอวํ สมถปุพฺพงฺคมํ วิปสฺสนํ ภาเวหี’’ติ ยถา มํ โอวทิ, ตถา สตฺถุโน วจนํ อกาสิํ ปฎิปชฺชิํฯ รตฺติยาติอาทิ ตสฺสา ปฎิปตฺติยา รสทสฺสนํฯ ตตฺถ ปุเพฺพนิวาสญาณํ อนาคตํสญาณญฺจ พหุกิจฺจนฺติ ‘‘ปฐมํ ยามํ มชฺฌิมํ ยาม’’นฺติ อจฺจนฺตสํโยควเสน อุปโยควจนํ วุตฺตํฯ น ตถา อาสวกฺขยญาณํ เอกาภิสมยวเสน ปวตฺตนโตติ ‘‘ปจฺฉิเม ยาเม’’ติ ภุมฺมวเสน วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อิโนฺทติ สโกฺก เทวราชาฯ พฺรหฺมาติ มหาพฺรหฺมาฯ อินฺทพฺรหฺมคฺคหเณน อเญฺญสํ กามเทวานํ พฺรหฺมูนญฺจ อาคมนํ วุตฺตเมวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทโส เหส ยถา ‘‘ราชา อาคโต’’ติฯ นมสฺสิํสูติ กาเยน วาจาย จ นมกฺการํ อกํสุฯ
Byābhaṅginti kājaṃ. Pabbajjaṃ ahamāyācinti, ‘‘sunīta, pabbajituṃ sakkhissasī’’ti satthārā okāse kate ahaṃ pabbajjaṃ ayāciṃ. Āsūpasampadāti ‘‘ehi, bhikkhū’’ti satthu vacanamattena āsi upasampadā. Yathā maṃ ovadīti ‘‘evaṃ samathapubbaṅgamaṃ vipassanaṃ bhāvehī’’ti yathā maṃ ovadi, tathā satthuno vacanaṃ akāsiṃ paṭipajjiṃ. Rattiyātiādi tassā paṭipattiyā rasadassanaṃ. Tattha pubbenivāsañāṇaṃ anāgataṃsañāṇañca bahukiccanti ‘‘paṭhamaṃ yāmaṃmajjhimaṃ yāma’’nti accantasaṃyogavasena upayogavacanaṃ vuttaṃ. Na tathā āsavakkhayañāṇaṃ ekābhisamayavasena pavattanatoti ‘‘pacchime yāme’’ti bhummavasena vuttanti daṭṭhabbaṃ. Indoti sakko devarājā. Brahmāti mahābrahmā. Indabrahmaggahaṇena aññesaṃ kāmadevānaṃ brahmūnañca āgamanaṃ vuttamevāti daṭṭhabbaṃ. Ukkaṭṭhaniddeso hesa yathā ‘‘rājā āgato’’ti. Namassiṃsūti kāyena vācāya ca namakkāraṃ akaṃsu.
ตตฺถ กาเยน กตํ นมกฺการํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปญฺชลี’’ติ วตฺวา วาจาย กตํ ทเสฺสตุํ ‘‘นโม เต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เทวสงฺฆปุรกฺขตนฺติ เทวคฺคหเณน อุปปตฺติเทวภาวโต พฺรหฺมาโนปิ คหิตาฯ สิตํ ปาตุกริตฺวานาติ อตฺตโน โอวาทสฺส มหปฺผลตํ เทวพฺรหฺมูนญฺจ คุณสมฺปตฺติํ นิสฺสาย สตฺถา สิตํ ปาตฺวากาสิฯ ปาตุกโรโนฺต จ น อเญฺญ วิย ทเนฺต วิทํเสติ, มุขาธานํ ปน โถกํ วิวรติ, ตตฺตเกน จ อภิภูตทิพฺพผลิกมุตฺตรสฺมิโย อวหสิตตารกาสสิมรีจิโย สุสุกฺกทาฐสมฺภวา ฆนรสฺมิโย นิกฺขมิตฺวา ติกฺขตฺตุํ สตฺถุ มุขํ ปทกฺขิณํ กโรนฺติ, ตํ ทิสฺวา ปจฺฉโต คจฺฉนฺตาปิ สตฺถา สิตํ ปาตฺวากาสีติ สญฺชานนฺติฯ
Tattha kāyena kataṃ namakkāraṃ dassento ‘‘pañjalī’’ti vatvā vācāya kataṃ dassetuṃ ‘‘namo te’’tiādi vuttaṃ. Devasaṅghapurakkhatanti devaggahaṇena upapattidevabhāvato brahmānopi gahitā. Sitaṃ pātukaritvānāti attano ovādassa mahapphalataṃ devabrahmūnañca guṇasampattiṃ nissāya satthā sitaṃ pātvākāsi. Pātukaronto ca na aññe viya dante vidaṃseti, mukhādhānaṃ pana thokaṃ vivarati, tattakena ca abhibhūtadibbaphalikamuttarasmiyo avahasitatārakāsasimarīciyo susukkadāṭhasambhavā ghanarasmiyo nikkhamitvā tikkhattuṃ satthu mukhaṃ padakkhiṇaṃ karonti, taṃ disvā pacchato gacchantāpi satthā sitaṃ pātvākāsīti sañjānanti.
ตเปนาติ อินฺทฺริยสํวเรน, ‘‘ธุตธมฺมสมาทาเนนา’’ติ เกจิฯ สํยเมนาติ สีเลนฯ ทเมนาติ ปญฺญายฯ พฺรหฺมจริเยนาติ อวสิฎฺฐเสฎฺฐจริยายฯ เอเตนาติ ยถาวุเตฺตน ตปาทินาฯ พฺราหฺมโณ โหติ พาหิตปาปภาวโตฯ เอตนฺติ ตปาทิ ยถาวุตฺตํฯ พฺราหฺมณมุตฺตมนฺติ อุตฺตมํ พฺราหฺมณํ, พฺราหฺมเณสุ วา อุตฺตมํ สพฺพเสฎฺฐํ, อหูติ วจนเสโสฯ พฺราหฺมณนฺติ วา พฺรหฺมญฺญมาห, เอวํ อุตฺตมํ พฺรหฺมญฺญํ, น ชจฺจาทีติ อธิปฺปาโยฯ น หิ ชาติกุลปเทสโคตฺตสมฺปตฺติอาทโย อริยภาวสฺส การณํ, อธิสีลสิกฺขาทโย เอว ปน การณํฯ เตนาห –
Tapenāti indriyasaṃvarena, ‘‘dhutadhammasamādānenā’’ti keci. Saṃyamenāti sīlena. Damenāti paññāya. Brahmacariyenāti avasiṭṭhaseṭṭhacariyāya. Etenāti yathāvuttena tapādinā. Brāhmaṇo hoti bāhitapāpabhāvato. Etanti tapādi yathāvuttaṃ. Brāhmaṇamuttamanti uttamaṃ brāhmaṇaṃ, brāhmaṇesu vā uttamaṃ sabbaseṭṭhaṃ, ahūti vacanaseso. Brāhmaṇanti vā brahmaññamāha, evaṃ uttamaṃ brahmaññaṃ, na jaccādīti adhippāyo. Na hi jātikulapadesagottasampattiādayo ariyabhāvassa kāraṇaṃ, adhisīlasikkhādayo eva pana kāraṇaṃ. Tenāha –
‘‘ยถา สงฺการฐานสฺมิํ, อุชฺฌิตสฺมิํ มหาปเถ;
‘‘Yathā saṅkāraṭhānasmiṃ, ujjhitasmiṃ mahāpathe;
ปทุมํ ตตฺถ ชาเยถ, สุจิคนฺธํ มโนรมํฯ
Padumaṃ tattha jāyetha, sucigandhaṃ manoramaṃ.
‘‘เอวํ สงฺการภูเตสุ, อนฺธภูเต ปุถุชฺชเน;
‘‘Evaṃ saṅkārabhūtesu, andhabhūte puthujjane;
อติโรจติ ปญฺญาย, สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโก’’ติฯ (ธ. ป. ๕๘-๕๙);
Atirocati paññāya, sammāsambuddhasāvako’’ti. (dha. pa. 58-59);
เอวํ เถโร เตหิ ภิกฺขูหิ ปุจฺฉิตมตฺถํ อิมาหิ คาถาหิ วิสฺสเชฺชโนฺต สีหนาทํ นทีติฯ
Evaṃ thero tehi bhikkhūhi pucchitamatthaṃ imāhi gāthāhi vissajjento sīhanādaṃ nadīti.
สุนีตเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sunītattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
ทฺวาทสกนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dvādasakanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๒. สุนีตเตฺถรคาถา • 2. Sunītattheragāthā