Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๒๙๒] ๒. สุปตฺตชาตกวณฺณนา

    [292] 2. Supattajātakavaṇṇanā

    พาราณสฺยํ , มหาราชาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต พิมฺพาเทวิยา สาริปุตฺตเตฺถเรน ทินฺนํ โรหิตมจฺฉรสํ นวสปฺปิมิสฺสกํ สาลิภตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ เหฎฺฐา กถิตอพฺภนฺตรชาตเก (ชา. ๑.๓.๙๑-๙๓) วตฺถุสทิสเมวฯ ตทาปิ หิ เถริยา อุทรวาโต กุปฺปิ, ราหุลภโทฺท เถรสฺส อาจิกฺขิฯ เถโร ตํ อาสนสาลายํ นิสีทาเปตฺวา โกสลรโญฺญ นิเวสนํ คนฺตฺวา โรหิตมจฺฉรสํ นวสปฺปิมิสฺสกํ สาลิภตฺตํ อาหริตฺวา ตสฺส อทาสิฯ โส อาหริตฺวา มาตุ เถริยา อทาสิ, ตสฺสา ภุตฺตมตฺตาย อุทรวาโต ปฎิปฺปสฺสมฺภิฯ ราชา ปุริเส เปเสตฺวา ปริคฺคณฺหาเปตฺวา ตโต ปฎฺฐาย เถริยา ตถารูปํ ภตฺตํ อทาสิฯ อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส ธมฺมเสนาปติ, เถริํ เอวรูเปน นาม โภชเนน สนฺตเปฺปสี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว สาริปุโตฺต ราหุลมาตาย ปตฺถิตํ เทติ, ปุเพฺพปิ อทาสิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Bārāṇasyaṃ, mahārājāti idaṃ satthā jetavane viharanto bimbādeviyā sāriputtattherena dinnaṃ rohitamaccharasaṃ navasappimissakaṃ sālibhattaṃ ārabbha kathesi. Vatthu heṭṭhā kathitaabbhantarajātake (jā. 1.3.91-93) vatthusadisameva. Tadāpi hi theriyā udaravāto kuppi, rāhulabhaddo therassa ācikkhi. Thero taṃ āsanasālāyaṃ nisīdāpetvā kosalarañño nivesanaṃ gantvā rohitamaccharasaṃ navasappimissakaṃ sālibhattaṃ āharitvā tassa adāsi. So āharitvā mātu theriyā adāsi, tassā bhuttamattāya udaravāto paṭippassambhi. Rājā purise pesetvā pariggaṇhāpetvā tato paṭṭhāya theriyā tathārūpaṃ bhattaṃ adāsi. Athekadivasaṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso dhammasenāpati, theriṃ evarūpena nāma bhojanena santappesī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva sāriputto rāhulamātāya patthitaṃ deti, pubbepi adāsiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กากโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต อสีติยา กากสหสฺสานํ เชฎฺฐโก สุปโตฺต นาม กากราชา อโหสิ, อคฺคมเหสี ปนสฺส สุผสฺสา นาม กากี อโหสิ, เสนาปติ สุมุโข นามฯ โส อสีติยา กากสหเสฺสหิ ปริวุโต พาราณสิํ อุปนิสฺสาย วสิฯ โส เอกทิวสํ สุผสฺสํ อาทาย โคจรํ ปริเยสโนฺต พาราณสิรโญฺญ มหานสมตฺถเกน อคมาสิฯ สูโท รโญฺญ นานามจฺฉมํสวิกติปริวารํ โภชนํ สมฺปาเทตฺวา โถกํ ภาชนานิ วิวริตฺวา อุสุมํ ปลาเปโนฺต อฎฺฐาสิฯ สุผสฺสา มจฺฉมํสคนฺธํ ฆายิตฺวา ราชโภชนํ ภุญฺชิตุกามา หุตฺวา ตํ ทิวสํ อกเถตฺวา ทุติยทิวเส ‘‘เอหิ, ภเทฺท, โคจราย คมิสฺสามา’’ติ วุตฺตา ‘‘ตุเมฺห คจฺฉถ, มยฺหํ เอโก โทหโฬ อตฺถี’’ติ วตฺวา ‘‘กีทิโส โทหโฬ’’ติ วุเตฺต ‘‘พาราณสิรโญฺญ โภชนํ ภุญฺชิตุกามามฺหิ, น โข ปน สกฺกา มยา ตํ ลทฺธุํ, ตสฺมา ชีวิตํ ปริจฺจชิสฺสามิ, เทวา’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต จินฺตยมาโน นิสีทิฯ สุมุโข อาคนฺตฺวา ‘‘กิํ, มหาราช, อนตฺตมโนสี’’ติ ปุจฺฉิ, ราชา ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ เสนาปติ ‘‘มา จินฺตยิ, มหาราชา’’ติ เต อุโภปิ อสฺสาเสตฺวา ‘‘อชฺช ตุเมฺห อิเธว โหถ, มยํ ภตฺตํ อาหริสฺสามา’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kākayoniyaṃ nibbattitvā vayappatto asītiyā kākasahassānaṃ jeṭṭhako supatto nāma kākarājā ahosi, aggamahesī panassa suphassā nāma kākī ahosi, senāpati sumukho nāma. So asītiyā kākasahassehi parivuto bārāṇasiṃ upanissāya vasi. So ekadivasaṃ suphassaṃ ādāya gocaraṃ pariyesanto bārāṇasirañño mahānasamatthakena agamāsi. Sūdo rañño nānāmacchamaṃsavikatiparivāraṃ bhojanaṃ sampādetvā thokaṃ bhājanāni vivaritvā usumaṃ palāpento aṭṭhāsi. Suphassā macchamaṃsagandhaṃ ghāyitvā rājabhojanaṃ bhuñjitukāmā hutvā taṃ divasaṃ akathetvā dutiyadivase ‘‘ehi, bhadde, gocarāya gamissāmā’’ti vuttā ‘‘tumhe gacchatha, mayhaṃ eko dohaḷo atthī’’ti vatvā ‘‘kīdiso dohaḷo’’ti vutte ‘‘bārāṇasirañño bhojanaṃ bhuñjitukāmāmhi, na kho pana sakkā mayā taṃ laddhuṃ, tasmā jīvitaṃ pariccajissāmi, devā’’ti āha. Bodhisatto cintayamāno nisīdi. Sumukho āgantvā ‘‘kiṃ, mahārāja, anattamanosī’’ti pucchi, rājā tamatthaṃ ārocesi. Senāpati ‘‘mā cintayi, mahārājā’’ti te ubhopi assāsetvā ‘‘ajja tumhe idheva hotha, mayaṃ bhattaṃ āharissāmā’’ti vatvā pakkāmi.

    โส กาเก สนฺนิปาเตตฺวา ตํ การณํ กเถตฺวา ‘‘เอถ ภตฺตํ อาหริสฺสามา’’ติ กาเกหิ สทฺธิํ พาราณสิํ ปวิสิตฺวา มหานสสฺส อวิทูเร กาเก วเคฺค วเคฺค กตฺวา ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน อารกฺขตฺถาย ฐเปตฺวา สยํ อฎฺฐหิ กากโยเธหิ สทฺธิํ มหานสฉทเน นิสีทิ รโญฺญ ภตฺตหรณกาลํ โอโลกยมาโนฯ เต จ กาเก อาห – ‘‘อหํ รโญฺญ ภเตฺต หริยมาเน ภาชนานิ ปาเตสฺสามิ, ภาชเนสุ ปติเตสุ มยฺหํ ชีวิตํ นตฺถิ, ตุเมฺหสุ จตฺตาโร ชนา มุขปูรํ ภตฺตํ, จตฺตาโร มจฺฉมํสํ คเหตฺวา เนตฺวา สุปตฺตํ สปชาปติกํ กากราชานํ โภเชถ, ‘กหํ เสนาปตี’ติ วุเตฺต ‘ปจฺฉโต เอหิตี’ติ วเทยฺยาถา’’ติฯ อถ สูโท รโญฺญ โภชนวิกติํ สมฺปาเทตฺวา กาเชน คเหตฺวา ราชกุลํ ปายาสิฯ ตสฺส ราชงฺคณํ คตกาเล กากเสนาปติ กากานํ สญฺญํ ทตฺวา สยํ อุปฺปติตฺวา ภตฺตหารกสฺส อุเร นิสีทิตฺวา นขปญฺชเรน ปหริตฺวา กณยคฺคสทิเสน ตุเณฺฑน นาสคฺคมสฺส อภิหนฺตฺวา อุฎฺฐาย ทฺวีหิ ปเกฺขหิ มุขมสฺส ปิทหิฯ ราชา มหาตเล จงฺกมโนฺต มหาวาตปาเนน โอโลเกตฺวา ตํ กากสฺส กิริยํ ทิสฺวา ภตฺตหารกสฺส สทฺทํ ทตฺวา ‘‘โภ ภตฺตการก, ภาชนานิ ฉเฑฺฑตฺวา กากเมว คณฺหา’’ติ อาหฯ โส ภาชนานิ ฉเฑฺฑตฺวา กากํ ทฬฺหํ คณฺหิฯ ราชาปิ นํ ‘‘อิโต เอหี’’ติ อาหฯ

    So kāke sannipātetvā taṃ kāraṇaṃ kathetvā ‘‘etha bhattaṃ āharissāmā’’ti kākehi saddhiṃ bārāṇasiṃ pavisitvā mahānasassa avidūre kāke vagge vagge katvā tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne ārakkhatthāya ṭhapetvā sayaṃ aṭṭhahi kākayodhehi saddhiṃ mahānasachadane nisīdi rañño bhattaharaṇakālaṃ olokayamāno. Te ca kāke āha – ‘‘ahaṃ rañño bhatte hariyamāne bhājanāni pātessāmi, bhājanesu patitesu mayhaṃ jīvitaṃ natthi, tumhesu cattāro janā mukhapūraṃ bhattaṃ, cattāro macchamaṃsaṃ gahetvā netvā supattaṃ sapajāpatikaṃ kākarājānaṃ bhojetha, ‘kahaṃ senāpatī’ti vutte ‘pacchato ehitī’ti vadeyyāthā’’ti. Atha sūdo rañño bhojanavikatiṃ sampādetvā kājena gahetvā rājakulaṃ pāyāsi. Tassa rājaṅgaṇaṃ gatakāle kākasenāpati kākānaṃ saññaṃ datvā sayaṃ uppatitvā bhattahārakassa ure nisīditvā nakhapañjarena paharitvā kaṇayaggasadisena tuṇḍena nāsaggamassa abhihantvā uṭṭhāya dvīhi pakkhehi mukhamassa pidahi. Rājā mahātale caṅkamanto mahāvātapānena oloketvā taṃ kākassa kiriyaṃ disvā bhattahārakassa saddaṃ datvā ‘‘bho bhattakāraka, bhājanāni chaḍḍetvā kākameva gaṇhā’’ti āha. So bhājanāni chaḍḍetvā kākaṃ daḷhaṃ gaṇhi. Rājāpi naṃ ‘‘ito ehī’’ti āha.

    ตสฺมิํ ขเณ กากา อาคนฺตฺวา อตฺตโน ปโหนกํ ภุญฺชิตฺวา เสสํ วุตฺตนิยาเมเนว คเหตฺวา อคมิํสุฯ ตโต เสสา อาคนฺตฺวา เสสํ ภุญฺชิํสุฯ เตปิ อฎฺฐ ชนา คนฺตฺวา ราชานํ สปชาปติกํ โภเชสุํ, สุผสฺสาย โทหโฬ วูปสมิฯ ภตฺตหารโก กากํ รโญฺญ อุปเนสิฯ อถ นํ ราชา ปุจฺฉิ – ‘‘โภ กาก, ตฺวํ มมญฺจ น ลชฺชิ, ภตฺตหารกสฺส จ นาสํ ขเณฺฑสิ, ภตฺตภาชนานิ จ ภินฺทิ, อตฺตโน จ ชีวิตํ น รกฺขิ, กสฺมา เอวรูปํ กมฺมมกาสี’’ติ? กาโก ‘‘มหาราช, อมฺหากํ ราชา พาราณสิํ อุปนิสฺสาย วสติ, อหมสฺส เสนาปติ, ตสฺส สุผสฺสา นาม ภริยา โทหฬินี ตุมฺหากํ โภชนํ ภุญฺชิตุกามา, ราชา ตสฺสา โทหฬํ มยฺหํ อาจิกฺขิฯ อหํ ตเตฺถว มม ชีวิตํ ปริจฺจชิตฺวา อาคโต, อิทานิ เม ตสฺสา โภชนํ เปสิตํ, มยฺหํ มโนรโถ มตฺถกํ ปโตฺต, อิมินา การเณน มยา เอวรูปํ กมฺมํ กต’’นฺติ ทีเปโนฺต อิมา คาถา อาหฯ

    Tasmiṃ khaṇe kākā āgantvā attano pahonakaṃ bhuñjitvā sesaṃ vuttaniyāmeneva gahetvā agamiṃsu. Tato sesā āgantvā sesaṃ bhuñjiṃsu. Tepi aṭṭha janā gantvā rājānaṃ sapajāpatikaṃ bhojesuṃ, suphassāya dohaḷo vūpasami. Bhattahārako kākaṃ rañño upanesi. Atha naṃ rājā pucchi – ‘‘bho kāka, tvaṃ mamañca na lajji, bhattahārakassa ca nāsaṃ khaṇḍesi, bhattabhājanāni ca bhindi, attano ca jīvitaṃ na rakkhi, kasmā evarūpaṃ kammamakāsī’’ti? Kāko ‘‘mahārāja, amhākaṃ rājā bārāṇasiṃ upanissāya vasati, ahamassa senāpati, tassa suphassā nāma bhariyā dohaḷinī tumhākaṃ bhojanaṃ bhuñjitukāmā, rājā tassā dohaḷaṃ mayhaṃ ācikkhi. Ahaṃ tattheva mama jīvitaṃ pariccajitvā āgato, idāni me tassā bhojanaṃ pesitaṃ, mayhaṃ manoratho matthakaṃ patto, iminā kāraṇena mayā evarūpaṃ kammaṃ kata’’nti dīpento imā gāthā āha.

    ๑๒๔.

    124.

    ‘‘พาราณสฺยํ มหาราช, กากราชา นิวาสโก;

    ‘‘Bārāṇasyaṃ mahārāja, kākarājā nivāsako;

    อสีติยา สหเสฺสหิ, สุปโตฺต ปริวาริโตฯ

    Asītiyā sahassehi, supatto parivārito.

    ๑๒๕.

    125.

    ‘‘ตสฺส โทหฬินี ภริยา, สุผสฺสา ภกฺขิตุมิจฺฉติ;

    ‘‘Tassa dohaḷinī bhariyā, suphassā bhakkhitumicchati;

    รโญฺญ มหานเส ปกฺกํ, ปจฺจคฺฆํ ราชโภชนํฯ

    Rañño mahānase pakkaṃ, paccagghaṃ rājabhojanaṃ.

    ๑๒๖.

    126.

    ‘‘เตสาหํ ปหิโต ทูโต, รโญฺญ จมฺหิ อิธาคโต;

    ‘‘Tesāhaṃ pahito dūto, rañño camhi idhāgato;

    ภตฺตุ อปจิติํ กุมฺมิ, นาสายมกรํ วณ’’นฺติฯ

    Bhattu apacitiṃ kummi, nāsāyamakaraṃ vaṇa’’nti.

    ตตฺถ พาราณสฺยนฺติ พาราณสิยํฯ นิวาสโกติ นิพทฺธวสนโกฯ ปกฺกนฺติ นานปฺปกาเรน สมฺปาทิตํฯ เกจิ ‘‘สิทฺธ’’นฺติ สชฺฌายนฺติฯ ปจฺจคฺฆนฺติ อพฺภุณฺหํ อปาริวาสิกํ, มจฺฉมํสวิกตีสุ วา ปเจฺจกํ มหคฺฆํ เอตฺถาติ ปจฺจคฺฆํฯ เตสาหํ ปหิโต ทูโต, รโญฺญ จมฺหิ อิธาคโตติ เตสํ อุภินฺนมฺปิ อหํ ทูโต อาณตฺติกโร รโญฺญ จ อมฺหิ ปหิโต, ตสฺมา อิธ อาคโตติ อโตฺถฯ ภตฺตุ อปจิติํ กุมฺมีติ สฺวาหํ เอวํ อาคโต อตฺตโน ภตฺตุ อปจิติํ สกฺการสมฺมานํ กโรมิฯ นาสายมกรํ วณนฺติ, มหาราช, อิมินา การเณน ตุเมฺห จ อตฺตโน จ ชีวิตํ อคเณตฺวา ภตฺตภาชนํ ปาตาเปตุํ ภตฺตหารกสฺส นาสาย มุขตุณฺฑเกน วณํ อกาสิํ, มยา อตฺตโน รโญฺญ อปจิติ กตา, อิทานิ ตุเมฺห ยํ อิจฺฉถ, ตํ ทณฺฑํ กโรถาติฯ

    Tattha bārāṇasyanti bārāṇasiyaṃ. Nivāsakoti nibaddhavasanako. Pakkanti nānappakārena sampāditaṃ. Keci ‘‘siddha’’nti sajjhāyanti. Paccagghanti abbhuṇhaṃ apārivāsikaṃ, macchamaṃsavikatīsu vā paccekaṃ mahagghaṃ etthāti paccagghaṃ. Tesāhaṃ pahito dūto, rañño camhi idhāgatoti tesaṃ ubhinnampi ahaṃ dūto āṇattikaro rañño ca amhi pahito, tasmā idha āgatoti attho. Bhattu apacitiṃ kummīti svāhaṃ evaṃ āgato attano bhattu apacitiṃ sakkārasammānaṃ karomi. Nāsāyamakaraṃ vaṇanti, mahārāja, iminā kāraṇena tumhe ca attano ca jīvitaṃ agaṇetvā bhattabhājanaṃ pātāpetuṃ bhattahārakassa nāsāya mukhatuṇḍakena vaṇaṃ akāsiṃ, mayā attano rañño apaciti katā, idāni tumhe yaṃ icchatha, taṃ daṇḍaṃ karothāti.

    ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘มยํ ตาว มนุสฺสภูตานํ มหนฺตํ ยสํ ทตฺวา อมฺหากํ สุหเชฺช กาตุํ น สโกฺกม, คามาทีนิ ททมานาปิ อมฺหากํ ชีวิตทายกํ น ลภาม, อยํ กาโก สมาโน อตฺตโน รโญฺญ ชีวิตํ ปริจฺจชติ, อติวิย สปฺปุริโส มธุรสฺสโร ธมฺมกถิโก’’ติ คุเณสุ ปสีทิตฺวา ตํ เสตจฺฉเตฺตน ปูเชสิฯ โส อตฺตนา ลเทฺธน เสตจฺฉเตฺตน ราชานเมว ปูเชตฺวา โพธิสตฺตสฺส คุเณ กเถสิฯ ราชา นํ ปโกฺกสาเปตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา อุภินฺนมฺปิ เตสํ อตฺตโน โภชนนิยาเมน ภตฺตํ ปฎฺฐเปสิ, เสสกากานํ เทวสิกํ เอกํ ตณฺฑุลมฺพณํ ปจาเปสิ, สยญฺจ โพธิสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา สพฺพสตฺตานํ อภยํ ทตฺวา ปญฺจ สีลานิ รกฺขิฯ สุปตฺตกาโกวาโท ปน สตฺต วสฺสสตานิ ปวตฺติฯ

    Rājā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘mayaṃ tāva manussabhūtānaṃ mahantaṃ yasaṃ datvā amhākaṃ suhajje kātuṃ na sakkoma, gāmādīni dadamānāpi amhākaṃ jīvitadāyakaṃ na labhāma, ayaṃ kāko samāno attano rañño jīvitaṃ pariccajati, ativiya sappuriso madhurassaro dhammakathiko’’ti guṇesu pasīditvā taṃ setacchattena pūjesi. So attanā laddhena setacchattena rājānameva pūjetvā bodhisattassa guṇe kathesi. Rājā naṃ pakkosāpetvā dhammaṃ sutvā ubhinnampi tesaṃ attano bhojananiyāmena bhattaṃ paṭṭhapesi, sesakākānaṃ devasikaṃ ekaṃ taṇḍulambaṇaṃ pacāpesi, sayañca bodhisattassa ovāde ṭhatvā sabbasattānaṃ abhayaṃ datvā pañca sīlāni rakkhi. Supattakākovādo pana satta vassasatāni pavatti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, สุมุโข เสนาปติ สาริปุโตฺต, สุผสฺสา ราหุลมาตา, สุปโตฺต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, sumukho senāpati sāriputto, suphassā rāhulamātā, supatto pana ahameva ahosi’’nti.

    สุปตฺตชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ

    Supattajātakavaṇṇanā dutiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๙๒. สุปตฺตชาตกํ • 292. Supattajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact