Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi |
๓. สุปฺปพุทฺธกุฎฺฐิสุตฺตํ
3. Suppabuddhakuṭṭhisuttaṃ
๔๓. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ เตน โข ปน สมเยน ราชคเห สุปฺปพุโทฺธ นาม กุฎฺฐี อโหสิ – มนุสฺสทลิโทฺท, มนุสฺสกปโณ , มนุสฺสวราโกฯ เตน โข ปน สมเยน ภควา มหติยา ปริสาย ปริวุโต ธมฺมํ เทเสโนฺต นิสิโนฺน โหติฯ
43. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Tena kho pana samayena rājagahe suppabuddho nāma kuṭṭhī ahosi – manussadaliddo, manussakapaṇo , manussavarāko. Tena kho pana samayena bhagavā mahatiyā parisāya parivuto dhammaṃ desento nisinno hoti.
อทฺทสา โข สุปฺปพุโทฺธ กุฎฺฐี ตํ มหาชนกายํ ทูรโตว สนฺนิปติตํฯ ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ – ‘‘นิสฺสํสยํ โข เอตฺถ กิญฺจิ ขาทนียํ วา โภชนียํ วา ภาชียติ 1ฯ ยํนูนาหํ เยน โส มหาชนกาโย เตนุปสงฺกเมยฺยํฯ อเปฺปว นาเมตฺถ กิญฺจิ ขาทนียํ วา โภชนียํ วา ลเภยฺย’’นฺติฯ
Addasā kho suppabuddho kuṭṭhī taṃ mahājanakāyaṃ dūratova sannipatitaṃ. Disvānassa etadahosi – ‘‘nissaṃsayaṃ kho ettha kiñci khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā bhājīyati 2. Yaṃnūnāhaṃ yena so mahājanakāyo tenupasaṅkameyyaṃ. Appeva nāmettha kiñci khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā labheyya’’nti.
อถ โข สุปฺปพุโทฺธ กุฎฺฐี เยน โส มหาชนกาโย เตนุปสงฺกมิฯ อทฺทสา โข สุปฺปพุโทฺธ กุฎฺฐี ภควนฺตํ มหติยา ปริสาย ปริวุตํ ธมฺมํ เทเสนฺตํ นิสินฺนํฯ ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ – ‘‘น โข เอตฺถ กิญฺจิ ขาทนียํ วา โภชนียํ วา ภาชียติฯ สมโณ อยํ โคตโม ปริสติ ธมฺมํ เทเสติฯ ยํนูนาหมฺปิ ธมฺมํ สุเณยฺย’’นฺติฯ ตเตฺถว เอกมนฺตํ นิสีทิ – ‘‘อหมฺปิ ธมฺมํ โสสฺสามี’’ติฯ
Atha kho suppabuddho kuṭṭhī yena so mahājanakāyo tenupasaṅkami. Addasā kho suppabuddho kuṭṭhī bhagavantaṃ mahatiyā parisāya parivutaṃ dhammaṃ desentaṃ nisinnaṃ. Disvānassa etadahosi – ‘‘na kho ettha kiñci khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā bhājīyati. Samaṇo ayaṃ gotamo parisati dhammaṃ deseti. Yaṃnūnāhampi dhammaṃ suṇeyya’’nti. Tattheva ekamantaṃ nisīdi – ‘‘ahampi dhammaṃ sossāmī’’ti.
อถ โข ภควา สพฺพาวนฺตํ ปริสํ เจตสา เจโต ปริจฺจ มนสากาสิ ‘‘โก นุ โข อิธ ภโพฺพ ธมฺมํ วิญฺญาตุ’’นฺติ? อทฺทสา โข ภควา สุปฺปพุทฺธํ กุฎฺฐิํ ตสฺสํ ปริสายํ นิสินฺนํฯ ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อยํ โข อิธ ภโพฺพ ธมฺมํ วิญฺญาตุ’’นฺติฯ สุปฺปพุทฺธํ กุฎฺฐิํ อารพฺภ อานุปุพฺพิํ กถํ 3 กเถสิ, เสยฺยถิทํ – ทานกถํ สีลกถํ สคฺคกถํ; กามานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ; เนกฺขเมฺม 4 อานิสํสํ ปกาเสสิฯ ยทา ภควา อญฺญาสิ สุปฺปพุทฺธํ กุฎฺฐิํ กลฺลจิตฺตํ มุทุจิตฺตํ วินีวรณจิตฺตํ อุทคฺคจิตฺตํ ปสนฺนจิตฺตํ, อถ ยา พุทฺธานํ สามุกฺกํสิกา ธมฺมเทสนา ตํ ปกาเสสิ – ทุกฺขํ, สมุทยํ, นิโรธํ, มคฺคํฯ เสยฺยถาปิ นาม สุทฺธํ วตฺถํ อปคตกาฬกํ สมฺมเทว รชนํ ปฎิคฺคเณฺหยฺย, เอวเมว สุปฺปพุทฺธสฺส กุฎฺฐิสฺส ตสฺมิํเยว อาสเน วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ – ‘‘ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺม’’นฺติฯ
Atha kho bhagavā sabbāvantaṃ parisaṃ cetasā ceto paricca manasākāsi ‘‘ko nu kho idha bhabbo dhammaṃ viññātu’’nti? Addasā kho bhagavā suppabuddhaṃ kuṭṭhiṃ tassaṃ parisāyaṃ nisinnaṃ. Disvānassa etadahosi – ‘‘ayaṃ kho idha bhabbo dhammaṃ viññātu’’nti. Suppabuddhaṃ kuṭṭhiṃ ārabbha ānupubbiṃ kathaṃ 5 kathesi, seyyathidaṃ – dānakathaṃ sīlakathaṃ saggakathaṃ; kāmānaṃ ādīnavaṃ okāraṃ saṅkilesaṃ; nekkhamme 6 ānisaṃsaṃ pakāsesi. Yadā bhagavā aññāsi suppabuddhaṃ kuṭṭhiṃ kallacittaṃ muducittaṃ vinīvaraṇacittaṃ udaggacittaṃ pasannacittaṃ, atha yā buddhānaṃ sāmukkaṃsikā dhammadesanā taṃ pakāsesi – dukkhaṃ, samudayaṃ, nirodhaṃ, maggaṃ. Seyyathāpi nāma suddhaṃ vatthaṃ apagatakāḷakaṃ sammadeva rajanaṃ paṭiggaṇheyya, evameva suppabuddhassa kuṭṭhissa tasmiṃyeva āsane virajaṃ vītamalaṃ dhammacakkhuṃ udapādi – ‘‘yaṃ kiñci samudayadhammaṃ sabbaṃ taṃ nirodhadhamma’’nti.
อถ โข สุปฺปพุโทฺธ กุฎฺฐี ทิฎฺฐธโมฺม ปตฺตธโมฺม วิทิตธโมฺม ปริโยคาฬฺหธโมฺม ติณฺณวิจิกิโจฺฉ วิคตกถํกโถ เวสารชฺชปฺปโตฺต อปรปฺปจฺจโย สตฺถุ สาสเน อุฎฺฐายาสนา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข สุปฺปพุโทฺธ กุฎฺฐี ภควนฺตํ เอตทโวจ –
Atha kho suppabuddho kuṭṭhī diṭṭhadhammo pattadhammo viditadhammo pariyogāḷhadhammo tiṇṇavicikiccho vigatakathaṃkatho vesārajjappatto aparappaccayo satthu sāsane uṭṭhāyāsanā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho suppabuddho kuṭṭhī bhagavantaṃ etadavoca –
‘‘อภิกฺกนฺตํ , ภเนฺต, อภิกฺกตํ, ภเนฺต! เสยฺยถาปิ, ภเนฺต, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุเชฺชยฺย, ปฎิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย – จกฺขุมโนฺต รูปานิ ทกฺขนฺตีติ; เอวเมวํ ภควตา อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโตฯ เอสาหํ, ภเนฺต, ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ
‘‘Abhikkantaṃ , bhante, abhikkataṃ, bhante! Seyyathāpi, bhante, nikkujjitaṃ vā ukkujjeyya, paṭicchannaṃ vā vivareyya, mūḷhassa vā maggaṃ ācikkheyya, andhakāre vā telapajjotaṃ dhāreyya – cakkhumanto rūpāni dakkhantīti; evamevaṃ bhagavatā anekapariyāyena dhammo pakāsito. Esāhaṃ, bhante, bhagavantaṃ saraṇaṃ gacchāmi dhammañca bhikkhusaṅghañca. Upāsakaṃ maṃ bhagavā dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti.
อถ โข สุปฺปพุโทฺธ กุฎฺฐี ภควตา ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิโต สมาทปิโต สมุเตฺตชิโต สมฺปหํสิโต ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ อถ โข อจิรปกฺกนฺตํ สุปฺปพุทฺธํ กุฎฺฐิํ คาวี ตรุณวจฺฉา อธิปติตฺวา ชีวิตา โวโรเปสิฯ
Atha kho suppabuddho kuṭṭhī bhagavatā dhammiyā kathāya sandassito samādapito samuttejito sampahaṃsito bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi. Atha kho acirapakkantaṃ suppabuddhaṃ kuṭṭhiṃ gāvī taruṇavacchā adhipatitvā jīvitā voropesi.
อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข เต ภิกฺขู ภควนฺตํ เอตทโวจุํ – ‘‘โย โส, ภเนฺต, สุปฺปพุโทฺธ นาม กุฎฺฐี ภควตา ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิโต สมาทปิโต สมุเตฺตชิโต สมฺปหํสิโต, โส กาลงฺกโตฯ ตสฺส กา คติ, โก อภิสมฺปราโย’’ติ?
Atha kho sambahulā bhikkhū yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Ekamantaṃ nisinnā kho te bhikkhū bhagavantaṃ etadavocuṃ – ‘‘yo so, bhante, suppabuddho nāma kuṭṭhī bhagavatā dhammiyā kathāya sandassito samādapito samuttejito sampahaṃsito, so kālaṅkato. Tassa kā gati, ko abhisamparāyo’’ti?
‘‘ปณฺฑิโต, ภิกฺขเว, สุปฺปพุโทฺธ กุฎฺฐี; ปจฺจปาทิ ธมฺมสฺสานุธมฺมํ; น จ มํ ธมฺมาธิกรณํ วิเหเสสิฯ สุปฺปพุโทฺธ, ภิกฺขเว, กุฎฺฐี ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปโนฺน อวินิปาตธโมฺม นิยโต สโมฺพธิปรายโณ’’ติฯ
‘‘Paṇḍito, bhikkhave, suppabuddho kuṭṭhī; paccapādi dhammassānudhammaṃ; na ca maṃ dhammādhikaraṇaṃ vihesesi. Suppabuddho, bhikkhave, kuṭṭhī tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā sotāpanno avinipātadhammo niyato sambodhiparāyaṇo’’ti.
เอวํ วุเตฺต, อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, เหตุ, โก ปจฺจโย เยน สุปฺปพุโทฺธ กุฎฺฐี อโหสิ – มนุสฺสทลิโทฺท, มนุสฺสกปโณ, มนุสฺสวราโก’’ติ?
Evaṃ vutte, aññataro bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘ko nu kho, bhante, hetu, ko paccayo yena suppabuddho kuṭṭhī ahosi – manussadaliddo, manussakapaṇo, manussavarāko’’ti?
‘‘ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, สุปฺปพุโทฺธ กุฎฺฐี อิมสฺมิํเยว ราชคเห เสฎฺฐิปุโตฺต อโหสิฯ โส อุยฺยานภูมิํ นิยฺยโนฺต อทฺทส ตครสิขิํ 7 ปเจฺจกพุทฺธํ นครํ ปิณฺฑาย ปวิสนฺตํฯ ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ – ‘กฺวายํ กุฎฺฐี กุฎฺฐิจีวเรน วิจรตี’ติ? นิฎฺฐุภิตฺวา อปสพฺยโต 8 กริตฺวา ปกฺกามิฯ โส ตสฺส กมฺมสฺส วิปาเกน พหูนิ วสฺสสตานิ พหูนิ วสฺสสหสฺสานิ พหูนิ วสฺสสตสหสฺสานิ นิรเย ปจฺจิตฺถฯ ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากาวเสเสน อิมสฺมิํเยว ราชคเห กุฎฺฐี อโหสิ มนุสฺสทลิโทฺท, มนุสฺสกปโณ, มนุสฺสวราโกฯ โส ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ อาคมฺม สทฺธํ สมาทิยิ สีลํ สมาทิยิ สุตํ สมาทิยิ จาคํ สมาทิยิ ปญฺญํ สมาทิยิฯ โส ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ อาคมฺม สทฺธํ สมาทิยิตฺวา สีลํ สมาทิยิตฺวา สุตํ สมาทิยิตฺวา จาคํ สมาทิยิตฺวา ปญฺญํ สมาทิยิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปโนฺน เทวานํ ตาวติํสานํ สหพฺยตํฯ โส ตตฺถ อเญฺญ เทเว อติโรจติ วเณฺณน เจว ยสสา จา’’ติฯ
‘‘Bhūtapubbaṃ, bhikkhave, suppabuddho kuṭṭhī imasmiṃyeva rājagahe seṭṭhiputto ahosi. So uyyānabhūmiṃ niyyanto addasa tagarasikhiṃ 9 paccekabuddhaṃ nagaraṃ piṇḍāya pavisantaṃ. Disvānassa etadahosi – ‘kvāyaṃ kuṭṭhī kuṭṭhicīvarena vicaratī’ti? Niṭṭhubhitvā apasabyato 10 karitvā pakkāmi. So tassa kammassa vipākena bahūni vassasatāni bahūni vassasahassāni bahūni vassasatasahassāni niraye paccittha. Tasseva kammassa vipākāvasesena imasmiṃyeva rājagahe kuṭṭhī ahosi manussadaliddo, manussakapaṇo, manussavarāko. So tathāgatappaveditaṃ dhammavinayaṃ āgamma saddhaṃ samādiyi sīlaṃ samādiyi sutaṃ samādiyi cāgaṃ samādiyi paññaṃ samādiyi. So tathāgatappaveditaṃ dhammavinayaṃ āgamma saddhaṃ samādiyitvā sīlaṃ samādiyitvā sutaṃ samādiyitvā cāgaṃ samādiyitvā paññaṃ samādiyitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapanno devānaṃ tāvatiṃsānaṃ sahabyataṃ. So tattha aññe deve atirocati vaṇṇena ceva yasasā cā’’ti.
อถ โข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ตายํ เวลายํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ –
Atha kho bhagavā etamatthaṃ viditvā tāyaṃ velāyaṃ imaṃ udānaṃ udānesi –
‘‘จกฺขุมา วิสมานีว, วิชฺชมาเน ปรกฺกเม;
‘‘Cakkhumā visamānīva, vijjamāne parakkame;
ปณฺฑิโต ชีวโลกสฺมิํ, ปาปานิ ปริวชฺชเย’’ติฯ ตติยํ;
Paṇḍito jīvalokasmiṃ, pāpāni parivajjaye’’ti. tatiyaṃ;
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ขุทฺทกนิกาย (อฎฺฐกถา) • Khuddakanikāya (aṭṭhakathā) / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā / ๓. สุปฺปพุทฺธกุฎฺฐิสุตฺตวณฺณนา • 3. Suppabuddhakuṭṭhisuttavaṇṇanā