Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๖๓] ๙. สุปฺปารกชาตกวณฺณนา
[463] 9. Suppārakajātakavaṇṇanā
อุมฺมุชฺชนฺติ นิมุชฺชนฺตีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ปญฺญาปารมิํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกทิวสญฺหิ สายนฺหสมเย ตถาคตสฺส ธมฺมํ เทเสตุํ นิกฺขมนํ อาคมยมานา ภิกฺขู ธมฺมสภายํ นิสีทิตฺวา ‘‘อาวุโส, อโห สตฺถา มหาปโญฺญ ปุถุปโญฺญ หาสปโญฺญ ชวนปโญฺญ ติกฺขปโญฺญ นิเพฺพธิกปโญฺญ ตตฺร ตตฺร อุปายปญฺญาย สมนฺนาคโต วิปุลาย ปถวีสมาย, มหาสมุโทฺท วิย คมฺภีราย, อากาโส วิย วิตฺถิณฺณาย, สกลชมฺพุทีปสฺมิญฺหิ อุฎฺฐิตปโญฺห ทสพลํ อติกฺกมิตฺวา คนฺตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ ยถา มหาสมุเทฺท อุฎฺฐิตอูมิโย เวลํ นาติกฺกมนฺติ, เวลํ ปตฺวาว ภิชฺชนฺติ, เอวํ น โกจิ ปโญฺห ทสพลํ อติกฺกมติ, สตฺถุ ปาทมูลํ ปตฺวา ภิชฺชเตวา’’ติ ทสพลสฺส มหาปญฺญาปารมิํ วเณฺณสุํฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต อิทาเนว ปญฺญวา, ปุเพฺพปิ อปริปเกฺก ญาเณ ปญฺญวาว, อโนฺธ หุตฺวาปิ มหาสมุเทฺท อุทกสญฺญาย ‘อิมสฺมิํ อิมสฺมิํ สมุเทฺท อิทํ นาม อิทํ นาม รตน’นฺติ อญฺญาสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Ummujjanti nimujjantīti idaṃ satthā jetavane viharanto paññāpāramiṃ ārabbha kathesi. Ekadivasañhi sāyanhasamaye tathāgatassa dhammaṃ desetuṃ nikkhamanaṃ āgamayamānā bhikkhū dhammasabhāyaṃ nisīditvā ‘‘āvuso, aho satthā mahāpañño puthupañño hāsapañño javanapañño tikkhapañño nibbedhikapañño tatra tatra upāyapaññāya samannāgato vipulāya pathavīsamāya, mahāsamuddo viya gambhīrāya, ākāso viya vitthiṇṇāya, sakalajambudīpasmiñhi uṭṭhitapañho dasabalaṃ atikkamitvā gantuṃ samattho nāma natthi. Yathā mahāsamudde uṭṭhitaūmiyo velaṃ nātikkamanti, velaṃ patvāva bhijjanti, evaṃ na koci pañho dasabalaṃ atikkamati, satthu pādamūlaṃ patvā bhijjatevā’’ti dasabalassa mahāpaññāpāramiṃ vaṇṇesuṃ. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, tathāgato idāneva paññavā, pubbepi aparipakke ñāṇe paññavāva, andho hutvāpi mahāsamudde udakasaññāya ‘imasmiṃ imasmiṃ samudde idaṃ nāma idaṃ nāma ratana’nti aññāsī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต กุรุรเฎฺฐ กุรุราชา นาม รชฺชํ กาเรสิ, กุรุกจฺฉํ นาม ปฎฺฎนคาโม อโหสิฯ ตทา โพธิสโตฺต กุรุกเจฺฉ นิยามกเชฎฺฐกสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ ปาสาทิโก สุวณฺณวโณฺณ, ‘‘สุปฺปารกกุมาโร’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ โส มหเนฺตน ปริวาเรน วฑฺฒโนฺต โสฬสวสฺสกาเลเยว นิยามกสิเปฺป นิปฺผตฺติํ ปตฺวา อปรภาเค ปิตุ อจฺจเยน นิยามกเชฎฺฐโก หุตฺวา นิยามกกมฺมํ อกาสิ, ปณฺฑิโต ญาณสมฺปโนฺน อโหสิฯ เตน อารุฬฺหนาวาย พฺยาปตฺติ นาม นตฺถิฯ ตสฺส อปรภาเค โลณชลปหฎานิ เทฺวปิ จกฺขูนิ นสฺสิํสุฯ โส ตโต ปฎฺฐาย นิยามกเชฎฺฐโก หุตฺวาปิ นิยามกกมฺมํ อกตฺวา ‘‘ราชานํ นิสฺสาย ชีวิสฺสามี’’ติ ราชานํ อุปสงฺกมิฯ อถ นํ ราชา อคฺฆาปนิยกเมฺม ฐเปสิฯ โส ตโต ปฎฺฐาย รโญฺญ หตฺถิรตนอสฺสรตนมุตฺตสารมณิสาราทีนิ อคฺฆาเปสิฯ
Atīte kururaṭṭhe kururājā nāma rajjaṃ kāresi, kurukacchaṃ nāma paṭṭanagāmo ahosi. Tadā bodhisatto kurukacche niyāmakajeṭṭhakassa putto hutvā nibbatti pāsādiko suvaṇṇavaṇṇo, ‘‘suppārakakumāro’’tissa nāmaṃ kariṃsu. So mahantena parivārena vaḍḍhanto soḷasavassakāleyeva niyāmakasippe nipphattiṃ patvā aparabhāge pitu accayena niyāmakajeṭṭhako hutvā niyāmakakammaṃ akāsi, paṇḍito ñāṇasampanno ahosi. Tena āruḷhanāvāya byāpatti nāma natthi. Tassa aparabhāge loṇajalapahaṭāni dvepi cakkhūni nassiṃsu. So tato paṭṭhāya niyāmakajeṭṭhako hutvāpi niyāmakakammaṃ akatvā ‘‘rājānaṃ nissāya jīvissāmī’’ti rājānaṃ upasaṅkami. Atha naṃ rājā agghāpaniyakamme ṭhapesi. So tato paṭṭhāya rañño hatthiratanaassaratanamuttasāramaṇisārādīni agghāpesi.
อเถกทิวสํ ‘‘รโญฺญ มงฺคลหตฺถี ภวิสฺสตี’’ติ กาฬปาสาณกูฎวณฺณํ เอกํ วารณํ อาเนสุํฯ ตํ ทิสฺวา ราชา ‘‘ปณฺฑิตสฺส ทเสฺสถา’’ติ อาหฯ อถ นํ ตสฺส สนฺติกํ นยิํสุฯ โส หเตฺถน ตสฺส สรีรํ ปริมชฺชิตฺวา ‘‘นายํ มงฺคลหตฺถี ภวิตุํ อนุจฺฉวิโก, ปาเทหิ วามนธาตุโก เอส, เอตญฺหิ มาตา วิชายมานา อเงฺกน สมฺปฎิจฺฉิตุํ นาสกฺขิ, ตสฺมา ภูมิยํ ปติตฺวา ปจฺฉิมปาเทหิ วามนธาตุโก โหตี’’ติ อาหฯ หตฺถิํ คเหตฺวา อาคเต ปุจฺฉิํสุฯ เต ‘‘สจฺจํ ปณฺฑิโต กเถตี’’ติ วทิํสุฯ ตํ การณํ ราชา สุตฺวา ตุโฎฺฐ ตสฺส อฎฺฐ กหาปเณ ทาเปสิฯ
Athekadivasaṃ ‘‘rañño maṅgalahatthī bhavissatī’’ti kāḷapāsāṇakūṭavaṇṇaṃ ekaṃ vāraṇaṃ ānesuṃ. Taṃ disvā rājā ‘‘paṇḍitassa dassethā’’ti āha. Atha naṃ tassa santikaṃ nayiṃsu. So hatthena tassa sarīraṃ parimajjitvā ‘‘nāyaṃ maṅgalahatthī bhavituṃ anucchaviko, pādehi vāmanadhātuko esa, etañhi mātā vijāyamānā aṅkena sampaṭicchituṃ nāsakkhi, tasmā bhūmiyaṃ patitvā pacchimapādehi vāmanadhātuko hotī’’ti āha. Hatthiṃ gahetvā āgate pucchiṃsu. Te ‘‘saccaṃ paṇḍito kathetī’’ti vadiṃsu. Taṃ kāraṇaṃ rājā sutvā tuṭṭho tassa aṭṭha kahāpaṇe dāpesi.
ปุเนกทิวสํ ‘‘รโญฺญ มงฺคลอโสฺส ภวิสฺสตี’’ติ เอกํ อสฺสํ อานยิํสุฯ ตมฺปิ ราชา ปณฺฑิตสฺส สนฺติกํ เปเสสิฯ โส ตมฺปิ หเตฺถน ปรามสิตฺวา ‘‘อยํ มงฺคลอโสฺส ภวิตุํ น ยุโตฺต, เอตสฺส หิ ชาตทิวเสเยว มาตา มริ, ตสฺมา มาตุ ขีรํ อลภโนฺต น สมฺมา วฑฺฒิโต’’ติ อาหฯ สาปิสฺส กถา สจฺจาว อโหสิฯ ตมฺปิ สุตฺวา ราชา ตุสฺสิตฺวา อฎฺฐ กหาปเณ ทาเปสิฯ อเถกทิวสํ ‘‘รโญฺญ มงฺคลรโถ ภวิสฺสตี’’ติ รถํ อาหริํสุฯ ตมฺปิ ราชา ตสฺส สนฺติกํ เปเสสิฯ โส ตมฺปิ หเตฺถน ปรามสิตฺวา ‘‘อยํ รโถ สุสิรรุเกฺขน กโต, ตสฺมา รโญฺญ นานุจฺฉวิโก’’ติ อาหฯ สาปิสฺส กถา สจฺจาว อโหสิฯ ราชา ตมฺปิ สุตฺวา อเฎฺฐว กหาปเณ ทาเปสิฯ อถสฺส มหคฺฆํ กมฺพลรตนํ อาหริํสุฯ ตมฺปิ ตเสฺสว เปเสสิฯ โส ตมฺปิ หเตฺถน ปรามสิตฺวา ‘‘อิมสฺส มูสิกจฺฉินฺนํ เอกฎฺฐานํ อตฺถี’’ติ อาหฯ โสเธนฺตา ตํ ทิสฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา สุตฺวา ตุสฺสิตฺวา อเฎฺฐว กหาปเณ ทาเปสิฯ
Punekadivasaṃ ‘‘rañño maṅgalaasso bhavissatī’’ti ekaṃ assaṃ ānayiṃsu. Tampi rājā paṇḍitassa santikaṃ pesesi. So tampi hatthena parāmasitvā ‘‘ayaṃ maṅgalaasso bhavituṃ na yutto, etassa hi jātadivaseyeva mātā mari, tasmā mātu khīraṃ alabhanto na sammā vaḍḍhito’’ti āha. Sāpissa kathā saccāva ahosi. Tampi sutvā rājā tussitvā aṭṭha kahāpaṇe dāpesi. Athekadivasaṃ ‘‘rañño maṅgalaratho bhavissatī’’ti rathaṃ āhariṃsu. Tampi rājā tassa santikaṃ pesesi. So tampi hatthena parāmasitvā ‘‘ayaṃ ratho susirarukkhena kato, tasmā rañño nānucchaviko’’ti āha. Sāpissa kathā saccāva ahosi. Rājā tampi sutvā aṭṭheva kahāpaṇe dāpesi. Athassa mahagghaṃ kambalaratanaṃ āhariṃsu. Tampi tasseva pesesi. So tampi hatthena parāmasitvā ‘‘imassa mūsikacchinnaṃ ekaṭṭhānaṃ atthī’’ti āha. Sodhentā taṃ disvā rañño ārocesuṃ. Rājā sutvā tussitvā aṭṭheva kahāpaṇe dāpesi.
โส จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ราชา เอวรูปานิปิ อจฺฉริยานิ ทิสฺวา อเฎฺฐว กหาปเณ ทาเปสิ, อิมสฺส ทาโย นฺหาปิตทาโย, นฺหาปิตชาติโก ภวิสฺสติ, กิํ เม เอวรูเปน ราชุปฎฺฐาเนน, อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คมิสฺสามี’’ติฯ โส กุรุกจฺฉปฎฺฎนเมว ปจฺจาคมิฯ ตสฺมิํ ตตฺถ วสเนฺต วาณิชา นาวํ สเชฺชตฺวา ‘‘กํ นิยามกํ กริสฺสามา’’ติ มเนฺตสุํฯ ‘‘สุปฺปารกปณฺฑิเตน อารุฬฺหนาวา น พฺยาปชฺชติ, เอส ปณฺฑิโต อุปายกุสโล, อโนฺธ สมาโนปิ สุปฺปารกปณฺฑิโตว อุตฺตโม’’ติ ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘นิยามโก โน โหหี’’ติ วตฺวา ‘‘ตาตา, อหํ อโนฺธ, กถํ นิยามกกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ วุเตฺต ‘‘สามิ, อนฺธาปิ ตุเมฺหเยว อมฺหากํ อุตฺตมา’’ติ ปุนปฺปุนํ ยาจิยมาโน ‘‘สาธุ ตาตา, ตุเมฺหหิ อาโรจิตสญฺญาย นิยามโก ภวิสฺสามี’’ติ เตสํ นาวํ อภิรุหิฯ เต นาวาย มหาสมุทฺทํ ปกฺขนฺทิํสุฯ นาวา สตฺต ทิวสานิ นิรุปทฺทวา อคมาสิ, ตโต อกาลวาตํ อุปฺปาติตํ อุปฺปชฺชิ, นาวา จตฺตาโร มาเส ปกติสมุทฺทปิเฎฺฐ วิจริตฺวา ขุรมาลีสมุทฺทํ นาม ปตฺตาฯ ตตฺถ มจฺฉา มนุสฺสสมานสรีรา ขุรนาสา อุทเก อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรนฺติฯ วาณิชา เต ทิสฺวา มหาสตฺตํ ตสฺส สมุทฺทสฺส นามํ ปุจฺฉนฺตา ปฐมํ คาถมาหํสุ –
So cintesi ‘‘ayaṃ rājā evarūpānipi acchariyāni disvā aṭṭheva kahāpaṇe dāpesi, imassa dāyo nhāpitadāyo, nhāpitajātiko bhavissati, kiṃ me evarūpena rājupaṭṭhānena, attano vasanaṭṭhānameva gamissāmī’’ti. So kurukacchapaṭṭanameva paccāgami. Tasmiṃ tattha vasante vāṇijā nāvaṃ sajjetvā ‘‘kaṃ niyāmakaṃ karissāmā’’ti mantesuṃ. ‘‘Suppārakapaṇḍitena āruḷhanāvā na byāpajjati, esa paṇḍito upāyakusalo, andho samānopi suppārakapaṇḍitova uttamo’’ti taṃ upasaṅkamitvā ‘‘niyāmako no hohī’’ti vatvā ‘‘tātā, ahaṃ andho, kathaṃ niyāmakakammaṃ karissāmī’’ti vutte ‘‘sāmi, andhāpi tumheyeva amhākaṃ uttamā’’ti punappunaṃ yāciyamāno ‘‘sādhu tātā, tumhehi ārocitasaññāya niyāmako bhavissāmī’’ti tesaṃ nāvaṃ abhiruhi. Te nāvāya mahāsamuddaṃ pakkhandiṃsu. Nāvā satta divasāni nirupaddavā agamāsi, tato akālavātaṃ uppātitaṃ uppajji, nāvā cattāro māse pakatisamuddapiṭṭhe vicaritvā khuramālīsamuddaṃ nāma pattā. Tattha macchā manussasamānasarīrā khuranāsā udake ummujjanimujjaṃ karonti. Vāṇijā te disvā mahāsattaṃ tassa samuddassa nāmaṃ pucchantā paṭhamaṃ gāthamāhaṃsu –
๑๐๘.
108.
‘‘อุมฺมุชฺชนฺติ นิมุชฺชนฺติ, มนุสฺสา ขุรนาสิกา;
‘‘Ummujjanti nimujjanti, manussā khuranāsikā;
สุปฺปารกํ ตํ ปุจฺฉาม, สมุโทฺท กตโม อย’’นฺติฯ
Suppārakaṃ taṃ pucchāma, samuddo katamo aya’’nti.
เอวํ เตหิ ปุโฎฺฐ มหาสโตฺต อตฺตโน นิยามกสุเตฺตน สํสนฺทิตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
Evaṃ tehi puṭṭho mahāsatto attano niyāmakasuttena saṃsanditvā dutiyaṃ gāthamāha –
๑๐๙.
109.
‘‘กุรุกจฺฉา ปยาตานํ, วาณิชานํ ธเนสินํ;
‘‘Kurukacchā payātānaṃ, vāṇijānaṃ dhanesinaṃ;
นาวาย วิปฺปนฎฺฐาย, ขุรมาลีติ วุจฺจตี’’ติฯ
Nāvāya vippanaṭṭhāya, khuramālīti vuccatī’’ti.
ตตฺถ ปยาตานนฺติ กุรุกจฺฉปฎฺฎนา นิกฺขมิตฺวา คจฺฉนฺตานํฯ ธเนสินนฺติ ตุมฺหากํ วาณิชานํ ธนํ ปริเยสนฺตานํฯ นาวาย วิปฺปนฎฺฐายาติ ตาต ตุมฺหากํ อิมาย วิเทสํ ปกฺขนฺทนาวาย กมฺมการกํ ปกติสมุทฺทํ อติกฺกมิตฺวา สมฺปโตฺต อยํ สมุโทฺท ‘‘ขุรมาลี’’ติ วุจฺจติ, เอวเมตํ ปณฺฑิตา กเถนฺตีติฯ
Tattha payātānanti kurukacchapaṭṭanā nikkhamitvā gacchantānaṃ. Dhanesinanti tumhākaṃ vāṇijānaṃ dhanaṃ pariyesantānaṃ. Nāvāya vippanaṭṭhāyāti tāta tumhākaṃ imāya videsaṃ pakkhandanāvāya kammakārakaṃ pakatisamuddaṃ atikkamitvā sampatto ayaṃ samuddo ‘‘khuramālī’’ti vuccati, evametaṃ paṇḍitā kathentīti.
ตสฺมิํ ปน สมุเทฺท วชิรํ อุสฺสนฺนํ โหติฯ มหาสโตฺต ‘‘สจาหํ ‘อยํ วชิรสมุโทฺท’ติ เอวํ เอเตสํ กเถสฺสามิ, โลเภน พหุํ วชิรํ คณฺหิตฺวา นาวํ โอสีทาเปสฺสนฺตี’’ติ เตสํ อนาจิกฺขิตฺวาว นาวํ ลคฺคาเปตฺวา อุปาเยเนกํ โยตฺตํ คเหตฺวา มจฺฉคหณนิยาเมน ชาลํ ขิปาเปตฺวา วชิรสารํ อุทฺธริตฺวา นาวายํ ปกฺขิปิตฺวา อญฺญํ อปฺปคฺฆภณฺฑํ ฉฑฺฑาเปสิฯ นาวา ตํ สมุทฺทํ อติกฺกมิตฺวา ปุรโต อคฺคิมาลิํ นาม คตาฯ โส ปชฺชลิตอคฺคิกฺขโนฺธ วิย มชฺฌนฺหิกสูริโย วิย จ โอภาสํ มุญฺจโนฺต อฎฺฐาสิฯ วาณิชา –
Tasmiṃ pana samudde vajiraṃ ussannaṃ hoti. Mahāsatto ‘‘sacāhaṃ ‘ayaṃ vajirasamuddo’ti evaṃ etesaṃ kathessāmi, lobhena bahuṃ vajiraṃ gaṇhitvā nāvaṃ osīdāpessantī’’ti tesaṃ anācikkhitvāva nāvaṃ laggāpetvā upāyenekaṃ yottaṃ gahetvā macchagahaṇaniyāmena jālaṃ khipāpetvā vajirasāraṃ uddharitvā nāvāyaṃ pakkhipitvā aññaṃ appagghabhaṇḍaṃ chaḍḍāpesi. Nāvā taṃ samuddaṃ atikkamitvā purato aggimāliṃ nāma gatā. So pajjalitaaggikkhandho viya majjhanhikasūriyo viya ca obhāsaṃ muñcanto aṭṭhāsi. Vāṇijā –
๑๑๐.
110.
‘‘ยถา อคฺคีว สูริโยว, สมุโทฺท ปฎิทิสฺสติ;
‘‘Yathā aggīva sūriyova, samuddo paṭidissati;
สุปฺปารกํ ตํ ปุจฺฉาม, สมุโทฺท กตโม อย’’นฺติฯ – คาถาย ตํ ปุจฺฉิํสุ;
Suppārakaṃ taṃ pucchāma, samuddo katamo aya’’nti. – gāthāya taṃ pucchiṃsu;
มหาสโตฺตปิ เตสํ อนนฺตรคาถาย กเถสิ –
Mahāsattopi tesaṃ anantaragāthāya kathesi –
๑๑๑.
111.
‘‘กุรุกจฺฉา ปยาตานํ, วาณิชานํ ธเนสินํ;
‘‘Kurukacchā payātānaṃ, vāṇijānaṃ dhanesinaṃ;
นาวาย วิปฺปนฎฺฐาย, อคฺคิมาลีติ วุจฺจตี’’ติฯ
Nāvāya vippanaṭṭhāya, aggimālīti vuccatī’’ti.
ตสฺมิํ ปน สมุเทฺท สุวณฺณํ อุสฺสนฺนํ อโหสิฯ มหาสโตฺต ปุริมนเยเนว ตโตปิ สุวณฺณํ คาหาเปตฺวา นาวายํ ปกฺขิปาเปสิฯ นาวา ตมฺปิ สมุทฺทํ อติกฺกมิตฺวา ขีรํ วิย ทธิํ วิย จ โอภาสนฺตํ ทธิมาลิํ นาม สมุทฺทํ ปาปุณิฯ วาณิชา –
Tasmiṃ pana samudde suvaṇṇaṃ ussannaṃ ahosi. Mahāsatto purimanayeneva tatopi suvaṇṇaṃ gāhāpetvā nāvāyaṃ pakkhipāpesi. Nāvā tampi samuddaṃ atikkamitvā khīraṃ viya dadhiṃ viya ca obhāsantaṃ dadhimāliṃ nāma samuddaṃ pāpuṇi. Vāṇijā –
๑๑๒.
112.
‘‘ยถา ทธีว ขีรํว, สมุโทฺท ปฎิทิสฺสติ;
‘‘Yathā dadhīva khīraṃva, samuddo paṭidissati;
สุปฺปารกํ ตํ ปุจฺฉาม, สมุโทฺท กตโม อย’’นฺติฯ –
Suppārakaṃ taṃ pucchāma, samuddo katamo aya’’nti. –
คาถาย ตสฺสปิ นามํ ปุจฺฉิํสุฯ
Gāthāya tassapi nāmaṃ pucchiṃsu.
มหาสโตฺต อนนฺตรคาถาย อาจิกฺขิ –
Mahāsatto anantaragāthāya ācikkhi –
๑๑๓.
113.
‘‘กุรุกจฺฉา ปยาตานํ, วาณิชานํ ธเนสินํ;
‘‘Kurukacchā payātānaṃ, vāṇijānaṃ dhanesinaṃ;
นาวาย วิปฺปนฎฺฐาย, ทธิมาลีติ วุจฺจตี’’ติฯ
Nāvāya vippanaṭṭhāya, dadhimālīti vuccatī’’ti.
ตสฺมิํ ปน สมุเทฺท รชตํ อุสฺสนฺนํ อโหสิฯ โส ตมฺปิ อุปาเยน คาหาเปตฺวา นาวายํ ปกฺขิปาเปสิ ฯ นาวา ตมฺปิ สมุทฺทํ อติกฺกมิตฺวา นีลกุสติณํ วิย สมฺปนฺนสสฺสํ วิย จ โอภาสมานํ นีลวณฺณํ กุสมาลิํ นาม สมุทฺทํ ปาปุณิฯ วาณิชา –
Tasmiṃ pana samudde rajataṃ ussannaṃ ahosi. So tampi upāyena gāhāpetvā nāvāyaṃ pakkhipāpesi . Nāvā tampi samuddaṃ atikkamitvā nīlakusatiṇaṃ viya sampannasassaṃ viya ca obhāsamānaṃ nīlavaṇṇaṃ kusamāliṃ nāma samuddaṃ pāpuṇi. Vāṇijā –
๑๑๔.
114.
‘‘ยถา กุโสว สโสฺสว, สมุโทฺท ปฎิทิสฺสติ;
‘‘Yathā kusova sassova, samuddo paṭidissati;
สุปฺปารกํ ตํ ปุจฺฉาม, สมุโทฺท กตโม อย’’นฺติฯ –
Suppārakaṃ taṃ pucchāma, samuddo katamo aya’’nti. –
คาถาย ตสฺสปิ นามํ ปุจฺฉิํสุฯ
Gāthāya tassapi nāmaṃ pucchiṃsu.
โส อนนฺตรคาถาย อาจิกฺขิ –
So anantaragāthāya ācikkhi –
๑๑๕.
115.
‘‘กุรุกจฺฉา ปยาตานํ, วาณิชานํ ธเนสินํ;
‘‘Kurukacchā payātānaṃ, vāṇijānaṃ dhanesinaṃ;
นาวาย วิปฺปนฎฺฐาย, กุสมาลีติ วุจฺจตี’’ติฯ
Nāvāya vippanaṭṭhāya, kusamālīti vuccatī’’ti.
ตสฺมิํ ปน สมุเทฺท นีลมณิรตนํ อุสฺสนฺนํ อโหสิฯ โส ตมฺปิ อุปาเยเนว คาหาเปตฺวา นาวายํ ปกฺขิปาเปสิฯ นาวา ตมฺปิ สมุทฺทํ อติกฺกมิตฺวา นฬวนํ วิย เวฬุวนํ วิย จ ขายมานํ นฬมาลิํ นาม สมุทฺทํ ปาปุณิฯ วาณิชา –
Tasmiṃ pana samudde nīlamaṇiratanaṃ ussannaṃ ahosi. So tampi upāyeneva gāhāpetvā nāvāyaṃ pakkhipāpesi. Nāvā tampi samuddaṃ atikkamitvā naḷavanaṃ viya veḷuvanaṃ viya ca khāyamānaṃ naḷamāliṃ nāma samuddaṃ pāpuṇi. Vāṇijā –
๑๑๖.
116.
‘‘ยถา นโฬว เวฬูว, สมุโทฺท ปฎิทิสฺสติ;
‘‘Yathā naḷova veḷūva, samuddo paṭidissati;
สุปฺปารกํ ตํ ปุจฺฉาม, สมุโทฺท กตโม อย’’นฺติฯ –
Suppārakaṃ taṃ pucchāma, samuddo katamo aya’’nti. –
คาถาย ตสฺสปิ นามํ ปุจฺฉิํสุฯ
Gāthāya tassapi nāmaṃ pucchiṃsu.
มหาสโตฺต อนนฺตรคาถาย กเถสิ –
Mahāsatto anantaragāthāya kathesi –
๑๑๗.
117.
‘‘กุรุกจฺฉา ปยาตานํ, วาณิชานํ ธเนสินํ;
‘‘Kurukacchā payātānaṃ, vāṇijānaṃ dhanesinaṃ;
นาวาย วิปฺปนฎฺฐาย, นฬมาลีติ วุจฺจตี’’ติฯ
Nāvāya vippanaṭṭhāya, naḷamālīti vuccatī’’ti.
ตสฺมิํ ปน สมุเทฺท มสารคลฺลํ เวฬุริยํ อุสฺสนฺนํ อโหสิฯ โส ตมฺปิ อุปาเยน คาหาเปตฺวา นาวายํ ปกฺขิปาเปสิฯ อปโร นโย – นโฬติ วิจฺฉิกนโฬปิ กกฺกฎกนโฬปิ, โส รตฺตวโณฺณ โหติฯ เวฬูติ ปน ปวาฬเสฺสตํ นามํ, โส จ สมุโทฺท ปวาฬุสฺสโนฺน รโตฺตภาโส อโหสิ, ตสฺมา ‘‘ยถา นโฬว เวฬุวา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ มหาสโตฺต ตโต ปวาฬํ คาหาเปสีติฯ
Tasmiṃ pana samudde masāragallaṃ veḷuriyaṃ ussannaṃ ahosi. So tampi upāyena gāhāpetvā nāvāyaṃ pakkhipāpesi. Aparo nayo – naḷoti vicchikanaḷopi kakkaṭakanaḷopi, so rattavaṇṇo hoti. Veḷūti pana pavāḷassetaṃ nāmaṃ, so ca samuddo pavāḷussanno rattobhāso ahosi, tasmā ‘‘yathā naḷova veḷuvā’’ti pucchiṃsu. Mahāsatto tato pavāḷaṃ gāhāpesīti.
วาณิชา นฬมาลิํ อติกฺกนฺตา พลวามุขสมุทฺทํ นาม ปสฺสิํสุฯ ตตฺถ อุทกํ กฑฺฒิตฺวา กฑฺฒิตฺวา สพฺพโต ภาเคน อุคฺคจฺฉติฯ ตสฺมิํ สพฺพโต ภาเคน อุคฺคเต อุทกํ สพฺพโต ภาเคน ฉินฺนปปาตมหาโสโพฺภ วิย ปญฺญายติ, อูมิยา อุคฺคตาย เอกโต ปปาตสทิสํ โหติ, ภยชนโน สโทฺท อุปฺปชฺชติ โสตานิ ภินฺทโนฺต วิย หทยํ ผาเลโนฺต วิย จฯ ตํ ทิสฺวา วาณิชา ภีตตสิตา –
Vāṇijā naḷamāliṃ atikkantā balavāmukhasamuddaṃ nāma passiṃsu. Tattha udakaṃ kaḍḍhitvā kaḍḍhitvā sabbato bhāgena uggacchati. Tasmiṃ sabbato bhāgena uggate udakaṃ sabbato bhāgena chinnapapātamahāsobbho viya paññāyati, ūmiyā uggatāya ekato papātasadisaṃ hoti, bhayajanano saddo uppajjati sotāni bhindanto viya hadayaṃ phālento viya ca. Taṃ disvā vāṇijā bhītatasitā –
๑๑๘.
118.
‘‘มหพฺภโย ภิํสนโก, สโทฺท สุยฺยติมานุโส;
‘‘Mahabbhayo bhiṃsanako, saddo suyyatimānuso;
ยถา โสโพฺภ ปปาโตว, สมุโทฺท ปฎิทิสฺสติ;
Yathā sobbho papātova, samuddo paṭidissati;
สุปฺปารกํ ตํ ปุจฺฉาม, สมุโทฺท กตโม อย’’นฺติฯ –
Suppārakaṃ taṃ pucchāma, samuddo katamo aya’’nti. –
คาถาย ตสฺสปิ นามํ ปุจฺฉิํสุฯ
Gāthāya tassapi nāmaṃ pucchiṃsu.
ตตฺถ สุยฺยติมานุโสติ สุยฺยติ อมานุโส สโทฺทฯ
Tattha suyyatimānusoti suyyati amānuso saddo.
๑๑๙.
119.
‘‘กุรุกจฺฉา ปยาตานํ, วาณิชานํ ธเนสินํ;
‘‘Kurukacchā payātānaṃ, vāṇijānaṃ dhanesinaṃ;
นาวาย วิปฺปนฎฺฐาย, พลวามุขีติ วุจฺจตี’’ติฯ –
Nāvāya vippanaṭṭhāya, balavāmukhīti vuccatī’’ti. –
โพธิสโตฺต อนนฺตรคาถาย ตสฺส นามํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘ตาตา, อิมํ พลวามุขสมุทฺทํ ปตฺวา นิวตฺติตุํ สมตฺถา นาวา นาม นตฺถิ, อยํ สมฺปตฺตนาวํ นิมุชฺชาเปตฺวา วินาสํ ปาเปตี’’ติ อาหฯ ตญฺจ นาวํ สตฺต มนุสฺสสตานิ อภิรุหิํสุฯ เต สเพฺพ มรณภยภีตา เอกปฺปหาเรเนว อวีจิมฺหิ ปจฺจมานสตฺตา วิย อติการุญฺญํ รวํ มุญฺจิํสุฯ มหาสโตฺต ‘‘ฐเปตฺวา มํ อโญฺญ เอเตสํ โสตฺถิภาวํ กาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, สจฺจกิริยาย เตสํ โสตฺถิํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เต อามเนฺตตฺวา อาห – ‘‘ตาตา, ขิปฺปํ มํ คโนฺธทเกน นฺหาเปตฺวา อหตวตฺถานิ นิวาสาเปตฺวา ปุณฺณปาติํ สเชฺชตฺวา นาวาย ธุเร ฐเปถา’’ติฯ เต เวเคน ตถา กริํสุฯ มหาสโตฺต อุโภหิ หเตฺถหิ ปุณฺณปาติํ คเหตฺวา นาวาย ธุเร ฐิโต สจฺจกิริยํ กโรโนฺต โอสานคาถมาห –
Bodhisatto anantaragāthāya tassa nāmaṃ ācikkhitvā ‘‘tātā, imaṃ balavāmukhasamuddaṃ patvā nivattituṃ samatthā nāvā nāma natthi, ayaṃ sampattanāvaṃ nimujjāpetvā vināsaṃ pāpetī’’ti āha. Tañca nāvaṃ satta manussasatāni abhiruhiṃsu. Te sabbe maraṇabhayabhītā ekappahāreneva avīcimhi paccamānasattā viya atikāruññaṃ ravaṃ muñciṃsu. Mahāsatto ‘‘ṭhapetvā maṃ añño etesaṃ sotthibhāvaṃ kātuṃ samattho nāma natthi, saccakiriyāya tesaṃ sotthiṃ karissāmī’’ti cintetvā te āmantetvā āha – ‘‘tātā, khippaṃ maṃ gandhodakena nhāpetvā ahatavatthāni nivāsāpetvā puṇṇapātiṃ sajjetvā nāvāya dhure ṭhapethā’’ti. Te vegena tathā kariṃsu. Mahāsatto ubhohi hatthehi puṇṇapātiṃ gahetvā nāvāya dhure ṭhito saccakiriyaṃ karonto osānagāthamāha –
๑๒๐.
120.
‘‘ยโต สรามิ อตฺตานํ, ยโต ปโตฺตสฺมิ วิญฺญุตํ;
‘‘Yato sarāmi attānaṃ, yato pattosmi viññutaṃ;
นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ, เอกปาณมฺปิ หิํสิตํ;
Nābhijānāmi sañcicca, ekapāṇampi hiṃsitaṃ;
เอเตน สจฺจวเชฺชน, โสตฺถิํ นาวา นิวตฺตตู’’ติฯ
Etena saccavajjena, sotthiṃ nāvā nivattatū’’ti.
ตตฺถ ยโตติ ยโต ปฎฺฐาย อหํ อตฺตานํ สรามิ, ยโต ปฎฺฐาย จมฺหิ วิญฺญุตํ ปโตฺตติ อโตฺถฯ เอกปาณมฺปิ หิํสิตนฺติ เอตฺถนฺตเร สญฺจิจฺจ เอกํ กุนฺถกิปิลฺลิกปาณมฺปิ หิํสิตํ นาภิชานามิฯ เทสนามตฺตเมเวตํ, โพธิสโตฺต ปน ติณสลากมฺปิ อุปาทาย มยา ปรสนฺตกํ น คหิตปุพฺพํ, โลภวเสน ปรทารํ น โอโลกิตปุพฺพํ, มุสา น ภาสิตปุพฺพา, ติณเคฺคนาปิ มชฺชํ น ปิวิตปุพฺพนฺติ เอวํ ปญฺจสีลวเสน ปน สจฺจกิริยํ อกาสิ, กตฺวา จ ปน ปุณฺณปาติยา อุทกํ นาวาย ธุเร อภิสิญฺจิฯ
Tattha yatoti yato paṭṭhāya ahaṃ attānaṃ sarāmi, yato paṭṭhāya camhi viññutaṃ pattoti attho. Ekapāṇampi hiṃsitanti etthantare sañcicca ekaṃ kunthakipillikapāṇampi hiṃsitaṃ nābhijānāmi. Desanāmattamevetaṃ, bodhisatto pana tiṇasalākampi upādāya mayā parasantakaṃ na gahitapubbaṃ, lobhavasena paradāraṃ na olokitapubbaṃ, musā na bhāsitapubbā, tiṇaggenāpi majjaṃ na pivitapubbanti evaṃ pañcasīlavasena pana saccakiriyaṃ akāsi, katvā ca pana puṇṇapātiyā udakaṃ nāvāya dhure abhisiñci.
จตฺตาโร มาเส วิเทสํ ปกฺขนฺทนาวา นิวตฺติตฺวา อิทฺธิมา วิย สจฺจานุภาเวน เอกทิวเสเนว กุรุกจฺฉปฎฺฎนํ อคมาสิฯ คนฺตฺวา จ ปน ถเลปิ อฎฺฐุสภมตฺตํ ฐานํ ปกฺขนฺทิตฺวา นาวิกสฺส ฆรทฺวาเรเยว อฎฺฐาสิฯ มหาสโตฺต เตสํ วาณิชานํ สุวณฺณรชตมณิปวาฬมุตฺตวชิรานิ ภาเชตฺวา อทาสิฯ ‘‘เอตฺตเกหิ โว รตเนหิ อลํ, มา ปุน สมุทฺทํ ปวิสถา’’ติ เตสํ โอวาทํ ทตฺวา ยาวชีวํ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา เทวปุรํ ปูเรสิฯ
Cattāro māse videsaṃ pakkhandanāvā nivattitvā iddhimā viya saccānubhāvena ekadivaseneva kurukacchapaṭṭanaṃ agamāsi. Gantvā ca pana thalepi aṭṭhusabhamattaṃ ṭhānaṃ pakkhanditvā nāvikassa gharadvāreyeva aṭṭhāsi. Mahāsatto tesaṃ vāṇijānaṃ suvaṇṇarajatamaṇipavāḷamuttavajirāni bhājetvā adāsi. ‘‘Ettakehi vo ratanehi alaṃ, mā puna samuddaṃ pavisathā’’ti tesaṃ ovādaṃ datvā yāvajīvaṃ dānādīni puññāni katvā devapuraṃ pūresi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต มหาปโญฺญเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ปริสา พุทฺธปริสา อเหสุํ, สุปฺปารกปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, pubbepi tathāgato mahāpaññoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā parisā buddhaparisā ahesuṃ, suppārakapaṇḍito pana ahameva ahosi’’nti.
สุปฺปารกชาตกวณฺณนา นวมาฯ
Suppārakajātakavaṇṇanā navamā.
ชาตกุทฺทานํ –
Jātakuddānaṃ –
มาตุโปสก ชุโณฺห จ, ธมฺม อุทย ปานีโย;
Mātuposaka juṇho ca, dhamma udaya pānīyo;
ยุธญฺจโย ทสรโถ, สํวโร จ สุปฺปารโก;
Yudhañcayo dasaratho, saṃvaro ca suppārako;
เอกาทสนิปาตมฺหิ, สงฺคีตา นว ชาตกาฯ
Ekādasanipātamhi, saṅgītā nava jātakā.
เอกาทสกนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ekādasakanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๖๓. สุปฺปารกชาตกํ • 463. Suppārakajātakaṃ