Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เทฺวมาติกาปาฬิ • Dvemātikāpāḷi

    ๖. สุราปานวโคฺค

    6. Surāpānavaggo

    ๑. สุราปานสิกฺขาปทวณฺณนา

    1. Surāpānasikkhāpadavaṇṇanā

    สุราปานวคฺคสฺส ปฐเม สุราเมรยปาเนติ เอตฺถ ปิฎฺฐาทีหิ กตํ มชฺชํ สุรา, ปุปฺผาทีหิ กโต อาสโว เมรยํ, ตทุภยมฺปิ พีชโต ปฎฺฐาย กุสเคฺคนาปิ ปิวโต ปโยเค ปโยเค ปาจิตฺติยํฯ

    Surāpānavaggassa paṭhame surāmerayapāneti ettha piṭṭhādīhi kataṃ majjaṃ surā, pupphādīhi kato āsavo merayaṃ, tadubhayampi bījato paṭṭhāya kusaggenāpi pivato payoge payoge pācittiyaṃ.

    โกสมฺพิยํ สาคตเตฺถรํ อารพฺภ มชฺชปิวนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อมเชฺช มชฺชสญฺญิสฺส, เวมติกสฺส วา ทุกฺกฎํฯ อมชฺชสญฺญิสฺส, อมชฺชํ มชฺชวณฺณคนฺธรสํ โลณโสวีรกํ วา สุตฺตํ วา ปิวโต, วาสคฺคาหาปนตฺถํ อีสกํ มชฺชํ ปกฺขิปิตฺวา สูปาทีนิ ปจนฺติ, เตสุ สูปสมฺปากาทีสุ , อามลกรสาทีหิ อมชฺชํ มชฺชสทิสํ อริฎฺฐํ กโรนฺติ, ตํ ปิวโต, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ มชฺชภาโว, ตสฺส ปานญฺจาติ อิมาเนตฺถ เทฺว องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ เอฬกโลมสทิสานิ, อิทํ ปน โลกวชฺชํ, อกุสลจิตฺตํ, ติเวทนนฺติฯ

    Kosambiyaṃ sāgatattheraṃ ārabbha majjapivanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, amajje majjasaññissa, vematikassa vā dukkaṭaṃ. Amajjasaññissa, amajjaṃ majjavaṇṇagandharasaṃ loṇasovīrakaṃ vā suttaṃ vā pivato, vāsaggāhāpanatthaṃ īsakaṃ majjaṃ pakkhipitvā sūpādīni pacanti, tesu sūpasampākādīsu , āmalakarasādīhi amajjaṃ majjasadisaṃ ariṭṭhaṃ karonti, taṃ pivato, ummattakādīnañca anāpatti. Majjabhāvo, tassa pānañcāti imānettha dve aṅgāni. Samuṭṭhānādīni eḷakalomasadisāni, idaṃ pana lokavajjaṃ, akusalacittaṃ, tivedananti.

    สุราปานสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Surāpānasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๒. องฺคุลิปโตทกสิกฺขาปทวณฺณนา

    2. Aṅgulipatodakasikkhāpadavaṇṇanā

    ทุติเย องฺคุลิปโตทเกติ องฺคุลีหิ อุปกจฺฉกาทิฆฎฺฎนํ วุจฺจติ, อปิจ เยน เกนจิ สรีราวยเวน หสาธิปฺปายสฺส อุปสมฺปนฺนํ ผุสโต ปาจิตฺติยํฯ

    Dutiye aṅgulipatodaketi aṅgulīhi upakacchakādighaṭṭanaṃ vuccati, apica yena kenaci sarīrāvayavena hasādhippāyassa upasampannaṃ phusato pācittiyaṃ.

    สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย อารพฺภ องฺคุลิปโตทเกน หสนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อนุปสมฺปเนฺน ติกทุกฺกฎํ, อิธ ปน ภิกฺขุนีปิ ภิกฺขุสฺส, ภิกฺขุ จ ภิกฺขุนิยา อนุปสมฺปโนฺน เอว, กายปฺปฎิพทฺธาทีสุ สพฺพตฺถ ทุกฺกฎเมวฯ น หสนาธิปฺปายสฺส, สติ กรณีเย อามสโต, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ หสาธิปฺปายตา, อุปสมฺปนฺนสฺส กาเยน กายามสนนฺติ อิมาเนตฺถ เทฺว องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ ปฐมปาราชิกสทิสาเนวาติฯ

    Sāvatthiyaṃ chabbaggiye ārabbha aṅgulipatodakena hasanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, anupasampanne tikadukkaṭaṃ, idha pana bhikkhunīpi bhikkhussa, bhikkhu ca bhikkhuniyā anupasampanno eva, kāyappaṭibaddhādīsu sabbattha dukkaṭameva. Na hasanādhippāyassa, sati karaṇīye āmasato, ummattakādīnañca anāpatti. Hasādhippāyatā, upasampannassa kāyena kāyāmasananti imānettha dve aṅgāni. Samuṭṭhānādīni paṭhamapārājikasadisānevāti.

    องฺคุลิปโตทกสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Aṅgulipatodakasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๓. หสธมฺมสิกฺขาปทวณฺณนา

    3. Hasadhammasikkhāpadavaṇṇanā

    ตติเย อุทเก หสธเมฺมติ อุทกกีฬา วุจฺจติฯ ตสฺมา โย ภิกฺขุ อุปริโคปฺผเก อุทเกเยว คจฺฉโนฺต หสาธิปฺปาโย นิมุชฺชติ วา อุมฺมุชฺชติ วา, ตสฺส นิมุชฺชนาทีนํ อตฺถาย โอตรนฺตสฺส หตฺถวาเร ปทวาเร ทุกฺกฎํ, นิมุชฺชนุมฺมุชฺชเนสุ ปโยเค ปโยเค ปาจิตฺติยํ, นิมุชฺชิตฺวา อโนฺตอุทเกเยว คจฺฉนฺตสฺส หตฺถวารปทวาเรสุ, ตรนฺตสฺส วา เยน เยน อเงฺคน ตรติ, ตสฺส ตสฺส ปโยเค ปโยเค ปาจิตฺติยํฯ

    Tatiye udake hasadhammeti udakakīḷā vuccati. Tasmā yo bhikkhu uparigopphake udakeyeva gacchanto hasādhippāyo nimujjati vā ummujjati vā, tassa nimujjanādīnaṃ atthāya otarantassa hatthavāre padavāre dukkaṭaṃ, nimujjanummujjanesu payoge payoge pācittiyaṃ, nimujjitvā antoudakeyeva gacchantassa hatthavārapadavāresu, tarantassa vā yena yena aṅgena tarati, tassa tassa payoge payoge pācittiyaṃ.

    สาวตฺถิยํ สตฺตรสวคฺคิเย ภิกฺขู อารพฺภ อุทเก กีฬนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อุทเก อหสธเมฺม หสธมฺมสญฺญิโน, เวมติกสฺส วา ทุกฺกฎํ, ตถา นาวาย กีฬโต หเตฺถน วา ปาเทน วา กเฎฺฐน วา กถลาย วา อุทกํ ปหรโต, ภาชนคตํ อุทกํ วา กญฺชิกาทีนิ วา จิกฺขลฺลํ วา ขิปนกีฬาย กีฬโต ทุกฺกฎํฯ อตฺถโชตกํ ปน อกฺขรํ ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติฯ น หสาธิปฺปายสฺส, สติ กรณีเย โอตริตฺวา นิมุชฺชนาทีนิ กโรนฺตสฺส, ปารํ คจฺฉโต, อาปทาสุ, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ อุปริโคปฺผกตา, หสาธิปฺปาเยน กีฬนนฺติ อิมาเนตฺถ เทฺว องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ ปฐมปาราชิกสทิสานีติฯ

    Sāvatthiyaṃ sattarasavaggiye bhikkhū ārabbha udake kīḷanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, udake ahasadhamme hasadhammasaññino, vematikassa vā dukkaṭaṃ, tathā nāvāya kīḷato hatthena vā pādena vā kaṭṭhena vā kathalāya vā udakaṃ paharato, bhājanagataṃ udakaṃ vā kañjikādīni vā cikkhallaṃ vā khipanakīḷāya kīḷato dukkaṭaṃ. Atthajotakaṃ pana akkharaṃ chindituṃ vaṭṭati. Na hasādhippāyassa, sati karaṇīye otaritvā nimujjanādīni karontassa, pāraṃ gacchato, āpadāsu, ummattakādīnañca anāpatti. Uparigopphakatā, hasādhippāyena kīḷananti imānettha dve aṅgāni. Samuṭṭhānādīni paṭhamapārājikasadisānīti.

    หสธมฺมสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Hasadhammasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๔. อนาทริยสิกฺขาปทวณฺณนา

    4. Anādariyasikkhāpadavaṇṇanā

    จตุเตฺถ อนาทริเยติ ปุคฺคลสฺส วา ธมฺมสฺส วา อนาทรกรเณฯ ตสฺมา โย ภิกฺขุ อุปสมฺปเนฺนน ปญฺญเตฺตน วุจฺจมาโน ตสฺส วา วจนํ อกตฺตุกามตาย, ตํ วา ธมฺมํ อสิกฺขิตุกามตาย อนาทริยํ กโรติ, ตสฺส ตสฺมิํ อนาทริเย ปาจิตฺติยํฯ

    Catutthe anādariyeti puggalassa vā dhammassa vā anādarakaraṇe. Tasmā yo bhikkhu upasampannena paññattena vuccamāno tassa vā vacanaṃ akattukāmatāya, taṃ vā dhammaṃ asikkhitukāmatāya anādariyaṃ karoti, tassa tasmiṃ anādariye pācittiyaṃ.

    โกสมฺพิยํ ฉนฺนเตฺถรํ อารพฺภ อนาทริยกรณวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อนุปสมฺปเนฺน ติกทุกฺกฎํ, อุปสมฺปเนฺนน วา อนุปสมฺปเนฺนน วา ‘‘อิทํ น สเลฺลขาย สํวตฺตตี’’ติอาทินา นเยน อปญฺญเตฺตน วุจฺจมานสฺส อนาทริเยปิ ทุกฺกฎเมวฯ ปเวณิอาคตํ ปน อุคฺคหํ คเหตฺวา ‘‘เอวํ อมฺหากํ อาจริยานํ อุคฺคโห ปริปุจฺฉา’’ติ (ปาจิ. ๓๔๔) ภณนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ อุปสมฺปนฺนสฺส ปญฺญเตฺตน วจนํ, อนาทริยกรณนฺติ อิมาเนตฺถ เทฺว องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานิ, อิทํ ปน ทุกฺขเวทนนฺติฯ

    Kosambiyaṃ channattheraṃ ārabbha anādariyakaraṇavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, anupasampanne tikadukkaṭaṃ, upasampannena vā anupasampannena vā ‘‘idaṃ na sallekhāya saṃvattatī’’tiādinā nayena apaññattena vuccamānassa anādariyepi dukkaṭameva. Paveṇiāgataṃ pana uggahaṃ gahetvā ‘‘evaṃ amhākaṃ ācariyānaṃ uggaho paripucchā’’ti (pāci. 344) bhaṇantassa, ummattakādīnañca anāpatti. Upasampannassa paññattena vacanaṃ, anādariyakaraṇanti imānettha dve aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisāni, idaṃ pana dukkhavedananti.

    อนาทริยสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Anādariyasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๕. ภิํสาปนสิกฺขาปทวณฺณนา

    5. Bhiṃsāpanasikkhāpadavaṇṇanā

    ปญฺจเม ภิํสาเปยฺยาติ ภิํสาปนตฺถํ รูปาทีนิ อุปสํหเรยฺย, ภยานกกถํ วา กเถยฺยฯ โส ปน ภายตุ วา, มา วา, อิตรสฺส ปาจิตฺติยํฯ

    Pañcame bhiṃsāpeyyāti bhiṃsāpanatthaṃ rūpādīni upasaṃhareyya, bhayānakakathaṃ vā katheyya. So pana bhāyatu vā, mā vā, itarassa pācittiyaṃ.

    สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย ภิกฺขู อารพฺภ ภิํสาปนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํฯ อนุปสมฺปเนฺน ติกทุกฺกฎํ, น ภิํสาเปตุกามสฺส ตถา กโรโต, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ อุปสมฺปนฺนตา, ตสฺส ทสฺสนสวนวิสเย ภิํสาเปตุกามตาย วายามนนฺติ อิมาเนตฺถ เทฺว องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อนนฺตรสิกฺขาปทสทิสาเนวาติฯ

    Sāvatthiyaṃ chabbaggiye bhikkhū ārabbha bhiṃsāpanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ. Anupasampanne tikadukkaṭaṃ, na bhiṃsāpetukāmassa tathā karoto, ummattakādīnañca anāpatti. Upasampannatā, tassa dassanasavanavisaye bhiṃsāpetukāmatāya vāyāmananti imānettha dve aṅgāni. Samuṭṭhānādīni anantarasikkhāpadasadisānevāti.

    ภิํสาปนสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Bhiṃsāpanasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๖. โชติสิกฺขาปทวณฺณนา

    6. Jotisikkhāpadavaṇṇanā

    ฉเฎฺฐ วิสิพฺพนาเปโกฺขติ ตปฺปิตุกาโมฯ สมาทเหยฺยาติ ชาเลยฺย, อญฺญตฺร ตถารูปปฺปจฺจยาติ ปทีปุชฺชาลนํ วา ปตฺตปจนาทีสุ โชติกรณํ วาติ เอวรูปํ ปจฺจยํ วินาฯ ตตฺรายํ วินิจฺฉโย – สยํ สมาทหนฺตสฺส อรณิสณฺฐาปนโต ปฎฺฐาย ยาว ชาลา น อุฎฺฐหติ, ตาว สพฺพปฺปโยเคสุ ทุกฺกฎํ, ชาลุฎฺฐาเน ปาจิตฺติยํฯ สมาทหาเปนฺตสฺส อาณตฺติยา ทุกฺกฎํ, สกิํ อาณเตฺตน พหุมฺปิ สมาทหิเต เอกเมว ปาจิตฺติยํฯ

    Chaṭṭhe visibbanāpekkhoti tappitukāmo. Samādaheyyāti jāleyya, aññatra tathārūpappaccayāti padīpujjālanaṃ vā pattapacanādīsu jotikaraṇaṃ vāti evarūpaṃ paccayaṃ vinā. Tatrāyaṃ vinicchayo – sayaṃ samādahantassa araṇisaṇṭhāpanato paṭṭhāya yāva jālā na uṭṭhahati, tāva sabbappayogesu dukkaṭaṃ, jāluṭṭhāne pācittiyaṃ. Samādahāpentassa āṇattiyā dukkaṭaṃ, sakiṃ āṇattena bahumpi samādahite ekameva pācittiyaṃ.

    ภเคฺคสุ สมฺพหุเล ภิกฺขู อารพฺภ โชติํ สมาทหิตฺวา วิสิพฺพนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, ‘‘อคิลาโน, อญฺญตฺร ตถารูปปฺปจฺจยา’’ติ อิมาเนตฺถ เทฺว อนุปญฺญตฺติโย, สาธารณปญฺญตฺติ, สาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, คิลานสฺส อคิลานสญฺญิโน, เวมติกสฺส วา ทุกฺกฎํ, ตถา ปฎิลาตํ อุกฺขิปนฺตสฺส, ตญฺจ อวิชฺฌาตํ อุกฺขิปิตฺวา ยถาฐาเน ฐเปนฺตสฺสฯ วิชฺฌาตํ ปน ชาลยโต ปาจิตฺติยเมวฯ คิลานสฺส คิลานสญฺญิสฺส , อเญฺญน กตํ วา วีตจฺจิตงฺคารํ วา วิสิเพฺพนฺตสฺส, ปทีปโชติกชนฺตาฆราทิเก ตถารูปปฺปจฺจเย, อาปทาสุ, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ อคิลานตา, อนุญฺญาตการณาภาโว, วิสิเพฺพตุกามตา, สมาทหนนฺติ อิมาเนตฺถ จตฺตาริ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ สญฺจริเตฺต วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพานีติฯ

    Bhaggesu sambahule bhikkhū ārabbha jotiṃ samādahitvā visibbanavatthusmiṃ paññattaṃ, ‘‘agilāno, aññatra tathārūpappaccayā’’ti imānettha dve anupaññattiyo, sādhāraṇapaññatti, sāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, gilānassa agilānasaññino, vematikassa vā dukkaṭaṃ, tathā paṭilātaṃ ukkhipantassa, tañca avijjhātaṃ ukkhipitvā yathāṭhāne ṭhapentassa. Vijjhātaṃ pana jālayato pācittiyameva. Gilānassa gilānasaññissa , aññena kataṃ vā vītaccitaṅgāraṃ vā visibbentassa, padīpajotikajantāgharādike tathārūpappaccaye, āpadāsu, ummattakādīnañca anāpatti. Agilānatā, anuññātakāraṇābhāvo, visibbetukāmatā, samādahananti imānettha cattāri aṅgāni. Samuṭṭhānādīni sañcaritte vuttanayeneva veditabbānīti.

    โชติสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Jotisikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๗. นหานสิกฺขาปทวณฺณนา

    7. Nahānasikkhāpadavaṇṇanā

    สตฺตเม นหาเยยฺยาติ โย ภิกฺขุ มชฺฌิมเทเส นหานทิวสโต ปฎฺฐาย อทฺธมาเส อปุเณฺณ อญฺญตฺร สมยา ‘‘นหายิสฺสามี’’ติ จุณฺณํ วา มตฺติกํ วา อภิสงฺขโรติ, ตสฺส ตโต ปฎฺฐาย สพฺพปฺปโยเคสุ ทุกฺกฎํ, นหานปริโยสาเน ปาจิตฺติยํฯ สมเยสุ ปริเวณสมฺมชฺชนมตฺตมฺปิ กมฺมสมโย, อทฺธโยชนํ คนฺตุกามสฺส, คจฺฉโต, คตสฺส วา อทฺธานคมนสมโย, สรเชน วาเตน โอกิณฺณสฺส ทฺวีสุ วา ตีสุ วา อุทกผุสิเตสุ กาเย ปติเตสุ วาตวุฎฺฐิสมโยติ เวทิตโพฺพฯ เสสํ อุตฺตานเมวฯ

    Sattame nahāyeyyāti yo bhikkhu majjhimadese nahānadivasato paṭṭhāya addhamāse apuṇṇe aññatra samayā ‘‘nahāyissāmī’’ti cuṇṇaṃ vā mattikaṃ vā abhisaṅkharoti, tassa tato paṭṭhāya sabbappayogesu dukkaṭaṃ, nahānapariyosāne pācittiyaṃ. Samayesu pariveṇasammajjanamattampi kammasamayo, addhayojanaṃ gantukāmassa, gacchato, gatassa vā addhānagamanasamayo, sarajena vātena okiṇṇassa dvīsu vā tīsu vā udakaphusitesu kāye patitesu vātavuṭṭhisamayoti veditabbo. Sesaṃ uttānameva.

    ราชคเห สมฺพหุเล ภิกฺขู อารพฺภ น มตฺตํ ชานิตฺวา นหายนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, ‘‘อญฺญตฺร สมยา’’ติ อยเมตฺถ ฉพฺพิธา อนุปญฺญตฺติ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อติเรกทฺธมาเส อูนกสญฺญิโน, เวมติกสฺส วา ทุกฺกฎํฯ อติเรกสญฺญิสฺส, สมเย วา นหายนฺตสฺส, โย วา นทีปารํ คจฺฉโนฺต วาลุกํ อุกฺกิริตฺวา กตอาวาเฎสุปิ นหายติ, ตสฺส, ปจฺจนฺติเม ชนปเท สเพฺพสํ, อาปทาสุ, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ มชฺฌิมเทโส, อูนกทฺธมาเส นหานํ, สมยานํ วา นทีปารคมนสฺส วา อาปทานํ วา อภาโวติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ เอฬกโลมสทิสาเนวาติฯ

    Rājagahe sambahule bhikkhū ārabbha na mattaṃ jānitvā nahāyanavatthusmiṃ paññattaṃ, ‘‘aññatra samayā’’ti ayamettha chabbidhā anupaññatti, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, atirekaddhamāse ūnakasaññino, vematikassa vā dukkaṭaṃ. Atirekasaññissa, samaye vā nahāyantassa, yo vā nadīpāraṃ gacchanto vālukaṃ ukkiritvā kataāvāṭesupi nahāyati, tassa, paccantime janapade sabbesaṃ, āpadāsu, ummattakādīnañca anāpatti. Majjhimadeso, ūnakaddhamāse nahānaṃ, samayānaṃ vā nadīpāragamanassa vā āpadānaṃ vā abhāvoti imānettha tīṇi aṅgāni. Samuṭṭhānādīni eḷakalomasadisānevāti.

    นหานสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nahānasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๘. ทุพฺพณฺณกรณสิกฺขาปทวณฺณนา

    8. Dubbaṇṇakaraṇasikkhāpadavaṇṇanā

    อฎฺฐเม อลภีติ ลโภ, ลโภ เอว ลาโภ, กิํ อลภิ? จีวรํ, กีทิสํ? นวํ, อิติ ‘‘นวจีวรลาเภนา’’ติ วตฺตเพฺพ อนุนาสิกโลปํ อกตฺวา นวํจีวรลาเภนาติ วุตฺตํ, ปฎิลทฺธนวจีวเรนาติ อโตฺถฯ มเชฺฌ ฐิตปททฺวเย ปนาติ นิปาตมตฺตํฯ ภิกฺขุนาติ เยน ลทฺธํ, ตสฺส นิทสฺสนํ, เสสํ ปทตฺถโต อุตฺตานเมวฯ อยํ ปเนตฺถ วินิจฺฉโย – นิวาสนปารุปนุปคํ จีวรํ ลภิตฺวา ตสฺส นิฎฺฐิตรชนสฺส ยสฺมิํ วา ตสฺมิํ วา ปเทเส กํสนีเลน วา ปตฺตนีเลน วา กทฺทเมน วา เยน เกนจิ กาฬเกน วา โมรกฺขิมณฺฑลมงฺคุลปิฎฺฐีนํ อญฺญตรปฺปมาณํ กปฺปพินฺทุํ อาทิยิตฺวา ตํ จีวรํ ปริภุญฺชิตพฺพํ, อนาทิยิตฺวา ปริภุญฺชนฺตสฺส ปาจิตฺติยํฯ

    Aṭṭhame alabhīti labho, labho eva lābho, kiṃ alabhi? Cīvaraṃ, kīdisaṃ? Navaṃ, iti ‘‘navacīvaralābhenā’’ti vattabbe anunāsikalopaṃ akatvā navaṃcīvaralābhenāti vuttaṃ, paṭiladdhanavacīvarenāti attho. Majjhe ṭhitapadadvaye panāti nipātamattaṃ. Bhikkhunāti yena laddhaṃ, tassa nidassanaṃ, sesaṃ padatthato uttānameva. Ayaṃ panettha vinicchayo – nivāsanapārupanupagaṃ cīvaraṃ labhitvā tassa niṭṭhitarajanassa yasmiṃ vā tasmiṃ vā padese kaṃsanīlena vā pattanīlena vā kaddamena vā yena kenaci kāḷakena vā morakkhimaṇḍalamaṅgulapiṭṭhīnaṃ aññatarappamāṇaṃ kappabinduṃ ādiyitvā taṃ cīvaraṃ paribhuñjitabbaṃ, anādiyitvā paribhuñjantassa pācittiyaṃ.

    สาวตฺถิยํ สมฺพหุเล ภิกฺขู อารพฺภ อตฺตโน จีวรอชานนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อาทิเนฺน อนาทินฺนสญฺญิโน, เวมติกสฺส วา ทุกฺกฎํฯ อาทินฺนสญฺญิสฺส , กเปฺป นเฎฺฐ, กปฺปกโตกาเส ชิเณฺณ, กปฺปกเตน อกปฺปกเต สํสิพฺพิเต, ปจฺฉา อาโรปิเตสุ อคฺคฬอนุวาตปริภเณฺฑสุ ตํ ปริภุญฺชนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ วุตฺตปฺปการสฺส จีวรสฺส อกตกปฺปกตา, น นฎฺฐจีวราทิตา, นิวาสนํ วา ปารุปนํ วาติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ เอฬกโลมสทิสานิ, อิทํ ปน กิริยากิริยนฺติฯ

    Sāvatthiyaṃ sambahule bhikkhū ārabbha attano cīvaraajānanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, ādinne anādinnasaññino, vematikassa vā dukkaṭaṃ. Ādinnasaññissa , kappe naṭṭhe, kappakatokāse jiṇṇe, kappakatena akappakate saṃsibbite, pacchā āropitesu aggaḷaanuvātaparibhaṇḍesu taṃ paribhuñjantassa, ummattakādīnañca anāpatti. Vuttappakārassa cīvarassa akatakappakatā, na naṭṭhacīvarāditā, nivāsanaṃ vā pārupanaṃ vāti imānettha tīṇi aṅgāni. Samuṭṭhānādīni eḷakalomasadisāni, idaṃ pana kiriyākiriyanti.

    ทุพฺพณฺณกรณสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dubbaṇṇakaraṇasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๙. วิกปฺปนสิกฺขาปทวณฺณนา

    9. Vikappanasikkhāpadavaṇṇanā

    นวเม วิกเปฺปตฺวาติ เอตฺถ เทฺว วิกปฺปนา สมฺมุขาวิกปฺปนา ปรมฺมุขาวิกปฺปนา จฯ กถํ สมฺมุขาวิกปฺปนา โหติ? จีวรานํ เอกพหุภาวํ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวญฺจ ญตฺวา ‘อิมํ จีวร’นฺติ วา ‘อิมานิ จีวรานี’ติ วา ‘เอตํ จีวร’นฺติ วา ‘เอตานิ จีวรานี’ติ วา วตฺวา ‘ตุยฺหํ วิกเปฺปมี’ติ วตฺตพฺพํ, อยเมกา สมฺมุขาวิกปฺปนาฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎติ, ปริภุญฺชิตุํ ปน วิสฺสเชฺชตุํ วา อธิฎฺฐาตุํ วา น วฎฺฎติฯ ‘‘มยฺหํ สนฺตกํ, มยฺหํ สนฺตกานิ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ กโรหี’’ติ (ปาจิ. ๓๗๔) เอวํ ปน วุเตฺต ปจฺจุทฺธาโร นาม โหติ, ตโต ปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺติฯ อปโร นโย, ตเถว จีวรานํ เอกพหุภาวํ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวญฺจ ญตฺวา ตเสฺสว ภิกฺขุโน สนฺติเก ‘อิมํ จีวร’นฺติ วา ‘อิมานิ จีวรานี’ติ วา ‘เอตํ จีวร’นฺติ วา ‘เอตานิ จีวรานี’ติ วา วตฺวา ปญฺจสุ สหธมฺมิเกสุ อญฺญตรสฺส อตฺตนา อภิรุจิตสฺส ยสฺส กสฺสจิ นามํ คเหตฺวา ‘‘ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน วิกเปฺปมี’’ติ วา ‘‘ติสฺสาย ภิกฺขุนิยา, สิกฺขมานาย, สามเณรสฺส, ติสฺสาย สามเณริยา วิกเปฺปมี’’ติ วา วตฺตพฺพํ, อยํ อปราปิ สมฺมุขาวิกปฺปนาฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎติ, ปริโภคาทีสุ เอกมฺปิ น วฎฺฎติฯ เตน ปน ภิกฺขุนา ‘‘ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน สนฺตกํ…เป.… ติสฺสาย สามเณริยา สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ กโรหี’’ติ วุเตฺต ปจฺจุทฺธาโร นาม โหติ, ตโต ปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺติฯ

    Navame vikappetvāti ettha dve vikappanā sammukhāvikappanā parammukhāvikappanā ca. Kathaṃ sammukhāvikappanā hoti? Cīvarānaṃ ekabahubhāvaṃ sannihitāsannihitabhāvañca ñatvā ‘imaṃ cīvara’nti vā ‘imāni cīvarānī’ti vā ‘etaṃ cīvara’nti vā ‘etāni cīvarānī’ti vā vatvā ‘tuyhaṃ vikappemī’ti vattabbaṃ, ayamekā sammukhāvikappanā. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭati, paribhuñjituṃ pana vissajjetuṃ vā adhiṭṭhātuṃ vā na vaṭṭati. ‘‘Mayhaṃ santakaṃ, mayhaṃ santakāni paribhuñja vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ karohī’’ti (pāci. 374) evaṃ pana vutte paccuddhāro nāma hoti, tato pabhuti paribhogādayopi vaṭṭanti. Aparo nayo, tatheva cīvarānaṃ ekabahubhāvaṃ sannihitāsannihitabhāvañca ñatvā tasseva bhikkhuno santike ‘imaṃ cīvara’nti vā ‘imāni cīvarānī’ti vā ‘etaṃ cīvara’nti vā ‘etāni cīvarānī’ti vā vatvā pañcasu sahadhammikesu aññatarassa attanā abhirucitassa yassa kassaci nāmaṃ gahetvā ‘‘tissassa bhikkhuno vikappemī’’ti vā ‘‘tissāya bhikkhuniyā, sikkhamānāya, sāmaṇerassa, tissāya sāmaṇeriyā vikappemī’’ti vā vattabbaṃ, ayaṃ aparāpi sammukhāvikappanā. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭati, paribhogādīsu ekampi na vaṭṭati. Tena pana bhikkhunā ‘‘tissassa bhikkhuno santakaṃ…pe… tissāya sāmaṇeriyā santakaṃ paribhuñja vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ karohī’’ti vutte paccuddhāro nāma hoti, tato pabhuti paribhogādayopi vaṭṭanti.

    กถํ ปรมฺมุขาวิกปฺปนา โหติ? จีวรานํ ตเถว เอกพหุภาวํ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวญฺจ ญตฺวา ‘อิมํ จีวร’นฺติ วา ‘อิมานิ จีวรานี’ติ วา ‘เอตํ จีวร’นฺติ วา ‘เอตานิ จีวรานี’ติ วา วตฺวา ‘‘ตุยฺหํ วิกปฺปนตฺถาย ทมฺมี’’ติ วตฺตพฺพํฯ เตน วตฺตโพฺพ ‘‘โก เต มิโตฺต วา สนฺทิโฎฺฐ วา’’ติฯ ตโต อิตเรน ปุริมนเยเนว ‘ติโสฺส ภิกฺขู’ติ วา…เป.… ‘ติสฺสา สามเณรี’ติ วา วตฺตพฺพํฯ ปุน เตน ภิกฺขุนา ‘‘อหํ ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน ทมฺมี’’ติ วา…เป.… ‘‘ติสฺสาย สามเณริยา ทมฺมี’’ติ วา วตฺตพฺพํ , อยํ ปรมฺมุขาวิกปฺปนาฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎติ, ปริโภคาทีสุ เอกมฺปิ น วฎฺฎติฯ เตน ปน ภิกฺขุนา ทุติยสมฺมุขาวิกปฺปนายํ วุตฺตนเยเนว ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ กโรหี’’ติ วุเตฺต ปจฺจุทฺธาโร นาม โหติ, ตโต ปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺตีติฯ ปตฺตวิกปฺปนายมฺปิ เอเสว นโยฯ อิติ อิมาสุ ทฺวีสุ วิกปฺปนาสุ ยาย กายจิ วิกปฺปนาย ปญฺจสุ สหธมฺมิเกสุ ยสฺส กสฺสจิ จีวรํ วิกเปฺปตฺวา วุตฺตนเยน อกตปฺปจฺจุทฺธารํ วา เยน วินยกมฺมํ กตํ, ตสฺส วา วิสฺสาเสน อคฺคเหตฺวา ปริภุญฺชนฺตสฺส ปาจิตฺติยํฯ

    Kathaṃ parammukhāvikappanā hoti? Cīvarānaṃ tatheva ekabahubhāvaṃ sannihitāsannihitabhāvañca ñatvā ‘imaṃ cīvara’nti vā ‘imāni cīvarānī’ti vā ‘etaṃ cīvara’nti vā ‘etāni cīvarānī’ti vā vatvā ‘‘tuyhaṃ vikappanatthāya dammī’’ti vattabbaṃ. Tena vattabbo ‘‘ko te mitto vā sandiṭṭho vā’’ti. Tato itarena purimanayeneva ‘tisso bhikkhū’ti vā…pe… ‘tissā sāmaṇerī’ti vā vattabbaṃ. Puna tena bhikkhunā ‘‘ahaṃ tissassa bhikkhuno dammī’’ti vā…pe… ‘‘tissāya sāmaṇeriyā dammī’’ti vā vattabbaṃ , ayaṃ parammukhāvikappanā. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭati, paribhogādīsu ekampi na vaṭṭati. Tena pana bhikkhunā dutiyasammukhāvikappanāyaṃ vuttanayeneva ‘‘itthannāmassa santakaṃ paribhuñja vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ karohī’’ti vutte paccuddhāro nāma hoti, tato pabhuti paribhogādayopi vaṭṭantīti. Pattavikappanāyampi eseva nayo. Iti imāsu dvīsu vikappanāsu yāya kāyaci vikappanāya pañcasu sahadhammikesu yassa kassaci cīvaraṃ vikappetvā vuttanayena akatappaccuddhāraṃ vā yena vinayakammaṃ kataṃ, tassa vā vissāsena aggahetvā paribhuñjantassa pācittiyaṃ.

    สาวตฺถิยํ อุปนนฺทํ อารพฺภ อปฺปจฺจุทฺธารณํ ปริภุญฺชนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, ตํ ปน อธิฎฺฐหนฺตสฺส วา วิสฺสเชฺชนฺตสฺส วา ทุกฺกฎํ, ตถา ปจฺจุทฺธารเณ อปฺปจฺจุทฺธารณสญฺญิสฺส เวมติกสฺส วาฯ ปจฺจุทฺธารณสญฺญิสฺส ปน วิสฺสาเสน ปริภุญฺชนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ สามํ วิกปฺปิตสฺส อปฺปจฺจุทฺธาโร, วิกปฺปนุปคจีวรตา, ปริโภโคติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ ปฐมกถินสทิสาเนว, อิทํ ปน กิริยากิริยนฺติฯ

    Sāvatthiyaṃ upanandaṃ ārabbha appaccuddhāraṇaṃ paribhuñjanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, taṃ pana adhiṭṭhahantassa vā vissajjentassa vā dukkaṭaṃ, tathā paccuddhāraṇe appaccuddhāraṇasaññissa vematikassa vā. Paccuddhāraṇasaññissa pana vissāsena paribhuñjantassa, ummattakādīnañca anāpatti. Sāmaṃ vikappitassa appaccuddhāro, vikappanupagacīvaratā, paribhogoti imānettha tīṇi aṅgāni. Samuṭṭhānādīni paṭhamakathinasadisāneva, idaṃ pana kiriyākiriyanti.

    วิกปฺปนสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vikappanasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๐. อปนิธานสิกฺขาปทวณฺณนา

    10. Apanidhānasikkhāpadavaṇṇanā

    ทสเม ปตฺตนฺติ อธิฎฺฐานุปคํฯ จีวรนฺติ วิกปฺปนุปคํฯ นิสีทนํ นาม สทสํ วุจฺจติฯ สูจิฆรํ นาม สสูจิกํ วา อสูจิกํ วาฯ กายพนฺธนํ นาม ปฎฺฎิกา วา สูกรนฺตกํ วาฯ อปนิเธยฺยาติ อปเนตฺวา นิทเหยฺยฯ หสาเปโกฺขติ หสาธิปฺปาโยฯ ปาจิตฺติยนฺติ สยํ อปนิเธนฺตสฺส ปาจิตฺติยํ, อญฺญํ อาณาเปนฺตสฺส อาณตฺติยา ทุกฺกฎํ, เตน อปนิหิเต อิตรสฺส ปาจิตฺติยํฯ

    Dasame pattanti adhiṭṭhānupagaṃ. Cīvaranti vikappanupagaṃ. Nisīdanaṃ nāma sadasaṃ vuccati. Sūcigharaṃ nāma sasūcikaṃ vā asūcikaṃ vā. Kāyabandhanaṃ nāma paṭṭikā vā sūkarantakaṃ vā. Apanidheyyāti apanetvā nidaheyya. Hasāpekkhoti hasādhippāyo. Pācittiyanti sayaṃ apanidhentassa pācittiyaṃ, aññaṃ āṇāpentassa āṇattiyā dukkaṭaṃ, tena apanihite itarassa pācittiyaṃ.

    สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย อารพฺภ อปนิธานวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, สาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อนุปสมฺปเนฺน ติกทุกฺกฎํ, วุตฺตปฺปการานิ ปน ปตฺตาทีนิ ฐเปตฺวา อญฺญํ ปริกฺขารํ อุปสมฺปนฺนสฺส วา อนุปสมฺปนฺนสฺส วา สนฺตกํ อปนิเธนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวฯ ทุนฺนิกฺขิตฺตํ ปฎิสาเมนฺตสฺส, ‘‘ธมฺมกถํ กตฺวา ทสฺสามี’’ติ ปฎิสาเมนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ อุปสมฺปนฺนสฺส สนฺตกานํ ปตฺตาทีนํ อปนิธานํ, วิเหเสตุกามตา วา หสาธิปฺปายตา วาติ อิมาเนตฺถ เทฺว องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานีติฯ

    Sāvatthiyaṃ chabbaggiye ārabbha apanidhānavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, sāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, anupasampanne tikadukkaṭaṃ, vuttappakārāni pana pattādīni ṭhapetvā aññaṃ parikkhāraṃ upasampannassa vā anupasampannassa vā santakaṃ apanidhentassa dukkaṭameva. Dunnikkhittaṃ paṭisāmentassa, ‘‘dhammakathaṃ katvā dassāmī’’ti paṭisāmentassa, ummattakādīnañca anāpatti. Upasampannassa santakānaṃ pattādīnaṃ apanidhānaṃ, vihesetukāmatā vā hasādhippāyatā vāti imānettha dve aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisānīti.

    อปนิธานสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Apanidhānasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.

    สุราปานวโคฺค ฉโฎฺฐฯ

    Surāpānavaggo chaṭṭho.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact