Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๘๙] ๖. สุรุจิชาตกวณฺณนา
[489] 6. Surucijātakavaṇṇanā
มเหสี สุรุจิโน ภริยาติ อิทํ สตฺถา สาวตฺถิํ อุปนิสฺสาย มิคารมาตุปาสาเท วิหรโนฺต วิสาขาย มหาอุปาสิกาย ลเทฺธ อฎฺฐ วเร อารพฺภ กเถสิฯ สา หิ เอกทิวสํ เชตวเน ธมฺมกถํ สุตฺวา ภควนฺตํ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆน สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา ปกฺกามิฯ ตสฺสา ปน รตฺติยา อจฺจเยน จาตุทฺทีปิโก มหาเมโฆ ปาวสฺสิ ฯ ภควา ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ‘‘ยถา, ภิกฺขเว, เชตวเน วสฺสติ, เอวํ จตูสุ ทีเปสุ วสฺสติ, โอวสฺสาเปถ, ภิกฺขเว, กายํ, อยํ ปจฺฉิมโก จาตุทฺทีปิโก มหาเมโฆ’’ติ วตฺวา โอวสฺสาปิตกาเยหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ อิทฺธิพเลน เชตวเน อนฺตรหิโต วิสาขาย โกฎฺฐเก ปาตุรโหสิฯ อุปาสิกา ‘‘อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภ, ตถาคตสฺส มหิทฺธิกตา มหานุภาวตา, ยตฺร หิ นาม ชาณุกมเตฺตสุปิ โอเฆสุ วตฺตมาเนสุ กฎิมเตฺตสุปิ โอเฆสุ วตฺตมาเนสุ น หิ นาม เอกภิกฺขุสฺสปิ ปาทา วา จีวรานิ วา อลฺลานิ ภวิสฺสนฺตี’’ติ หฎฺฐา อุทคฺคา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสิตฺวา กตภตฺตกิจฺจํ ภควนฺตํ เอตทโวจ ‘‘อฎฺฐาหํ, ภเนฺต, ภควนฺตํ วรานิ ยาจามี’’ติฯ ‘‘อติกฺกนฺตวรา โข, วิสาเข, ตถาคตา’’ติฯ ‘‘ยานิ จ, ภเนฺต, กปฺปิยานิ ยานิ จ อนวชฺชานี’’ติฯ ‘‘วเทหิ วิสาเข’’ติฯ ‘‘อิจฺฉามหํ, ภเนฺต, ภิกฺขุสงฺฆสฺส ยาวชีวํ วสฺสิกสาฎิกํ ทาตุํ, อาคนฺตุกภตฺตํ ทาตุํ, คมิกภตฺตํ ทาตุํ, คิลานภตฺตํ ทาตุํ, คิลานุปฎฺฐากภตฺตํ ทาตุํ, คิลานเภสชฺชํ ทาตุํ, ธุวยาคุํ ทาตุํ, ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส ยาวชีวํ อุทกสาฎิกํ ทาตุ’’นฺติฯ
Mahesīsurucino bhariyāti idaṃ satthā sāvatthiṃ upanissāya migāramātupāsāde viharanto visākhāya mahāupāsikāya laddhe aṭṭha vare ārabbha kathesi. Sā hi ekadivasaṃ jetavane dhammakathaṃ sutvā bhagavantaṃ saddhiṃ bhikkhusaṅghena svātanāya nimantetvā pakkāmi. Tassā pana rattiyā accayena cātuddīpiko mahāmegho pāvassi . Bhagavā bhikkhū āmantetvā ‘‘yathā, bhikkhave, jetavane vassati, evaṃ catūsu dīpesu vassati, ovassāpetha, bhikkhave, kāyaṃ, ayaṃ pacchimako cātuddīpiko mahāmegho’’ti vatvā ovassāpitakāyehi bhikkhūhi saddhiṃ iddhibalena jetavane antarahito visākhāya koṭṭhake pāturahosi. Upāsikā ‘‘acchariyaṃ vata bho, abbhutaṃ vata bho, tathāgatassa mahiddhikatā mahānubhāvatā, yatra hi nāma jāṇukamattesupi oghesu vattamānesu kaṭimattesupi oghesu vattamānesu na hi nāma ekabhikkhussapi pādā vā cīvarāni vā allāni bhavissantī’’ti haṭṭhā udaggā buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ parivisitvā katabhattakiccaṃ bhagavantaṃ etadavoca ‘‘aṭṭhāhaṃ, bhante, bhagavantaṃ varāni yācāmī’’ti. ‘‘Atikkantavarā kho, visākhe, tathāgatā’’ti. ‘‘Yāni ca, bhante, kappiyāni yāni ca anavajjānī’’ti. ‘‘Vadehi visākhe’’ti. ‘‘Icchāmahaṃ, bhante, bhikkhusaṅghassa yāvajīvaṃ vassikasāṭikaṃ dātuṃ, āgantukabhattaṃ dātuṃ, gamikabhattaṃ dātuṃ, gilānabhattaṃ dātuṃ, gilānupaṭṭhākabhattaṃ dātuṃ, gilānabhesajjaṃ dātuṃ, dhuvayāguṃ dātuṃ, bhikkhunisaṅghassa yāvajīvaṃ udakasāṭikaṃ dātu’’nti.
สตฺถา ‘‘กํ ปน ตฺวํ, วิสาเข, อตฺถวสํ สมฺปสฺสมานา ตถาคตํ อฎฺฐ วรานิ ยาจสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตาย วรานิสํเส กถิเต ‘‘สาธุ สาธุ, วิสาเข, สาธุ โข ตฺวํ, วิสาเข, อิมํ อานิสํสํ สมฺปสฺสมานา ตถาคตํ อฎฺฐ วรานิ ยาจสี’’ติ วตฺวา ‘‘อนุชานามิ เต, วิสาเข, อฎฺฐ วรานี’’ติ อฎฺฐ วเร ทตฺวา อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ อเถกทิวสํ สตฺถริ ปุพฺพาราเม วิหรเนฺต ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, วิสาขา มหาอุปาสิกา มาตุคามตฺตภาเว ฐตฺวาปิ ทสพลสฺส สนฺติเก อฎฺฐ วเร ลภิ, อโห มหาคุณา’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, วิสาขา อิทาเนว มม สนฺติกา วเร ลภติ, ปุเพฺพเปสา ลภิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Satthā ‘‘kaṃ pana tvaṃ, visākhe, atthavasaṃ sampassamānā tathāgataṃ aṭṭha varāni yācasī’’ti pucchitvā tāya varānisaṃse kathite ‘‘sādhu sādhu, visākhe, sādhu kho tvaṃ, visākhe, imaṃ ānisaṃsaṃ sampassamānā tathāgataṃ aṭṭha varāni yācasī’’ti vatvā ‘‘anujānāmi te, visākhe, aṭṭha varānī’’ti aṭṭha vare datvā anumodanaṃ katvā pakkāmi. Athekadivasaṃ satthari pubbārāme viharante bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, visākhā mahāupāsikā mātugāmattabhāve ṭhatvāpi dasabalassa santike aṭṭha vare labhi, aho mahāguṇā’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, visākhā idāneva mama santikā vare labhati, pubbepesā labhiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต มิถิลายํ สุรุจิ นาม ราชา รชฺชํ กาเรโนฺต ปุตฺตํ ปฎิลภิตฺวา ตสฺส ‘‘สุรุจิกุมาโร’’เตฺวว นามํ อกาสิฯ โส วยปฺปโตฺต ‘‘ตกฺกสิลายํ สิปฺปํ อุคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา นครทฺวาเร สาลายํ นิสีทิฯ พาราณสิรโญฺญปิ ปุโตฺต พฺรหฺมทตฺตกุมาโร นาม ตเถว คนฺตฺวา สุรุจิกุมารสฺส นิสินฺนผลเกเยว นิสีทิฯ เต อญฺญมญฺญํ ปุจฺฉิตฺวา วิสฺสาสิกา หุตฺวา เอกโตว อาจริยสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อาจริยภาคํ ทตฺวา สิปฺปํ ปฎฺฐเปตฺวา น จิรเสฺสว นิฎฺฐิตสิปฺปา อาจริยํ อาปุจฺฉิตฺวา โถกํ มคฺคํ เอกโตว คนฺตฺวา เทฺวธาปเถ ฐิตา อญฺญมญฺญํ อาลิงฺคิตฺวา มิตฺตธมฺมานุรกฺขณตฺถํ กติกํ กริํสุ ‘‘สเจ มม ปุโตฺต ชายติ, ตว ธีตา, ตว ปุโตฺต, มม ธีตา, เตสํ อาวาหวิวาหํ กริสฺสามา’’ติฯ เตสุ รชฺชํ กาเรเนฺตสุ สุรุจิมหาราชสฺส ปุโตฺต ชายิ, ‘‘สุรุจิกุมาโร’’เตฺววสฺส นามํ กริํสุฯ พฺรหฺมทตฺตสฺส ธีตา ชายิ, ‘‘สุเมธา’’ติสฺสา นามํ กริํสุฯ
Atīte mithilāyaṃ suruci nāma rājā rajjaṃ kārento puttaṃ paṭilabhitvā tassa ‘‘surucikumāro’’tveva nāmaṃ akāsi. So vayappatto ‘‘takkasilāyaṃ sippaṃ uggaṇhissāmī’’ti gantvā nagaradvāre sālāyaṃ nisīdi. Bārāṇasiraññopi putto brahmadattakumāro nāma tatheva gantvā surucikumārassa nisinnaphalakeyeva nisīdi. Te aññamaññaṃ pucchitvā vissāsikā hutvā ekatova ācariyassa santikaṃ gantvā ācariyabhāgaṃ datvā sippaṃ paṭṭhapetvā na cirasseva niṭṭhitasippā ācariyaṃ āpucchitvā thokaṃ maggaṃ ekatova gantvā dvedhāpathe ṭhitā aññamaññaṃ āliṅgitvā mittadhammānurakkhaṇatthaṃ katikaṃ kariṃsu ‘‘sace mama putto jāyati, tava dhītā, tava putto, mama dhītā, tesaṃ āvāhavivāhaṃ karissāmā’’ti. Tesu rajjaṃ kārentesu surucimahārājassa putto jāyi, ‘‘surucikumāro’’tvevassa nāmaṃ kariṃsu. Brahmadattassa dhītā jāyi, ‘‘sumedhā’’tissā nāmaṃ kariṃsu.
สุรุจิกุมาโร วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ คนฺตฺวา สิปฺปํ อุคฺคณฺหิตฺวา อาคจฺฉิฯ อถ นํ ปิตา รเชฺช อภิสิญฺจิตุกาโม หุตฺวา ‘‘สหายสฺส กิร เม พาราณสิรโญฺญ ธีตา อตฺถิ, ตเมวสฺส อคฺคมเหสิํ กริสฺสามี’’ติ ตสฺสา อตฺถาย พหุํ ปณฺณาการํ ทตฺวา อมเจฺจ เปเสสิฯ เตสํ อนาคตกาเลเยว พาราณสิราชา เทวิํ ปุจฺฉิ ‘‘ภเทฺท, มาตุคามสฺส นาม กิํ อติเรกทุกฺข’’นฺติ? ‘‘สปตฺติโรสทุกฺขํ เทวา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภเทฺท, อมฺหากํ เอกํ ธีตรํ สุเมธาเทวิํ ตมฺหา ทุกฺขา โมเจตฺวา โย เอตํ เอกิกเมว คณฺหิสฺสติ, ตสฺส ทสฺสามา’’ติ อาหฯ โส เตหิ อมเจฺจหิ อาคนฺตฺวา ตสฺสา นาเม คหิเต ‘‘ตาตา, กามํ มยา ปุเพฺพ มยฺหํ สหายสฺส ปฎิญฺญา กตา, อิมํ ปน มยํ อิตฺถิฆฎาย อนฺตเร น ขิปิตุกามา, โย เอตํ เอกิกเมว คณฺหาติ, ตสฺส ทาตุกามมฺหา’’ติ อาหฯ เต รโญฺญ สนฺติกํ ปหิณิํสุฯ ราชา ปน ‘‘อมฺหากํ รชฺชํ มหนฺตํ, สตฺตโยชนิกํ มิถิลนครํ, ตีณิ โยชนสตานิ รฎฺฐปริเจฺฉโท, เหฎฺฐิมเนฺตน โสฬส อิตฺถิสหสฺสานิ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา น โรเจสิฯ
Surucikumāro vayappatto takkasilāyaṃ gantvā sippaṃ uggaṇhitvā āgacchi. Atha naṃ pitā rajje abhisiñcitukāmo hutvā ‘‘sahāyassa kira me bārāṇasirañño dhītā atthi, tamevassa aggamahesiṃ karissāmī’’ti tassā atthāya bahuṃ paṇṇākāraṃ datvā amacce pesesi. Tesaṃ anāgatakāleyeva bārāṇasirājā deviṃ pucchi ‘‘bhadde, mātugāmassa nāma kiṃ atirekadukkha’’nti? ‘‘Sapattirosadukkhaṃ devā’’ti. ‘‘Tena hi, bhadde, amhākaṃ ekaṃ dhītaraṃ sumedhādeviṃ tamhā dukkhā mocetvā yo etaṃ ekikameva gaṇhissati, tassa dassāmā’’ti āha. So tehi amaccehi āgantvā tassā nāme gahite ‘‘tātā, kāmaṃ mayā pubbe mayhaṃ sahāyassa paṭiññā katā, imaṃ pana mayaṃ itthighaṭāya antare na khipitukāmā, yo etaṃ ekikameva gaṇhāti, tassa dātukāmamhā’’ti āha. Te rañño santikaṃ pahiṇiṃsu. Rājā pana ‘‘amhākaṃ rajjaṃ mahantaṃ, sattayojanikaṃ mithilanagaraṃ, tīṇi yojanasatāni raṭṭhaparicchedo, heṭṭhimantena soḷasa itthisahassāni laddhuṃ vaṭṭatī’’ti vatvā na rocesi.
สุรุจิกุมาโร ปน สุเมธาย รูปสมฺปทํ สุตฺวา สวนสํสเคฺคน พชฺฌิตฺวา ‘‘อหํ ตํ เอกิกเมว คณฺหิสฺสามิ, น มยฺหํ อิตฺถิฆฎาย อโตฺถ, ตเมว อาเนนฺตู’’ติ มาตาปิตูนํ เปเสสิฯ เต ตสฺส มนํ อภินฺทิตฺวา พหุํ ธนํ เปเสตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน ตํ อาเนตฺวา กุมารสฺส อคฺคมเหสิํ กตฺวา เอกโตว อภิสิญฺจิํสุฯ โส สุรุจิมหาราชา นาม หุตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรโนฺต ตาย สทฺธิํ ปิยสํวาสํ วสิฯ สา ปน ทส วสฺสสหสฺสานิ ตสฺส เคเห วสนฺตี เนว ปุตฺตํ, น ธีตรํ ลภิฯ อถ นาครา สนฺนิปติตฺวา ราชงฺคเณ อุปโกฺกสิตฺวา ‘‘กิเมต’’นฺติ วุเตฺต ‘‘รโญฺญ โทโส นตฺถิ, วํสานุปาลโก ปน โว ปุโตฺต น วิชฺชติ, ตุมฺหากํ เอกาว เทวี, ราชกุเล จ นาม เหฎฺฐิมเนฺตน โสฬสหิ อิตฺถิสหเสฺสหิ ภวิตพฺพํ, อิตฺถิฆฎํ คณฺห, เทว, อทฺธา ตาสุ ปุญฺญวตี ปุตฺตํ ลภิสฺสตี’’ติ วตฺวา ‘‘ตาตา, กิํ กเถถ, ‘อหํ อญฺญํ น คณฺหิสฺสามี’ติ ปฎิญฺญํ ทตฺวา มยา เอสา อานีตา, น สกฺกา มุสาวาทํ กาตุํ, น มยฺหํ อิตฺถิฆฎาย อโตฺถ’’ติ รญฺญา ปฎิกฺขิตฺตา ปกฺกมิํสุฯ
Surucikumāro pana sumedhāya rūpasampadaṃ sutvā savanasaṃsaggena bajjhitvā ‘‘ahaṃ taṃ ekikameva gaṇhissāmi, na mayhaṃ itthighaṭāya attho, tameva ānentū’’ti mātāpitūnaṃ pesesi. Te tassa manaṃ abhinditvā bahuṃ dhanaṃ pesetvā mahantena parivārena taṃ ānetvā kumārassa aggamahesiṃ katvā ekatova abhisiñciṃsu. So surucimahārājā nāma hutvā dhammena rajjaṃ kārento tāya saddhiṃ piyasaṃvāsaṃ vasi. Sā pana dasa vassasahassāni tassa gehe vasantī neva puttaṃ, na dhītaraṃ labhi. Atha nāgarā sannipatitvā rājaṅgaṇe upakkositvā ‘‘kimeta’’nti vutte ‘‘rañño doso natthi, vaṃsānupālako pana vo putto na vijjati, tumhākaṃ ekāva devī, rājakule ca nāma heṭṭhimantena soḷasahi itthisahassehi bhavitabbaṃ, itthighaṭaṃ gaṇha, deva, addhā tāsu puññavatī puttaṃ labhissatī’’ti vatvā ‘‘tātā, kiṃ kathetha, ‘ahaṃ aññaṃ na gaṇhissāmī’ti paṭiññaṃ datvā mayā esā ānītā, na sakkā musāvādaṃ kātuṃ, na mayhaṃ itthighaṭāya attho’’ti raññā paṭikkhittā pakkamiṃsu.
สุเมธา ตํ กถํ สุตฺวา ‘‘ราชา ตาว สจฺจวาทิตาย อญฺญา อิตฺถิโย น อาเนสิ, อหเมว ปนสฺส อาเนสฺสามี’’ติ รโญฺญ มาตุสมภริยฎฺฐาเน ฐตฺวา อตฺตโน รุจิยาว ขตฺติยกญฺญานํ สหสฺสํ, อมจฺจกญฺญานํ สหสฺสํ, คหปติกญฺญานํ สหสฺสํ, สพฺพสมยนาฎกิตฺถีนํ สหสฺสนฺติ จตฺตาริ อิตฺถิสหสฺสานิ อาเนสิฯ ตาปิ ทส วสฺสสหสฺสานิ ราชกุเล วสิตฺวา เนว ปุตฺตํ, น ธีตรํ ลภิํสุฯ เอเตเนวุปาเยน อปรานิปิ ติกฺขตฺตุํ จตฺตาริ จตฺตาริ สหสฺสานิ อาเนสิฯ ตาปิ เนว ปุตฺตํ, น ธีตรํ ลภิํสุฯ เอตฺตาวตา โสฬส อิตฺถิสหสฺสานิ อเหสุํฯ จตฺตาลีส วสฺสสหสฺสานิ อติกฺกมิํสุ, ตานิ ตาย เอกิกาย วุเตฺถหิ ทสหิ สหเสฺสหิ สทฺธิํ ปญฺญาส วสฺสสหสฺสานิ โหนฺติฯ อถ นาครา สนฺนิปติตฺวา ปุน อุปโกฺกสิตฺวา ‘‘กิเมต’’นฺติ วุเตฺต ‘‘เทว, ตุมฺหากํ อิตฺถิโย ปุตฺตํ ปเตฺถตุํ อาณาเปถา’’ติ วทิํสุฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘ตุเมฺห ปุตฺตํ ปเตฺถถา’’ติ อาหฯ ตา ตโต ปฎฺฐาย ปุตฺตํ ปตฺถยมานา นานาเทวตา นมสฺสนฺติ, นานาวตานิ จรนฺติ, ปุโตฺต นุปฺปชฺชเตวฯ อถ ราชา สุเมธํ อาห ‘‘ภเทฺท, ตฺวมฺปิ ปุตฺตํ ปเตฺถหี’’ติฯ สา ‘‘สาธู’’ติ ปนฺนรสอุโปสถทิวเส อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ สมาทาย สิริคเพฺภ สีลานิ อาวชฺชมานา กปฺปิยมญฺจเก นิสีทิ ฯ เสสา อชวตโควตา หุตฺวา ปุตฺตํ อลภิตฺวา อุยฺยานํ อคมํสุฯ
Sumedhā taṃ kathaṃ sutvā ‘‘rājā tāva saccavāditāya aññā itthiyo na ānesi, ahameva panassa ānessāmī’’ti rañño mātusamabhariyaṭṭhāne ṭhatvā attano ruciyāva khattiyakaññānaṃ sahassaṃ, amaccakaññānaṃ sahassaṃ, gahapatikaññānaṃ sahassaṃ, sabbasamayanāṭakitthīnaṃ sahassanti cattāri itthisahassāni ānesi. Tāpi dasa vassasahassāni rājakule vasitvā neva puttaṃ, na dhītaraṃ labhiṃsu. Etenevupāyena aparānipi tikkhattuṃ cattāri cattāri sahassāni ānesi. Tāpi neva puttaṃ, na dhītaraṃ labhiṃsu. Ettāvatā soḷasa itthisahassāni ahesuṃ. Cattālīsa vassasahassāni atikkamiṃsu, tāni tāya ekikāya vutthehi dasahi sahassehi saddhiṃ paññāsa vassasahassāni honti. Atha nāgarā sannipatitvā puna upakkositvā ‘‘kimeta’’nti vutte ‘‘deva, tumhākaṃ itthiyo puttaṃ patthetuṃ āṇāpethā’’ti vadiṃsu. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ‘‘tumhe puttaṃ patthethā’’ti āha. Tā tato paṭṭhāya puttaṃ patthayamānā nānādevatā namassanti, nānāvatāni caranti, putto nuppajjateva. Atha rājā sumedhaṃ āha ‘‘bhadde, tvampi puttaṃ patthehī’’ti. Sā ‘‘sādhū’’ti pannarasauposathadivase aṭṭhaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ samādāya sirigabbhe sīlāni āvajjamānā kappiyamañcake nisīdi . Sesā ajavatagovatā hutvā puttaṃ alabhitvā uyyānaṃ agamaṃsu.
สุเมธาย สีลเตเชน สกฺกสฺส ภวนํ กมฺปิฯ ตทา สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ‘‘สุเมธา ปุตฺตํ ปเตฺถติ, ปุตฺตมสฺสา ทสฺสามิ, น โข ปน สกฺกา ยํ วา ตํ วา ทาตุํ, อนุจฺฉวิกมสฺสา ปุตฺตํ อุปธาเรสฺสามี’’ติ อุปธาเรโนฺต นฬการเทวปุตฺตํ ปสฺสิฯ โส หิ ปุญฺญสมฺปโนฺน สโตฺต ปุริมตฺตภาเว พาราณสิยํ วสโนฺต วปฺปกาเล เขตฺตํ คจฺฉโนฺต เอกํ ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวา ทาสกมฺมกเร ‘‘วปถา’’ติ ปหิณิฯ สยํ นิวตฺติตฺวา ปเจฺจกพุทฺธํ เคหํ เนตฺวา โภเชตฺวา ปุน คงฺคาตีรํ อาเนตฺวา ปุเตฺตน สทฺธิํ เอกโต หุตฺวา อุทุมฺพรภิตฺติปาทํ นฬภิตฺติกํ ปณฺณสาลํ กตฺวา ทฺวารํ โยเชตฺวา จงฺกมํ กตฺวา ปเจฺจกพุทฺธํ ตเตฺถว เตมาสํ วสาเปตฺวา วุตฺถวสฺสํ เทฺว ปิตาปุตฺตา ติจีวเรน อจฺฉาเทตฺวา อุโยฺยเชสุํฯ เอเตเนว นิยาเมน สตฺตฎฺฐ ปเจฺจกพุเทฺธ ตาย ปณฺณสาลาย วสาเปตฺวา ติจีวรานิ อทํสุฯ ‘‘เทฺว ปิตาปุตฺตา นฬการา หุตฺวา คงฺคาตีเร เวฬุํ อุปธาเรนฺตา ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวา เอวมกํสู’’ติปิ วทนฺติเยวฯ
Sumedhāya sīlatejena sakkassa bhavanaṃ kampi. Tadā sakko āvajjento ‘‘sumedhā puttaṃ pattheti, puttamassā dassāmi, na kho pana sakkā yaṃ vā taṃ vā dātuṃ, anucchavikamassā puttaṃ upadhāressāmī’’ti upadhārento naḷakāradevaputtaṃ passi. So hi puññasampanno satto purimattabhāve bārāṇasiyaṃ vasanto vappakāle khettaṃ gacchanto ekaṃ paccekabuddhaṃ disvā dāsakammakare ‘‘vapathā’’ti pahiṇi. Sayaṃ nivattitvā paccekabuddhaṃ gehaṃ netvā bhojetvā puna gaṅgātīraṃ ānetvā puttena saddhiṃ ekato hutvā udumbarabhittipādaṃ naḷabhittikaṃ paṇṇasālaṃ katvā dvāraṃ yojetvā caṅkamaṃ katvā paccekabuddhaṃ tattheva temāsaṃ vasāpetvā vutthavassaṃ dve pitāputtā ticīvarena acchādetvā uyyojesuṃ. Eteneva niyāmena sattaṭṭha paccekabuddhe tāya paṇṇasālāya vasāpetvā ticīvarāni adaṃsu. ‘‘Dve pitāputtā naḷakārā hutvā gaṅgātīre veḷuṃ upadhārentā paccekabuddhaṃ disvā evamakaṃsū’’tipi vadantiyeva.
เต กาลํ กตฺวา ตาวติํสภวเน นิพฺพตฺติตฺวา ฉสุ กามาวจรสเคฺคสุ อนุโลมปฎิโลเมน มหนฺตํ เทวิสฺสริยํ อนุภวนฺตา วิจรนฺติฯ เต ตโต จวิตฺวา อุปริเทวโลเก นิพฺพตฺติตุกามา โหนฺติฯ สโกฺก ตถา คตภาวํ ญตฺวา เตสุ เอกสฺส วิมานทฺวารํ คนฺตฺวา ตํ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ฐิตํ อาห – ‘‘มาริส, ตยา มนุสฺสโลกํ คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘มหาราช, มนุสฺสโลโก นาม เชคุโจฺฉ ปฎิกูโล, ตตฺถ ฐิตา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา เทวโลกํ ปเตฺถนฺติ, ตตฺถ คนฺตฺวา กิํ กริสฺสามี’’ติฯ ‘‘มาริส, เทวโลเก ปริภุญฺชิตพฺพสมฺปตฺติํ มนุสฺสโลเก ปริภุญฺชิสฺสสิ, ปญฺจวีสติโยชนุเพฺพเธ นวโยชนอายาเม อฎฺฐโยชนวิตฺถาเร รตนปาสาเท วสิสฺสสิ, อธิวาเสหี’’ติฯ โส อธิวาเสสิฯ สโกฺก ตสฺส ปฎิญฺญํ คเหตฺวา อิสิเวเสน ราชุยฺยานํ คนฺตฺวา ตาสํ อิตฺถีนํ อุปริ อากาเส จงฺกมโนฺต อตฺตานํ ทเสฺสตฺวา ‘‘กสฺสาหํ ปุตฺตวรํ ทมฺมิ, กา ปุตฺตวรํ คณฺหิสฺสตี’’ติ อาหฯ ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ เทหิ, มยฺหํ เทหี’’ติ โสฬส อิตฺถิสหสฺสานิ หเตฺถ อุกฺขิปิํสุฯ ตโต สโกฺก อาห – ‘‘อหํ สีลวตีนํ ปุตฺตํ ทมฺมิ, ตุมฺหากํ กิํ สีลํ, โก อาจาโร’’ติฯ ตา อุกฺขิตฺตหเตฺถ สมญฺฉิตฺวา ‘‘สเจ สีลวติยา ทาตุกาโม, สุเมธาย สนฺติกํ คจฺฉาหี’’ติ วทิํสุฯ โส อากาเสเนว คนฺตฺวา ตสฺสา วาสาคาเร สีหปญฺชเร อฎฺฐาสิฯ
Te kālaṃ katvā tāvatiṃsabhavane nibbattitvā chasu kāmāvacarasaggesu anulomapaṭilomena mahantaṃ devissariyaṃ anubhavantā vicaranti. Te tato cavitvā uparidevaloke nibbattitukāmā honti. Sakko tathā gatabhāvaṃ ñatvā tesu ekassa vimānadvāraṃ gantvā taṃ āgantvā vanditvā ṭhitaṃ āha – ‘‘mārisa, tayā manussalokaṃ gantuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Mahārāja, manussaloko nāma jeguccho paṭikūlo, tattha ṭhitā dānādīni puññāni katvā devalokaṃ patthenti, tattha gantvā kiṃ karissāmī’’ti. ‘‘Mārisa, devaloke paribhuñjitabbasampattiṃ manussaloke paribhuñjissasi, pañcavīsatiyojanubbedhe navayojanaāyāme aṭṭhayojanavitthāre ratanapāsāde vasissasi, adhivāsehī’’ti. So adhivāsesi. Sakko tassa paṭiññaṃ gahetvā isivesena rājuyyānaṃ gantvā tāsaṃ itthīnaṃ upari ākāse caṅkamanto attānaṃ dassetvā ‘‘kassāhaṃ puttavaraṃ dammi, kā puttavaraṃ gaṇhissatī’’ti āha. ‘‘Bhante, mayhaṃ dehi, mayhaṃ dehī’’ti soḷasa itthisahassāni hatthe ukkhipiṃsu. Tato sakko āha – ‘‘ahaṃ sīlavatīnaṃ puttaṃ dammi, tumhākaṃ kiṃ sīlaṃ, ko ācāro’’ti. Tā ukkhittahatthe samañchitvā ‘‘sace sīlavatiyā dātukāmo, sumedhāya santikaṃ gacchāhī’’ti vadiṃsu. So ākāseneva gantvā tassā vāsāgāre sīhapañjare aṭṭhāsi.
อถสฺสา ตา อิตฺถิโย อาโรเจสุํ ‘‘เอถ, เทวิ, สโกฺก เทวราชา ‘ตุมฺหากํ ปุตฺตวรํ ทสฺสามี’ติ อากาเสนาคนฺตฺวา สีหปญฺชเร ฐิโต’’ติฯ สา ครุปริหาเรนาคนฺตฺวา สีหปญฺชรํ อุคฺฆาเฎตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร, ภเนฺต, ตุเมฺห สีลวติยา ปุตฺตวรํ เทถา’’ติ อาหฯ ‘‘อาม เทวี’’ติฯ ‘‘เตน หิ มยฺหํ เทถา’’ติฯ ‘‘กิํ ปน เต สีลํ, กเถหิ, สเจ เม รุจฺจติ, ทสฺสามิ เต ปุตฺตวร’’นฺติฯ สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘เตน หิ สุณาหี’’ติ วตฺวา อตฺตโน สีลคุณํ กเถนฺตี ปนฺนรส คาถา อภาสิ –
Athassā tā itthiyo ārocesuṃ ‘‘etha, devi, sakko devarājā ‘tumhākaṃ puttavaraṃ dassāmī’ti ākāsenāgantvā sīhapañjare ṭhito’’ti. Sā garuparihārenāgantvā sīhapañjaraṃ ugghāṭetvā ‘‘saccaṃ kira, bhante, tumhe sīlavatiyā puttavaraṃ dethā’’ti āha. ‘‘Āma devī’’ti. ‘‘Tena hi mayhaṃ dethā’’ti. ‘‘Kiṃ pana te sīlaṃ, kathehi, sace me ruccati, dassāmi te puttavara’’nti. Sā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘tena hi suṇāhī’’ti vatvā attano sīlaguṇaṃ kathentī pannarasa gāthā abhāsi –
๑๐๒.
102.
‘‘มเหสี สุรุจิโน ภริยา, อานีตา ปฐมํ อหํ;
‘‘Mahesī surucino bhariyā, ānītā paṭhamaṃ ahaṃ;
ทส วสฺสสหสฺสานิ, ยํ มํ สุรุจิมานยิฯ
Dasa vassasahassāni, yaṃ maṃ surucimānayi.
๑๐๓.
103.
‘‘สาหํ พฺราหฺมณ ราชานํ, เวเทหํ มิถิลคฺคหํ;
‘‘Sāhaṃ brāhmaṇa rājānaṃ, vedehaṃ mithilaggahaṃ;
นาภิชานามิ กาเยน, วาจาย อุท เจตสา;
Nābhijānāmi kāyena, vācāya uda cetasā;
สุรุจิํ อติมญฺญิตฺถ, อาวิ วา ยทิ วา รโหฯ
Suruciṃ atimaññittha, āvi vā yadi vā raho.
๑๐๔.
104.
‘‘เอเตน สจฺจวเชฺชน, ปุโตฺต อุปฺปชฺชตํ อิเส;
‘‘Etena saccavajjena, putto uppajjataṃ ise;
มุสา เม ภณมานาย, มุทฺธา ผลตุ สตฺตธาฯ
Musā me bhaṇamānāya, muddhā phalatu sattadhā.
๑๐๕.
105.
‘‘ภตฺตุ มม สสฺสุ มาตา, ปิตา จาปิ จ สสฺสุโร;
‘‘Bhattu mama sassu mātā, pitā cāpi ca sassuro;
เต มํ พฺรเหฺม วิเนตาโร, ยาว อฎฺฐํสุ ชีวิตํฯ
Te maṃ brahme vinetāro, yāva aṭṭhaṃsu jīvitaṃ.
๑๐๖.
106.
‘‘สาหํ อหิํสารตินี, กามสา ธมฺมจารินี;
‘‘Sāhaṃ ahiṃsāratinī, kāmasā dhammacārinī;
สกฺกจฺจํ เต อุปฎฺฐาสิํ, รตฺตินฺทิวมตนฺทิตาฯ
Sakkaccaṃ te upaṭṭhāsiṃ, rattindivamatanditā.
๑๐๗.
107.
‘‘เอเตน สจฺจวเชฺชน, ปุโตฺต อุปฺปชฺชตํ อิเส;
‘‘Etena saccavajjena, putto uppajjataṃ ise;
มุสา เม ภณมานาย, มุทฺธา ผลตุ สตฺตธาฯ
Musā me bhaṇamānāya, muddhā phalatu sattadhā.
๑๐๘.
108.
‘‘โสฬสิตฺถิสหสฺสานิ , สหภริยานิ พฺราหฺมณ;
‘‘Soḷasitthisahassāni , sahabhariyāni brāhmaṇa;
ตาสุ อิสฺสา วา โกโธ วา, นาหุ มยฺหํ กุทาจนํฯ
Tāsu issā vā kodho vā, nāhu mayhaṃ kudācanaṃ.
๑๐๙.
109.
‘‘หิเตน ตาสํ นนฺทามิ, น จ เม กาจิ อปฺปิยา;
‘‘Hitena tāsaṃ nandāmi, na ca me kāci appiyā;
อตฺตานํวานุกมฺปามิ, สทา สพฺพา สปตฺติโยฯ
Attānaṃvānukampāmi, sadā sabbā sapattiyo.
๑๑๐.
110.
‘‘เอเตน สจฺจวเชฺชน, ปุโตฺต อุปฺปชฺชตํ อิเส;
‘‘Etena saccavajjena, putto uppajjataṃ ise;
มุสา เม ภณมานาย, มุทฺธา ผลตุ สตฺตธาฯ
Musā me bhaṇamānāya, muddhā phalatu sattadhā.
๑๑๑.
111.
‘‘ทาเส กมฺมกเร เปเสฺส, เย จเญฺญ อนุชีวิโน;
‘‘Dāse kammakare pesse, ye caññe anujīvino;
เปเสมิ สหธเมฺมน, สทา ปมุทิตินฺทฺริยาฯ
Pesemi sahadhammena, sadā pamuditindriyā.
๑๑๒.
112.
‘‘เอเตน สจฺจวเชฺชน, ปุโตฺต อุปฺปชฺชตํ อิเส;
‘‘Etena saccavajjena, putto uppajjataṃ ise;
มุสา เม ภณมานาย, มุทฺธา ผลตุ สตฺตธาฯ
Musā me bhaṇamānāya, muddhā phalatu sattadhā.
๑๑๓.
113.
‘‘สมเณ พฺราหฺมเณ จาปิ, อเญฺญ จาปิ วนิพฺพเก;
‘‘Samaṇe brāhmaṇe cāpi, aññe cāpi vanibbake;
ตเปฺปมิ อนฺนปาเนน, สทา ปยตปาณินีฯ
Tappemi annapānena, sadā payatapāṇinī.
๑๑๔.
114.
‘‘เอเตน สจฺจวเชฺชน, ปุโตฺต อุปฺปชฺชตํ อิเส;
‘‘Etena saccavajjena, putto uppajjataṃ ise;
มุสา เม ภณมานาย, มุทฺธา ผลตุ สตฺตธาฯ
Musā me bhaṇamānāya, muddhā phalatu sattadhā.
๑๑๕.
115.
‘‘จาตุทฺทสิํ ปญฺจทฺทสิํ, ยา จ ปกฺขสฺส อฎฺฐมี;
‘‘Cātuddasiṃ pañcaddasiṃ, yā ca pakkhassa aṭṭhamī;
ปาฎิหาริยปกฺขญฺจ, อฎฺฐงฺคสุสมาคตํ;
Pāṭihāriyapakkhañca, aṭṭhaṅgasusamāgataṃ;
อุโปสถํ อุปวสามิ, สทา สีเลสุ สํวุตาฯ
Uposathaṃ upavasāmi, sadā sīlesu saṃvutā.
๑๑๖.
116.
‘‘เอเตน สจฺจวเชฺชน, ปุโตฺต อุปฺปชฺชตํ อิเส;
‘‘Etena saccavajjena, putto uppajjataṃ ise;
มุสา เม ภณมานาย, มุทฺธา ผลตุ สตฺตธา’’ติฯ
Musā me bhaṇamānāya, muddhā phalatu sattadhā’’ti.
ตตฺถ มเหสีติ อคฺคมเหสีฯ สุรุจิโนติ สุรุจิรโญฺญฯ ปฐมนฺติ โสฬสนฺนํ อิตฺถิสหสฺสานํ สพฺพปฐมํฯ ยํ มนฺติ ยสฺมิํ กาเล มํ สุรุจิ อานยิ, ตโต ปฎฺฐาย อหํ ทส วสฺสสหสฺสานิ เอกิกาว อิมสฺมิํ เคเห วสิํฯ อติมญฺญิตฺถาติ มุหุตฺตมฺปิ สมฺมุขา วา ปรมฺมุขา วา อติมญฺญินฺติ อิทํ อติกฺกมิตฺวา มญฺญนํ น ชานามิ น สรามิฯ อิเสติ ตํ อาลปติฯ
Tattha mahesīti aggamahesī. Surucinoti surucirañño. Paṭhamanti soḷasannaṃ itthisahassānaṃ sabbapaṭhamaṃ. Yaṃ manti yasmiṃ kāle maṃ suruci ānayi, tato paṭṭhāya ahaṃ dasa vassasahassāni ekikāva imasmiṃ gehe vasiṃ. Atimaññitthāti muhuttampi sammukhā vā parammukhā vā atimaññinti idaṃ atikkamitvā maññanaṃ na jānāmi na sarāmi. Iseti taṃ ālapati.
เต มนฺติ สสุโร จ สสฺสุ จาติ เต อุโภปิ มํ วิเนตาโร, เตหิ วินีตา อมฺหิ, เต เม ยาว ชีวิํสุ, ตาว โอวาทมทํสุฯ อหิํสารตินีติ อหิํสาสงฺขาตาย รติยา สมนฺนาคตาฯ มยา หิ กุนฺถกิปิลฺลิโกปิ น หิํสิตปุโพฺพฯ กามสาติ เอกเนฺตเนวฯ ธมฺมจารินีติ ทสกุสลกมฺมปเถสุ ปูเรมิฯ อุปฎฺฐาสินฺติ ปาทปริกมฺมาทีนิ กิจฺจานิ กโรนฺตี อุปฎฺฐหิํฯ
Temanti sasuro ca sassu cāti te ubhopi maṃ vinetāro, tehi vinītā amhi, te me yāva jīviṃsu, tāva ovādamadaṃsu. Ahiṃsāratinīti ahiṃsāsaṅkhātāya ratiyā samannāgatā. Mayā hi kunthakipillikopi na hiṃsitapubbo. Kāmasāti ekanteneva. Dhammacārinīti dasakusalakammapathesu pūremi. Upaṭṭhāsinti pādaparikammādīni kiccāni karontī upaṭṭhahiṃ.
สหภริยานีติ มยา สห เอกสามิกสฺส ภริยภูตานิฯ นาหูติ กิเลสํ นิสฺสาย อิสฺสาธโมฺม วา โกธธโมฺม วา มยฺหํ น ภูตปุโพฺพฯ หิเตนาติ ยํ ตาสํ หิตํ, เตเนว นนฺทามิ, อุเร วุตฺถธีตโร วิย ตา ทิสฺวา ตุสฺสามิฯ กาจีติ ตาสุ เอกาปิ มยฺหํ อปฺปิยา นาม นตฺถิ, สพฺพาปิ ปิยกาเยวฯ อนุกมฺปามีติ มุทุจิเตฺตน สพฺพา โสฬสสหสฺสาปิ ตา อตฺตานํ วิย อนุกมฺปามิฯ
Sahabhariyānīti mayā saha ekasāmikassa bhariyabhūtāni. Nāhūti kilesaṃ nissāya issādhammo vā kodhadhammo vā mayhaṃ na bhūtapubbo. Hitenāti yaṃ tāsaṃ hitaṃ, teneva nandāmi, ure vutthadhītaro viya tā disvā tussāmi. Kācīti tāsu ekāpi mayhaṃ appiyā nāma natthi, sabbāpi piyakāyeva. Anukampāmīti muducittena sabbā soḷasasahassāpi tā attānaṃ viya anukampāmi.
สหธเมฺมนาติ นเยน การเณน โย ยํ กาตุํ สโกฺกติ, ตํ ตสฺมิํ กเมฺม ปโยเชมีติ อโตฺถฯ ปมุทิตินฺทฺริยาติ เปเสนฺตี จ นิจฺจํ ปมุทิตินฺทฺริยาว หุตฺวา เปเสมิ, ‘‘อเร ทุฎฺฐ ทาส อิทํ นาม กโรหี’ติ เอวํ กุชฺฌิตฺวา น เม โกจิ กตฺถจิ เปสิตปุโพฺพฯ ปยตปาณินีติ โธตหตฺถา ปสาริตหตฺถาว หุตฺวาฯ ปาฎิหาริยปกฺขญฺจาติ อฎฺฐมีจาตุทฺทสีปนฺนรสีนํ ปจฺจุคฺคมนานุคฺคมนวเสน จตฺตาโร ทิวสาฯ สทาติ นิจฺจกาลํ ปญฺจสุ สีเลสุ สํวุตา, เตหิ ปิหิตโคปิตตฺตภาวาว โหมีติฯ
Sahadhammenāti nayena kāraṇena yo yaṃ kātuṃ sakkoti, taṃ tasmiṃ kamme payojemīti attho. Pamuditindriyāti pesentī ca niccaṃ pamuditindriyāva hutvā pesemi, ‘‘are duṭṭha dāsa idaṃ nāma karohī’ti evaṃ kujjhitvā na me koci katthaci pesitapubbo. Payatapāṇinīti dhotahatthā pasāritahatthāva hutvā. Pāṭihāriyapakkhañcāti aṭṭhamīcātuddasīpannarasīnaṃ paccuggamanānuggamanavasena cattāro divasā. Sadāti niccakālaṃ pañcasu sīlesu saṃvutā, tehi pihitagopitattabhāvāva homīti.
เอวํ ตสฺสา คาถาย สเตนปิ สหเสฺสนปิ วณฺณิยมานานํ คุณานํ ปมาณํ นาม นตฺถิ, ตาย ปนฺนรสหิ คาถาหิ อตฺตโน คุณานํ วณฺณิตกาเลเยว สโกฺก อตฺตโน พหุกรณียตาย ตสฺสา กถํ อวิจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘ปหูตา อพฺภุตาเยว เต คุณา’’ติ ตํ ปสํสโนฺต คาถาทฺวยมาห –
Evaṃ tassā gāthāya satenapi sahassenapi vaṇṇiyamānānaṃ guṇānaṃ pamāṇaṃ nāma natthi, tāya pannarasahi gāthāhi attano guṇānaṃ vaṇṇitakāleyeva sakko attano bahukaraṇīyatāya tassā kathaṃ avicchinditvā ‘‘pahūtā abbhutāyeva te guṇā’’ti taṃ pasaṃsanto gāthādvayamāha –
๑๑๗.
117.
‘‘สเพฺพว เต ธมฺมคุณา, ราชปุตฺติ ยสสฺสินิ;
‘‘Sabbeva te dhammaguṇā, rājaputti yasassini;
สํวิชฺชนฺติ ตยิ ภเทฺท, เย ตฺวํ กิเตฺตสิ อตฺตนิฯ
Saṃvijjanti tayi bhadde, ye tvaṃ kittesi attani.
๑๑๘.
118.
‘‘ขตฺติโย ชาติสมฺปโนฺน, อภิชาโต ยสสฺสิมา;
‘‘Khattiyo jātisampanno, abhijāto yasassimā;
ธมฺมราชา วิเทหานํ, ปุโตฺต อุปฺปชฺชเต ตวา’’ติฯ
Dhammarājā videhānaṃ, putto uppajjate tavā’’ti.
ตตฺถ ธมฺมคุณาติ สภาวคุณา ภูตคุณาฯ สํวิชฺชนฺตีติ เย ตยา วุตฺตา, เต สเพฺพว ตยิ อุปลพฺภนฺติฯ อภิชาโตติ อติชาโต สุทฺธชาโตฯ ยสสฺสิมาติ ยสสมฺปเนฺนน ปริวารสมฺปเนฺนน สมนฺนาคโตฯ อุปฺปชฺชเตติ เอวรูโป ปุโตฺต ตว อุปฺปชฺชิสฺสติ, มา จินฺตยีติฯ
Tattha dhammaguṇāti sabhāvaguṇā bhūtaguṇā. Saṃvijjantīti ye tayā vuttā, te sabbeva tayi upalabbhanti. Abhijātoti atijāto suddhajāto. Yasassimāti yasasampannena parivārasampannena samannāgato. Uppajjateti evarūpo putto tava uppajjissati, mā cintayīti.
สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา โสมนสฺสชาตา ตํ ปุจฺฉนฺตี เทฺว คาถา อภาสิ –
Sā tassa vacanaṃ sutvā somanassajātā taṃ pucchantī dve gāthā abhāsi –
๑๑๙.
119.
‘‘ทุมฺมี รโชชลฺลธโร, อเฆ เวหายสํ ฐิโต;
‘‘Dummī rajojalladharo, aghe vehāyasaṃ ṭhito;
มนุญฺญํ ภาสเส วาจํ, ยํ มยฺหํ หทยงฺคมํฯ
Manuññaṃ bhāsase vācaṃ, yaṃ mayhaṃ hadayaṅgamaṃ.
๑๒๐.
120.
‘‘เทวตานุสิ สคฺคมฺหา, อิสิ วาสิ มหิทฺธิโก;
‘‘Devatānusi saggamhā, isi vāsi mahiddhiko;
โก วาสิ ตฺวํ อนุปฺปโตฺต, อตฺตานํ เม ปเวทยา’’ติฯ
Ko vāsi tvaṃ anuppatto, attānaṃ me pavedayā’’ti.
ตตฺถ ทุมฺมีติ อนญฺชิตามณฺฑิโต สโกฺก อาคจฺฉโนฺต รมณีเยน ตาปสเวเสน อาคโต, ปพฺพชิตเวเสน อาคตตฺตา ปน สา เอวมาหฯ อเฆติ อปฺปฎิเฆ ฐาเนฯ ยํ มยฺหนฺติ ยํ เอตํ มนุญฺญํ วาจํ มยฺหํ ภาสสิ, ตํ ภาสมาโน ตฺวํ เทวตานุสิ สคฺคมฺหา อิธาคโตฯ อิสิ วาสิ มหิทฺธิโกติ ยกฺขาทีสุ โก วา ตฺวํ อสิ อิธานุปฺปโตฺต, อตฺตานํ เม ปเวทย, ยถาภูตํ กเถหีติ วทติฯ
Tattha dummīti anañjitāmaṇḍito sakko āgacchanto ramaṇīyena tāpasavesena āgato, pabbajitavesena āgatattā pana sā evamāha. Agheti appaṭighe ṭhāne. Yaṃ mayhanti yaṃ etaṃ manuññaṃ vācaṃ mayhaṃ bhāsasi, taṃ bhāsamāno tvaṃ devatānusi saggamhā idhāgato. Isi vāsi mahiddhikoti yakkhādīsu ko vā tvaṃ asi idhānuppatto, attānaṃ me pavedaya, yathābhūtaṃ kathehīti vadati.
สโกฺก ตสฺสา กเถโนฺต ฉ คาถา อภาสิ –
Sakko tassā kathento cha gāthā abhāsi –
๑๒๑.
121.
‘‘ยํ เทวสงฺฆา วนฺทนฺติ, สุธมฺมายํ สมาคตา;
‘‘Yaṃ devasaṅghā vandanti, sudhammāyaṃ samāgatā;
โสหํ สโกฺก สหสฺสโกฺข, อาคโตสฺมิ ตวนฺติเกฯ
Sohaṃ sakko sahassakkho, āgatosmi tavantike.
๑๒๒.
122.
‘‘อิตฺถิโย ชีวโลกสฺมิํ, ยา โหติ สมจารินี;
‘‘Itthiyo jīvalokasmiṃ, yā hoti samacārinī;
เมธาวินี สีลวตี, สสฺสุเทวา ปติพฺพตาฯ
Medhāvinī sīlavatī, sassudevā patibbatā.
๑๒๓.
123.
‘‘ตาทิสาย สุเมธาย, สุจิกมฺมาย นาริยา;
‘‘Tādisāya sumedhāya, sucikammāya nāriyā;
เทวา ทสฺสนมายนฺติ, มานุสิยา อมานุสาฯ
Devā dassanamāyanti, mānusiyā amānusā.
๑๒๔.
124.
‘‘ตฺวญฺจ ภเทฺท สุจิเณฺณน, ปุเพฺพ สุจริเตน จ;
‘‘Tvañca bhadde suciṇṇena, pubbe sucaritena ca;
อิธ ราชกุเล ชาตา, สพฺพกามสมิทฺธินีฯ
Idha rājakule jātā, sabbakāmasamiddhinī.
๑๒๕.
125.
‘‘อยญฺจ เต ราชปุตฺติ, อุภยตฺถ กฎคฺคโห;
‘‘Ayañca te rājaputti, ubhayattha kaṭaggaho;
เทวโลกูปปตฺตี จ, กิตฺตี จ อิธ ชีวิเตฯ
Devalokūpapattī ca, kittī ca idha jīvite.
๑๒๖.
126.
‘‘จิรํ สุเมเธ สุขินี, ธมฺมมตฺตนิ ปาลย;
‘‘Ciraṃ sumedhe sukhinī, dhammamattani pālaya;
เอสาหํ ติทิวํ ยามิ, ปิยํ เม ตว ทสฺสน’’นฺติฯ
Esāhaṃ tidivaṃ yāmi, piyaṃ me tava dassana’’nti.
ตตฺถ สหสฺสโกฺขติ อตฺถสหสฺสสฺส ตํมุหุตฺตํ ทสฺสนวเสน สหสฺสโกฺขฯ อิตฺถิโยติ อิตฺถีฯ สมจารินีติ ตีหิ ทฺวาเรหิ สมจริยาย สมนฺนาคตาฯ ตาทิสายาติ ตถารูปายฯ สุเมธายาติ สุปญฺญายฯ อุภยตฺถ กฎคฺคโหติ อยํ ตว อิมสฺมิญฺจ อตฺตภาเว อนาคเต จ ชยคฺคาโหฯ เตสุ อนาคเต เทวโลกุปฺปตฺติ จ อิธ ชีวิเต ปวตฺตมาเน กิตฺติ จาติ อยํ อุภยตฺถ กฎคฺคโห นามฯ ธมฺมนฺติ เอวํ สภาวคุณํ จิรํ อตฺตนิ ปาลยฯ เอสาหนฺติ เอโส อหํฯ ปิยํ เมติ มยฺหํ ตว ทสฺสนํ ปิยํฯ
Tattha sahassakkhoti atthasahassassa taṃmuhuttaṃ dassanavasena sahassakkho. Itthiyoti itthī. Samacārinīti tīhi dvārehi samacariyāya samannāgatā. Tādisāyāti tathārūpāya. Sumedhāyāti supaññāya. Ubhayattha kaṭaggahoti ayaṃ tava imasmiñca attabhāve anāgate ca jayaggāho. Tesu anāgate devalokuppatti ca idha jīvite pavattamāne kitti cāti ayaṃ ubhayattha kaṭaggaho nāma. Dhammanti evaṃ sabhāvaguṇaṃ ciraṃ attani pālaya. Esāhanti eso ahaṃ. Piyaṃ meti mayhaṃ tava dassanaṃ piyaṃ.
เทวโลเก ปน เม กิจฺจกรณียํ อตฺถิ, ตสฺมา คจฺฉามิ, ตฺวํ อปฺปมตฺตา โหหีติ ตสฺสา โอวาทํ ทตฺวา ปกฺกามิฯ นฬการเทวปุโตฺต ปน ปจฺจูสกาเล จวิตฺวา ตสฺสา กุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ สา คพฺภสฺส ปติฎฺฐิตภาวํ ญตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิ, ราชา คพฺภสฺส ปริหารํ อทาสิฯ สา ทสมาสจฺจเยน ปุตฺตํ วิชายิ, ‘‘มหาปนาโท’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ อุภยรฎฺฐวาสิโน ‘‘สามิปุตฺตสฺส โน ขีรมูล’’นฺติ เอเกกํ กหาปณํ ราชงฺคเณ ขิปิํสุ, มหาธนราสิ อโหสิฯ รญฺญา ปฎิกฺขิตฺตาปิ ‘‘สามิปุตฺตสฺส โน วฑฺฒิตกาเล ปริพฺพโย ภวิสฺสตี’’ติ อคฺคเหตฺวาว ปกฺกมิํสุฯ กุมาโร ปน มหาปริวาเรน วฑฺฒิตฺวา วยปฺปโตฺต โสฬสวสฺสกาเลเยว สพฺพสิเปฺปสุ นิปฺผตฺติํ ปาปุณิฯ ราชา ปุตฺตสฺส วยํ โอโลเกตฺวา เทวิํ อาห – ‘‘ภเทฺท, ปุตฺตสฺส เม รชฺชาภิเสกกาโล, รมณียมสฺส ปาสาทํ กาเรตฺวา อภิเสกํ กริสฺสามี’’ติฯ สา ‘‘สาธุ เทวา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ราชา วตฺถุวิชฺชาจริเย ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาตา, วฑฺฒกิํ คเหตฺวา อมฺหากํ นิเวสนโต อวิทูเร ปุตฺตสฺส เม ปาสาทํ มาเปถ, รเชฺชน นํ อภิสิญฺจิสฺสามา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ ภูมิปฺปเทสํ วีมํสนฺติฯ
Devaloke pana me kiccakaraṇīyaṃ atthi, tasmā gacchāmi, tvaṃ appamattā hohīti tassā ovādaṃ datvā pakkāmi. Naḷakāradevaputto pana paccūsakāle cavitvā tassā kucchiyaṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Sā gabbhassa patiṭṭhitabhāvaṃ ñatvā rañño ārocesi, rājā gabbhassa parihāraṃ adāsi. Sā dasamāsaccayena puttaṃ vijāyi, ‘‘mahāpanādo’’tissa nāmaṃ kariṃsu. Ubhayaraṭṭhavāsino ‘‘sāmiputtassa no khīramūla’’nti ekekaṃ kahāpaṇaṃ rājaṅgaṇe khipiṃsu, mahādhanarāsi ahosi. Raññā paṭikkhittāpi ‘‘sāmiputtassa no vaḍḍhitakāle paribbayo bhavissatī’’ti aggahetvāva pakkamiṃsu. Kumāro pana mahāparivārena vaḍḍhitvā vayappatto soḷasavassakāleyeva sabbasippesu nipphattiṃ pāpuṇi. Rājā puttassa vayaṃ oloketvā deviṃ āha – ‘‘bhadde, puttassa me rajjābhisekakālo, ramaṇīyamassa pāsādaṃ kāretvā abhisekaṃ karissāmī’’ti. Sā ‘‘sādhu devā’’ti sampaṭicchi. Rājā vatthuvijjācariye pakkosāpetvā ‘‘tātā, vaḍḍhakiṃ gahetvā amhākaṃ nivesanato avidūre puttassa me pāsādaṃ māpetha, rajjena naṃ abhisiñcissāmā’’ti āha. Te ‘‘sādhu, devā’’ti bhūmippadesaṃ vīmaṃsanti.
ตสฺมิํ ขเณ สกฺกสฺส ภวนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ โส ตํ การณํ ญตฺวา วิสฺสกมฺมํ อามเนฺตตฺวา ‘‘คจฺฉ, ตาต, มหาปนาทกุมารสฺส อายาเมน นวโยชนิกํ, วิตฺถารโต อฎฺฐโยชนิกํ, อุเพฺพเธน ปญฺจวีสติโยชนิกํ, รตนปาสาทํ มาเปหี’’ติ เปเสสิฯ โส วฑฺฒกีเวเสน วฑฺฒกีนํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ตุเมฺห ปาตราสํ ภุญฺชิตฺวา เอถา’’ติ เต เปเสตฺวา ทณฺฑเกน ภูมิํ ปหริ, ตาวเทว วุตฺตปฺปกาโร สตฺตภูมิโก ปาสาโท อุฎฺฐหิฯ มหาปนาทสฺส ปาสาทมงฺคลํ, ฉตฺตมงฺคลํ, อาวาหมงฺคลนฺติ ตีณิ มงฺคลานิ เอกโตว อเหสุํฯ มงฺคลฎฺฐาเน อุภยรฎฺฐวาสิโน สนฺนิปติตฺวา มงฺคลจฺฉเณน สตฺต วสฺสานิ วีตินาเมสุํฯ เนว เน ราชา อุโยฺยเชสิ, เตสํ วตฺถาลงฺการขาทนียโภชนียาทิ สพฺพํ ราชกุลสนฺตกเมว อโหสิฯ เต สตฺตสํวจฺฉรจฺจเยน อุปโกฺกสิตฺวา สุรุจิมหาราเชน ‘‘กิเมต’’นฺติ ปุฎฺฐา ‘‘มหาราช, อมฺหากํ มงฺคลํ ภุญฺชนฺตานํ สตฺต วสฺสานิ คตานิ, กทา มงฺคลสฺส โอสานํ ภวิสฺสตี’’ติ อาหํสุฯ ตโต ราชา ‘‘ตาตา, ปุเตฺตน เม เอตฺตกํ กาลํ น หสิตปุพฺพํ, ยทา โส หสิสฺสติ, ตทา คมิสฺสถา’’ติ อาหฯ อถ มหาชโน เภริํ จราเปตฺวา นเฎ สนฺนิปาเตสิฯ ฉ นฎสหสฺสานิ สนฺนิปติตฺวา สตฺต โกฎฺฐาสา หุตฺวา นจฺจนฺตา ราชานํ หสาเปตุํ นาสกฺขิํสุฯ ตสฺส กิร ทีฆรตฺตํ ทิพฺพนาฎกานํ ทิฎฺฐตฺตา เตสํ นจฺจํ อมนุญฺญํ อโหสิฯ
Tasmiṃ khaṇe sakkassa bhavanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. So taṃ kāraṇaṃ ñatvā vissakammaṃ āmantetvā ‘‘gaccha, tāta, mahāpanādakumārassa āyāmena navayojanikaṃ, vitthārato aṭṭhayojanikaṃ, ubbedhena pañcavīsatiyojanikaṃ, ratanapāsādaṃ māpehī’’ti pesesi. So vaḍḍhakīvesena vaḍḍhakīnaṃ santikaṃ gantvā ‘‘tumhe pātarāsaṃ bhuñjitvā ethā’’ti te pesetvā daṇḍakena bhūmiṃ pahari, tāvadeva vuttappakāro sattabhūmiko pāsādo uṭṭhahi. Mahāpanādassa pāsādamaṅgalaṃ, chattamaṅgalaṃ, āvāhamaṅgalanti tīṇi maṅgalāni ekatova ahesuṃ. Maṅgalaṭṭhāne ubhayaraṭṭhavāsino sannipatitvā maṅgalacchaṇena satta vassāni vītināmesuṃ. Neva ne rājā uyyojesi, tesaṃ vatthālaṅkārakhādanīyabhojanīyādi sabbaṃ rājakulasantakameva ahosi. Te sattasaṃvaccharaccayena upakkositvā surucimahārājena ‘‘kimeta’’nti puṭṭhā ‘‘mahārāja, amhākaṃ maṅgalaṃ bhuñjantānaṃ satta vassāni gatāni, kadā maṅgalassa osānaṃ bhavissatī’’ti āhaṃsu. Tato rājā ‘‘tātā, puttena me ettakaṃ kālaṃ na hasitapubbaṃ, yadā so hasissati, tadā gamissathā’’ti āha. Atha mahājano bheriṃ carāpetvā naṭe sannipātesi. Cha naṭasahassāni sannipatitvā satta koṭṭhāsā hutvā naccantā rājānaṃ hasāpetuṃ nāsakkhiṃsu. Tassa kira dīgharattaṃ dibbanāṭakānaṃ diṭṭhattā tesaṃ naccaṃ amanuññaṃ ahosi.
ตทา ภณฺฑุกโณฺฑ จ ปณฺฑุกโณฺฑ จาติ เทฺว นาฎกเชฎฺฐกา ‘‘มยํ ราชานํ หสาเปสฺสามา’’ติ ราชงฺคณํ ปวิสิํสุฯ เตสุ ภณฺฑุกโณฺฑ ตาว ราชทฺวาเร มหนฺตํ อตุลํ นาม อมฺพํ มาเปตฺวา สุตฺตคุฬํ ขิปิตฺวา ตสฺส สาขาย ลคฺคาเปตฺวา สุเตฺตน อตุลมฺพํ อภิรุหิฯ อตุลโมฺพติ กิร เวสฺสวณสฺส อโมฺพฯ อถ ตมฺปิ เวสฺสวณสฺส ทาสา คเหตฺวา องฺคปจฺจงฺคานิ ฉินฺทิตฺวา ปาเตสุํ, เสสนาฎกา ตานิ สโมธาเนตฺวา อุทเกน อภิสิญฺจิํสุฯ โส ปุปฺผปฎํ นิวาเสตฺวา จ ปารุปิตฺวา จ นจฺจโนฺตว อุฎฺฐหิฯ มหาปนาโท ตมฺปิ ทิสฺวา เนว หสิฯ ปณฺฑุกโณฺฑ นโฎ ราชงฺคเณ ทารุจิตกํ กาเรตฺวา อตฺตโน ปริสาย สทฺธิํ อคฺคิํ ปาวิสิฯ ตสฺมิํ นิพฺพุเต จิตกํ อุทเกน อภิสิญฺจิํสุฯ โส สปริโส ปุปฺผปฎํ นิวาเสตฺวา จ ปารุปิตฺวา จ นจฺจโนฺตว อุฎฺฐหิฯ ตมฺปิ ทิสฺวา ราชา เนว หสิฯ อิติ ตํ หสาเปตุํ อสโกฺกนฺตา มนุสฺสา อุปทฺทุตา อเหสุํฯ
Tadā bhaṇḍukaṇḍo ca paṇḍukaṇḍo cāti dve nāṭakajeṭṭhakā ‘‘mayaṃ rājānaṃ hasāpessāmā’’ti rājaṅgaṇaṃ pavisiṃsu. Tesu bhaṇḍukaṇḍo tāva rājadvāre mahantaṃ atulaṃ nāma ambaṃ māpetvā suttaguḷaṃ khipitvā tassa sākhāya laggāpetvā suttena atulambaṃ abhiruhi. Atulamboti kira vessavaṇassa ambo. Atha tampi vessavaṇassa dāsā gahetvā aṅgapaccaṅgāni chinditvā pātesuṃ, sesanāṭakā tāni samodhānetvā udakena abhisiñciṃsu. So pupphapaṭaṃ nivāsetvā ca pārupitvā ca naccantova uṭṭhahi. Mahāpanādo tampi disvā neva hasi. Paṇḍukaṇḍo naṭo rājaṅgaṇe dārucitakaṃ kāretvā attano parisāya saddhiṃ aggiṃ pāvisi. Tasmiṃ nibbute citakaṃ udakena abhisiñciṃsu. So sapariso pupphapaṭaṃ nivāsetvā ca pārupitvā ca naccantova uṭṭhahi. Tampi disvā rājā neva hasi. Iti taṃ hasāpetuṃ asakkontā manussā upaddutā ahesuṃ.
สโกฺก ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘คจฺฉ, ตาต, มหาปนาทํ หสาเปตฺวา เอหี’’ติ เทวนฎํ เปเสสิฯ โส อาคนฺตฺวา ราชงฺคเณ อากาเส ฐตฺวา อุปฑฺฒองฺคํ นาม ทเสฺสสิ, เอโกว หโตฺถ, เอโกว ปาโท, เอกํ อกฺขิ, เอกา ทาฐา นจฺจติ จลติ ผนฺทติ, เสสํ นิจฺจลมโหสิฯ ตํ ทิสฺวา มหาปนาโท โถกํ หสิตํ อกาสิฯ มหาชโน ปน หสโนฺต หสโนฺต หาสํ สนฺธาเรตุํ สติํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตุํ อสโกฺกโนฺต องฺคานิ วิสฺสเชฺชตฺวา ราชงฺคเณเยว ปติ, ตสฺมิํ กาเล มงฺคลํ นิฎฺฐิตํฯ เสสเมตฺถ ‘‘ปนาโท นาม โส ราชา, ยสฺส ยูโป สุวณฺณโย’’ติ มหาปนาทชาตเกน วเณฺณตพฺพํฯ ราชา มหาปนาโท ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา อายุปริโยสาเน เทวโลกเมว คโตฯ
Sakko taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘gaccha, tāta, mahāpanādaṃ hasāpetvā ehī’’ti devanaṭaṃ pesesi. So āgantvā rājaṅgaṇe ākāse ṭhatvā upaḍḍhaaṅgaṃ nāma dassesi, ekova hattho, ekova pādo, ekaṃ akkhi, ekā dāṭhā naccati calati phandati, sesaṃ niccalamahosi. Taṃ disvā mahāpanādo thokaṃ hasitaṃ akāsi. Mahājano pana hasanto hasanto hāsaṃ sandhāretuṃ satiṃ paccupaṭṭhāpetuṃ asakkonto aṅgāni vissajjetvā rājaṅgaṇeyeva pati, tasmiṃ kāle maṅgalaṃ niṭṭhitaṃ. Sesamettha ‘‘panādo nāma so rājā, yassa yūpo suvaṇṇayo’’ti mahāpanādajātakena vaṇṇetabbaṃ. Rājā mahāpanādo dānādīni puññāni katvā āyupariyosāne devalokameva gato.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, วิสาขา ปุเพฺพปิ มม สนฺติกา วรํ ลภิเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มหาปนาโท ภทฺทชิ อโหสิ, สุเมธาเทวี วิสาขา, วิสฺสกโมฺม อานโนฺท, สโกฺก ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, visākhā pubbepi mama santikā varaṃ labhiyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā mahāpanādo bhaddaji ahosi, sumedhādevī visākhā, vissakammo ānando, sakko pana ahameva ahosi’’nti.
สุรุจิชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Surucijātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๘๙. สุรุจิชาตกํ • 489. Surucijātakaṃ