Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๖๓] ๓. สุสีมชาตกวณฺณนา
[163] 3. Susīmajātakavaṇṇanā
กาฬา มิคา เสตทนฺตา ตวีเมติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ฉนฺทกทานํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยญฺหิ กทาจิ เอกเมว กุลํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานํ เทติ, กทาจิ อญฺญติตฺถิยานํ เทติ, กทาจิ คณพนฺธเนน พหู เอกโต หุตฺวา เทนฺติ, กทาจิ วีถิสภาเคน, กทาจิ สกลนครวาสิโน ฉนฺทกํ สํหริตฺวา ทานํ เทนฺติฯ อิมสฺมิํ ปน กาเล สกลนครวาสิโน ฉนฺทกํ สํหริตฺวา สพฺพปริกฺขารทานํ สเชฺชตฺวา เทฺว โกฎฺฐาสา หุตฺวา เอกเจฺจ ‘‘อิมํ สพฺพปริกฺขารทานํ อญฺญติตฺถิยานํ ทสฺสามา’’ติ อาหํสุ, เอกเจฺจ ‘‘พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺสา’’ติฯ เอวํ ปุนปฺปุนํ กถาย วตฺตมานาย อญฺญติตฺถิยสาวเกหิ อญฺญติตฺถิยานเญฺญว , พุทฺธสาวเกหิ ‘‘‘พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆเสฺสวา’ติ วุเตฺต สมฺพหุลํ กริสามา’’ติ สมฺพหุลาย กถาย ‘‘พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทสฺสามา’’ติ วทนฺตาเยว พหุกา ชาตา, เตสเญฺญว กถา ปติฎฺฐาสิ ฯ อญฺญติตฺถิยสาวกา พุทฺธานํ ทาตพฺพทานสฺส อนฺตรายํ กาตุํ นาสกฺขิํสุฯ นาครา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา สตฺตาหํ มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา สตฺตเม ทิวเส สพฺพปริกฺขาเร อทํสุฯ สตฺถา อนุโมทนํ กตฺวา มหาชนํ มคฺคผเลหิ ปโพเธตฺวา เชตวนวิหารเมว คนฺตฺวา ภิกฺขุสเงฺฆน วเตฺต ทสฺสิเต คนฺธกุฎิปฺปมุเข ฐตฺวา สุคโตวาทํ ทตฺวา คนฺธกุฎิํ ปาวิสิฯ
Kāḷā migā setadantā tavīmeti idaṃ satthā jetavane viharanto chandakadānaṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyañhi kadāci ekameva kulaṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa dānaṃ deti, kadāci aññatitthiyānaṃ deti, kadāci gaṇabandhanena bahū ekato hutvā denti, kadāci vīthisabhāgena, kadāci sakalanagaravāsino chandakaṃ saṃharitvā dānaṃ denti. Imasmiṃ pana kāle sakalanagaravāsino chandakaṃ saṃharitvā sabbaparikkhāradānaṃ sajjetvā dve koṭṭhāsā hutvā ekacce ‘‘imaṃ sabbaparikkhāradānaṃ aññatitthiyānaṃ dassāmā’’ti āhaṃsu, ekacce ‘‘buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassā’’ti. Evaṃ punappunaṃ kathāya vattamānāya aññatitthiyasāvakehi aññatitthiyānaññeva , buddhasāvakehi ‘‘‘buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassevā’ti vutte sambahulaṃ karisāmā’’ti sambahulāya kathāya ‘‘buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa dassāmā’’ti vadantāyeva bahukā jātā, tesaññeva kathā patiṭṭhāsi . Aññatitthiyasāvakā buddhānaṃ dātabbadānassa antarāyaṃ kātuṃ nāsakkhiṃsu. Nāgarā buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nimantetvā sattāhaṃ mahādānaṃ pavattetvā sattame divase sabbaparikkhāre adaṃsu. Satthā anumodanaṃ katvā mahājanaṃ maggaphalehi pabodhetvā jetavanavihārameva gantvā bhikkhusaṅghena vatte dassite gandhakuṭippamukhe ṭhatvā sugatovādaṃ datvā gandhakuṭiṃ pāvisi.
สายนฺหสมเย ภิกฺขู ธมฺมสภายํ สนฺนิปติตฺวา กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, อญฺญติตฺถิยสาวกา พุทฺธานํ ทาตพฺพทานสฺส อนฺตรายกรณตฺถาย วายมนฺตาปิ อนฺตรายํ กาตุํ นาสกฺขิํสุ, ตํ สพฺพปริกฺขารทานํ พุทฺธานํเยว ปาทมูลํ อาคตํ, อโห พุทฺธพลํ นาม มหนฺต’’นฺติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, เอเต อญฺญติตฺถิยสาวกา อิทาเนว มยฺหํ ทาตพฺพทานสฺส อนฺตรายกรณตฺถาย วายมนฺติ, ปุเพฺพปิ วายมิํสุ, โส ปน ปริกฺขาโร สพฺพกาเลปิ มเมว ปาทมูลํ อาคจฺฉตี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Sāyanhasamaye bhikkhū dhammasabhāyaṃ sannipatitvā kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, aññatitthiyasāvakā buddhānaṃ dātabbadānassa antarāyakaraṇatthāya vāyamantāpi antarāyaṃ kātuṃ nāsakkhiṃsu, taṃ sabbaparikkhāradānaṃ buddhānaṃyeva pādamūlaṃ āgataṃ, aho buddhabalaṃ nāma mahanta’’nti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, ete aññatitthiyasāvakā idāneva mayhaṃ dātabbadānassa antarāyakaraṇatthāya vāyamanti, pubbepi vāyamiṃsu, so pana parikkhāro sabbakālepi mameva pādamūlaṃ āgacchatī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ สุสีโม นาม ราชา อโหสิฯ ตทา โพธิสโตฺต ตสฺส ปุโรหิตสฺส พฺราหฺมณิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, ตสฺส โสฬสวสฺสิกกาเล ปิตา กาลมกาสิฯ โส ปน ธรมานกาเล รโญฺญ หตฺถิมงฺคลการโก อโหสิฯ หตฺถีนํ มงฺคลกรณฎฺฐาเน อาภตอุปกรณภณฺฑญฺจ หตฺถาลงฺการญฺจ สพฺพํ โสเยว อลตฺถฯ เอวมสฺส เอเกกสฺมิํ มงฺคเล โกฎิมตฺตํ ธนํ อุปฺปชฺชติฯ อถ ตสฺมิํ กาเล หตฺถิมงฺคลฉโณ สมฺปาปุณิฯ เสสา พฺราหฺมณา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘มหาราช, หตฺถิมงฺคลฉโณ สมฺปโตฺต, มงฺคลํ กาตุํ วฎฺฎติฯ ปุโรหิตพฺราหฺมณสฺส ปน ปุโตฺต อติทหโร, เนว ตโย เวเท ชานาติ, น หตฺถิสุตฺตํ, มยํ หตฺถิมงฺคลํ กริสฺสามา’’ติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ พฺราหฺมณา ปุโรหิตปุตฺตสฺส หตฺถิมงฺคลํ กาตุํ อทตฺวา ‘‘หตฺถิมงฺคลํ กตฺวา มยํ ธนํ คณฺหิสฺสามา’’ติ หฎฺฐตุฎฺฐา วิจรนฺติฯ อถ ‘‘จตุเตฺถ ทิวเส หตฺถิมงฺคลํ ภวิสฺสตี’’ติ โพธิสตฺตสฺส มาตา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘หตฺถิมงฺคลกรณํ นาม ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา อมฺหากํ วํโส, วํโส จ โน โอสกฺกิสฺสติ, ธนา จ ปริหายิสฺสามา’’ติ อนุโสจมานา ปโรทิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ susīmo nāma rājā ahosi. Tadā bodhisatto tassa purohitassa brāhmaṇiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi, tassa soḷasavassikakāle pitā kālamakāsi. So pana dharamānakāle rañño hatthimaṅgalakārako ahosi. Hatthīnaṃ maṅgalakaraṇaṭṭhāne ābhataupakaraṇabhaṇḍañca hatthālaṅkārañca sabbaṃ soyeva alattha. Evamassa ekekasmiṃ maṅgale koṭimattaṃ dhanaṃ uppajjati. Atha tasmiṃ kāle hatthimaṅgalachaṇo sampāpuṇi. Sesā brāhmaṇā rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘mahārāja, hatthimaṅgalachaṇo sampatto, maṅgalaṃ kātuṃ vaṭṭati. Purohitabrāhmaṇassa pana putto atidaharo, neva tayo vede jānāti, na hatthisuttaṃ, mayaṃ hatthimaṅgalaṃ karissāmā’’ti āhaṃsu. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Brāhmaṇā purohitaputtassa hatthimaṅgalaṃ kātuṃ adatvā ‘‘hatthimaṅgalaṃ katvā mayaṃ dhanaṃ gaṇhissāmā’’ti haṭṭhatuṭṭhā vicaranti. Atha ‘‘catutthe divase hatthimaṅgalaṃ bhavissatī’’ti bodhisattassa mātā taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘hatthimaṅgalakaraṇaṃ nāma yāva sattamā kulaparivaṭṭā amhākaṃ vaṃso, vaṃso ca no osakkissati, dhanā ca parihāyissāmā’’ti anusocamānā parodi.
โพธิสโตฺต ‘‘กสฺมา, อมฺม, โรทสี’’ติ วตฺวา ตํ การณํ สุตฺวา ‘‘นนุ, อมฺม, อหํ มงฺคลํ กริสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘ตาต, ตฺวํ เนว ตโย เวเท ชานาสิ, น หตฺถิสุตฺตํ, กถํ มงฺคลํ กริสฺสสี’’ติฯ ‘‘อมฺม, กทา ปน หตฺถิมงฺคลํ กริสฺสตี’’ติ? ‘‘อิโต จตุเตฺถ ทิวเส, ตาตา’’ติฯ ‘‘อมฺม, ตโย ปน เวเท ปคุเณ กตฺวา หตฺถิสุตฺตํ ชานนกอาจริโย กหํ วสตี’’ติ? ‘‘ตาต, เอวรูโป ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย อิโต วีสโยชนสตมตฺถเก คนฺธารรเฎฺฐ ตกฺกสิลายํ วสตี’’ติฯ ‘‘อมฺม, อมฺหากํ วํสํ น นาเสสฺสามิ, อหํ เสฺว เอกทิวเสเนว ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา เอกรเตฺตเนว ตโย เวเท จ หตฺถิสุตฺตญฺจ อุคฺคณฺหิตฺวา ปุนทิวเส อาคนฺตฺวา จตุเตฺถ ทิวเส หตฺถิมงฺคลํ กริสฺสามิ, มา โรที’’ติ มาตรํ สมสฺสาเสตฺวา ปุนทิวเส โพธิสโตฺต ปาโตว ภุญฺชิตฺวา เอกโกว นิกฺขมิตฺวา เอกทิวเสเนว ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา อาจริยํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
Bodhisatto ‘‘kasmā, amma, rodasī’’ti vatvā taṃ kāraṇaṃ sutvā ‘‘nanu, amma, ahaṃ maṅgalaṃ karissāmī’’ti āha. ‘‘Tāta, tvaṃ neva tayo vede jānāsi, na hatthisuttaṃ, kathaṃ maṅgalaṃ karissasī’’ti. ‘‘Amma, kadā pana hatthimaṅgalaṃ karissatī’’ti? ‘‘Ito catutthe divase, tātā’’ti. ‘‘Amma, tayo pana vede paguṇe katvā hatthisuttaṃ jānanakaācariyo kahaṃ vasatī’’ti? ‘‘Tāta, evarūpo disāpāmokkho ācariyo ito vīsayojanasatamatthake gandhāraraṭṭhe takkasilāyaṃ vasatī’’ti. ‘‘Amma, amhākaṃ vaṃsaṃ na nāsessāmi, ahaṃ sve ekadivaseneva takkasilaṃ gantvā ekaratteneva tayo vede ca hatthisuttañca uggaṇhitvā punadivase āgantvā catutthe divase hatthimaṅgalaṃ karissāmi, mā rodī’’ti mātaraṃ samassāsetvā punadivase bodhisatto pātova bhuñjitvā ekakova nikkhamitvā ekadivaseneva takkasilaṃ gantvā ācariyaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi.
อถ นํ อาจริโย ‘‘กุโต อาคโตสิ, ตาตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘พาราณสิโต, อาจริยา’’ติฯ ‘‘เกนเตฺถนา’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ สนฺติเก ตโย เวเท จ หตฺถิสุตฺตญฺจ อุคฺคณฺหนตฺถายา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ตาต, อุคฺคณฺหา’’ติฯ โพธิสโตฺต ‘‘อาจริย, มยฺหํ กมฺมํ อจฺจายิก’’นฺติ สพฺพํ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา ‘‘อหํ เอกทิวเสเนว วีสโยชนสตํ อาคโต, อเชฺชเวกรตฺติํ มยฺหเมว โอกาสํ กโรถ, อิโต ตติยทิวเส หตฺถิมงฺคลํ ภวิสฺสติ, อหํ เอเกเนว อุเทฺทสมเคฺคน สพฺพํ อุคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ วตฺวา อาจริยํ โอกาสํ กาเรตฺวา อาจริยสฺส ภุตฺตกาเล สยํ ภุญฺชิตฺวา อาจริยสฺส ปาเท โธวิตฺวา สหสฺสตฺถวิกํ ปุรโต ฐเปตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ปริยตฺติํ ปฎฺฐเปตฺวา อรุเณ อุคฺคจฺฉเนฺต ตโย เวเท จ หตฺถิสุตฺตญฺจ นิฎฺฐเปตฺวา ‘‘อโญฺญปิ อตฺถิ, อาจริยา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘นตฺถิ ตาต, สพฺพํ นิฎฺฐิต’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อาจริย, อิมสฺมิํ คเนฺถ เอตฺตกํ ปทปจฺจาภฎฺฐํ, เอตฺตกํ สชฺฌายสโมฺมหฎฺฐานํ, อิโต ปฎฺฐาย ตุเมฺห อเนฺตวาสิเก เอวํ วาเจยฺยาถา’’ติ อาจริยสฺส สิปฺปํ โสเธตฺวา ปาโตว ภุญฺชิตฺวา อาจริยํ วนฺทิตฺวา เอกทิวเสเนว พาราณสิํ ปจฺจาคนฺตฺวา มาตรํ วนฺทิตฺวา ‘‘อุคฺคหิตํ เต, ตาต, สิปฺป’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อาม, อมฺมา’’ติ วตฺวา มาตรํ ปริโตเสสิฯ
Atha naṃ ācariyo ‘‘kuto āgatosi, tātā’’ti pucchi. ‘‘Bārāṇasito, ācariyā’’ti. ‘‘Kenatthenā’’ti? ‘‘Tumhākaṃ santike tayo vede ca hatthisuttañca uggaṇhanatthāyā’’ti. ‘‘Sādhu, tāta, uggaṇhā’’ti. Bodhisatto ‘‘ācariya, mayhaṃ kammaṃ accāyika’’nti sabbaṃ pavattiṃ ārocetvā ‘‘ahaṃ ekadivaseneva vīsayojanasataṃ āgato, ajjevekarattiṃ mayhameva okāsaṃ karotha, ito tatiyadivase hatthimaṅgalaṃ bhavissati, ahaṃ ekeneva uddesamaggena sabbaṃ uggaṇhissāmī’’ti vatvā ācariyaṃ okāsaṃ kāretvā ācariyassa bhuttakāle sayaṃ bhuñjitvā ācariyassa pāde dhovitvā sahassatthavikaṃ purato ṭhapetvā vanditvā ekamantaṃ nisinno pariyattiṃ paṭṭhapetvā aruṇe uggacchante tayo vede ca hatthisuttañca niṭṭhapetvā ‘‘aññopi atthi, ācariyā’’ti pucchitvā ‘‘natthi tāta, sabbaṃ niṭṭhita’’nti vutte ‘‘ācariya, imasmiṃ ganthe ettakaṃ padapaccābhaṭṭhaṃ, ettakaṃ sajjhāyasammohaṭṭhānaṃ, ito paṭṭhāya tumhe antevāsike evaṃ vāceyyāthā’’ti ācariyassa sippaṃ sodhetvā pātova bhuñjitvā ācariyaṃ vanditvā ekadivaseneva bārāṇasiṃ paccāgantvā mātaraṃ vanditvā ‘‘uggahitaṃ te, tāta, sippa’’nti vutte ‘‘āma, ammā’’ti vatvā mātaraṃ paritosesi.
ปุนทิวเส หตฺถิมงฺคลฉโณ ปฎิยาทิยิตฺถฯ สตมเตฺต หตฺถิโสณฺฑาลงฺกาเร จ สุวณฺณทฺธเช เหมชาลสญฺฉเนฺน กตฺวา ฐเปสุํ, ราชงฺคณํ อลงฺกริํสุฯ พฺราหฺมณา ‘‘มยํ หตฺถิมงฺคลํ กริสฺสาม, มยํ กริสฺสามา’’ติ มณฺฑิตปสาธิตา อฎฺฐํสุฯ สุสีโมปิ ราชา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต อุปกรณภณฺฑํ คาหาเปตฺวา มงฺคลฎฺฐานํ อคมาสิฯ โพธิสโตฺตปิ กุมารปริหาเรน อลงฺกโต อตฺตโน ปริสาย ปุรกฺขตปริวาริโต รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร, มหาราช, ตุเมฺห อมฺหากํ วํสญฺจ อตฺตโน วํสญฺจ นาเสตฺวา ‘อเญฺญหิ พฺราหฺมเณหิ หตฺถิมงฺคลํ กาเรตฺวา หตฺถาลงฺการญฺจ อุปกรณานิ จ เตสํ ทสฺสามา’ติ อวจุตฺถา’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Punadivase hatthimaṅgalachaṇo paṭiyādiyittha. Satamatte hatthisoṇḍālaṅkāre ca suvaṇṇaddhaje hemajālasañchanne katvā ṭhapesuṃ, rājaṅgaṇaṃ alaṅkariṃsu. Brāhmaṇā ‘‘mayaṃ hatthimaṅgalaṃ karissāma, mayaṃ karissāmā’’ti maṇḍitapasādhitā aṭṭhaṃsu. Susīmopi rājā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito upakaraṇabhaṇḍaṃ gāhāpetvā maṅgalaṭṭhānaṃ agamāsi. Bodhisattopi kumāraparihārena alaṅkato attano parisāya purakkhataparivārito rañño santikaṃ gantvā ‘‘saccaṃ kira, mahārāja, tumhe amhākaṃ vaṃsañca attano vaṃsañca nāsetvā ‘aññehi brāhmaṇehi hatthimaṅgalaṃ kāretvā hatthālaṅkārañca upakaraṇāni ca tesaṃ dassāmā’ti avacutthā’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๒๕.
25.
‘‘กาฬา มิคา เสตทนฺตา ตวีเม, ปโรสตํ เหมชาลาภิฉนฺนา;
‘‘Kāḷā migā setadantā tavīme, parosataṃ hemajālābhichannā;
เต เต ททามีติ สุสีม พฺรูสิ, อนุสฺสรํ เปตฺติปิตามหาน’’นฺติฯ
Te te dadāmīti susīma brūsi, anussaraṃ pettipitāmahāna’’nti.
ตตฺถ เต เต ททามีติ สุสีม พฺรูสีติ เต เอเต ตว สนฺตเก ‘‘กาฬา มิคา เสตทนฺตา’’ติ เอวํ คเต ปโรสตํ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิเต หตฺถี อเญฺญสํ พฺราหฺมณานํ ททามีติ สจฺจํ กิร, โภ สุสีม, เอวํ พฺรูสีติ อโตฺถฯ อนุสฺสรํ เปตฺติปิตามหานนฺติ อมฺหากญฺจ อตฺตโน จ วํเส ปิตุปิตามหานํ อาจิณฺณํ สรโนฺตเยวฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – มหาราช, ยาว สตฺตมกุลปริวฎฺฎา ตุมฺหากํ เปตฺติปิตามหานํ อมฺหากํ เปตฺติปิตามหา จ หตฺถิมงฺคลํ กโรนฺติ, โส ตฺวํ เอวํ อนุสฺสรโนฺตปิ อมฺหากญฺจ อตฺตโน จ วํสํ นาเสตฺวา สจฺจํ กิร เอวํ พฺรูสีติฯ
Tattha te te dadāmīti susīma brūsīti te ete tava santake ‘‘kāḷā migā setadantā’’ti evaṃ gate parosataṃ sabbālaṅkārapaṭimaṇḍite hatthī aññesaṃ brāhmaṇānaṃ dadāmīti saccaṃ kira, bho susīma, evaṃ brūsīti attho. Anussaraṃ pettipitāmahānanti amhākañca attano ca vaṃse pitupitāmahānaṃ āciṇṇaṃ sarantoyeva. Idaṃ vuttaṃ hoti – mahārāja, yāva sattamakulaparivaṭṭā tumhākaṃ pettipitāmahānaṃ amhākaṃ pettipitāmahā ca hatthimaṅgalaṃ karonti, so tvaṃ evaṃ anussarantopi amhākañca attano ca vaṃsaṃ nāsetvā saccaṃ kira evaṃ brūsīti.
สุสีโม ราชา โพธิสตฺตสฺส วจนํ สุตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
Susīmo rājā bodhisattassa vacanaṃ sutvā dutiyaṃ gāthamāha –
๒๖.
26.
‘‘กาฬา มิคา เสตทนฺตา มมีเม, ปโรสตํ เหมชาลาภิฉนฺนา;
‘‘Kāḷā migā setadantā mamīme, parosataṃ hemajālābhichannā;
เต เต ททามีติ วทามิ มาณว, อนุสฺสรํ เปตฺติปิตามหาน’’นฺติฯ
Te te dadāmīti vadāmi māṇava, anussaraṃ pettipitāmahāna’’nti.
ตตฺถ เต เต ททามีติ เต เอเต หตฺถี อเญฺญสํ พฺราหฺมณานํ ททามีติ สจฺจเมว มาณว วทามิ, เนว หตฺถี พฺราหฺมณานํ ททามีติ อโตฺถฯ อนุสฺสรนฺติ เปตฺติปิตามหานํ กิริยํ อนุสฺสรามิเยว, โน นานุสฺสรามิ, อมฺหากํ เปตฺติปิตามหานํ หตฺถิมงฺคลํ ตุมฺหากํ เปตฺติปิตามหา กโรนฺตีติ ปน อนุสฺสรโนฺตปิ เอวํ วทามิเยวาติ อธิปฺปาเยเนวมาหฯ
Tattha te te dadāmīti te ete hatthī aññesaṃ brāhmaṇānaṃ dadāmīti saccameva māṇava vadāmi, neva hatthī brāhmaṇānaṃ dadāmīti attho. Anussaranti pettipitāmahānaṃ kiriyaṃ anussarāmiyeva, no nānussarāmi, amhākaṃ pettipitāmahānaṃ hatthimaṅgalaṃ tumhākaṃ pettipitāmahā karontīti pana anussarantopi evaṃ vadāmiyevāti adhippāyenevamāha.
อถ นํ โพธิสโตฺต เอตทโวจ – ‘‘มหาราช, อมฺหากญฺจ อตฺตโน จ วํสํ อนุสฺสรโนฺตเยว กสฺมา มํ ฐเปตฺวา อเญฺญหิ หตฺถิมงฺคลํ การาเปถา’’ติฯ ‘‘ตฺวํ กิร, ตาต, ตโย เวเท หตฺถิสุตฺตญฺจ น ชานาสี’’ติ มยฺหํ อาโรเจสุํ, เตนาหํ อเญฺญหิ พฺราหฺมเณหิ การาเปมีติฯ ‘‘เตน หิ, มหาราช, เอตฺตเกสุ พฺราหฺมเณสุ เอกพฺราหฺมโณปิ ตีสุ เวเทสุ วา หตฺถิสุเตฺตสุ วา เอกเทสมฺปิ ยทิ มยา สทฺธิํ กเถตุํ สมโตฺต อตฺถิ, อุฎฺฐหตุ, ตโยปิ เวเท หตฺถิสุตฺตญฺจ สทฺธิํ หตฺถิมงฺคลกรเณน มํ ฐเปตฺวา อโญฺญ สกลชมฺพุทีเปปิ ชานโนฺต นาม นตฺถี’’ติ สีหนาทํ นทิฯ เอกพฺราหฺมโณปิ ตสฺส ปฎิสตฺตุ หุตฺวา อุฎฺฐาตุํ นาสกฺขิฯ โพธิสโตฺต อตฺตโน กุลวํสํ ปติฎฺฐาเปตฺวา มงฺคลํ กตฺวา พหุํ ธนํ อาทาย อตฺตโน นิเวสนํ อคมาสิฯ
Atha naṃ bodhisatto etadavoca – ‘‘mahārāja, amhākañca attano ca vaṃsaṃ anussarantoyeva kasmā maṃ ṭhapetvā aññehi hatthimaṅgalaṃ kārāpethā’’ti. ‘‘Tvaṃ kira, tāta, tayo vede hatthisuttañca na jānāsī’’ti mayhaṃ ārocesuṃ, tenāhaṃ aññehi brāhmaṇehi kārāpemīti. ‘‘Tena hi, mahārāja, ettakesu brāhmaṇesu ekabrāhmaṇopi tīsu vedesu vā hatthisuttesu vā ekadesampi yadi mayā saddhiṃ kathetuṃ samatto atthi, uṭṭhahatu, tayopi vede hatthisuttañca saddhiṃ hatthimaṅgalakaraṇena maṃ ṭhapetvā añño sakalajambudīpepi jānanto nāma natthī’’ti sīhanādaṃ nadi. Ekabrāhmaṇopi tassa paṭisattu hutvā uṭṭhātuṃ nāsakkhi. Bodhisatto attano kulavaṃsaṃ patiṭṭhāpetvā maṅgalaṃ katvā bahuṃ dhanaṃ ādāya attano nivesanaṃ agamāsi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน เกจิ โสตาปนฺนา อเหสุํ, เกจิ สกทาคามิโน, เกจิ อนาคามิโน, เกจิ อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ ‘‘ตทา มาตา มหามายา อโหสิ, ปิตา สุโทฺธทนมหาราชา, สุสีโม ราชา อานโนฺท, ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย สาริปุโตฺต, มาณโว ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne keci sotāpannā ahesuṃ, keci sakadāgāmino, keci anāgāmino, keci arahattaṃ pāpuṇiṃsu. ‘‘Tadā mātā mahāmāyā ahosi, pitā suddhodanamahārājā, susīmo rājā ānando, disāpāmokkho ācariyo sāriputto, māṇavo pana ahameva ahosi’’nti.
สุสีมชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Susīmajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๖๓. สุสีมชาตกํ • 163. Susīmajātakaṃ