Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya |
๑๐. สุสิมสุตฺตํ
10. Susimasuttaṃ
๗๐. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ เตน โข ปน สมเยน ภควา สกฺกโต โหติ ครุกโต มานิโต ปูชิโต อปจิโต ลาภี จีวร-ปิณฺฑปาต-เสนาสน-คิลานปฺปจฺจย-เภสชฺชปริกฺขารานํฯ ภิกฺขุสโงฺฆปิ สกฺกโต โหติ ครุกโต มานิโต ปูชิโต อปจิโต ลาภี จีวร-ปิณฺฑปาต-เสนาสนคิลานปฺปจฺจย-เภสชฺชปริกฺขารานํฯ อญฺญติตฺถิยา ปน ปริพฺพาชกา อสกฺกตา โหนฺติ อครุกตา อมานิตา อปูชิตา อนปจิตา, น ลาภิโน จีวร-ปิณฺฑปาต-เสนาสนคิลานปฺปจฺจย-เภสชฺชปริกฺขารานํฯ
70. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Tena kho pana samayena bhagavā sakkato hoti garukato mānito pūjito apacito lābhī cīvara-piṇḍapāta-senāsana-gilānappaccaya-bhesajjaparikkhārānaṃ. Bhikkhusaṅghopi sakkato hoti garukato mānito pūjito apacito lābhī cīvara-piṇḍapāta-senāsanagilānappaccaya-bhesajjaparikkhārānaṃ. Aññatitthiyā pana paribbājakā asakkatā honti agarukatā amānitā apūjitā anapacitā, na lābhino cīvara-piṇḍapāta-senāsanagilānappaccaya-bhesajjaparikkhārānaṃ.
เตน โข ปน สมเยน สุสิโม 1 ปริพฺพาชโก ราชคเห ปฎิวสติ มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธิํฯ อถ โข สุสิมสฺส ปริพฺพาชกสฺส ปริสา สุสิมํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจุํ – ‘‘เอหิ ตฺวํ, อาวุโส สุสิม, สมเณ โคตเม พฺรหฺมจริยํ จรฯ ตฺวํ ธมฺมํ ปริยาปุณิตฺวา อเมฺห วาเจยฺยาสิ 2ฯ ตํ มยํ ธมฺมํ ปริยาปุณิตฺวา คิหีนํ ภาสิสฺสามฯ เอวํ มยมฺปิ สกฺกตา ภวิสฺสาม ครุกตา มานิตา ปูชิตา อปจิตา ลาภิโน จีวร-ปิณฺฑปาตเสนาสน-คิลานปฺปจฺจย-เภสชฺชปริกฺขาราน’’นฺติฯ ‘‘เอวมาวุโส’’ติ โข สุสิโม ปริพฺพาชโก สกาย ปริสาย ปฎิสฺสุณิตฺวา เยนายสฺมา อานโนฺท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา อานเนฺทน สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข สุสิโม ปริพฺพาชโก อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ – ‘‘อิจฺฉามหํ, อาวุโส อานนฺท, อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย พฺรหฺมจริยํ จริตุ’’นฺติฯ
Tena kho pana samayena susimo 3 paribbājako rājagahe paṭivasati mahatiyā paribbājakaparisāya saddhiṃ. Atha kho susimassa paribbājakassa parisā susimaṃ paribbājakaṃ etadavocuṃ – ‘‘ehi tvaṃ, āvuso susima, samaṇe gotame brahmacariyaṃ cara. Tvaṃ dhammaṃ pariyāpuṇitvā amhe vāceyyāsi 4. Taṃ mayaṃ dhammaṃ pariyāpuṇitvā gihīnaṃ bhāsissāma. Evaṃ mayampi sakkatā bhavissāma garukatā mānitā pūjitā apacitā lābhino cīvara-piṇḍapātasenāsana-gilānappaccaya-bhesajjaparikkhārāna’’nti. ‘‘Evamāvuso’’ti kho susimo paribbājako sakāya parisāya paṭissuṇitvā yenāyasmā ānando tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmatā ānandena saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho susimo paribbājako āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca – ‘‘icchāmahaṃ, āvuso ānanda, imasmiṃ dhammavinaye brahmacariyaṃ caritu’’nti.
อถ โข อายสฺมา อานโนฺท สุสิมํ ปริพฺพาชกํ อาทาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา อานโนฺท ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อยํ, ภเนฺต, สุสิโม ปริพฺพาชโก เอวมาห – ‘อิจฺฉามหํ, อาวุโส อานนฺท, อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย พฺรหฺมจริยํ จริตุ’’นฺติฯ ‘‘เตนหานนฺท, สุสิมํ ปพฺพาเชถา’’ติ ฯ อลตฺถ โข สุสิโม ปริพฺพาชโก ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ, อลตฺถ อุปสมฺปทํฯ
Atha kho āyasmā ānando susimaṃ paribbājakaṃ ādāya yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā ānando bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘ayaṃ, bhante, susimo paribbājako evamāha – ‘icchāmahaṃ, āvuso ānanda, imasmiṃ dhammavinaye brahmacariyaṃ caritu’’nti. ‘‘Tenahānanda, susimaṃ pabbājethā’’ti . Alattha kho susimo paribbājako bhagavato santike pabbajjaṃ, alattha upasampadaṃ.
เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุเลหิ ภิกฺขูหิ ภควโต สนฺติเก อญฺญา พฺยากตา โหติ – ‘‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานามา’’ติฯ อโสฺสสิ โข อายสฺมา สุสิโม – ‘‘สมฺพหุเลหิ กิร ภิกฺขูหิ ภควโต สนฺติเก อญฺญา พฺยากตา – ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานามา’’ติฯ อถ โข อายสฺมา สุสิโม เยน เต ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา สุสิโม เต ภิกฺขู เอตทโวจ – ‘‘สจฺจํ กิรายสฺมเนฺตหิ ภควโต สนฺติเก อญฺญา พฺยากตา – ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานามา’’ติ? ‘‘เอวมาวุโส’’ติฯ
Tena kho pana samayena sambahulehi bhikkhūhi bhagavato santike aññā byākatā hoti – ‘‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyāti pajānāmā’’ti. Assosi kho āyasmā susimo – ‘‘sambahulehi kira bhikkhūhi bhagavato santike aññā byākatā – ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāmā’’ti. Atha kho āyasmā susimo yena te bhikkhū tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā tehi bhikkhūhi saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā susimo te bhikkhū etadavoca – ‘‘saccaṃ kirāyasmantehi bhagavato santike aññā byākatā – ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāmā’’ti? ‘‘Evamāvuso’’ti.
‘‘อปิ ปน 5 ตุเมฺห อายสฺมโนฺต เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภถ – เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหถ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหถ; อาวิภาวํ, ติโรภาวํ, ติโรกุฎฺฎํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมานา คจฺฉถ, เสยฺยถาปิ อากาเส; ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรถ, เสยฺยถาปิ อุทเก; อุทเกปิ อภิชฺชมาเน คจฺฉถ, เสยฺยถาปิ ปถวิยํ; อากาเสปิ ปลฺลเงฺกน กมถ, เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณ; อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปริมสถ ปริมชฺชถ, ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วเตฺตถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘Api pana 6 tumhe āyasmanto evaṃ jānantā evaṃ passantā anekavihitaṃ iddhividhaṃ paccanubhotha – ekopi hutvā bahudhā hotha, bahudhāpi hutvā eko hotha; āvibhāvaṃ, tirobhāvaṃ, tirokuṭṭaṃ tiropākāraṃ tiropabbataṃ asajjamānā gacchatha, seyyathāpi ākāse; pathaviyāpi ummujjanimujjaṃ karotha, seyyathāpi udake; udakepi abhijjamāne gacchatha, seyyathāpi pathaviyaṃ; ākāsepi pallaṅkena kamatha, seyyathāpi pakkhī sakuṇo; imepi candimasūriye evaṃmahiddhike evaṃmahānubhāve pāṇinā parimasatha parimajjatha, yāva brahmalokāpi kāyena vasaṃ vattethā’’ti? ‘‘No hetaṃ, āvuso’’.
‘‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมโนฺต เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สเทฺท สุณาถ ทิเพฺพ จ มานุเส จ เย ทูเร สนฺติเก จา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘Api pana tumhe āyasmanto evaṃ jānantā evaṃ passantā dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya ubho sadde suṇātha dibbe ca mānuse ca ye dūre santike cā’’ti? ‘‘No hetaṃ, āvuso’’.
‘‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมโนฺต เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาถ – สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; วีตราคํ วา จิตฺตํ วีตราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; สโทสํ วา จิตฺตํ สโทสํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; วีตโทสํ วา จิตฺตํ วีตโทสํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; สโมหํ วา จิตฺตํ สโมหํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; วีตโมหํ วา จิตฺตํ วีตโมหํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; สํขิตฺตํ วา จิตฺตํ สํขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ วิกฺขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; มหคฺคตํ วา จิตฺตํ มหคฺคตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ อมหคฺคตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ ; สอุตฺตรํ วา จิตฺตํ สอุตฺตรํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ อนุตฺตรํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; สมาหิตํ วา จิตฺตํ สมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; อสมาหิตํ วา จิตฺตํ อสมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ ; อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ อวิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘Api pana tumhe āyasmanto evaṃ jānantā evaṃ passantā parasattānaṃ parapuggalānaṃ cetasā ceto paricca pajānātha – sarāgaṃ vā cittaṃ sarāgaṃ cittanti pajānātha; vītarāgaṃ vā cittaṃ vītarāgaṃ cittanti pajānātha; sadosaṃ vā cittaṃ sadosaṃ cittanti pajānātha; vītadosaṃ vā cittaṃ vītadosaṃ cittanti pajānātha; samohaṃ vā cittaṃ samohaṃ cittanti pajānātha; vītamohaṃ vā cittaṃ vītamohaṃ cittanti pajānātha; saṃkhittaṃ vā cittaṃ saṃkhittaṃ cittanti pajānātha; vikkhittaṃ vā cittaṃ vikkhittaṃ cittanti pajānātha; mahaggataṃ vā cittaṃ mahaggataṃ cittanti pajānātha; amahaggataṃ vā cittaṃ amahaggataṃ cittanti pajānātha ; sauttaraṃ vā cittaṃ sauttaraṃ cittanti pajānātha; anuttaraṃ vā cittaṃ anuttaraṃ cittanti pajānātha; samāhitaṃ vā cittaṃ samāhitaṃ cittanti pajānātha; asamāhitaṃ vā cittaṃ asamāhitaṃ cittanti pajānātha; vimuttaṃ vā cittaṃ vimuttaṃ cittanti pajānātha ; avimuttaṃ vā cittaṃ avimuttaṃ cittanti pajānāthā’’ti? ‘‘No hetaṃ, āvuso’’.
‘‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมโนฺต เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรถ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ติํสมฺปิ ชาติโย จตฺตารีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ, อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ วิวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺป – ‘อมุตฺราสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทิํ; ตตฺราปาสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อิธูปปโนฺน’ติฯ อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘Api pana tumhe āyasmanto evaṃ jānantā evaṃ passantā anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussaratha, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo tissopi jātiyo catassopi jātiyo pañcapi jātiyo dasapi jātiyo vīsampi jātiyo tiṃsampi jātiyo cattārīsampi jātiyo paññāsampi jātiyo jātisatampi jātisahassampi jātisatasahassampi, anekepi saṃvaṭṭakappe anekepi vivaṭṭakappe anekepi saṃvaṭṭavivaṭṭakappe – ‘amutrāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhapaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto amutra udapādiṃ; tatrāpāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhapaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto idhūpapanno’ti. Iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarathā’’ti? ‘‘No hetaṃ, āvuso’’.
‘‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมโนฺต เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสถ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ, สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาถ – ‘อิเม วต โภโนฺต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา, อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนา; อิเม วา ปน โภโนฺต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา, อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฎฺฐิกา สมฺมาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา’ติ, อิติ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสถ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ, สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘Api pana tumhe āyasmanto evaṃ jānantā evaṃ passantā dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passatha cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe, sugate duggate yathākammūpage satte pajānātha – ‘ime vata bhonto sattā kāyaduccaritena samannāgatā vacīduccaritena samannāgatā manoduccaritena samannāgatā, ariyānaṃ upavādakā micchādiṭṭhikā micchādiṭṭhikammasamādānā, te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapannā; ime vā pana bhonto sattā kāyasucaritena samannāgatā vacīsucaritena samannāgatā manosucaritena samannāgatā, ariyānaṃ anupavādakā sammādiṭṭhikā sammādiṭṭhikammasamādānā te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapannā’ti, iti dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passatha cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe, sugate duggate yathākammūpage satte pajānāthā’’ti? ‘‘No hetaṃ, āvuso’’.
‘‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมโนฺต เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา เย เต สนฺตา วิโมกฺขา อติกฺกมฺม รูเป อารุปฺปา, เต กาเยน ผุสิตฺวา วิหรถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘Api pana tumhe āyasmanto evaṃ jānantā evaṃ passantā ye te santā vimokkhā atikkamma rūpe āruppā, te kāyena phusitvā viharathā’’ti? ‘‘No hetaṃ, āvuso’’.
‘‘เอตฺถ ทานิ อายสฺมโนฺต อิทญฺจ เวยฺยากรณํ อิเมสญฺจ ธมฺมานํ อสมาปตฺติ; อิทํ โน, อาวุโส, กถ’’นฺติ? ‘‘ปญฺญาวิมุตฺตา โข มยํ, อาวุโส สุสิมา’’ติฯ
‘‘Ettha dāni āyasmanto idañca veyyākaraṇaṃ imesañca dhammānaṃ asamāpatti; idaṃ no, āvuso, katha’’nti? ‘‘Paññāvimuttā kho mayaṃ, āvuso susimā’’ti.
‘‘น ขฺวาหํ อิมสฺส อายสฺมนฺตานํ สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อาชานามิฯ สาธุ เม อายสฺมโนฺต ตถา ภาสนฺตุ ยถาหํ อิมสฺส อายสฺมนฺตานํ สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อาชาเนยฺย’’นฺติฯ ‘‘อาชาเนยฺยาสิ วา ตฺวํ, อาวุโส สุสิม, น วา ตฺวํ อาชาเนยฺยาสิ อถ โข ปญฺญาวิมุตฺตา มย’’นฺติฯ
‘‘Na khvāhaṃ imassa āyasmantānaṃ saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ ājānāmi. Sādhu me āyasmanto tathā bhāsantu yathāhaṃ imassa āyasmantānaṃ saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ ājāneyya’’nti. ‘‘Ājāneyyāsi vā tvaṃ, āvuso susima, na vā tvaṃ ājāneyyāsi atha kho paññāvimuttā maya’’nti.
อถ โข อายสฺมา สุสิโม อุฎฺฐายาสนา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา สุสิโม ยาวตโก เตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ อโหสิ กถาสลฺลาโป ตํ สพฺพํ ภควโต อาโรเจสิฯ ‘‘ปุเพฺพ โข, สุสิม, ธมฺมฎฺฐิติญาณํ, ปจฺฉา นิพฺพาเน ญาณ’’นฺติฯ
Atha kho āyasmā susimo uṭṭhāyāsanā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā susimo yāvatako tehi bhikkhūhi saddhiṃ ahosi kathāsallāpo taṃ sabbaṃ bhagavato ārocesi. ‘‘Pubbe kho, susima, dhammaṭṭhitiñāṇaṃ, pacchā nibbāne ñāṇa’’nti.
‘‘น ขฺวาหํ, ภเนฺต, อิมสฺส ภควตา 7 สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อาชานามิฯ สาธุ เม, ภเนฺต, ภควา ตถา ภาสตุ ยถาหํ อิมสฺส ภควตา สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อาชาเนยฺย’’นฺติฯ ‘‘อาชาเนยฺยาสิ วา ตฺวํ, สุสิม, น วา ตฺวํ อาชาเนยฺยาสิ, อถ โข ธมฺมฎฺฐิติญาณํ ปุเพฺพ, ปจฺฉา นิพฺพาเน ญาณํ’’ฯ
‘‘Na khvāhaṃ, bhante, imassa bhagavatā 8 saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ ājānāmi. Sādhu me, bhante, bhagavā tathā bhāsatu yathāhaṃ imassa bhagavatā saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ ājāneyya’’nti. ‘‘Ājāneyyāsi vā tvaṃ, susima, na vā tvaṃ ājāneyyāsi, atha kho dhammaṭṭhitiñāṇaṃ pubbe, pacchā nibbāne ñāṇaṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, สุสิม, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’’ติ? ‘‘อนิจฺจํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา’’ติ? ‘‘ทุกฺขํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ – ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เวทนา นิจฺจา วา อนิจฺจา วา’’ติ? ‘‘อนิจฺจา, ภเนฺต’’ ฯ ‘‘ยํ ปนานิจฺจํ, ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา’’ติ? ‘‘ทุกฺขํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ – ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สญฺญา นิจฺจา วา อนิจฺจา วา’’ติ? ‘‘อนิจฺจา, ภเนฺต’’…เป.… ‘‘สงฺขารา นิจฺจา วา อนิจฺจา วา’’ติ? ‘‘อนิจฺจา, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา’’ติ? ‘‘ทุกฺขํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ – ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘วิญฺญาณํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’’ติ? ‘‘อนิจฺจํ , ภเนฺต’’ฯ ‘‘ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา’’ติ? ‘‘ทุกฺขํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ – ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, susima, rūpaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’’ti? ‘‘Aniccaṃ, bhante’’. ‘‘Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vā taṃ sukhaṃ vā’’ti? ‘‘Dukkhaṃ, bhante’’. ‘‘Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhammaṃ, kallaṃ nu taṃ samanupassituṃ – ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Vedanā niccā vā aniccā vā’’ti? ‘‘Aniccā, bhante’’ . ‘‘Yaṃ panāniccaṃ, dukkhaṃ vā taṃ sukhaṃ vā’’ti? ‘‘Dukkhaṃ, bhante’’. ‘‘Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhammaṃ, kallaṃ nu taṃ samanupassituṃ – ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Saññā niccā vā aniccā vā’’ti? ‘‘Aniccā, bhante’’…pe… ‘‘saṅkhārā niccā vā aniccā vā’’ti? ‘‘Aniccā, bhante’’. ‘‘Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vā taṃ sukhaṃ vā’’ti? ‘‘Dukkhaṃ, bhante’’. ‘‘Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhammaṃ, kallaṃ nu taṃ samanupassituṃ – ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Viññāṇaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’’ti? ‘‘Aniccaṃ , bhante’’. ‘‘Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vā taṃ sukhaṃ vā’’ti? ‘‘Dukkhaṃ, bhante’’. ‘‘Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhammaṃ, kallaṃ nu taṃ samanupassituṃ – ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘ตสฺมาติห, สุสิม, ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา หีนํ วา ปณีตํ วา ยํ ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ รูปํ เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เมโส อตฺตาติ; เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ ยา กาจิ เวทนา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกา วา สุขุมา วา หีนา วา ปณีตา วา ยา ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพา เวทนา เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เมโส อตฺตาติ; เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ ยา กาจิ สญฺญา…เป.… เย เกจิ สงฺขารา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกา วา สุขุมา วา หีนา วา ปณีตา วา เย ทูเร สนฺติเก วา, สเพฺพ สงฺขารา เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เมโส อตฺตาติ; เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ ยํ กิญฺจิ วิญฺญาณํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา หีนํ วา ปณีตํ วา ยํ ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ วิญฺญาณํ เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เมโส อตฺตาติ; เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ
‘‘Tasmātiha, susima, yaṃ kiñci rūpaṃ atītānāgatapaccuppannaṃ ajjhattaṃ vā bahiddhā vā oḷārikaṃ vā sukhumaṃ vā hīnaṃ vā paṇītaṃ vā yaṃ dūre santike vā, sabbaṃ rūpaṃ netaṃ mama nesohamasmi na meso attāti; evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ. Yā kāci vedanā atītānāgatapaccuppannā ajjhattaṃ vā bahiddhā vā oḷārikā vā sukhumā vā hīnā vā paṇītā vā yā dūre santike vā, sabbā vedanā netaṃ mama nesohamasmi na meso attāti; evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ. Yā kāci saññā…pe… ye keci saṅkhārā atītānāgatapaccuppannā ajjhattaṃ vā bahiddhā vā oḷārikā vā sukhumā vā hīnā vā paṇītā vā ye dūre santike vā, sabbe saṅkhārā netaṃ mama nesohamasmi na meso attāti; evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ. Yaṃ kiñci viññāṇaṃ atītānāgatapaccuppannaṃ ajjhattaṃ vā bahiddhā vā oḷārikaṃ vā sukhumaṃ vā hīnaṃ vā paṇītaṃ vā yaṃ dūre santike vā, sabbaṃ viññāṇaṃ netaṃ mama nesohamasmi na meso attāti; evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ.
‘‘เอวํ ปสฺสํ, สุสิม, สุตวา อริยสาวโก รูปสฺมิมฺปิ นิพฺพินฺทติ, เวทนายปิ นิพฺพินฺทติ, สญฺญายปิ นิพฺพินฺทติ, สงฺขาเรสุปิ นิพฺพินฺทติ, วิญฺญาณสฺมิมฺปิ นิพฺพินฺทติฯ นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ, วิราคา วิมุจฺจติ, วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ
‘‘Evaṃ passaṃ, susima, sutavā ariyasāvako rūpasmimpi nibbindati, vedanāyapi nibbindati, saññāyapi nibbindati, saṅkhāresupi nibbindati, viññāṇasmimpi nibbindati. Nibbindaṃ virajjati, virāgā vimuccati, vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hoti. ‘Khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti.
‘‘‘ชาติปจฺจยา ชรามรณ’นฺติ, สุสิม, ปสฺสสี’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘‘ภวปจฺจยา ชาตี’ติ, สุสิม, ปสฺสสี’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘‘อุปาทานปจฺจยา ภโว’ติ, สุสิม, ปสฺสสี’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘‘ตณฺหาปจฺจยา อุปาทาน’นฺติ, สุสิม, ปสฺสสี’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เวทนาปจฺจยา ตณฺหาติ… ผสฺสปจฺจยา เวทนาติ… สฬายตนปจฺจยา ผโสฺสติ… นามรูปปจฺจยา สฬายตนนฺติ… วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺติ… สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณนฺติ… อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราติ, สุสิม, ปสฺสสี’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘‘Jātipaccayā jarāmaraṇa’nti, susima, passasī’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘‘Bhavapaccayā jātī’ti, susima, passasī’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘‘Upādānapaccayā bhavo’ti, susima, passasī’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘‘Taṇhāpaccayā upādāna’nti, susima, passasī’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Vedanāpaccayā taṇhāti… phassapaccayā vedanāti… saḷāyatanapaccayā phassoti… nāmarūpapaccayā saḷāyatananti… viññāṇapaccayā nāmarūpanti… saṅkhārapaccayā viññāṇanti… avijjāpaccayā saṅkhārāti, susima, passasī’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘‘ชาตินิโรธา ชรามรณนิโรโธ’ติ, สุสิม, ปสฺสสี’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ ฯ ‘‘‘ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ’ติ สุสิม, ปสฺสสี’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธติ… ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธติ… เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธติ… ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธติ… สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธติ… นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธติ… วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธติ… สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธติ… อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธติ, สุสิม, ปสฺสสี’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘‘Jātinirodhā jarāmaraṇanirodho’ti, susima, passasī’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’ . ‘‘‘Bhavanirodhā jātinirodho’ti susima, passasī’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Upādānanirodhā bhavanirodhoti… taṇhānirodhā upādānanirodhoti… vedanānirodhā taṇhānirodhoti… phassanirodhā vedanānirodhoti… saḷāyatananirodhā phassanirodhoti… nāmarūpanirodhā saḷāyatananirodhoti… viññāṇanirodhā nāmarūpanirodhoti… saṅkhāranirodhā viññāṇanirodhoti… avijjānirodhā saṅkhāranirodhoti, susima, passasī’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘อปิ ปน ตฺวํ, สุสิม, เอวํ ชานโนฺต เอวํ ปสฺสโนฺต อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภสิ – เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหสิ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหสิ; อาวิภาวํ, ติโรภาวํ, ติโรกุฎฺฎํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมาโน คจฺฉสิ, เสยฺยถาปิ อากาเส; ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรสิ, เสยฺยถาปิ อุทเก; อุทเกปิ อภิชฺชมาโน คจฺฉสิ, เสยฺยถาปิ ปถวิยํ; อากาเสปิ ปลฺลเงฺกน กมสิ, เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณ; อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปริมสสิ ปริมชฺชสิ, ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วเตฺตสี’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Api pana tvaṃ, susima, evaṃ jānanto evaṃ passanto anekavihitaṃ iddhividhaṃ paccanubhosi – ekopi hutvā bahudhā hosi, bahudhāpi hutvā eko hosi; āvibhāvaṃ, tirobhāvaṃ, tirokuṭṭaṃ tiropākāraṃ tiropabbataṃ asajjamāno gacchasi, seyyathāpi ākāse; pathaviyāpi ummujjanimujjaṃ karosi, seyyathāpi udake; udakepi abhijjamāno gacchasi, seyyathāpi pathaviyaṃ; ākāsepi pallaṅkena kamasi, seyyathāpi pakkhī sakuṇo; imepi candimasūriye evaṃmahiddhike evaṃmahānubhāve pāṇinā parimasasi parimajjasi, yāva brahmalokāpi kāyena vasaṃ vattesī’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อปิ ปน ตฺวํ, สุสิม, เอวํ ชานโนฺต เอวํ ปสฺสโนฺต ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สเทฺท สุณสิ ทิเพฺพ จ มานุเส จ เย ทูเร สนฺติเก จา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Api pana tvaṃ, susima, evaṃ jānanto evaṃ passanto dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya ubho sadde suṇasi dibbe ca mānuse ca ye dūre santike cā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อปิ ปน ตฺวํ, สุสิม, เอวํ ชานโนฺต เอวํ ปสฺสโนฺต ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาสิ – สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาสิ…เป.… วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาสี’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Api pana tvaṃ, susima, evaṃ jānanto evaṃ passanto parasattānaṃ parapuggalānaṃ cetasā ceto paricca pajānāsi – sarāgaṃ vā cittaṃ sarāgaṃ cittanti pajānāsi…pe… vimuttaṃ vā cittaṃ vimuttaṃ cittanti pajānāsī’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อปิ ปน ตฺวํ, สุสิม, เอวํ ชานโนฺต เอวํ ปสฺสโนฺต อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรสิ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ…เป.… อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรสี’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Api pana tvaṃ, susima, evaṃ jānanto evaṃ passanto anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarasi, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ…pe… iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarasī’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อปิ ปน ตฺวํ, สุสิม, เอวํ ชานโนฺต เอวํ ปสฺสโนฺต ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสสิ จวมาเน…เป.… ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาสี’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Api pana tvaṃ, susima, evaṃ jānanto evaṃ passanto dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passasi cavamāne…pe… yathākammūpage satte pajānāsī’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อปิ ปน ตฺวํ, สุสิม, เอวํ ชานโนฺต เอวํ ปสฺสโนฺต เย เต สนฺตา วิโมกฺขา อติกฺกมฺม รูเป, อารุปฺปา เต กาเยน ผุสิตฺวา วิหรสี’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Api pana tvaṃ, susima, evaṃ jānanto evaṃ passanto ye te santā vimokkhā atikkamma rūpe, āruppā te kāyena phusitvā viharasī’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘เอตฺถ ทานิ, สุสิม, อิทญฺจ เวยฺยากรณํ อิเมสญฺจ ธมฺมานํ อสมาปตฺติ, อิทํ โน, สุสิม, กถ’’นฺติ?
‘‘Ettha dāni, susima, idañca veyyākaraṇaṃ imesañca dhammānaṃ asamāpatti, idaṃ no, susima, katha’’nti?
อถ โข อายสฺมา สุสิโม ภควโต ปาเทสุ สิรสา นิปติตฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อจฺจโย มํ, ภเนฺต, อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, ยฺวาหํ เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ธมฺมเตฺถนโก ปพฺพชิโตฯ ตสฺส เม, ภเนฺต, ภควา อจฺจยํ อจฺจยโต ปฎิคฺคณฺหาตุ อายติํ สํวรายา’’ติฯ
Atha kho āyasmā susimo bhagavato pādesu sirasā nipatitvā bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘accayo maṃ, bhante, accagamā yathābālaṃ yathāmūḷhaṃ yathāakusalaṃ, yvāhaṃ evaṃ svākkhāte dhammavinaye dhammatthenako pabbajito. Tassa me, bhante, bhagavā accayaṃ accayato paṭiggaṇhātu āyatiṃ saṃvarāyā’’ti.
‘‘ตคฺฆ ตฺวํ, สุสิม, อจฺจโย อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, โย ตฺวํ เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ธมฺมเตฺถนโก ปพฺพชิโตฯ เสยฺยถาปิ , สุสิม, โจรํ อาคุจาริํ คเหตฺวา รโญฺญ ทเสฺสยฺยุํ – ‘อยํ เต, เทว, โจโร อาคุจารี, อิมสฺส ยํ อิจฺฉสิ ตํ ทณฺฑํ ปเณหี’ติฯ ตเมนํ ราชา เอวํ วเทยฺย – ‘คจฺฉถ, โภ, อิมํ ปุริสํ ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิยาย รถิยํ สิงฺฆาฎเกน สิงฺฆาฎกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉินฺทถา’ติ ฯ ตเมนํ รโญฺญ ปุริสา ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิยาย รถิยํ สิงฺฆาฎเกน สิงฺฆาฎกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉิเนฺทยฺยุํฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, สุสิม, อปิ นุ โส ปุริโส ตโตนิทานํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวทิเยถา’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Taggha tvaṃ, susima, accayo accagamā yathābālaṃ yathāmūḷhaṃ yathāakusalaṃ, yo tvaṃ evaṃ svākkhāte dhammavinaye dhammatthenako pabbajito. Seyyathāpi , susima, coraṃ āgucāriṃ gahetvā rañño dasseyyuṃ – ‘ayaṃ te, deva, coro āgucārī, imassa yaṃ icchasi taṃ daṇḍaṃ paṇehī’ti. Tamenaṃ rājā evaṃ vadeyya – ‘gacchatha, bho, imaṃ purisaṃ daḷhāya rajjuyā pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhitvā khuramuṇḍaṃ karitvā kharassarena paṇavena rathiyāya rathiyaṃ siṅghāṭakena siṅghāṭakaṃ parinetvā dakkhiṇena dvārena nikkhāmetvā dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chindathā’ti . Tamenaṃ rañño purisā daḷhāya rajjuyā pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhitvā khuramuṇḍaṃ karitvā kharassarena paṇavena rathiyāya rathiyaṃ siṅghāṭakena siṅghāṭakaṃ parinetvā dakkhiṇena dvārena nikkhāmetvā dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chindeyyuṃ. Taṃ kiṃ maññasi, susima, api nu so puriso tatonidānaṃ dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvediyethā’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ยํ โข โส, สุสิม, ปุริโส ตโตนิทานํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวทิเยถ 9ฯ ยา เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ธมฺมเตฺถนกสฺส ปพฺพชฺชา, อยํ ตโต ทุกฺขวิปากตรา จ กฎุกวิปากตรา จ, อปิ จ วินิปาตาย สํวตฺตติฯ ยโต จ โข ตฺวํ, สุสิม, อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรสิ ตํ เต มยํ ปฎิคฺคณฺหามฯ วุทฺธิ เหสา, สุสิม, อริยสฺส วินเย โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรติ, อายติญฺจ 10 สํวรํ อาปชฺชตี’’ติฯ ทสมํฯ
‘‘Yaṃ kho so, susima, puriso tatonidānaṃ dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvediyetha 11. Yā evaṃ svākkhāte dhammavinaye dhammatthenakassa pabbajjā, ayaṃ tato dukkhavipākatarā ca kaṭukavipākatarā ca, api ca vinipātāya saṃvattati. Yato ca kho tvaṃ, susima, accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikarosi taṃ te mayaṃ paṭiggaṇhāma. Vuddhi hesā, susima, ariyassa vinaye yo accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikaroti, āyatiñca 12 saṃvaraṃ āpajjatī’’ti. Dasamaṃ.
มหาวโคฺค สตฺตโมฯ
Mahāvaggo sattamo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
เทฺว อสฺสุตวตา วุตฺตา, ปุตฺตมํเสน จาปรํ;
Dve assutavatā vuttā, puttamaṃsena cāparaṃ;
อตฺถิราโค จ นครํ, สมฺมสํ นฬกลาปิยํ;
Atthirāgo ca nagaraṃ, sammasaṃ naḷakalāpiyaṃ;
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. สุสิมสุตฺตวณฺณนา • 10. Susimasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑๐. สุสิมสุตฺตวณฺณนา • 10. Susimasuttavaṇṇanā