Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๓๙๘] ๓. สุตนุชาตกวณฺณนา

    [398] 3. Sutanujātakavaṇṇanā

    ราชา เต ภตฺตนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มาตุโปสกภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ สามชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๒๙๖ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ

    Rājā te bhattanti idaṃ satthā jetavane viharanto mātuposakabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Vatthu sāmajātake (jā. 2.22.296 ādayo) āvi bhavissati.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ทุคฺคตคหปติกุเล นิพฺพตฺติ, สุตนูติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ภติํ กตฺวา มาตาปิตโร โปเสตฺวา ปิตริ กาลกเต มาตรํ โปเสติฯ ตสฺมิํ ปน กาเล พาราณสิราชา มิควิตฺตโก อโหสิฯ โส เอกทิวสํ มหเนฺตน ปริวาเรน โยชนทฺวิโยชนมตฺตํ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ‘‘ยสฺส ฐิตฎฺฐาเนน มิโค ปลายติ, โส อิมํ นาม ชิโต’’ติ สเพฺพสํ อาโรจาเปสิฯ อมจฺจา รโญฺญ ธุวมคฺคฎฺฐาเน โกฎฺฐกํ ฉาเทตฺวา อทํสุฯ มนุเสฺสหิ มิคานํ วสนฎฺฐานานิ ปริวาเรตฺวา อุนฺนาเทเนฺตหิ อุฎฺฐาปิเตสุ มิเคสุ เอโก เอณิมิโค รโญฺญ ฐิตฎฺฐานํ ปฎิปชฺชิฯ ราชา ‘‘ตํ วิชฺฌิสฺสามี’’ติ สรํ ขิปิ ฯ อุคฺคหิตมาโย มิโค สรํ มหาผาสุกาภิมุขํ อาคจฺฉนฺตํ ญตฺวา ปริวตฺติตฺวา สเรน วิโทฺธ วิย หุตฺวา ปติฯ ราชา ‘‘มิโค เม วิโทฺธ’’ติ คหณตฺถาย ธาวิฯ มิโค อุฎฺฐาย วาตเวเคน ปลายิ, อมจฺจาทโย ราชานํ อวหสิํสุฯ โส มิคํ อนุพนฺธิตฺวา กิลนฺตกาเล ขเคฺคน ทฺวิธา ฉินฺทิตฺวา เอกสฺมิํ ทณฺฑเก ลคฺคิตฺวา กาชํ วหโนฺต วิย อาคจฺฉโนฺต ‘‘โถกํ วิสฺสมิสฺสามี’’ติ มคฺคสมีเป ฐิตํ วฎรุกฺขํ อุปคนฺตฺวา นิปชฺชิตฺวา นิทฺทํ โอกฺกมิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto duggatagahapatikule nibbatti, sutanūtissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto bhatiṃ katvā mātāpitaro posetvā pitari kālakate mātaraṃ poseti. Tasmiṃ pana kāle bārāṇasirājā migavittako ahosi. So ekadivasaṃ mahantena parivārena yojanadviyojanamattaṃ araññaṃ pavisitvā ‘‘yassa ṭhitaṭṭhānena migo palāyati, so imaṃ nāma jito’’ti sabbesaṃ ārocāpesi. Amaccā rañño dhuvamaggaṭṭhāne koṭṭhakaṃ chādetvā adaṃsu. Manussehi migānaṃ vasanaṭṭhānāni parivāretvā unnādentehi uṭṭhāpitesu migesu eko eṇimigo rañño ṭhitaṭṭhānaṃ paṭipajji. Rājā ‘‘taṃ vijjhissāmī’’ti saraṃ khipi . Uggahitamāyo migo saraṃ mahāphāsukābhimukhaṃ āgacchantaṃ ñatvā parivattitvā sarena viddho viya hutvā pati. Rājā ‘‘migo me viddho’’ti gahaṇatthāya dhāvi. Migo uṭṭhāya vātavegena palāyi, amaccādayo rājānaṃ avahasiṃsu. So migaṃ anubandhitvā kilantakāle khaggena dvidhā chinditvā ekasmiṃ daṇḍake laggitvā kājaṃ vahanto viya āgacchanto ‘‘thokaṃ vissamissāmī’’ti maggasamīpe ṭhitaṃ vaṭarukkhaṃ upagantvā nipajjitvā niddaṃ okkami.

    ตสฺมิํ ปน วฎรุเกฺข นิพฺพโตฺต มฆเทโว นาม ยโกฺข ตตฺถ ปวิเฎฺฐ เวสฺสวณสฺส สนฺติกา ขาทิตุํ ลภิฯ โส ราชานํ อุฎฺฐาย คจฺฉนฺตํ ‘‘ติฎฺฐ ภโกฺขสิ เม’’ติ หเตฺถ คณฺหิฯ ‘‘ตฺวํ โกนาโมสี’’ติ? ‘‘อหํ อิธ นิพฺพตฺตยโกฺข, อิมํ ฐานํ ปวิฎฺฐเก ขาทิตุํ ลภามี’’ติฯ ราชา สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา ‘‘กิํ อเชฺชว มํ ขาทิสฺสสิ, อุทาหุ นิพทฺธํ ขาทิสฺสสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ลภโนฺต นิพทฺธํ ขาทิสฺสามี’’ติฯ ราชา ‘‘อิมํ อชฺช มิคํ ขาทิตฺวา มํ วิสฺสเชฺชหิ, อหํ เต เสฺว ปฎฺฐาย เอกาย ภตฺตปาติยา สทฺธิํ เอกํ มนุสฺสํ เปเสสฺสามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ อปฺปมโตฺต โหหิ, อเปสิตทิวเส ตเญฺญว ขาทิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อหํ พาราณสิราชา, มยฺหํ อวิชฺชมานํ นาม นตฺถี’’ติฯ ยโกฺข ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ตํ วิสฺสเชฺชสิฯ โส นครํ ปวิสิตฺวา ตมตฺถํ เอกสฺส อตฺถจรกสฺส อมจฺจสฺส กเถตฺวา ‘‘อิทานิ กิํ กาตพฺพ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ทิวสปริเจฺฉโท กโต, เทวา’’ติ? ‘‘น กโต’’ติฯ ‘‘อยุตฺตํ โว กตํ, เอวํ สเนฺตปิ มา จินฺตยิตฺถ, พหู พนฺธนาคาเร มนุสฺสา’’ติฯ ‘‘เตน หิ ตฺวํ เอตํ กมฺมํ กร, มยฺหํ ชีวิตํ เทหี’’ติฯ

    Tasmiṃ pana vaṭarukkhe nibbatto maghadevo nāma yakkho tattha paviṭṭhe vessavaṇassa santikā khādituṃ labhi. So rājānaṃ uṭṭhāya gacchantaṃ ‘‘tiṭṭha bhakkhosi me’’ti hatthe gaṇhi. ‘‘Tvaṃ konāmosī’’ti? ‘‘Ahaṃ idha nibbattayakkho, imaṃ ṭhānaṃ paviṭṭhake khādituṃ labhāmī’’ti. Rājā satiṃ upaṭṭhapetvā ‘‘kiṃ ajjeva maṃ khādissasi, udāhu nibaddhaṃ khādissasī’’ti pucchi. ‘‘Labhanto nibaddhaṃ khādissāmī’’ti. Rājā ‘‘imaṃ ajja migaṃ khāditvā maṃ vissajjehi, ahaṃ te sve paṭṭhāya ekāya bhattapātiyā saddhiṃ ekaṃ manussaṃ pesessāmī’’ti. ‘‘Tena hi appamatto hohi, apesitadivase taññeva khādissāmī’’ti. ‘‘Ahaṃ bārāṇasirājā, mayhaṃ avijjamānaṃ nāma natthī’’ti. Yakkho paṭiññaṃ gahetvā taṃ vissajjesi. So nagaraṃ pavisitvā tamatthaṃ ekassa atthacarakassa amaccassa kathetvā ‘‘idāni kiṃ kātabba’’nti pucchi. ‘‘Divasaparicchedo kato, devā’’ti? ‘‘Na kato’’ti. ‘‘Ayuttaṃ vo kataṃ, evaṃ santepi mā cintayittha, bahū bandhanāgāre manussā’’ti. ‘‘Tena hi tvaṃ etaṃ kammaṃ kara, mayhaṃ jīvitaṃ dehī’’ti.

    อมโจฺจ ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เทวสิกํ พนฺธนาคารโต มนุสฺสํ นีหริตฺวา ภตฺตปาติํ คเหตฺวา กญฺจิ อชานาเปตฺวาว ยกฺขสฺส เปเสสิฯ ยโกฺข ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา มนุสฺสํ ขาทติฯ อปรภาเค พนฺธนาคารานิ นิมฺมนุสฺสานิ ชาตานิฯ ราชา ภตฺตหารกํ อลภโนฺต มรณภเยน กมฺปิฯ อถ นํ อมโจฺจ อสฺสาเสตฺวา ‘‘เทว, ชีวิตาสาโต ธนาสาว พลวตรา, หตฺถิกฺขเนฺธ สหสฺสภณฺฑิกํ ฐเปตฺวา ‘โก อิมํ ธนํ คเหตฺวา ยกฺขสฺส ภตฺตํ อาทาย คมิสฺสตี’ติ เภริํ จราเปมา’’ติ วตฺวา ตถา กาเรสิฯ อถ ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘อหํ ภติยา มาสกฑฺฒมาสกํ สงฺฆริตฺวา กิเจฺฉน มาตรํ โปเสมิ, อิมํ ธนํ คเหตฺวา มาตุ ทตฺวา ยกฺขสฺส สนฺติกํ คมิสฺสามิ, สเจ ยกฺขํ ทเมตุํ สกฺขิสฺสามิ, อิเจฺจตํ กุสลํ, โน เจ สกฺขิสฺสามิ, มาตา เม สุขํ ชีวิสฺสตี’’ติฯ โส ตมตฺถํ มาตุ อาโรเจตฺวา ‘‘อลํ ตาต, น มม อโตฺถ ธเนนา’’ติ เทฺว วาเร ปฎิกฺขิปิตฺวา ตติยวาเร ตํ อนาปุจฺฉิตฺวาว ‘‘อาหรถ, อยฺย, สหสฺสํ, อหํ ภตฺตํ หริสฺสามี’’ติ สหสฺสํ คเหตฺวา มาตุ ทตฺวา ‘‘อมฺม , มา จินฺตยิ , อหํ ยกฺขํ ทเมตฺวา มหาชนสฺส โสตฺถิํ กริสฺสามิ, อเชฺชว ตว อสฺสุกิลินฺนมุขํ หาสาเปโนฺตว อาคจฺฉิสฺสามี’’ติ มาตรํ วนฺทิตฺวา ราชปุริเสหิ สทฺธิํ รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ

    Amacco ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā devasikaṃ bandhanāgārato manussaṃ nīharitvā bhattapātiṃ gahetvā kañci ajānāpetvāva yakkhassa pesesi. Yakkho bhattaṃ bhuñjitvā manussaṃ khādati. Aparabhāge bandhanāgārāni nimmanussāni jātāni. Rājā bhattahārakaṃ alabhanto maraṇabhayena kampi. Atha naṃ amacco assāsetvā ‘‘deva, jīvitāsāto dhanāsāva balavatarā, hatthikkhandhe sahassabhaṇḍikaṃ ṭhapetvā ‘ko imaṃ dhanaṃ gahetvā yakkhassa bhattaṃ ādāya gamissatī’ti bheriṃ carāpemā’’ti vatvā tathā kāresi. Atha taṃ sutvā bodhisatto cintesi ‘‘ahaṃ bhatiyā māsakaḍḍhamāsakaṃ saṅgharitvā kicchena mātaraṃ posemi, imaṃ dhanaṃ gahetvā mātu datvā yakkhassa santikaṃ gamissāmi, sace yakkhaṃ dametuṃ sakkhissāmi, iccetaṃ kusalaṃ, no ce sakkhissāmi, mātā me sukhaṃ jīvissatī’’ti. So tamatthaṃ mātu ārocetvā ‘‘alaṃ tāta, na mama attho dhanenā’’ti dve vāre paṭikkhipitvā tatiyavāre taṃ anāpucchitvāva ‘‘āharatha, ayya, sahassaṃ, ahaṃ bhattaṃ harissāmī’’ti sahassaṃ gahetvā mātu datvā ‘‘amma , mā cintayi , ahaṃ yakkhaṃ dametvā mahājanassa sotthiṃ karissāmi, ajjeva tava assukilinnamukhaṃ hāsāpentova āgacchissāmī’’ti mātaraṃ vanditvā rājapurisehi saddhiṃ rañño santikaṃ gantvā vanditvā aṭṭhāsi.

    ตโต รญฺญา ‘‘ตาต, ตฺวํ ภตฺตํ หริสฺสสี’’ติ วุเตฺต ‘‘อาม, เทวา’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ เต ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ สุวณฺณปาทุกา, เทวา’’ติฯ ‘‘กิํการณา’’ติ? ‘‘เทว, โส ยโกฺข อตฺตโน รุกฺขมูเล ภูมิยํ ฐิตเก ขาทิตุํ ลภติ, อหํ เอตสฺส สนฺตกภูมิยํ อฎฺฐตฺวา ปาทุกาสุ ฐสฺสามี’’ติฯ ‘‘อญฺญํ กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ ฉตฺตํ, เทวา’’ติฯ ‘‘อิทํ กิมตฺถายา’’ติ? ‘‘เทว, ยโกฺข อตฺตโน รุกฺขจฺฉายาย ฐิตเก ขาทิตุํ ลภติ, อหํ ตสฺส รุกฺขจฺฉายาย อฎฺฐตฺวา ฉตฺตจฺฉายาย ฐสฺสามี’’ติฯ ‘‘อญฺญํ กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘ตุมฺหากํ ขคฺคํ, เทวา’’ติฯ ‘‘อิมินา โก อโตฺถ’’ติ? ‘‘เทว, อมนุสฺสาปิ อาวุธหตฺถานํ ภายนฺติเยวา’’ติฯ ‘‘อญฺญํ กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘สุวณฺณปาติํ ปูเรตฺวา ตุมฺหากํ ภุญฺชนกภตฺตํ เทถ, เทวา’’ติฯ ‘‘กิํการณา, ตาตา’’ติ? ‘‘เทว, มาทิสสฺส นาม ปณฺฑิตสฺส ปุริสสฺส มตฺติกปาติยา ลูขโภชนํ หริตุํ อนนุจฺฉวิก’’นฺติฯ ‘‘สาธุ, ตาตา’’ติ ราชา สพฺพํ ทาเปตฺวา ตสฺส เวยฺยาวจฺจกเร ปฎิปาเทสิฯ

    Tato raññā ‘‘tāta, tvaṃ bhattaṃ harissasī’’ti vutte ‘‘āma, devā’’ti āha. ‘‘Kiṃ te laddhuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Tumhākaṃ suvaṇṇapādukā, devā’’ti. ‘‘Kiṃkāraṇā’’ti? ‘‘Deva, so yakkho attano rukkhamūle bhūmiyaṃ ṭhitake khādituṃ labhati, ahaṃ etassa santakabhūmiyaṃ aṭṭhatvā pādukāsu ṭhassāmī’’ti. ‘‘Aññaṃ kiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Tumhākaṃ chattaṃ, devā’’ti. ‘‘Idaṃ kimatthāyā’’ti? ‘‘Deva, yakkho attano rukkhacchāyāya ṭhitake khādituṃ labhati, ahaṃ tassa rukkhacchāyāya aṭṭhatvā chattacchāyāya ṭhassāmī’’ti. ‘‘Aññaṃ kiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Tumhākaṃ khaggaṃ, devā’’ti. ‘‘Iminā ko attho’’ti? ‘‘Deva, amanussāpi āvudhahatthānaṃ bhāyantiyevā’’ti. ‘‘Aññaṃ kiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Suvaṇṇapātiṃ pūretvā tumhākaṃ bhuñjanakabhattaṃ detha, devā’’ti. ‘‘Kiṃkāraṇā, tātā’’ti? ‘‘Deva, mādisassa nāma paṇḍitassa purisassa mattikapātiyā lūkhabhojanaṃ harituṃ ananucchavika’’nti. ‘‘Sādhu, tātā’’ti rājā sabbaṃ dāpetvā tassa veyyāvaccakare paṭipādesi.

    โพธิสโตฺต ‘‘มหาราช, มา ภายิตฺถ, อชฺชาหํ ยกฺขํ ทเมตฺวา ตุมฺหากํ โสตฺถิํ กตฺวา อาคมิสฺสามี’’ติ ราชานํ วนฺทิตฺวา อุปกรณานิ คาหาเปตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา มนุเสฺส รุกฺขสฺสาวิทูเร ฐเปตฺวา สุวณฺณปาทุกํ อารุยฺห ขคฺคํ สนฺนยฺหิตฺวา เสตจฺฉตฺตํ มตฺถเก กตฺวา กญฺจนปาติยา ภตฺตํ คเหตฺวา ยกฺขสฺส สนฺติกํ ปายาสิฯ ยโกฺข มคฺคํ โอโลเกโนฺต ตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ ปุริโส น อเญฺญสุ ทิวเสสุ อาคมนนิยาเมน เอติ, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ จิเนฺตสิฯ โพธิสโตฺตปิ รุกฺขสมีปํ คนฺตฺวา อสิตุเณฺฑน ภตฺตปาติํ อโนฺตฉายาย กริตฺวา ฉายาย ปริยเนฺต ฐิโต ปฐมํ คาถมาหฯ

    Bodhisatto ‘‘mahārāja, mā bhāyittha, ajjāhaṃ yakkhaṃ dametvā tumhākaṃ sotthiṃ katvā āgamissāmī’’ti rājānaṃ vanditvā upakaraṇāni gāhāpetvā tattha gantvā manusse rukkhassāvidūre ṭhapetvā suvaṇṇapādukaṃ āruyha khaggaṃ sannayhitvā setacchattaṃ matthake katvā kañcanapātiyā bhattaṃ gahetvā yakkhassa santikaṃ pāyāsi. Yakkho maggaṃ olokento taṃ disvā ‘‘ayaṃ puriso na aññesu divasesu āgamananiyāmena eti, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti cintesi. Bodhisattopi rukkhasamīpaṃ gantvā asituṇḍena bhattapātiṃ antochāyāya karitvā chāyāya pariyante ṭhito paṭhamaṃ gāthamāha.

    ๑๕.

    15.

    ‘‘ราชา เต ภตฺตํ ปาเหสิ, สุจิํ มํสูปเสจนํ;

    ‘‘Rājā te bhattaṃ pāhesi, suciṃ maṃsūpasecanaṃ;

    มฆเทวสฺมิํ อธิวเตฺถ, เอหิ นิกฺขมฺม ภุญฺชสู’’ติฯ

    Maghadevasmiṃ adhivatthe, ehi nikkhamma bhuñjasū’’ti.

    ตตฺถ ปาเหสีติ ปหิณิฯ มฆเทวสฺมิํ อธิวเตฺถติ มฆเทโวติ วฎรุโกฺข วุจฺจติ, ตสฺมิํ อธิวเตฺถติ เทวตํ อาลปติฯ

    Tattha pāhesīti pahiṇi. Maghadevasmiṃ adhivattheti maghadevoti vaṭarukkho vuccati, tasmiṃ adhivattheti devataṃ ālapati.

    ตํ สุตฺวา ยโกฺข ‘‘อิมํ ปุริสํ วเญฺจตฺวา อโนฺตฉายาย ปวิฎฺฐํ ขาทิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā yakkho ‘‘imaṃ purisaṃ vañcetvā antochāyāya paviṭṭhaṃ khādissāmī’’ti cintetvā dutiyaṃ gāthamāha –

    ๑๖.

    16.

    ‘‘เอหิ มาณว โอเรน, ภิกฺขมาทาย สูปิตํ;

    ‘‘Ehi māṇava orena, bhikkhamādāya sūpitaṃ;

    ตฺวญฺจ มาณว ภิกฺขา จ, อุโภ ภกฺขา ภวิสฺสถา’’ติฯ

    Tvañca māṇava bhikkhā ca, ubho bhakkhā bhavissathā’’ti.

    ตตฺถ ภิกฺขนฺติ มม นิพทฺธภิกฺขํฯ สูปิตนฺติ สูปสมฺปนฺนํฯ

    Tattha bhikkhanti mama nibaddhabhikkhaṃ. Sūpitanti sūpasampannaṃ.

    ตโต โพธิสโตฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Tato bodhisatto dve gāthā abhāsi –

    ๑๗.

    17.

    ‘‘อปฺปเกน ตุวํ ยกฺข, ถุลฺลมตฺถํ ชหิสฺสสิ;

    ‘‘Appakena tuvaṃ yakkha, thullamatthaṃ jahissasi;

    ภิกฺขํ เต นาหริสฺสนฺติ, ชนา มรณสญฺญิโนฯ

    Bhikkhaṃ te nāharissanti, janā maraṇasaññino.

    ๑๘.

    18.

    ‘‘ลทฺธาย ยกฺขา ตว นิจฺจภิกฺขํ, สุจิํ ปณีตํ รสสา อุเปตํ;

    ‘‘Laddhāya yakkhā tava niccabhikkhaṃ, suciṃ paṇītaṃ rasasā upetaṃ;

    ภิกฺขญฺจ เต อาหริโย นโร อิธ, สุทุลฺลโภ เหหิติ ภกฺขิเต มยี’’ติฯ

    Bhikkhañca te āhariyo naro idha, sudullabho hehiti bhakkhite mayī’’ti.

    ตตฺถ ถุลฺลมตฺถนฺติ อปฺปเกน การเณน มหนฺตํ อตฺถํ ชหิสฺสสีติ ทเสฺสติฯ นาหริสฺสนฺตีติ อิโต ปฎฺฐาย มรณสญฺญิโน หุตฺวา น อาหริสฺสนฺติ, อถ ตฺวํ มิลาตสาโข วิย รุโกฺข นิราหาโร ทุพฺพโล ภวิสฺสสีติฯ ลทฺธายนฺติ ลทฺธอยํ ลทฺธาคมนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สมฺม ยกฺข, ยํ อหํ อชฺช อาหริํ, อิทํ ตว นิจฺจภิกฺขํ สุจิํ ปณีตํ อุตฺตมํ รเสน อุเปตํ ลทฺธาคมนํ เทวสิกํ เต อาคจฺฉิสฺสติฯ อาหริโยติ อาหรณโกฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘สเจ ตฺวํ อิมํ ภิกฺขํ คเหตฺวา อาคตํ มํ ภกฺขสิ, อเถวํ มยิ ภกฺขิเต ภิกฺขญฺจ เต อาหรณโก อโญฺญ นโร อิธ สุทุลฺลโภ ภวิสฺสติฯ กิํการณา? มาทิโส หิ พาราณสิยํ อโญฺญ ปณฺฑิตมนุโสฺส นาม นตฺถิ, มยิ ปน ขาทิเต สุตนุปิ นาม ยเกฺขน ขาทิโต, อญฺญสฺส กสฺส โส ลชฺชิสฺสตี’’ติ ภตฺตาหรณกํ น ลภิสฺสสิ, อถ เต อิโต ปฎฺฐาย โภชนํ ทุลฺลภํ ภวิสฺสติ, อมฺหากมฺปิ ราชานํ คณฺหิตุํ น ลภิสฺสสิฯ กสฺมา? รุกฺขโต พหิภาเวนฯ สเจ ปนิทํ ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา มํ ปหิณิสฺสสิ, อหํ เต รโญฺญ กเถตฺวา นิพทฺธํ ภตฺตํ เปเสสฺสามิ, อตฺตานมฺปิ จ เต ขาทิตุํ น ทสฺสามิ, อหมฺปิ ตว สนฺติเก ฐาเน น ฐสฺสามิ, ปาทุกาสุ ฐสฺสามิ, รุกฺขจฺฉายายมฺปิ เต น ฐสฺสามิ, อตฺตโน ฉตฺตจฺฉายายเมว ฐสฺสามิ, สเจ ปน มยา สทฺธิํ วิรุชฺฌิสฺสสิ, ขเคฺคน ตํ ทฺวิธา ภินฺทิสฺสามิ , อหญฺหิ อชฺช เอตทตฺถเมว สโชฺช หุตฺวา อาคโตติฯ เอวํ กิร นํ มหาสโตฺต ตเชฺชสิฯ

    Tattha thullamatthanti appakena kāraṇena mahantaṃ atthaṃ jahissasīti dasseti. Nāharissantīti ito paṭṭhāya maraṇasaññino hutvā na āharissanti, atha tvaṃ milātasākho viya rukkho nirāhāro dubbalo bhavissasīti. Laddhāyanti laddhaayaṃ laddhāgamanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – samma yakkha, yaṃ ahaṃ ajja āhariṃ, idaṃ tava niccabhikkhaṃ suciṃ paṇītaṃ uttamaṃ rasena upetaṃ laddhāgamanaṃ devasikaṃ te āgacchissati. Āhariyoti āharaṇako. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘sace tvaṃ imaṃ bhikkhaṃ gahetvā āgataṃ maṃ bhakkhasi, athevaṃ mayi bhakkhite bhikkhañca te āharaṇako añño naro idha sudullabho bhavissati. Kiṃkāraṇā? Mādiso hi bārāṇasiyaṃ añño paṇḍitamanusso nāma natthi, mayi pana khādite sutanupi nāma yakkhena khādito, aññassa kassa so lajjissatī’’ti bhattāharaṇakaṃ na labhissasi, atha te ito paṭṭhāya bhojanaṃ dullabhaṃ bhavissati, amhākampi rājānaṃ gaṇhituṃ na labhissasi. Kasmā? Rukkhato bahibhāvena. Sace panidaṃ bhattaṃ bhuñjitvā maṃ pahiṇissasi, ahaṃ te rañño kathetvā nibaddhaṃ bhattaṃ pesessāmi, attānampi ca te khādituṃ na dassāmi, ahampi tava santike ṭhāne na ṭhassāmi, pādukāsu ṭhassāmi, rukkhacchāyāyampi te na ṭhassāmi, attano chattacchāyāyameva ṭhassāmi, sace pana mayā saddhiṃ virujjhissasi, khaggena taṃ dvidhā bhindissāmi , ahañhi ajja etadatthameva sajjo hutvā āgatoti. Evaṃ kira naṃ mahāsatto tajjesi.

    ยโกฺข ‘‘ยุตฺตรูปํ มาณโว วทตี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ปสนฺนจิโตฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Yakkho ‘‘yuttarūpaṃ māṇavo vadatī’’ti sallakkhetvā pasannacitto dve gāthā abhāsi –

    ๑๙.

    19.

    ‘‘มเมว สุตโน อโตฺถ, ยถา ภาสสิ มาณว;

    ‘‘Mameva sutano attho, yathā bhāsasi māṇava;

    มยา ตฺวํ สมนุญฺญาโต, โสตฺถิํ ปสฺสาหิ มาตรํฯ

    Mayā tvaṃ samanuññāto, sotthiṃ passāhi mātaraṃ.

    ๒๐.

    20.

    ‘‘ขคฺคํ ฉตฺตญฺจ ปาติญฺจ, คจฺฉมาทาย มาณว;

    ‘‘Khaggaṃ chattañca pātiñca, gacchamādāya māṇava;

    โสตฺถิํ ปสฺสตุ เต มาตา, ตฺวญฺจ ปสฺสาหิ มาตร’’นฺติฯ

    Sotthiṃ passatu te mātā, tvañca passāhi mātara’’nti.

    ตตฺถ สุตโนติ โพธิสตฺตํ อาลปติฯ ยถา ภาสสีติ ยถา ตฺวํ ภาสสิ, ตถา โย เอส ตยา ภาสิโต อโตฺถ, เอโส มเมวโตฺถ, มยฺหเมว วฑฺฒีติฯ

    Tattha sutanoti bodhisattaṃ ālapati. Yathā bhāsasīti yathā tvaṃ bhāsasi, tathā yo esa tayā bhāsito attho, eso mamevattho, mayhameva vaḍḍhīti.

    ยกฺขสฺส กถํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ‘‘มม กมฺมํ นิปฺผนฺนํ, ทมิโต เม ยโกฺข, พหุญฺจ ธนํ ลทฺธํ, รโญฺญ จ วจนํ กต’’นฺติ ตุฎฺฐจิโตฺต ยกฺขสฺส อนุโมทนํ กโรโนฺต โอสานคาถมาห –

    Yakkhassa kathaṃ sutvā bodhisatto ‘‘mama kammaṃ nipphannaṃ, damito me yakkho, bahuñca dhanaṃ laddhaṃ, rañño ca vacanaṃ kata’’nti tuṭṭhacitto yakkhassa anumodanaṃ karonto osānagāthamāha –

    ๒๑.

    21.

    ‘‘เอวํ ยกฺข สุขี โหหิ, สห สเพฺพหิ ญาติภิ;

    ‘‘Evaṃ yakkha sukhī hohi, saha sabbehi ñātibhi;

    ธนญฺจ เม อธิคตํ, รโญฺญ จ วจนํ กต’’นฺติฯ –

    Dhanañca me adhigataṃ, rañño ca vacanaṃ kata’’nti. –

    วตฺวา จ ปน ยกฺขํ อามเนฺตตฺวา ‘‘สมฺม, ตฺวํ ปุเพฺพ อกุสลกมฺมํ กตฺวา กกฺขโฬ ผรุโส ปเรสํ โลหิตมํสภโกฺข ยโกฺข หุตฺวา นิพฺพโตฺต, อิโต ปฎฺฐาย ปาณาติปาตาทีนิ มา กรี’’ติ สีเล จ อานิสํสํ, ทุสฺสีเลฺย จ อาทีนวํ กเถตฺวา ยกฺขํ ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา ‘‘กิํ เต อรญฺญวาเสน, เอหิ นครทฺวาเร ตํ นิสีทาเปตฺวา อคฺคภตฺตลาภิํ กโรมี’’ติ ยเกฺขน สทฺธิํ นิกฺขมิตฺวา ขคฺคาทีนิ ยกฺขํ คาหาเปตฺวา พาราณสิํ อคมาสิฯ ‘‘สุตนุ มาณโว ยกฺขํ คเหตฺวา เอตี’’ติ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา อมจฺจปริวุโต โพธิสตฺตสฺส ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ยกฺขํ นครทฺวาเร นิสีทาเปตฺวา อคฺคภตฺตลาภินํ กตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา เภริํ จราเปตฺวา นาคเร สนฺนิปาตาเปตฺวา โพธิสตฺตสฺส คุณํ กเถตฺวา เสนาปติฎฺฐานํ อทาสิฯ อยญฺจ โพธิสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา สคฺคปรายโณ อโหสิฯ

    Vatvā ca pana yakkhaṃ āmantetvā ‘‘samma, tvaṃ pubbe akusalakammaṃ katvā kakkhaḷo pharuso paresaṃ lohitamaṃsabhakkho yakkho hutvā nibbatto, ito paṭṭhāya pāṇātipātādīni mā karī’’ti sīle ca ānisaṃsaṃ, dussīlye ca ādīnavaṃ kathetvā yakkhaṃ pañcasu sīlesu patiṭṭhāpetvā ‘‘kiṃ te araññavāsena, ehi nagaradvāre taṃ nisīdāpetvā aggabhattalābhiṃ karomī’’ti yakkhena saddhiṃ nikkhamitvā khaggādīni yakkhaṃ gāhāpetvā bārāṇasiṃ agamāsi. ‘‘Sutanu māṇavo yakkhaṃ gahetvā etī’’ti rañño ārocesuṃ. Rājā amaccaparivuto bodhisattassa paccuggamanaṃ katvā yakkhaṃ nagaradvāre nisīdāpetvā aggabhattalābhinaṃ katvā nagaraṃ pavisitvā bheriṃ carāpetvā nāgare sannipātāpetvā bodhisattassa guṇaṃ kathetvā senāpatiṭṭhānaṃ adāsi. Ayañca bodhisattassa ovāde ṭhatvā dānādīni puññāni katvā saggaparāyaṇo ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน มาตุโปสกภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา ยโกฺข องฺคุลิมาโล อโหสิ, ราชา อานโนฺท, มาณโว ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne mātuposakabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā yakkho aṅgulimālo ahosi, rājā ānando, māṇavo pana ahameva ahosinti.

    สุตนุชาตกวณฺณนา ตติยาฯ

    Sutanujātakavaṇṇanā tatiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๙๘. สุตนุชาตกํ • 398. Sutanujātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact